อยากเห็นนรกสวรรค์...

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 27 ตุลาคม 2007.

  1. koymoo

    koymoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    2,066
    ค่าพลัง:
    +7,067
    คือ ก้อยอ่านหนังสือธรรมะมาก็พอสมควร ตอนนี้ที่ก้อยประสงค์ก็คือ อยากเห็นนรกด้วยตาหรือจิตของตนเองก็แล้วแต่ ต้องทำอย่างไร ต้องปฏิบัติธรรมถึงขั้นไหน หรือมีผู้ใดมีอภิญญาเพียงพอจะพาก้อยไปได้บ้าง ก้อยอยากไปดูมากๆ ว่ามันตรงกับในหนังสือหรือที่ก้อยได้ยินมามากน้อยแค่ไหน (อยากไปดูเฉยๆแต่ไม่อยากตกนรกเด้อ) ... ต้องทำไงอะ หรือมีใครอยากจะอาสาพาไปไหม??? ก้อยอยากเห็นจริงๆนะ
     
  2. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908
    คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ
    โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร
    ต่อไปนี้จะขอแนะนำเนื่องในการเจริญมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ นี่เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ เพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มี ๔๐ แบบ แล้วก็ ๔๐ แบบ ถ้าแบ่งเป็นหมวดก็ ๔ หมวด คือ
    หมวดที่ ๑ สุขวิปัสสโก
    หมวดที่ ๒ เตวิชโช
    หมวดที่ ๓ ฉฬภิญโญ
    หมวดที่ ๔ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
    หมวดที่ ๑ ที่เรียกว่า สุขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมรรคผลได้อย่างแบบง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ง่าย ยากมากแบบสุขวิปัสสโกนี่เวลาเจริญสมาธิตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำอยู่ตามปกติ เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงฌานสมาบัติ แล้วก็ตัดกิเลส ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ได้ คือไม่มีทิพจักขุญาณ
    สำหรับ เตวิชโช นั้น มีความสามารถพิเศษอยู่ ๒ อย่าง คือว่ามีทิพจักขุญาณด้วย สามารถระลึกชาติด้วย และก็
    ฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์
    ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสามและอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า
    หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาในกรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่
    ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศํยของบรรดาท่านพุทธบริษัท
    สำหรับ สุขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก
    สำหรับ เตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น
    สำหรับ ฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดชพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้
    สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง
    ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน
    สำหรับวันนี้จะนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่งที่เรียกว่า มโนมยิทธิ มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
    มโนมยิทธิ นี่คล้ายคลึงกับ เตวิชโช แต่ว่ามีกำลังสูงกว่า เป็นกรรมฐานเพื่อนเตรียมตัวที่จะปฏิบัติเพื่อ อภิญญาหก ต่อไปข้างหน้า
    สำหรับ เตวิชโช ก็ได้แก่ วิชชาสาม ก็มีทิพจักขุญาณ ซึ่งต่างกับ มโนมยิทธิ คือว่าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วนั่งอยู่ตรงนี้ สามารถจะเห็นเทวดาหรือพรหมได้ สามารถจะคุยได้ แต่ไปหาไม่ได้ สามารถจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต เห็นอสุรกายได้ แต่ว่าไม่สามารถจะไปหากันได้ เห็นอย่างเดียว
    สำหรับมโนมยิทธิ ใช้กำลังของจิตเคลื่อนออกจากกายไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ซึ่งมีกำลังสูงกว่า ทั้งนี้เพราะว่าถือเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาสมาบัติ
    สำหรับประโยชน์ที่จะฝึกพระกรรมฐาน นอกจากที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเข้าใจว่าการเจริญกรรมฐานนี้ต้องการสวรรค์ ต้องการพรหมโลก ต้องการนิพพานอย่างเดียว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม
    ถ้าทุกท่านได้มโนมยิทธิแล้วก็ไปฝึกฝนให้คล่อง เมื่อฝึกฝนคล่องแล้ว นอกจากจะยกจิตขึ้นไปสู่ภพต่าง ๆ ก็ยังมีคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ
    ทิพจักขุญาณ สามารถจะเห็นสิ่งของที่อยู่ในที่ลี้ลับได้ เห็นผีได้ เห็นเทวดาได้ เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ ของที่เราเก็บไว้ในที่ลี้ลับหาไม่พบเราก็สามารถเอาจิตเข้าไปกำหนดรู้ได้ หรือว่าใครจะแอบแฝงอยู่ที่ไหนเราก็ทราบได้ ถ้าเราต้องการจะรู้ รวมความว่าไม่มีอะไรเป็นความลับสำหรับพวกที่มีทิพจักขุญาณ
    และถ้าหากว่าจะใช้ทิพจักขุญาณนี้ประกอบอาชีพ ถ้าทิพจักขุญาณมีความเข้มข้นขึ้น เข้าถึงฌาน ๔ และก็ได้ อดีตังสญาณ อนาคตังสญาณ มันจะได้ไปเอง ถ้าเราจะประกอบอาชีพเราก็สามารถจะรู้ได ้ว่า อาชีพที่เราประกอบข้างหน้ามันขาดทุนหรือกำไรจะทำอะไรก็ได้
    ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษา ถ้ามีกำลังจิตเข้มข้นจริง ๆ สามารถจะเดาข้อสอบ (ไม่ต้องเดาละดูเลย ดูข้อสอบเลย ก่อนที่ครูจะเขียนน่ะ) อนาคตังสญาณ จะสามารถรู้ข้อสอบที่ครูจะออกมาได้ ถ้าหากว่าจิตยังคล่องไม่ถึง มีความเข้มข้นไม่ถึงเวลาจะสอบถ้าตอบไม่ได้ตัดสินใจใช้กำลังสมาธิช่วยสัก ๒ นาที คิดว่าถ้าจะตอบยังไงถึงจะถูก ขอให้ตัดสินใจไปตามนั้น มันตัดสินใจเองแล้วก็ถูกต้อง
    อย่างนี้นักเรียนนักศึกษาในกรุงเทพฯ ใช้มาหลายพันคนแล้ว เวลาเข้ามาหาวิทยาลัยเธอตอบไม่ได้เธอก็เดาอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เดานะ เดาเฉย ๆ ไม่ได้นะ ต้องใช้กำลังใจที่เขาเรียกว่าทำจิตเข้าไปถึงนิพพานก่อนและก็นั่งอยู่ที่นั่น ขอพระพุทธเจ้าว่าจะตอบอย่างไร ตัดสินใจไปตามนั้น อย่าถามท่านไม่ได้นะ ถามท่านไม่บอกแต่ว่าจะรู็ด้วยกำลังของจิตที่เป็นทิพย์
    แบบนี้เขาใช้กันเยอะแล้ว ถ้าจะถามว่าได้หรือ นี่มันสายไปแล้ว เขาทำได้มากแล้ว อันนี้เป็นประโยชน์ในทางโลก ใช้ได้มากกว่านี้
    เมื่อกี้พูดถึงทิพจักขุญาณ และก็ญาณที่ ๒ ที่จะได้จากมโนมยิทธิก็คือ จุตูปปาตญาณ
    จุตูปปาตญาณ ที่เขาบอกว่าจะรู้เห็นคนหรือสัตว์ หรือ ว่าได้ยินชื่อคนหรือสัตว์ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนเกิดมาจากไหน ถ้ารู้็ว่าใครเขาตายเขาแจ้งว่าคนนั้นตาย สัตว์ตัวนี้ตายเราก็จะทราบได้ว่าผู้ตายผู้นี้เวลานี้ไปอยู่ที่ไหน อันนี้เขาเรียกว่า จุตูปปาตญาณ
    แล้วก็ต่อมาเป็น ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ การระลึกชาติ สามารถจะทบทวนชาติต่าง ๆ ที่เราเกิดมาได้ทั้งหมดว่า เราเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่กี่ชาตินี่นับไม่ไหวนะ ว่าเคยเกิดมาแล้วกี่แสนชาติดีกว่า เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เราสามารถจะรู้
    แล้วก็ต่อไป เจโตปริยญาณ เจโตปริยญาณ เขาแปลว่าสามารถรู้อารมณ์จิตของบุคคลอื่น หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ดี ถ้ายังไม่มาก็ดี เราจะรู้ว่าเขาคิดอะไร เราสามารถจะรู้ได้ทันที
    และต่อไป อตีตังสญาณ สามารถรู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์และสถานที่ได้ ว่าก่อนนั้นเขาทำอะไรมาหรือมีสภาพเป็นอย่างไร
    อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต
    ปัจจุปันนังสญาณ ญาณนี้สำคัญมาก รู้กฏของกรรมที่ทำให้คนมีความสุขหรือความทุกข์ เราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี ซึ่งกำลังมีความสุขอยู่เพราะผลความดีอะไรให้ผล ที่มีความทุกข์อยู่เพราะความชั่วอะไรให้ผลทำมาแล้วในอดีต ถ้าหากว่ารู้ญาณนี้ได้ความหนักใจความกลุ้มใจไม่มี
    รวมความว่า มโนมยิทธิ นอกจากจะยกจิตไปสู่ภพต่าง ๆ แล้ว ยังมีคุณสมบัติอีก ๘ ประการ และก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อุทุมพริกสูตร เฉพาะอย่างยิ่งท่านกล่าวถึง วิชชาสาม ท่านบอกว่า
    ท่านผู้ใดสามารถกระทำจิตไปสู่ภพต่าง ๆ คือว่าไปสวรรค์ก็ได ้ไปนรกก็ได ้ไปพรหมก็ได้ ไปนรกเปรตอสุรกายได้ ชื่อว่าถึงแก่นของพระศาสนา
    เมื่อบุคคลปฏิบัติกิจเข้าถึงแก่นของพระศาสนาแบบนี้ ถ้าปฏิบัติด้านวิปัสนาญาณ ท่านบอกว่า
    ถ้ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    ถ้ามีบารมีอย่างอ่อน จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ ปี
    คำว่า บารมี ก็หมายถึง กำลังใจ กำลังใจที่เราจะเอาจริงหรือไม่เอาจริง ถ้าเราใช้กำลังส่วนนี้ไปช่วยวิปัสสนาญาณ หรือนำวิปัสสนาญาณมาใช้ ก็จะเป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์
    และก็เป็นที่น่าเสียดายที่มีกำลังพอแต่ไปใช้กำลังอย่างอื่นอยู่ ถ้ามุ่งต้องการความเป็นพระอริยเจ้าจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าต้องการพระโสดาบันละก็ อย่างช้าก็ไม่เกิน ๑ เดือน ช้ามากเกินไป แต่ว่าคนขี้เกียจก็เร็วมากเกินไป ใช่ไหม ถ้าขี้เกียจ ๑ เดือนนี่ เร็วมากเกินไป ถ้าขยัน ๑ เดือน ช้าเกินไป เร็วมากเกินไป
    พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงว่าเป็นพระโสดาบัน ท่านพูดถึงอรหันต์เลย ถ้ามีความเข้มข้นในการปฏิบัติที่เรียกว่ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีกำลังใจอย่างกลางที่เรียกว่า อุปบารมี คือกำลังใจอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    ถ้าขี้เกียจมากหน่อย แต่ว่าทำไม่เลิก ทำบ้างไม่ทำบ้าง วันหนึ่งก็ไม่เว้นละ ทำมากทำน้อย นอนน้อยทำมาก สลับกันไปอย่างนี้ไม่เกิน ๗ ปี
    แต่ว่าก็มีเยอะเหมือนกัน ที่ได้ไปแล้วไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ใช้เฉพาะกิจส่วนนี้ก็ยังดีกว่า เพราะหายสงสัย
    ที่พระพุทธเจ้าสอนวิชานี้ไว้เป็นวิชาขั้นต้นของ อภิญญา ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเทศน์บอกว่า
    คนเราตายไปแล้วมีสภาพไม่สูญ ถ้าสร้างผลของความชั่ว ผลของความชั่วจะให้ผล คือไปนรก จากนรกก็ต้องมาเป็นเปรต จากเปรตแล้วก็มาอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน
    สัตว์เดียรัจฉานนี่เป็นนานหน่อย ต้องเสวยบารมีมากฆ่าสัตว์กี่ตัว สัตว์ประเภทใดบ้าง ต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้นเท่าชีวิตที่เราฆ่า ฆ่ายุงไปเท่าไร เอาแค่ยุงอย่างเดียวก็พอมั๊ง
    หลังจากเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมชั่วที่เราทำไว้จะให้ผลเพียงเศษ เช่น
    ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือทรมานสัตว์ เป็นปัจจัยให้คนมีอายุสั้น เพราะทำเขาไว้มาก หรือว่าป่วยไข้ไม่สบาย มีร่างกายทุกพพลภาพ สุดแท้แต่กฎของกรรม
    กรรมของอทินนาทาน ลักขโมยยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น เป็นเหตุให้ทรัพย์เสียหายจากไฟไหม้บ้าง ลมพัดบ้าง น้ำท่วมบ้าง ถูกโจรลักขโมยบ้าง
    กรรมของกาเมสุมิจฉาจารที่เราละเมิด เป็นเหตุให้คนในปกครองว่ายากสอนยาก คนที่มีลูกดื้อ ๆ จำให้ดีนะ เคยทำกรรมนี้มาแล้วจะให้พระช่วยได้อย่างไร และ
    กรรมของมุสาวาท เราพูดจริงแต่ไม่มีใครเขาอยากฟัง
    เศษกรรมของการดื่่มสุราเมรัย ทำให้เป็นโรคเส้นประสาท หรือโรคบ้า
    ทีนี้ถ้าอาการทั้ง ๕ อย่างนี้เกิดขึ้น อย่าไปโทษใคร ถ้าเราได้ ยถากรรมมุตาญาณ เราจะทราบ ว่ากรรมประเภทนี้ทำให้เราลำบากเราทำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และก่อนที่จะได้รับเศษของกรรมเราได้รับโทษของกรรมใหญ่ที่ไหนบ้าง ลงนรกมากี่ขุม ท่องเที่ยวนรกแสนสบาย มีความสุขมีที่อยู่ที่อาศัย พญายมเอาอกเอาใจ ไม่ต้องการให้พ้นจากนรกนี่ดีมีวาสนาบารมีสูง
    ออกจานรกขุมใหญ่ ออกจากนรกบริวาร ผ่านยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ออกจากยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ผ่านเปรตอีก ๑๒ ลำดับ จากเปรตมาผ่านอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน กว่าจะเกิดมาเป็นคนที่มีความสมบูรณ์มาก พระพุทธเจ้าตรัสแล้วหลายสิบองค์ อันนี้เป็นกฎของความชั่วที่เราพึงจะรู้ได้ด้วยกำลัง มโนมยิทธิ ที่ญาติโยมพุทธบริษัทปฏิบัติกัน
    ด้านของความดีที่เราจะพึงทราบจาก ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เราจะทราบว่าเราเคยเป็นเทวดามาแล้วกี่ครั้ง เคยเกิดเป็นคนมาแล้วเท่าไหร แล้วเคยเกิดมาเป็นมนุษย์มาแล้วเท่าไหร่ ความเป็นมนุษย์ชาติไหนมีความสุขมาก ชาติไหนมีความทุกข์มาก ชาติไหนมีฐานะอย่างไร อย่างนี้เราทราบได้
    ทีนี้ถ้าอยากจะทราบว่าบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ บุญประเภทนี้จะให้ผลเราขนาดไหน สมมุติว่าถ้าเราตายขณะนี้เราจะเป็นเทวดาหรือจะไปเป็นพรหมหรือจะไปนิพพาน เราพิสูจน์ได้เลย บุญทำวันนี้พิสูจน์วันนี้ได้ว่าบุญวันนี้จะส่งผลไปถึงไหน
    ถ้าจะถามว่าถ้าปุบปับตายจะมีวิมานอยู่ไหม ถ้าเคยทำบุญก่อสร้างเกี่ยวกับการสร้างวัดสร้างศาลา สร้างสาธารณประโยชน์ แม้แต่เขาสร้างโบสถ์ ๑ หลัง เราทำบุญไป ๑ บาท และทำด้วยความเต็มใจ วิมานก็ปรากฏแล้ว คือว่าทำในทันทีวิมานจะปรากฏทันที
    ที่กล้าพูดอย่างนี้ เพราะว่าทุกท่านหรือหลาย ๆ ท่านกำลังเจริญมโนมยิทธิ และก็หลายท่านที่ได้แล้วสามารถพิสูจน์ได้ทันที ก็มาตัดสินใจทำบุญไว้ตั้งแต่เมื่อไหรก็ตามเถอะไม่สนใจ วันนี้หรือก่อนวันนี้ทำบุญเนื่องในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ วิมานจะปรากฏก่อน เราสามารถจะไปดูวิมานได้ทันทีว่าวิมานเราอยู่ที่ไหน
    ทีนี้วิมานนี่อยู่ตามกำลังของบารมีหรือตามกำลังของบุญที่ทำ ถ้ากำลังบุญของท่านถึงขั้น กามาวจรสวรรค์ วิมานก็จะตั้่้งอยู่ที่สวรรค์ กำลังบุญของท่านถึงขั้นของพรหม วิมานจะตั้งอยู่ที่พรหม กำลังบุญความดีของท่านถึงขั้นนิพพาน วิมานก็อยู่ที่นิพพาน คอยอยู่แล้ว ตายเมื่อไรถึงเมื่อนั้น อันนี้พูดถึงผลที่จะพึงได้
    ต่อไปก็ขออธิบายถึงวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ที่บอกไว้แล้ว ๔ หมวด คือ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต อันนี้ใช้แนวสมาธิเหมือนกันแต่ใช้กำลังไม่เท่ากัน อันนี้ต้องระวังให้มากนะ กำลังขึ้นต้นไม่เท่ากัน ถ้าใช้กำลังขึ้นต้นผิดไม่มีผล
    สำหรับ สุขวิปัสสโก นี่ท่านเริ่มเจริญสมาธิเล็กน้อยควบคู่กับวิปัสสนาญาณ
    แต่ว่าเรื่องศีลมีความสำคัญมาก ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์สมาธิไม่มีผล อย่างวันนี้ท่านฝึกมโนมยิทธิ หากว่าศีลของท่านไม่บริสุทธิ์มาก่อน หรือว่าท่านไม่แน่ใจในความบริสุทธิ์ของศีล เวลาสมาทานศีลก็ขอให้ตั้งใจสมาทานด้วยความเคารพจริง ๆ ว่าเราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าหากว่าท่านไม่มั่นใจในศีล พอไปถึงพระจุฬามณี เขาไม่เปิดประตูให้เข้า อย่างนี้ครูผู้ฝึกเขาจับได้แน่
    ศีลดีพอสมควร แต่ไม่มั่นใจ คือศีลบกพร่อง ทางจุฬามณีเขาไม่เปิดประตูให้เข้าเด็ดขาด ทำยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เข้า ถ้าเราไม่สามารถจะผ่านจุฬามณีได้ก็ไปที่อื่นไม่ได้เหมือนกัน
    ถ้าหากว่าท่านผู้ใดไม่มั่นใจในศีลของท่านว่าที่ผ่านมาแล้วศีลจะดีพอควรไหม เวลาสมาทานศีลก็จงคิดว่าเวลานี้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ว่านับตั้งแต่เวลาสมาทานไปจนกว่าจะไปจากที่นี้ ศีล ๕ เราไม่มีโอกาสจะขาด ใช่ไหม เราฆ่าใครเขาได้เล่า ลักขโมยใครเขานี้ไม่แน่นะ อย่าไปล้วงกระเป๋าเขานะ บอกว่าผมไม่ลัก แต่ผมล้วงกระเป๋าเขาอย่างเดียว
    เป็นอันว่าทุกคนต้องถือว่าศีลบริสุทธิ์ นี่เป็นพื้นฐานใหญ่
    แล้วเวลาทรงสมาธิ สำหรับสุขวิปัสสโก ก็ใช้สมาธิเล็กน้อยเริ่มต้นควบกับวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิจริง เขาเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ แต่ว่าการเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ นี่ลำบาก จึงลดลงเหลือกำลังอุปจารสมาธิเ่ท่าวิชชาสาม
    ฉะนั้นเวลาเริ่มต้นขอทุกท่านใช้กำลังสมาธิแค่อุปจารสมาธิ ถ้าถึงฌานสมาบัติ กำลังสูงเกินไปเลยความเป็นทิพย์ ถ้าต่ำไปก็ไม่ถึงความเป็นทิพย์
    เหมือนกับกำแพงที่มีช่องน้อย ๆ อยู่ช่องหนึ่ง ถ้าเรามองตาสูงกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น ต่ำกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น เราต้องมองให้พอดี ๆ จึงเห็น
    สำหรับ ทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกัน จิตเกิดเป็นทิพย์ ตอนจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าจิตเลยไปถึงฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ ถ้าต่ำกว่าฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ
    ถ้าจะถามว่า อุปจารสมาธิทำอารมรณ์ขนาดไหน ก็ขอตอบแบบตรงไปตรงมาว่าใช้อารมณ์แบบปกติธรรมดา เวลาภาวนาอยู่ การภาวนานี่ต้องคู่กับลมหายใจเข้าออก เพราะว่าลมหายใจเข้าออกทำให้จิตเป็นสมาธิ ทำให้จิตมีกำลัง สมาธิ เขาแปลว่า ตั้งใจ
    สำหรับคำภาวนาใช้ภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ คำภาวนา นะ มะ พะ ธะ ทำให้กำลังจิตเป็นทิพย์ แต่ว่าคำภาวนาทำให้จิตเป็นทิพย์มีหลายสิบแบบ ไม่เฉพาะแต่ นะ มะ พะ ธะ อย่างเดียว
    แต่ว่าที่เลือก นะ มะ พะ ธะ มาใช้ก็เพราะว่าแบบอื่น ถ้าเราสามารถจะรู้ได้ เห็นได้ ไปได้ ไปท่องเที่ยวในภพต่าง ๆ ได้ แต่คนข้าง ๆ ถามไม่ได้ ต้องจบกิจเรื่องนั้นแล้วกลับมาจึงจะคุยกับคนข้าง ๆ ได้
    สำหรับ นะ มะ พะ ธะ นี่ ขณะที่เราไปพบอะไรที่ข้างบน หรือที่ไหนก็ตาม นรกก็ตาม สวรรค์ก็ตาม พรหมโลกก็ตาม คนข้าง ๆ จะถามได้ทันทีแล้วจะตอบได้เลย ทางโน้นตอบมา ฝ่ายนี้ก็พูด พูดรู้เรื่องกันได้ตลอด
    แบบนี้ควานหามา ๒๓ ปี กว่าจะพบ และแบบอื่น ๆ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าเป็นเรื่องสงสัยของคน ผู้ถามอยู่ข้าง ๆ ต้องการจะรู้ว่าพ่อฉันตายแม่ฉันตายไปอยู่ที่ไหน หลับตาปี๋อยู่นาน ลืมตามาก็บอก ทีนี้คนข้าง ๆ อาจจะสงสัย หมอนี่อาจจะโกหกก็ได้
    สำหรับ มโนมยิทธิแบบนี้ ปัจจุบันใช้ นะ มะ พะ ธะ คนข้าง ๆ จะถามได้ทันที และก็เราผู้ไม่รู้ ถ้าไปพบคนตาย จะต้องถามก่อนที่ท่านจะตายรูปร่างลักษณะอย่างไร แสดงให้ดูก่อน ร่างกายจะตายอาการแบบไหน ชี้ให้ชัดว่าคนที่ถามเขารู้เวลานั้นเอาเฉพาะอาการที่รู้ เราก็จะบอกได้ตามปกติว่ามันชัดเจนดี เขามีโอกาสซัก ซักได้ทั้งที่ยังไม่ถอนจากฌานแบบนี้มีประโยชน์มาก
    ฉะนั้นเวลาปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ตามแบบปกติ ไม่ต้องทำจิตให้มันเครียดเป็นฌานอย่าลืมนะ ถ้าเป็นฌานไม่มีผล คือใช้คำภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ
    ถ้าจะควบคู่กับลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้าก็นึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกก็นึกว่า พะ ธะ เอาแบบสบาย ๆ นะ อย่าให้เหนื่อย อย่าไปเร่งรัดลมหายใจ อย่าบังคับลมหายใจ อย่าให้เร็วเกินไป อย่าให้ช้าเกินไป ปล่อยลมหายใจไปตามปกติ แค่นึกตามเวลาหายใจเข้านึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เอาแค่นี้นะ
    แล้วเลาที่ยังไม่มีใครเข้าไปแนะนำ จงอย่าไปนึกอย่ากรู้ อยากเห็นอะไรเป็นอันขาด เพราะว่าถ้านึกอยากรู้อยากเห็นตอนนั้นจิตซ่านไม่เป็นสมาธิ
    และก็มีปัญหาอันหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัย เวลาที่ผู้แนะนำเขาปล่อยให้นั่งภาวนาประมาณ ๑๕ นาที ตอนนี้เราก็รู้ลมหายใจเข้าออกด้วย รู้คำภาวนาด้วย จิตก็อดซ่านไม่ได้เป็นของธรรมดา ภาวนาไปรู้ลมหายใจเข้าออกไปสัก ๒-๓ นาทีก็เผลอไปคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทน ถ้านึกขึ้นมาได้ก็กลับดึงเข้ามาใหม่
    ถ้าอาการจิตเป็นอย่างนี้ละก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าเพิ่งคิดว่าเราชั่ว ถือว่าที่เราทำไปนั้นไม่ชั่วแล้วก็ไม่ผิด มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิตมันชอบคิดเรื่องอื่น แต่วาถ้าไปคิดเรื่องอื่นแทนที่ ถ้าเรารู้ตัวก็ดึงกลับมาใหม่ ถ้าจิตอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ มันเป็นแบบนี้แหละ เพราะยังไม่ได้ฌานสมาบัติ ถ้าจิตจะทรงตัวจริงต้องเป็น ฌานสมาบัติ
    ทีนี้พอได้เวลาก็จะมีผู้เข้าไปแนะนำโดยตรง วิธีนี้ถ้าปล่อยให้ปฏิบัติธรรมดานะ พระเคยทำมาแล้ว ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง บางองค์ ๔๐ ปีไม่ได้ ตายไปเลย ตายไปเยอะ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ เป็นเรื่องใหญ่มากเดิมทีเดียวต้องขึ้นต้นด้วยฌาน ๔ ทีนี้กว่าจะได้ฌาน ๔ เขี้ยวเหี้ยน กินหญ้าต่อไปไม่ได้แล้ว
    ต่อมาท่านเจ้าของมาแนะนำบอกว่า ปฏิบัติอย่างนี้ (แบบเก่า) มันไม่มีผล เพราะว่ากำลังของคนไม่พอ ท่านก็แนะนำบอกว่า ให้ขึ้นต้นด้วยอุปจารสมาธิ ใช้กำลังของวิชชาสามแทน การใช้กำลังของวิชชาสามแทนนี้ก็อ่อนไปหน่อย การเคลื่อนไหวตัวรู้สึกตัวน้อย ๆ เป็นที่น่าสงสัย
    ถ้าหากว่าใช้กำล้ังเดิม คือกำลังของฌาน ๔ เวลามันออกมันรู้ตัวเหมือนอกจากกระบอกไม้ มันพุ่งตรงออกจากโพรงไม้หรืออกจากถ้าำ มันรู้ตัวเลย ก็จะปรากฏชัดเป็นแสงสว่างในอากาศ แสงสว่างเป็นลำบ้าง เป็นแสงทั่วไปในอากาศบ้าง จะปรากฏเห็นกายข้างในมันพุ่งตรงออก ไปไหนก็มีรู้สึกเหมือนเราไปเอง
    แต่ว่ากำลังแบบนี้เวลานี้ท่านพุทธบริษัทยังรับไม่ได้กว่าจะรับได้ก็ใช้เวลาเป็นเดือนหรืออาจจะเป็นปี ที่สอนมาแล้วระยะต้น เมื่อปี ๒๕๐๘ ได้มาประมาณ ๘๐ คน หลังจากนั้นมาอีก ๑๐ ปี ไม่มีใครได้เลย เพราะกำลังไม่พอ ต่อมาท่านเจ้าของจึงแนะนำบอกว่า ให้ลดกำลังลงเหลือกำลังของวิชชาสาม
    ทีนี้กำลังของวิชชาสามมีสภาพคล้ายความฝัน เป็นที่น่าสงสัย กำลังของวิชชาสามก็คือใช้กำลังของอุปจารสมาธิแทนฌานสมาบัติ
    ทีนี้มาจุดหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัย คือ คำว่า ทิพจักขุญาณ
    คำว่า ทิพจักขุญาณ นี่ไม่ใช่แปลว่า ลูกตาเนื้อเป็นทิพย์ ญาณ เขาแปลว่า รู้ ทิพจักขุญาณ เขาแปลว่า มีความรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์ อย่าลืมนะว่าความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ เพราะว่าเรายังไม่ได้ใช้ฌาน ๔ ถ้าใช้ฌาน ๔ ตัวนี้ไม่ต้องอธิบายเพราะมันออกไม่รู้ตัว เมื่อใช้กำลังของวิชชาสามกำลังลังอ่อนลง ไม่สามารถจะมีความเข้มแข็งแบบนั้นได้ ต้องใช้ความสังเกตเป็นเกณฑ์
    ถ้าหากว่าศีลดี สมาธิดีพอสมควร ไม่มากนักการตัดสินใจด้านพระนิพพานน้อยเกินไป อย่างนี้ทิพจักขุญาณจะเกิดอย่างอ่อน เกิดความรู้สึกของใจ ความรู้สึกทางใจนี่มันจะมีความรู็สึกอันดับแรกว่าเป็นอะไรต้องตอบทันที ตัวแรกเป็นตัวแท้แล้วก็แน่นอน
    และเวลาที่ท่านทั้งหลายจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าทำใจให้สบายคิดว่างานที่เราทำจะมีผลดีหรือผลชั่ว อารมณ์แรกมันบอกปั๊บต้องเชื่ออารมณ์นั้นทันที
    ทีนี้ถ้าหากว่าถ้าอารมณ์มันอ่อน เมื่อเวลามีผู้เข้าไปแนะนำ หลังจากภาวนาไปแล้วประมาณ ๑๕ นาที เขาจะให้สัญญาณบอกว่าพักได้ แล้วต้องสังเกตนะ ถ้าท่านผู้ใดมีคนไปนั่งข้างหน้า เขาจะแนะนำ ขอให้ท่านผู้นั้นเลิกภาวนาเสียเลย อย่าภาวนา แล้วก็เลิกรู้ลมหายใจเข้าออก ปล่อยใจสบาย ๆ เพราะตอนนั้นไปภาวนาไม่ได้ ขวางกัน ให้ฟังคำแนะนำของผู้แนะนำ
    ถ้าผู้แนะนำเขาแนะนำว่ายังไงให้ตัดสินใจไปตามนั้น ถ้าเห็นว่ากำลังใจเริ่มเป็นทิพย์พอสมควร เขาจะถามว่า
    “มีความรู้สึกว่ามีผู้ใดอยู่ข้างหน้าบ้าง...?”
    ไม่ใช่หมายถึงตัวเขา ถ้าสมาธิอ่อน ความรู้สึกมันว่ามีก็ตอบว่ามี อย่ายั้งตัวนะ ถ้ายั้งตัวแน่หรือไม่แน่ ตรงนี้ตัวกิเลสคือนิวรณ์ ตัวสงสัยจะขวางทันที คือผิดหมด ถ้าเราเกิดความรู้สึกครั้งแรกว่ามีก็ต้องตอบว่ามี
    ถ้าเขาถามว่า “ผู้ที่มาอยู่ข้างหน้าเป็นผู้หญิงหรือผู้็ชาย”
    ความรู้สึกมันว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตอบทันที อย่ายั้งตัว ถ้ายั้ง ถอยหลังไม่ได้ ผิด
    ถ้าเขาถามว่าแต่งตัวสีอะไร ก็ตอบตามความรู้สึกถ้าคนข้าง ๆ เขาสีแดง ของเราเขียวก็ตอบเขียวอย่าตามเขานะ เพราะความเป็นทิพย์ของเทวดา พรหม หรือพระอรหันต์ ย่อมสามารถจะทำให้คนเห็นสีต่างกันในขณะเดียวกัน
    ถ้าเป็นอย่างนี้สัก ๒-๓ วาระ ครูเขารับรองว่าถูกต้อง กำลังใจจะดีขึ้น ตอนนี้อารมณ์จิตจะเป็นฌานเอง คำว่าเป็นฌานอย่าไปบังคับมันนะ มันจะเป็นของมันเอง เมื่ออารมณ์จิตเริ่มเป็นฌาน ความสว่างไสวจะปรากฏขึ้นบ้างตามพอสมควร
    ตอนนี้ภาพที่เรามองไม่เห็นจะมีความรู้สึกว่ามีเห็นเป็นผู้หญิงผู้ชายนั่นแหละ มันไม่ปรากฏภาพมาก่อน แต่ความรู้สึกจะเกิดขึ้นกับใจ เมื่อจิตเริ่มเป็นฌานภาพจึงปรากฏขึ้นกับใจ
    หลังจากนั้นไปครูเขาจะแนะนำในการตัดขันธ์ ๕ การตัดขันธ์ ๕ มีความสำคัญมาก คือเอาจิตมุ่งพระนิพพานโดยเฉพาะ คิดว่าถ้าตายชาตินี้ เมื่อตายเมื่อไหรขอไปนิพพานจุดเดียว ตัดสินใจแน่นอนละก็ไปถึงนิพพานแน่
    หลังจากนั้นเขาจะพาไปพระจุฬามณี ซึ่งตั้อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าขั้นถึงจุฬามณีพึงทราบได้เลยว่าขณะนั้นจิตเป็นฌาน ๔ ภาพจะเกิดความสว่างไสวมาก เขาจะพาไปนมัสการพระ ให้เห็นเทวดาหรือพรหม
    หลังจากผ่านพระจุฬามณีแล้วเขาจะพาตรงไปพระนิพพาน ที่เราว่านิพพานสูญนั้นน่ะ เราจะได้ทราบว่านิพพานไม่สูญ ถ้านิพพานสูญก็ไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนไปนิพพาน
    นี่พูดถึงว่าสำหรับจิตที่มีกำลังอ่อน แต่ว่ามีมากท่านด้วยกันที่มีความเข้มแข็งทางจิต จิตสะอาดจริง พอเริ่มได้รับคำแนะนำจากครูไม่กี่คำจิตจะสว่างจ้า เห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมาก เหมือนกับเห็นคนในเวลากลางวัน เครื่องแต่งกายละเอียดละออเพียงใดก็ตาม ก็สามารถจะเห็นได้
    ฉะนั้น ผู้จะปฏิบัติมโนมยิทธิ ขอให้ตั้งใจ ถ้าสมาทานศีล ขอให้สมาทานศีลด้วยความเคารพ คิดว่าเวลานี้เป็นผู้มีศีล แล้วก็ภาวนา อย่าลืมใช้คำว่าภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ ควบคู่กับลมหายใจ เวลาหายใจเข้านึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เวลาภาวนาอยู่จงอย่าอยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งหมด จนกว่าจะมีครูเข้าไปแนะนำ




    ** เอาใจช่วยคุณก้อยนะครับ อนุโมทนากับ ดวงตาที่เห็นธรรม **


     
  3. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908
    ผมอยากเป็น นิสิต คณะแพทยศาสตร์ บ้างจัง **

    ตอนนี้อยู่ ม.5 อยู่เลย
     
  4. magic_storm

    magic_storm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2007
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +3,053
    ถ้าน้องก้อยอยากศึกษาเป็นจริงเป็นจัง ลองอ่านในหนังสือวิสุทธิมรรคสิครับ ของแท้แน่นอน เพราะมาจากพระไตรปิฎก ในนั้นจะบอกเกี่ยวกับการฝึกกรรมฐานต่างๆไว้ทั้ง 40 กองเลย

    ส่วนผลของการปฏิบัตินั้น ก็มีอยู่หลายอย่างนะ ส่วนการเห็นสิ่งต่างๆนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการอธิษฐานขอให้เห็น แต่บางครั้ง มันก็มาให้เห็นเอง [ขอออกตัวก่อนนะ ว่าผมไม่เคยเห็นเองหรอก ก็อ่านมา แล้วก็พระบอกกล่าวมาด้วย] ซึ่งบางครั้งก็จิงบ้าง ไม่จริงบ้าง

    ลองฝึกกสิณก่อนดีมั้ย ดีนะ ผมไปฝึกมาแล้วดีมากๆ แต่ช่วงนี้ยุ่งๆอยู่ ก็เลยไม่ได้ฝึกครับ

    น้องก้อยคงจะอยากเห็นเพื่อให้ตัวเองเชื่อมั่นในเรื่องของกฎแห่งกรรมมากขึ้นใช่หรือเปล่าครับ ผมก็เคยเป็นมาก่อน แต่ตอนนี้หายสงสัย คลายความอยากรู้ไปเยอะ เพราะทำความศรัทธาให้เกิดจากการได้ปฏิบัติธรรมนี่ล่ะครับ

    ก็ลองฝึกดูนะครับ โชคดีครับ
     
  5. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    (verygood) (verygood) (verygood) (f)
    ไม่มีสิ่งใด เกินใจปรารถนา เชื่อมั่นว่า น้องต้องทำได้
     
  6. siamgirl

    siamgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,682
    ค่าพลัง:
    +2,742
    อยากเห็นเหมือนกันค่ะพี่ก้อย
     
  7. ดาราจักร

    ดาราจักร ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,707
    ค่าพลัง:
    +10,094
    อนุโมทนาครับ

    มีความเพียร ไม่ต้องคิดว่าสุดท้ายจะทำได้หรือไม่ได้

    ไม่ต้องคิดถึงคำว่าบารมีพอหรือไม่พอ แต่ทำเพียรให้ถูกทาง

    พื้นฐานสำคัญคือ ทาน ศีล ภาวนา ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน

    ตามหลักของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

    ถ้าตั้งใจแล้วทำให้ได้นะครับ แต่ถ้าเรียนอยู่ก็ต้องใช้

    เวลาในการฝึกสมาธิให้เป็นประโยชน์ เช่น รู้ลมหายใจ

    เข้าออก ขณะที่อ่านหนังสือ เรียนหนังสือ อย่าให้ขาดตอน

    พอมีเวลาว่าง ค่อยมาฝึกเหมือนที่มีผู้แนะนำด้านบนน่ะครับ

    ทำใจให้สบายนะครับ

    อนุโมทนาครับ
     
  8. phuttham

    phuttham เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +165
    ขอให้เจริญธรรมในทางเมตตาธรรมให้มากเป็นสิ่งเริ่มต้น และ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าถึงธรรมอันเป็นที่สุดแห่งอริยมรรค
    ในการปฏิบัตินั้นอยู่ที่กำลังสมาธิ
     
  9. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ถ้าอยากจะเห็นพ่อของเราบอกว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร แค่เราปฏิบัติตรงตามคำสอน แล้วถ้าจะทำจริงๆ เป็นการปฏิบัติเพื่อพิสูจความรู้ในพระศาสนา ที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ ว่าจริงหรือไม่ มีหลายคนที่สงสัย และเป็นการตัดวิจิกิจฉา ได้จะได้ไม่สงสัย ถึงแม้ครที่ได้อภิญญา เขาจะพาไปดูก็ได้ แต่ว่า ยังไม่เคยได้ยิน
    ถ้าคุณอยากพิสูจก็ต้องทำเอง เพราะอภิญญาฌานโลกีย์ เป็นสิ่งที่บุคคลที่เกิดมาบนโลก จะมีสิทธิ์ ทำได้ทุกคน ถ้าอยากรู้อยากเห้นก็ต้องทำเอง มันเป้นสิงที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน คุณก็ลองฝึกตามแนวกรรมฐาน 40 หรือพระวิสุทธิมรรค จะได้มรรคได้ผลก็ตามแต่ ความจริงถ้ารู้วิธีมันง่ายมาก โดยเฉพาะ ทิพยจักษุญาญ ช้กำลังแต่อุปจารสมาธิ ฉะนั้น คุณก็ต้องหาคำตอบด้วยตนเอง เพราะสิ่งทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส ไม่ยาก สิ่งใดทำไม่ได้พระพุทธเจ้าไม่เอามาสอน
     
  10. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
  11. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ความรู้ด้านอภิญญา ไม่จำกัดเพศ เหมือนน้ำในแม่น้ำนี่แหละ ที่ใครจะกินก็ได้ แต่ต้องฉลาดกิน ไม่งั้นสำลักน้ำตาย และถ้าทำได้ก็เล่าสู่กันฟังบ้าง
     
  12. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
  13. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
  14. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    อีกอย่างท่านเรียกมโนยิทธิ ไปฝึกที่ท่าซุงโดยตรง เพราะถ้าเราได้เอง จะดีกว่า ขอแนะทำแค่นี้นะ
     
  15. ปราณยาม

    ปราณยาม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ลองไปฝึกมโนมยิทธิสิครับ ทุกเสาร์อาทิตย์ต้นเดือนจะมีการสอนที่บ้านสายลม ซอยพหลโยธิน8ครับ นั่งรถไฟฟ้าลงสถานีอารีย์ครับแล้วเดินไปทางพหลโยธินเพลสครับ ตอนเช้าจะมีถวายสังฆทานครับ ประมาณเที่ยงเริ่มฝึกครับ เป็นวิชาที่หลวงปู่ฤาษีลิงดำท่านสอนตั้งแต่สมัยท่านมีชีวิตอยู่ครับ หลายท่านสามารถเห็นนรกสวรรค์จนเป็นเรื่องปกติเลยครับ
     
  16. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ขอแนะนำประสบการณ์ส่วนตัวของผมจากการทำมโนมยิทธิตามแนวทางของหลวงพ่อฤาษีฯ คือใช้ฤทธิ์ทางใจ อาศัยบารมีพระพุทธเจ้าส่งจิตตนเอง ไปที่พระนิพพานก่อน แล้วขอให้พระท่านสงเคราะห์ พาเราไปเห็นภาพความเป็นไปที่แท้จริงของนรก สวรรค์ สำหรับสวรรค์นั้น จะกราบขอพระท่านสงเคราะห์พาไปดูก็เห็นจะเป็นการดีครับ ขอชี้แจงก่อนนะครับว่าที่จะแนะนำต่อไปเป็น

    ประสบการณ์ส่วนตัวของผมจึงการประยุกต์บางอย่างเพื่อให้เหมาะกับจริตของผม ส่วนเจตนาที่ผมจะเขียนอธิบายนี้ เพื่อประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านทุกท่านที่ต้องการพิสูจน์เรื่อง นรก สวรรค์ พรหมโลก และพระนิพพาน เพื่อให้ทุกท่านตัดความลังเลสงสัยในคำสอนของพุทธองค์ออกจากใจ จนบรรลุมรรคผล นิพพานได้ทุกท่านครับ ซึ่งจะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาในที่สุด

    ผมเองเรียนจบตรีมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ และโททางด้าน MBA มีความสนใจในพระศาสนามาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เพิ่งเข้ามาปฏิบัติจริงจังเมื่อเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมานี่เอง วิธีการพิสูจน์เรื่องพระนิพพานมีจริงหรือไม่ของผม จึงค่อนข้างใช้หลักเหตุผล และทดลองปฏิบัติด้วยตนเองโดยอาศัยแนวทางของหลวงพ่อฤาษีฯ หลวงพี่สมปอง พระที่วัดท่าซุงรูปหนึ่งที่มาฝึกให้ผม และพี่คณานันท์ จากกระทู้ภัยพิบัติใน web พลังจิตนี่แหละครับ

    ขอเริ่มเลยนะครับ ก่อนจะฝึกเราต้องเข้าใจเบสิคก่อนว่า ผู้ที่จะส่งจิตไปที่พระนิพพานได้นั้น ต้องทรงคุณธรรมขณะจิตนั้นในระดับของพระโสดาบัน จิตนั้นจึงจะสามารถเข้าสู่กระแสพระนิพพานได้จริง มิได้เป็นไปด้วยอุปปาทานแต่อย่างไร เพราะฉะนั้น ประเด็นก็คือว่า เราจะมีกุศโลบายในการชำระจิตเราให้สะอาดในระดับนั้นได้อย่างไร แม้เป็นระยะเวลาสั้นๆ 5 นาทีก็ยังดี เพื่อไปที่พระนิพพานได้ บางท่านอย่าเพิ่งสงสัยเลยนะครับว่าผมเป็นพระโสดาบันหรืออย่างไร จึงจะสามารถแนะนำเรื่องนี้ได้ ท่านที่เป็นพระโสดาบันจริงๆ ท่านต้องทรงอารมณ์ของพระโสดาบันได้ตลอดเวลา ผมเองยังเลวอยู่มาก แต่ก็พอทรงได้ช่วงสั้นๆที่ทำมโนมยิทธินั่นแหละครับ:)
    วิธีการทำจิตให้เป็นพระโสดาบันในช่วงสั้นๆเพื่อไปพิสูจน์เรื่องโลกทิพย์คือ คุณต้องเข้าใจก่อนว่าคุณธรรมใดเป็นของพระโสดาบัน แล้วคุณก็ทำตัวเองให้มีคุณธรรมนั้นในช่วงฝึกมโนฯนั่นแหละครับ
    1. มีใจยอมรับนับถืออย่างแท้จริงว่า ความตายเป็นสิ่งธรรมดา ร่างกายนี้ไม่เที่ยง ตายแน่ ไม่หวั่นไหว เสียดาย อาวรณ์กับร่างกาย
    2. ไม่ลังเลสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า เคารพพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง
    3. มีศีลบริสุทธิ์ อย่างน้อยศีล 5 ต้องบริสุทธิ์
    4. มีความพอใจในพระนิพพานเป็นอารมณ์

    ดังนั้นถ้าทุกท่านสามารถทำจิตตนเองให้มีคุณธรรม 4 อย่างนี้ได้ ในช่วงที่ท่านฝึกมโนมยิทธิ ท่านก็ส่งจิตไปพระนิพพานได้ เพราะจิตท่านตอนนั้นเป็นพระโสดาบัน สามารถเข้าสู่กระแสพระนิพพานได้ และอยู่ได้นานตราบเท่าที่ท่านยังคงคุณภาพจิตแบบนี้ไว้ได้ เผลอเมื่อไร นิวรณ์ กาม ความห่วงร่างกาย เข้ากินใจเมื่อไร ท่านก็อยู่บนพระนิพพานไม่ได้ เพราะใจท่านขาดคุณสมบัติที่จะอยู่บนพระนิพพาน คือทรงอารมณ์พระโสดาบันไว้ไม่ได้ ต่อไปผมจะเล่าประสบการณ์ฟอกจิต วางอารมณ์ตนเองช่วงที่ทำมโนมยิทธิครับ
     
  17. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ก่อนไปต่อ ขออุปมายกตัวอย่างให้ท่านฟังว่า ทำไมพวกเราจึงสามารถที่จะทรงอารมณ์พระโสดาบันได้บางครั้ง อุปมาเหมือนกับพวกเราเป็นนักกอล์ฟสมัครเล่นครับ โดยทั่วไปแล้ว แต่ละช๊อตที่เราตีลูก ถ้าเทียบ 100 ครั้งแล้ว เราจะตีได้ดีๆ ประเภทว่าดูแล้วเหมือนโปรกอล์ฟมาตีเอง อาจจะประมาณ ไม่ถึง 5 ครั้ง โปรนั้นเปรียบเทียบกับพระโสดาบัน ที่ท่านทรงอารมณ์ได้ดีทุกครั้งคือ 100% ส่วนเราเอง เรามีความเป็นพระโสดาบันได้ 5ครั้ง แต่ถ้าเรารู้จักใช้คุณภาพจิตช่วง 5ครั้งสั้นๆนี้ ไปพิสูจน์เรื่อง นรก สวรรค์ นิพพาน ก็ทำไมเราจะไปไม่ได้ละครับ

    ขอแนะนำเรื่องการสร้างคุณธรรมของพระโสดาบันให้เกิดขึ้นกับใจท่านโดยใช้หลัก ทาน ศีล ภาวนา เพื่อฟอกใจท่านให้สะอาดเพียงพอแม้จะช่วงสั้นๆที่เราฝึกครับ หลักการก็คือว่า ท่านต้องตั้งใจทำศีล และ ทานบารมีของท่านให้สูงสุดเป็นระดับปรมัตถ เพื่อท่านจะได้มีกำลังในช่วงภาวนาสูงสุดเป็นปรมัตถบารมี ซึ่งจะทำให้ท่านมีจิตระดับพระโสดาบัน เข้าสู่กระแสพระนิพพานได้

    1. ทำศีล5 ให้บริสุทธิ์ในระดับปรมัตถแล้วอธิษฐานขอทำเพื่อพระนิพพานโดยใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาความดี ความสมเหตุสมผล ประโยชน์ของศีลแต่ละข้อ ที่มีต่อตัวท่านเองและต่อผู้อื่น เมื่อพิจารณาแต่ละข้อในช่วงท้ายให้ตั้งสัจจาธิษฐานว่า เราตั้งใจจะรักษาศีลข้อนี้ให้บริสุทธิ์ตลอดชีวิตเพื่อพระนิพพานเพียงอย่างเดียว ไม่ปรารถนาสิ่งอื่น

    2. ทำทานบารมีให้สูงสุดในระดับปรมัตถแล้วอธิษฐานขอภาวะความรู้แจ้งในโลกทิพย์ให้เกิดกับจิต โดยกล่าวนะโมฯ 3 จบ แล้วตั้งสัจจาธิษฐานโดยนึกภาพพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นในจิตระหนึ่งเรากำลังกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ท่านว่า
    "อิมาหัง ภควา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจัจฉามิ" -ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตของข้าพเจ้าตลอดชีวิต ให้เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ข้าพเจ้ายอมตายได้เพื่อพระจรรโลงพระศาสนา ให้วัฒนาสถาพร เพื่อยังประโยชน์ต่อส่วนรวมสืบไป สัจจะที่ตั้งไว้นี้จะไม่มีแปรผันเป็นอื่นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปตลอดชีวิต

    ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระโพธิสัตว์ และเทพยดาทั้งหลายทั่วอนันตริยจักรวาล จงเป็นพยานในสัจจะนี้ และขอพลังปาฏิหารย์แห่งการตั้งสัจจะนี้ เป็นเหตุให้พุทธองค์ทรงเมตตา ประทานภาวะกรรมฐานทั้ง 40 ทัศน์ ภาวะปีติทั้ง 5 และภาวะวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ให้มาสถิตในกายทวาร มโนทวาร และวจีทวาร ของข้าพเจ้าณ บัดนี้เถิด
    ขอพุทธองค์ทรงยกจิตข้าพเจ้าเข้าสู่ภาวะแห่งเมฆจิต สามารถกำหนดจิต รู้เหตุ ผล อดีต ปัจจุบัน อนาคต ของสรรพสิ่งใน3โลกธาตุ 1 พระนิพพาน ได้อย่างถูกต้อง เมื่อรู้แล้วก็ขอให้พยากรณ์ได้อย่างถูกต้องทุกประการ เพื่อประโยชน์แด่พระศาสนา

    3.ทำภาวนาบารมีให้สูงสุดในระดับปรมัตถ(เนกขัมมะ,ปัญญา,วิริยะ,ขันติ,สัจจะ,อธิษฐาน,เมตตา,อุบกขา)ให้เต็มในช่วงที่ที่ตั้งใจภาวนา ขอให้เพื่อนๆใช้คำภาวนาว่า "นะมะพะธะ" ซึ่งแปลว่าขอนมัสการพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หายใจเข้า ภาวนาว่า "นะมะ" หายใจออกภาวนาว่า "พะธะ" ภาวนาจิตไปแบบนี้ และนึกภาพพระพุทธเจ้าท่านมาสถิตอยู่เหนือศีรษะเรา หายใจเข้า ภาพพระสว่างวาบไหลทะลุหัวเรา เข้ามาในอก ในท้อง พร้อมคำภาวนา หายใจออก ภาพพระสว่างวาบ ลอยขึ้นไปสู่อก ทะลุหัว ไปตั้งอยู่บนหัวเรา พร้อมคำภาวนา

    ทำจนภาพพระสว่างดีแล้ว และคำภาวนาหายไป คือไม่อยากภาวนาแล้ว ต้องการจดจ่ออยู่กับภาพพระที่สว่างนั้นมากกว่า ให้อธิษฐานขอให้ภาพพระท่านมาครอบกายเราไว้ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายเรา แล้วแผ่เมตตาบุญออกจากจิตเรา โดยขอกราบโมทนาความดีรวมของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และขอบารมีพระพุทธองค์ทรงช่วยรวมบุญที่เราโมทนาดีแล้วนั้น ให้แผ่กว้างไปกับภาพพระ ที่ใหญ่โตออกไปเรื่อยๆ จนเห็นภาพพุทธองค์ใหญ่ครอบคลุมประเทศไทย โลก ดวงดาวต่างๆ แล้วตั้งจิตขออุทิศพลังเมตตาบุญที่แผ่ไปกับภาพพระนี้ ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่เวียนว่ายตายเกิดเช่นเดียวกับเรา ได้โมทนาและมีความสุขไปกับบุญนี้ เหมือนที่เราจะพึงมีทุกประการ และขอให้ทุกดวงจิตทั่วจักรวาลที่สัมผัสกระแสเมตตาบุญนี้แล้ว ได้รับรู้ว่า เราปรารถนาเป็นเพื่อนกับทุกท่าน เราจึงนำบุญดีๆ ที่พุทธองค์ทรงสงเคราะห์ให้มาฝากท่าน บัดนี้ เราขอเลิกคิดจองเวรจองกรรมกับทุกท่าน ที่เคยผูกโกรธกับท่านใด ขออโหสิกรรมให้หมด เพื่อถวายอภัยทานนี้ เพื่อบูชา พระพุทธเจ้าทุกองค์ พระธรรมทุกธรรมขันธ์ และพระอริยเจ้าทุกองค์ เมื่อทำจนจิตใจเบาสบายมากแล้ว

    แล้วเริ่มใช้ปัญญาไตร่ตรองว่า ร่างกายเรานี้สะอาดหรือสกปรก น่าอยู่ด้วยหรือน่าละทิ้งไป โดยนึกภาพตัวเราที่ถูกลอกหนังกำพร้าออกหมด จน เลือด นำเหลืองต่างๆ ไหลย้อยลงพื้น มองไปที่กายก็เจอแต่เส้นเอ็นชุ่มโชกไปด้วยเลือด และอวัยวะน้อยใหญ่ที่หุ้มกระดูกอยู่ ถามและตอบตัวเองว่า ร่างกายแบบนี้จะยังอยากมีมันมั๊ย มันสกปรกหรือสะอาด แล้วคิดต่อว่าร่างกายที่เหมือนซากศพนี้ อาจจะตายซะตอนนี้ก็ได้ ถ้าตายเมื่อไร เราก็หมดภาระทุกอย่าง คนรักเค้าก็เลิกรักร่างกายเน่าๆแบบนี้แล้ว เงินทอง ลาภยศต่างๆ ก็แบกไปไม่ได้ เค้าก็จะเอาเราไปเผา เผาแล้วไฟก็จะไหม้จนอวัยวะน้อยใหญ่เราเหลวระเหิดไปหมด เหลือแต่กระดูกขาว เผาต่อซักพัก กระดูกก็จะดำ เอ็นยึดข้อต่อกระดูกก็จะหายไป กระดูกทั่วร่างกายก็จะร่างหล่นลงพื้น ป่นเป็นผงธุลี ลมพัดมาเมื่อไร เราก็จะไม่มีอะไรเหลืออีก เหลือแต่ความว่างเปล่า

    อธิษฐานขั้นสุดท้ายว่า เราไม่ต้องการเกิดมามีร่างกายเน่าๆพังๆแบบนี้อีก ขอบารมีพุทธองค์ทรงพาลูกไปกราบแทบเท้าพระองค์ ที่บริเวณหน้าทางเข้าพระนิพพานวิมาณสถานของพระองค์ ณ บัดนี้เถิด อธิษฐานเสร็จแล้ว ตัดสินใจ ปล่อยจิตให้ลอยตามภาพพระพุทธองค์ที่ทรงยิ้มให้อยู่ตรงหน้าเราขึ้นไปจนถึงพระนิพพาน

    เท่านี้ ทุกท่านจะได้พบเห็นว่าพระนิพพานมีจริง และวิมานของพุทธองค์ทรงสวยงามใหญ่โตถึงเพียงไหน นิพพานไม่ได้สูญแต่อย่างใด คุณภาพจิตของเพื่อนๆตอนนี้เข้าสู่กระแสพระนิพพานได้จริงเพราะทรงคุณธรรมและอารมณ์พระโสดาบันเต็มอัตรา เนื่องเพราะ

    1.ใช้ปัญญาไตร่ตรองจนยอมรับนับถือความตาย ไม่ห่วงร่างกาย
    2.ไม่ลังเลในคำสอนพุทธองค์ เกิดตั้งแต่ใช้ปัญญาพิจารณาศีลแต่ละข้อว่า ถ้าทำตามแล้ว เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นอย่างไร จนใจยอมรับว่า คำสอนของพุทธองค์ทรงถูกต้องจริง และแสดงความเคารพต่อพระองค์อย่างสูงสุดถึงขั้นยอมถวายชีวิตต่อพระองค์ได้
    3. มีศีลบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เป็นศีลที่บริสุทธิ์มากเพราะได้ใช้ปัญญาไตร่ตรองมาอย่างดีถึงประโยชน์แห่งศีล และที่ทำให้ศีลบริสุทธิ์ก็ด้วยใจที่กอปรไปด้วยเมตตา คือจิตทรงพรหมวิหาร4 มีการแผ่เมตตาบุญให้สรรพสัตว์และไม่ผูกโกรธ
    4. มีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ เพราะได้ตั้งสัจจาธิษฐานรักษาศีลแต่ละข้อ ก็เพื่อพระนิพพาน และช่วงสุดท้ายที่ใช้ปัญญาพิจารณาตัดความอาลัยในร่างกายนั้น ก็ทำเพื่อขอไปพระนิพพาน

    ต่อไปผมจะเล่าต่อว่าจะพิสูจน์เรื่องนรกสวรรค์อย่างไร จากนี้ก็ไม่ยากแล้วครับ
     
  18. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    การพิสูจน์เรื่องนรก สวรรค์มีจริงนั้น มีหลักว่า เราจะใช้จิตเราที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานนั้น ขอให้พุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ให้เราได้เห็นภาพ นรกแต่ละขุม สวรรค์แต่ละชั้นตามความเป็นจริง หรือขอให้พระองค์ทรงเมตตาสงเคราะห์ พาเราไปดูในสถานที่จริงๆก็ได้ครับ

    วิธีการก็ง่ายๆ แค่เราตั้งใจอธิษฐานต่อพระพักตร์พุทธองค์ว่า "เพื่อความรู้จริงในกฏแห่งกรรมที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ของข้าพเจ้านั้น ขอพุทธองค์ทรงเมตตา พาลูกไปที่สวรรค์ชั้น......ด้วยเทอญ

    ในส่วนตัวผมเอง ผมขอรู้เรื่องนรกสวรรค์เท่าที่จำเป็น โดยกราบขอบารมีพุทธองค์ ทรงแสดงภาพชาติที่ผมเคยได้เสวยกรรมดี กรรมชั่ว ในแต่ละชาติก่อนๆครับ จากที่ได้เชื่อฟังและไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพุทธองค์ เห็นแล้วจะได้ตัดความลังเลสงสัย ว่าคำสอนพระพุทธเจ้านั้นดีอย่างไร และสามารถปลงได้ว่า เราเองก็เกิดมาในทุกๆภพภูมิแล้ว เทวดาก็เคยเป็น มนุษย์ หมา สัตว์นรก เคยเป็นมาหมด แล้วก็ไม่มีความดีอะไร ท้ายที่สุดก็ยังโง่เวียนว่ายตายเกิดอยู่จนปัจจุบัน

    ท้ายที่สุดนี้ ผมขอยืนยันว่า วิชามโนมยิทธิของพระพุทธเจ้าท่านนั้น ประกอบด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยหลักวิชา สามารถพิสูจน์ได้จริง ใช้เวลาไม่นาน ขอเพียงท่านเอาจริง ท่านก็จะได้จริงครับ และเป็นกุศโลบายการดึงให้คนหันมาทำความดี และก้าวสู่ความพ้นทุกข์ได้ดีและฉลาดที่สุดเท่าที่ผมสัมผัสมา
     
  19. theexcaribur

    theexcaribur เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +3,907
    เรานึกว่าก้อยฝึกมโนมยิทธิกับอาจารย์ไก่แล้ว เห็นวันก่อนก็แจกหนังสือของอาจารย์
    อยู่เลยนิ? การจะนั่งสมาธิต้องประกอบไปด้วย ทาน และ ศีล ก่อน จึงจะภาวนาได้ มีขั้นตอน ดังนี้
    1.ให้ไปขึ้นครูก่อนที่วัดท่าซุง ซอยสายลม หรือตามที่ต่างๆที่อาจารย์ไก่เดินทาง
    ไปสอน โดยมีค่าครู 1 บาท เป็นทาน
    2.สมาทานพระกรรมฐาน ถือเป็นการขึ้นครูด้วยและทำให้ศีลบริสุทธิ์
    3.เสร็จแล้วจึงเริ่มนั่ง โดยฝึกนึกภาพพระก่อน ส่วนใหญ่ผู้ฝึกใหม่มักจะจำ
    ภาพพระพุทธชินราช(สมเด็จองค์ปฐม)เพราะว่าจำง่าย โดยจะต้องนึก
    ภาพพระให้ชัดเจนเหมือนนึกถึงหน้าพ่อแม่ หรือเพื่อน หลังจากนั้นจึงขอ
    บารมีพระให้ท่านสงเคราะห์พาไปท่องเที่ยว

    ** อย่าอยากเกินไป เพราะความอยากเป็นนิวรณ์ ที่ขัดขวางการภาวนา **
    ถ้าสงสัยอะไรก็ค่อยถามในเมลล์ละกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2007
  20. Tenpokensin

    Tenpokensin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2007
    โพสต์:
    365
    ค่าพลัง:
    +1,639
    ขอบคุณ คุณเด็กอนุบาลมากเลยครับ จะลองนำไปปฏิบัติดูครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...