อรหันต์ห่อข้าว

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ขอนไม้แห้ง, 1 พฤศจิกายน 2013.

  1. ขอนไม้แห้ง

    ขอนไม้แห้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ในสมัยพุทธกาล มีชายเข็ญใจคนหนึ่งมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก ได้ฟังธรรมะ จึงได้รู้ว่าชีวิตของตนที่เกิดมา
    ลำบากเช่นนี้ เพราะไม่เคยให้ทานในกาลก่อน

    จึงปรารถนาที่จะถวายทานบ้าง แต่เนื่องจากความยากจน จึงหาอาหารตามมีตามได้ถวายพระภิกษุ
    แต่อาหารนั้นไม่ปราณีตและไม่อร่อย พระภิกษุรับมาแล้วก็ไม่ได้ฉัน ชายเข็ญใจเห็นดังนั้น รู้สึกเนื้อน้อยต่ำใจ
    ในวาสนาตัวเอง...

    ด้วยความคิดปรารถนาอย่างแรงกล้าว่า จะถวายทานอันประณีตสักครั้งหนึ่ง จึงปรึกษาภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก
    ยายเอ๊ย!!! ชีวิตของเราได้ลำบากยากจนเช่นนี้ เพราะเราไม่เคยทำบุญในกาลก่อน เราจักทำยังไงดีหนอ

    สองตายายจึงตัดสินใจนำลูกสาวของตนไปจำนำได้ทรัพย์มา ๑๒ กหาปณะ
    จากนั้นชายเข็ญใจนำเงินไปซื้อแม่โคนมเพื่อนำน้ำนมมาประกอบอาหารแล้วได้เอาไปแด่พระภิกษุสงฆ์
    ชายเข็ญใจเห็นพระสงฆ์ฉันอาหารของตนจนหมด ก็ดีใจหนักหนา....

    เขาจึงปรึกษาภรรยา คู่ทุกข์คู่ยาก จะไปหางานทำที่ต่างเมือง ทำงานหีบอ้อย จะได้นำเงินมาไถ่ตัวลูกสาว

    ชายเข็ญใจใช้เวลาทำงานอยู่ถึงครึ่งปี จึงได้เงินครบ ๑๒ กหาปณะ และตั้งใจจะรีบนำเงินกลับมาไถ่ตัวลูกสาว
    ในระหว่างทางได้พบพระเถระรูปหนึ่งซึ่งกำลังจะเดินทางไปนมัสการพระเจดีย์ จึงถามพระเถระว่า
    พระคุณเจ้าท่านจำพรรษาที่ไหนขอรับ

    "อาตมาจำพรรษาในป่าอุบาสก" ชายเข็ญใจได้ฟังดังนั้นรู้สึกเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก พระคุณเจ้าฉันข้าวหรือยังครับ
    "ยังเลยอุบาสก"ขอนิมนต์พระคุณเจ้ารอตรงนี้ก่อน ว่าแล้วเขาก็วิ่งไปหาอาหาร เผื่อจะมีอะไรบ้าง

    โชคดีมีชายตัดฟืนถืออาหารผ่านมา เขาจึงร้องขอซื้ออาหาร "สหายเอ๋ย!!!! ห่อข้าวของท่าน ขายได้หรือไม่ ผมให้ ๑ กหาปณะ"ชายตัดฟืนได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ ห่อข้าวเล็กๆของเราขอซื้อตั้ง ๑ กหาปณะ แสดงว่าชายผู้นี้มีเงิน
    จึงคิดจะโก่งราคา

    "เราไม่ขาย ในป่าแบบนี้ จะหาอาหารที่ไหน ผมขายให้ผมจะกินอะไร"
    ชายเข็ญใจได้ฟังดังนั้นก็เพิ่มเงินขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ยอมขายเลยตัดสินใจพูดว่า

    “สหายเอ๋ย!!! เงินของเรามีอยู่ ๑๒ กหาปาณะ เราไม่ได้ซื้อเพื่อประโยชน์ตนเลย
    แต่ซื้อเพื่อไปถวายพระซึ่งท่านนั่งพักอยู่ที่โคนไม้โน่น ถ้าท่านขาย ท่านก็จะมีส่วนแห่งบุญในภัตตาหารนั้นด้วย”
    ชายตัดฟืนจึงยอมขายอาหารให้

    ชายเข็ญใจดีใจหนักหนา น้อมภัตตาหารไปถวายพระเถระ พระเถระรับเพียงมาครึ่งเดียวเพื่อให้เขาได้รับประทานอาหารด้วย แต่ชายเข็ญใจกล่าวว่า "นิมนต์เถิดพระคุณเจ้าอาหารนี้เหมาะสำหรับบุคคลเดียวถึงจะอิ่ม อย่าได้ห่วงเกล้ากระผมเลย "

    พระเถระจึงยอมรับอาหารทั้งหมดมาฉัน พระเถระแปลกใจในป่าเช่นนี้เขานำอาหารมาจากไหน ชายเข็ญใจจึงเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง และกำลังจะไปไถ่ตัวลูกสาว

    พระเถระฟังแล้วรู้สึกสลดใจ ชายเข็ญใจผู้นี้กระทำสิ่งที่ยาก เราไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่พ่อ แม่ หรือพี่น้อง ทำไมเขาถึงกล้าทำขนาดนี้ เพราะเขาต้องการบุญจากเรา แต่เรายังไม่คุณธรรมอันใดเลย ท่านคิดดังนั้นก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้

    ท่านจึงตัดสินใจ "เราจะทำทานนี้ให้เป็นอรหันตทาน"

    ( ทานที่ถวายก่อนบรรลุอรหันต์ ทานนั้นจะมีผลมาก) ต่อไปนี้เราจักไม่ฉันอาหารจากใคร และจะไม่รับของใคร

    “แม้เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไป หากไม่บรรลุธรรมก็จะไม่ลุกจากที่เด็ดขาด”

    ล่วงไปวันที่สองและวันที่สามก็ยังไม่สามารถยังคุณธรรมให้สำเร็จได้ จนกระทั่งลุถึงวันที่เจ็ด พระมหาเถระก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พร้อมจตุปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อบรรลุธรรมแล้ว จึงพิจารณาอายุสังขาร รู้ว่าจะไม่สามารถดำรงธาตุขันธ์อยู่ได้ ท่านจึงเดินออกมาเคาะระฆัง

    " ผู้ใดสงสัยในธรรมข้อใดจงถามเถิด สังขารนี้จะดับวันนี้แล้ว "

    เจ้าอาวาสท่านก็เป็นพระอรหันต์เช่นกันถามว่า "อาวุโสเหตุใดท่านถึงทำความเพียรอุกฤษฏ์เช่นนี้"

    ท่านจึงได้เล่าเหตุการณ์ให้พระภิกษุสงฆ์และบรรดาบริษัทที่นั่งฟังและที่เพิ่งจะมาถึงใหม่ เมื่อได้ฟังความเป็นมาแล้ว ทุกคนก็มิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ ต่างคนต่างก็ร้องไห้สงสารพระผู้เป็นเจ้า ที่สู้อุตสาหะกระทำความเพียรโดยมิได้หลับได้นอน ทั้งอดอาหารมาตลอด ๗ วัน จนอายุสังขารจะขาดสิ้นเข้านิพพานในวันนี้ ก็เพราะเหตุที่มีกตัญญูรู้คุณค่าแห่งอาหาร ประสงค์จะให้บิณฑบาตของเขาเป็น อรหันตทาน จนได้สำเร็จสมความปรารถนาพระมหาเถระเล่าจบ พระมหาเถระก็อธิษฐาน

    " แม้ใครๆในโลก ทั้งเทวโลก อย่าได้ยกศพข้าพเจ้าขึ้นเลย ยกเว้นอุบาสกเข็ญใจผู้นั้นมาถึงแล้ว ขอให้ศพนี้จงลอยขึ้น พร้อมด้วยไฟเถิด.."อธิษฐานเสร็จ ท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน

    ข่าวนี้ลือสะพัดออกไปมีคนมาร่วมงานศพของท่านจำนวนมากพร้อมพระราชา แต่ไม่มีใครสามารถคลื่อนศพของท่านได้

    พระราชาจึงให้ทหารตีฆ้องร้องป่าวประกาศว่า ใครสามารถเคลื่อนศพได้ เราจักให้เงิน ๑๐๐,๐๐๐ กหาปาณะ

    อุบาสกเข็ญใจได้ฟังข่าว ก็อยากไปกราบพระมหาเถระ พอไปเห็นศพพระมหาเถระก็จำได้ อุบาสกเข็ญใจวิ่งเข้าไปกอดศพแล้วร้องให้

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า เหตุใดท่านจึงจากข้าพเจ้าไปเร็วนัก ข้าพเจ้าพึ่งเห็นท่านไม่นานเลย "กล่าวจบศพของพระมหาเถระก็ลอยขึ้นกลางอากาศ พร้อมไฟก็เผาท่านกลางอากาศนั้น..................

    ผู้คนต่างรู้สึกต่างอัศจรรย์ ไม่เคยมีไม่เคยเห็นในกาลก่อน พระราชาจึงเข้าไปถามอุบาสถเข็ญใจจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง

    พระราชารู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในคุณธรรมที่ทำได้โดยยาก จึงตั้งให้เขาเป็นมหาเศรษฐีประจำเมือง......................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2013
  2. กลางทาง

    กลางทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2013
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +702
    เรื่องที่คุณขอนไม้แห้งนำมาลงให้อ่านนี้เป็นเรื่องที่ดีมาก รู้สึกได้ถึงความกตัญญูและคุณธรรมที่มี
     
  3. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,480
    ยกมาจากตอนไหนของ พระไตรปิฏกครับ อยากอ่านฉบับเต็มๆ
    ขอบคุณครับ
     
  4. ขอนไม้แห้ง

    ขอนไม้แห้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ผมจำไม่ได้ว่าพระไตรปิฎกเล่มไหน แต่เป็นเรื่องหลังพุทธเจ้าปรินิพาน ผมเคยอ่านเรื่องนี้นานมากๆ อ่านในพระไตรปิกฎ ผมชอบมากครับเรื่องนี้ และมาฟังพระอาจารย์ สมภพ โชติปัญโญ วัดไตรสิกขาทลามลตาราม อ.คำตากล้า จ. สกลนคร ท่านนำมาเทศน์อีก ผมเลยทำการเรียบเรียงขึ้นครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=gCWsnrRQMZ8]อ.สมภพ พระอรหันต์ห่อข้าว 1-2 - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2013
  5. dakjued

    dakjued เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +851
    ชอบมากเลยครับ อ่านแล้วน้ำตาจะไหล
     
  6. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    ได้ยินว่า บุรุษเข็ญใจคนหนึ่งในบ้านมหาคาม เลี้ยงชีวิตด้วยการขายฟืน. บุรุษนั้นได้ชื่อตามเหตุการณ์นั้นนั่นแลจึงมีชื่อว่า ทารุภัณฑกมหาติสสะ.
    วันหนึ่ง เขาพูดกะภรรยาของเขาว่า ชื่อว่าความเป็นอยู่ของพวกเราเป็นอย่างไรกัน พระศาสดาตรัสว่า ทลิทททานมีผลมาก แต่เราไม่อาจให้เป็นประจำได้ เราถวายปักขิกภัตแล้ว แม้สลากภัตอันเกิดขึ้นข้างหน้าเราก็จักถวาย. ภรรยารับคำว่า ดีละนาย แล้วได้ถวายปักขิกภัตตามมีตามได้ในวันรุ่งขึ้น.
    ก็เวลานั้นเป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์ไม่ขัดข้องด้วยเรื่องปัจจัยทั้งหลาย. ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายฉันโภชนะล้วนประณีตรู้ว่านี้เป็นอาหารไม่สู้ดี ก็กระทำปักขิกภัตของคนทั้งสองนั้นให้เป็นแต่สักว่ารับไว้เท่านั้น เมื่อคนทั้งสองนั้นเห็นอยู่นั่นแหละก็ทิ้งเสียแล้วก็ไป.
    ฝ่ายหญิงนั้นเห็นการกระทำนั้นจึงบอกแก่สามี แต่ไม่ได้มีความเดือดร้อนใจว่าพระทิ้งของที่เราถวาย. สามีของนางกล่าวว่า ก็พวกเราไม่อาจให้พระผู้เป็นเจ้าฉันได้โดยง่าย เพราะเป็นคนจน เราจักกระทำอย่างไรหนอแลจึงจักอาจเอาใจพระผู้เป็นเจ้าได้.
    ทีนั้น ภรรยาของเขากล่าวว่า นาย ท่านพูดว่าอะไรหรือ ธรรมดาคนเข็ญใจทั้งหลายมีบุตรก็มีอยู่มิใช่หรือ นี้ธิดาของท่าน. ท่านจงเอาธิดาคนนี้วางเป็นประกันไว้ในตระกูลหนึ่ง เอาทรัพย์มาสัก ๒ กหาปณะ (๑ กหาปณะ = ๔ บาทของชาวมคธ) แล้วซื้อแม่โคนมมาตัวหนึ่ง เราจักถวายสลากภัตปรุงกับนมสดแก่พระผู้เป็นเจ้า เราอาจเอาใจของพระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นได้ ด้วยอาการอย่างนี้.
    สามีรับคำว่า ได้ แล้วจึงกระทำอย่างนั้น.
    ด้วยบุญของคนทั้งสองนั้น แม่โคนมตัวนั้นให้น้ำนม ๓ มาณิกะ ในตอนเย็น (มาณิกะเป็นมาตราตวงของชาวมคธ) ในตอนเช้าให้นม ๓ มาณิกะ. คนทั้งสองทำนมสดที่ได้ในตอนเย็นให้เป็นนมเปรี้ยว ในวันรุ่งขึ้นจึงทำให้เป็นเนยใสจากเนยข้นที่ถือเอาจากนมส้มนั้น แล้วถวายสลากภัตปรุงด้วยนมสดพร้อมกับเนยใสนั่นแหละ. จำเดิมแต่นั้น พระผู้มีบุญจึงจะได้สลากภัตในเรือนของเขา.
    วันหนึ่ง สามีกล่าวกะภรรยาว่า พวกเราพ้นจากเรื่องที่น่าละอายก็เพราะมีลูกสาว ทั้งภัตตาหารในเรือนของเราแห่งเดียวเป็นของควรบริโภคแห่งพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย เธออย่าประมาทในวัตรอันดีงามนี้จนกว่าพี่จะมา พี่จะทำงานอะไรสักอย่างไถ่ตัวลูกสาว.
    เขาไปยังประเทศหนึ่งทำงานหีบอ้อย โดยเวลา ๖ เดือนได้เงิน ๑๒ กหาปณะ คิดว่า เงินเท่านี้อาจจะไถ่ลูกสาวของเราได้ จึงเอาชายผ้าขอดกหาปณะเหล่านั้นไว้ แล้วเดินทางด้วยตั้งใจว่าจักไปบ้าน.
    ในสมัยนั้น พระปิณฑาปาติยติสสเถระอยู่ในอัมพริยมหาวิหาร คิดว่าจักไปมหาวิหารไหว้พระเจดีย์ จึงออกจากที่อยู่ของตนไปยังบ้านมหาคาม เดินไปทางนั้นเหมือนกัน. อุบาสกนั้นเห็นพระเถระแต่ไกล คิดว่าเรามาผู้เดียวจักไปฟังธรรมกถากัณฑ์หนึ่ง พร้อมกันกับพระผู้เป็นเจ้ารูปนี้ เพราะผู้มีศีลหาได้ยากตลอดมาทุกเวลา จึงรีบไปทันพระเถระ ไหว้แล้วเดินไปด้วยกัน เมื่อเวลาฉันภัตตาหารใกล้เข้ามาจึงคิดว่า ห่อภัตตาหารไม่มีอยู่ในมือเรา และก็ถึงเวลาฉันภิกษาหารของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทั้งค่าใช้สอยนี้ก็มีอยู่ในมือเรา ในเวลาถึงประตูบ้านแห่งหนึ่ง เราจักถวายบิณฑบาตแก่พระผู้เป็นเจ้า.
    เมื่อความคิดของเขาสักว่าพอเกิดขึ้นอย่างนี้เท่านั้น คนผู้หนึ่งถือห่อภัตตาหารมาถึงที่นั้นพอดี อุบาสกเห็นคนผู้นั้นแล้ว กล่าวนิมนต์ว่า ท่านผู้เจริญโปรดคอยหน่อยเถิดๆ แล้วเข้าไปหาคนผู้นั้นกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ ฉันจะให้กหาปณะแก่ท่าน ท่านจงให้ห่อภัตตาหารแก่ฉัน.
    บุรุษผู้นั้นคิดว่า ภัตตาหารแม้นี้จะมีราคาแม้สักมาสกหนึ่งในเวลานี้ก็หามิได้ แต่อุบาสกนี้ให้เรากหาปณะหนึ่งเป็นครั้งแรกทีเดียว เหตุในเรื่องนี้จักมี ครั้นคิดแล้วจึงกล่าวว่า โดยกหาปณะหนึ่ง เราจะไม่ให้. อุบาสกกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถือเอา ๒ กหาปณะ จงถือเอา ๓ กหาปณะ โดยทำนองนี้ประสงค์จะให้กหาปณะเหล่านั้นแม้ทั้งหมด. บุรุษนอกนี้สำคัญว่า กหาปณะแม้อื่นของอุบาสกนั้นมีอยู่ (อีก) จึงกล่าวว่า เราไม่ให้.
    ครั้งนั้น อุบาสกนั้นกล่าวกะบุรุษนั้นว่า ท่านผู้เจริญ ถ้ากหาปณะแม้อื่นของเราพึงมีอยู่ไซร้ เราพึงให้กหาปณะแม้เหล่านั้น แต่เราจะถือเอาเพื่อประโยชน์แก่ตนเองก็หามิได้เลย เรานิมนต์พระผู้เป็นเจ้ารูปหนึ่งให้นั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง กุศลจักมีแก่ท่านด้วย ท่านจงให้ภัตตาหารนั้นแก่เราเถิด.
    บุรุษนั้นพูดว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเอาไปจงนำกหาปณะเหล่านั้นมา ได้ถือเอากหาปณะแล้วให้ห่อภัตตหารไป.
    อุบาสกถือภัตตาหารเข้าไปหาพระเถระแล้วกล่าวว่า นำบาตรออกมาเถิด ท่านขอรับ.
    พระเถระนำบาตรออกมา เมื่ออุบาสกถวายภัตตาหารเข้าไปได้ครึ่งหนึ่ง ก็ปิดบาตรเสีย อุบาสกกล่าวว่า มีส่วนเดียวเท่านั้น กระผมไม่อาจบริโภคจากส่วนเดียวนี้ ภัตตาหารนี้กระผมเที่ยวหาได้มาก็เพื่อประโยชน์แก่ท่านเท่านั้น ขอท่านจงรับภัตตาหารนั้นเถิด เพื่ออนุเคราะห์กระผม.
    พระเถระคิดว่ามีเหตุ จึงรับมาฉันทั้งหมด. อุบาสกได้กรองน้ำดื่มด้วยเครื่องกรองน้ำแล้วถวาย ต่อจากนั้น เมื่อพระเถระทำภัตกิจเสร็จแล้ว แม้ทั้งสองก็เดินทางไป (ด้วยกัน).
    พระเถระถามอุบาสกว่า เพราะเหตุไรท่านจึงไม่บริโภค. อุบาสกนั้นบอกเรื่องราวในการไปของตนทั้งหมด. พระเถระฟังความเป็นไปนั้นแล้วสลดใจ คิดว่า อุบาสกทำสิ่งที่ทำได้ยาก ก็เราบริโภคบิณฑบาตเห็นปานนี้ ควรเป็นผู้กตัญญูต่ออุบาสกนี้ เราได้เสนาสนะอันเป็นสัปปายะแล้ว เมื่อผิวหนัง เนื้อและเลือด แม้จะแห้งไปในเสนาสนะนั้น (ก็ตามที) ยังไม่บรรลุพระอรหัตโดยนั่งขัดสมาธิอยู่นั่นแหละ จักไม่ลุกขึ้น.
    พระเถระนั้นไปยังติสสมหาวิหาร กระทำอาคันตุกวัตร (คือระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้จรมา) แล้ว เข้าไปยังเสนาสนะที่ถึงแก่ตน ลาดเครื่องลาดแล้วนั่งบนเครื่องลาดนั้น กำหนดมูลกรรมฐานของตนนั่นเอง พระเถระนั้นไม่อาจจะทำแม้สักว่าโอภาสให้บังเกิดขึ้นในราตรีนั้น.
    จำเดิมแต่วันรุ่งขึ้น จึงตัดความกังวลในการเที่ยวภิกษาจารเสีย ก็เห็นแจ้งกรรมฐานนั้นนั่นแหละ ทั้งอนุโลมและปฏิโลม พระเถระเห็นแจ้งอยู่โดยอุบายนั้น ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาในอรุณที่ ๗ แล้วคิดว่า สรีระเมื่อยล้าเหลือเกิน ชีวิตของเราจักดำเนินไปได้นานไหมหนอ ครั้งนั้น พระเถระกำหนดได้แน่นอนว่า สรีระนั้นจะไม่ดำเนินไป จึงถือบาตรและจีวรไปยังท่ามกลางวิหาร ตีกลองให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกัน.
    พระสังฆเถระถามว่า ใครให้ภิกษุสงฆ์ประชุม.
    พระเถระตอบว่า กระผมขอรับ.
    พระสังฆเถระถามว่า เพื่ออะไร ท่านสัตบุรุษ.
    พระเถระตอบว่า กรรมอื่นไม่มีดอกขอรับ แต่ว่า ท่านผู้มีความสงสัยในมรรคหรือผล ท่านผู้นั้นจงถามกระผมเถิด.
    พระสังฆเถระถามว่า ท่านสัตบุรุษ ภิกษุทั้งหลายเช่นท่าน ย่อมไม่กล่าวคุณที่ไม่มีอยู่ ความสงสัยในมรรคหรือผลนี้ไม่มีแก่พวกเรา. ก็อะไรเป็นเหตุให้เกิดความสังเวชแก่ท่าน. ท่านทำอะไรให้เป็นปัจจัย พระอรหัตนี้จึงบังเกิดขึ้น.
    พระเถระตอบว่า ท่านขอรับ ในวัลลิยวิถีไว้ภายนอกแล้วเอาทรัพย์มา ๑๒ กหาปณะ ซื้อแม่โคนมมาตัวหนึ่ง เริ่มตั้งสลากภัตนมสดแก่พระสงฆ์. เขาคิดว่าเราจักไถ่ธิดา จึงทำการรับจ้างอยู่ในโรงหีบอ้อยถึง ๖ เดือนได้ทรัพย์ ๑๒ กหาปณะแล้วจึงเดินไปบ้านของตนด้วยหวังใจว่าจักไถ่ธิดา เห็นกระผมในระหว่างทาง ในเวลาภิกษาจารได้ให้กหาปณะนั้นแม้ทั้งหมด แล้วถือเอาห่อภัตตาหารมาถวายกระผมทั้งหมด. กระผมฉันบิณฑบาตนั้นแล้วมาที่นี้ ได้เสนาสนะอันเป็นสัปปายะแล้วคิดว่า เราจักกระทำความยำเกรงต่อบิณฑบาตดังนี้ จึงได้ทำคุณวิเศษให้เกิดขึ้นขอรับ.
    บริษัท ๔ ผู้ประชุมกันอยู่ที่นั้นได้ให้สาธุการแก่พระเถระ. ชื่อว่าผู้สามารถเพื่อดำรงตามภาวะของตนไม่มีเลย.
    พระเถระนั่งพูดอยู่ในท่ามกลางสงฆ์ กำลังพูดอยู่นั่นแล อธิษฐานว่า กูฏาคาร (คือเรือนมียอด) ของเราจงเคลื่อนไป ในเวลาที่ทารุภัณฑกมหาติสสะเอามือถูกต้องเท่านั้น ดังนี้แล้วปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
    พระเจ้ากากวัณณติสสมหาราชทรงสดับว่าพระเถระรูปหนึ่งปรินิพพาน จึงเสด็จไปยังวิหารทรงทำสักการะสัมมานะแล้ว ตรัสสั่งให้ตระเตรียมกูฏาคารแล้วยกพระเถระขึ้นใส่ในกูฏาคารนั้น ทรงดำริว่า เราจักไปที่เชิงตะกอนเดี๋ยวนี้ จึงทรงยกกูฏาคาร ก็ไม่อาจให้เคลื่อนที่ได้.
    พระราชารับสั่งถามภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ คำพูดอะไรที่พระเถระกล่าวไว้มีอยู่หรือ. ภิกษุทั้งหลายจึงทูลเรื่องราวที่พระเถระกล่าวไว้.
    พระราชารับสั่งให้เรียกอุบาสกนั้นมาแล้วตรัสถามว่า ในที่สุด ๗ วันจากวันนี้ไป เธอถวายห่อภัตตาหารแก่ภิกษุไรๆ ผู้เดินทางหรือ.
    อุบาสกทูลว่า ถวายพระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ.
    พระราชาตรัสถามว่า เธอถวายทำนองไหน.
    อุบาสกนั้นจึงกราบทูลเหตุการณ์นั้นทั้งหมด.
    ลำดับนั้น พระราชาจึงทรงส่งอุบาสกนั้นไป ณ ที่ตั้งกูฏาคารของพระเถระด้วยพระดำรัสว่า เธอจงไป จงรู้พระเถระนั้นว่าเป็นรูปนั้นหรือรูปอื่น. อุบาสกนั้นไปแล้วเลิกม่านขึ้นเห็นหน้าพระเถระก็จำได้ เอามือทั้งสองทุบหัวใจไปยังสำนักของพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เป็นพระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์.
    ลำดับนั้น พระราชารับสั่งให้พระราชทานเครื่องประดับชุดใหญ่แก่อุบาสกนั้น. ตรัสกะอุบาสกผู้ประดับเสร็จแล้วว่า ท่านมหาติสสะผู้พี่ชาย ท่านจงไปไหว้พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วจึงยกกูฏาคารขึ้น. อุบาสกรับพระดำรัสว่า ขอรับใส่เกล้า ข้าแต่สมมติเทพ แล้วไปไหว้เท้าพระเถระ เอามือทั้งสองยกขึ้นทูนไว้เหนือกระหม่อมของตน. ขณะนั้นเอง กูฏาคารลอยไปทางอากาศ ประดิษฐานอยู่ ณ ข้างบนของเชิงตะกอน. ในกาลนั้น เปลวไฟลุกขึ้นเองจากมุมแม้ทั้ง ๔ ของเชิงตะกอน.

    ที่มา
     
  7. minitata

    minitata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +146
    สาธุเจ้าค่ะกำลังใจทั้ง 2 ท่านทั้งผู้ให้และผู้รับต่างมีความเมตตาซึ่งกันและกันอ่านแล้วซาบซึ้งยิ้งนักเจ้าค่ะ
     
  8. ขอนไม้แห้ง

    ขอนไม้แห้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    228
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบคุณ คุณถิ่นธรรม ที่นำที่มาของนิทานธรรมเรื่องนี้ ผมเองก็พยายามหามานาน ว่าอยู่ตรงไหนแน่ สาธุอีกครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...