อริยบุคคล 8 ประเภท (และการละกิเลส)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โสภา จาเรือน, 9 กันยายน 2008.

  1. โสภา จาเรือน

    โสภา จาเรือน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    2,013
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,332
    ......ผู้ที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานไปตามลำดับขั้นได้รู้ได้เห็นธรรมชาติรวมทั้งความเป็นไปต่าง ๆ ของรูป/นาม หรือกาย/ใจ มากขึ้นเรื่อยๆ ได้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่น่ารักน่าใคร่น่าปรารถนาไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้เพราะไม่อยู่ในอำนาจ จึงไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ ฯลฯจนกระทั่งจิตคลายความยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงลงไปอย่างถาวรคือความยึดมั่นถือมั่นในระดับนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเลยเพราะเห็นชัดด้วยปัญญาของตนเองอย่างแท้จริง จนหมดความเคลือบแคลงและความลังเลสงสัยใดๆ ทั้งปวงแล้วนั้น จะได้ชื่อว่าเป็นอริยบุคคลคือบุคคลอันประเสริฐซึ่งจำแนกอย่างละเอียดได้8 ประเภท ตามลำดับขั้นของการละกิเลสหรือตามลำดับขั้นของความยึดมั่นถือมั่น
    ก่อนจะกล่าวถึงอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ นั้นจะขออธิบายถึงความเจริญก้าวหน้าในการทำวิปัสสนากรรมฐาน ตั้งแต่เริ่มต้นก่อนเพื่อจะได้เข้าใจเรื่องของอริยบุคคลได้ง่ายขึ้น ดังนี้


    บุคคลทั่ว ๆ ไปที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆอยู่อย่างปกติทั่วไปนั้นได้ชื่อว่าปุถุชน (ปุถุแปลว่าหนา) คือชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลสนั่นเองปุถุชนนั้นแบ่งได้2 ระดับคือ

    1.) อันธปุถุชนคือปุถุชนที่มืดบอดต่อธรรมมาก จิตใจหยาบกระด้างเป็นผู้ยากแก่การรู้ธรรม


    2.) กัลยาณปุถุชนคือปุถุชนที่แม้จะยังมีกิเลสหนาแน่นอยู่แต่จิตใจก็มีความประณีต เบาสบายกว่าอันธปุถุชนจึงเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า
    เมื่อบุคคลใดได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็จะเกิดปัญญามองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่าง ๆมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เรียกว่าญาณขั้นต่าง ๆ (คำว่าญาณนี้เป็นชื่อของปัญญาในวิปัสสนา ต่างจากฌานซึ่งเป็นขั้นต่าง ๆ ของสมาธิ)จนกระทั่งปัญญาญาณนั้นแก่กล้าจนสามารถทำลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่าง ๆอย่างถาวรอันเป็นผลให้กิเลสที่เกิดจากความยึดมั่นในขั้นนั้นถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิงจิตในขณะที่เห็นแจ้งในความที่ไม่สามารถยึดมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวงได้อย่างชัดเจนจนสามารถทำลายกิเลสได้นี้เรียกว่ามรรคจิตซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงแค่ขณะจิตเดียว คือเกิดอาการปิ๊งขึ้นมาแว้ปเดียวกิเลสและความยึดมั่นในขั้นนั้นก็จะไม่เกิดขึ้นอีกเลย


    บุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นนี้เรียกว่ามรรคบุคคลซึ่งนับเป็นอริยบุคคลประเภทหนึ่ง<O:p</O:p

    บุคคลจะเป็นมรรคบุคคลแค่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นหลังจากนั้นก็จะได้ชื่อว่าผลบุคคลคือบุคคลผู้เสวยผลจากมรรคนั้นอยู่ไปจนกว่ามรรคจิตในขั้นที่สูงขึ้นไปจะเกิดขึ้นอีกครั้งเพื่อทำลายความยึดมั่นและกิเลสที่ประณีตขึ้นไปอีกมรรคจิตแต่ละขั้นนั้นจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นแล้วจะไม่เกิดขึ้นในขั้นเดิมซ้ำอีกเลย จะเกิดก็แต่ขั้นที่สูงขึ้นไปเท่านั้นเพราะความยึดมั่นในขั้นที่ถูกทำลายไปแล้วจะไม่มีโอกาสกลับมาให้ทำลายได้อีกเลย


    อริยบุคคล 8 ประเภทนั้นประกอบด้วยมรรคบุคคล 4 ประเภท และผลบุคคล 4 ประเภทดังนี้คือ


    1.) โสดาปัตติมรรคบุคคลคือบุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ที่เรียกว่าโสดาปัตติมรรคจิตโสดาปัตติมรรคบุคคลนี้นับเป็นอริยบุคคลขั้นแรกและได้ชื่อว่าเป็นผู้หยั่งลงสู่กระแสพระนิพพานแล้วมรรคจิตในขั้นนี้จะทำลายกิเลสได้ดังนี้คือ
    <O:p</O:p

    (ในที่นี้จะใช้สัญโยชน์ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการแบ่งประเภทของกิเลส เป็นหลักในการอธิบาย -ดูเรื่องสัญโยชน์ 10 ประกอบ)

    - สักกายทิฏฐิ
    - วิจิกิจฉา
    - สีลพตปรามาส
    รวมทั้งโลภะ(ความโลภ) โทสะ(ความโกรธ, ขัดเคืองใจ, กังวลใจ, เครียด, กลัว) โมหะ(ความหลง คือไม่รู้ธรรมชาติที่แท้จริงของสรรพสิ่ง) ในขั้นหยาบอื่น ๆอันจะเป็นผลให้ต้องไปเกิดในอบายภูมิ (เดรัจฉาน, เปรต, อสุรกาย, นรก)ด้วย
    <O:p</O:p
    2.) โสดาปัตติผลบุคคลหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า โสดาบันคือผู้ที่ผ่านโสดาปัตติมรรคมาแล้ว
    คุณสมบัติที่สำคัญของโสดาบันก็คือ

    - พ้นจากอบายภูมิตลอดไป คือจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีกเลยเพราะจิตใจมีความประณีตเกินกว่าที่จะไปเกิดในภูมิเหล่านั้นได้ (ใครจะไปเกิดในภูมิใดนั้น ขึ้นกับสภาพจิตตอนใกล้ตายที่เรียกว่ามรณาสันนวิถีถ้าขณะนั้นจิตมีสภาพเป็นอย่างไรก็จะส่งผลให้ไปเกิดใหม่ในภูมิที่มีสภาพใกล้เคียงกับสภาพจิตนั้นมากที่สุด)
    - อีกไม่เกิน 7 ชาติจะบรรลุเป็นพระอรหันต์
    - มีศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน จะไม่คิดเปลี่ยนศาสนาอีกเลย
    - มีศีล 5 บริบูรณ์ (ไม่ใช่แค่บริสุทธิ์) คือความบริสุทธิ์ของศีลนั้นเกิดจากความบริสุทธ์/ความประณีตของจิตใจจริง ๆ ไม่ใช่ใจอยากทำผิดศีลแต่สามารถข่มใจไว้ได้ คือใจสะอาดจนเกินกว่าจะทำผิดศีลห้าได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    3.) สกทาคามีมรรคบุคคลหรือสกิทาคามีมรรคบุคคลคือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่ง มรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ที่เรียกว่าสกทาคามีมรรคจิตมรรคจิตในขั้นนี้ไม่สามารถทำลายกิเลสตัวใหม่ให้หมดไปได้อย่างสิ้นเชิงเหมือนมรรคจิตขั้นอื่น ๆเป็นแต่เพียงทำให้ โลภะ โทสะเบาบางลงเท่านั้น โดยเฉพาะกามฉันทะ และปฏิฆะถึงแม้ว่าความยึดมั่นที่มีอยู่จะน้อยลงไปก็ตามทั้งนี้เพราะกามฉันทะและปฏิฆะนั้นมีกำลังแรงเกินกว่า จะถูกทำลายไปได้ง่าย



    4.) สกทาคามีผลบุคคลหรือสกิทาคามีผลบุคคลคือผู้ที่ผ่านสกทาคามีมรรคมาแล้ว<O:p</O:p

    คุณสมบัติสำคัญของสกทาคามีผลบุคคลก็คือถ้ายังไม่สามารถบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้ในชาตินี้ ก็จะกลับมาเกิดในกามภูมิอีกเพียงครั้งเดียวก็จะบรรลุธรรมที่สูงขึ้นไปได้แล้วจะพ้นจากกามภูมิตลอดไปเพราะอริยบุคคลขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายที่จะเกิดในกามภูมิได้อีก

    คำว่ากามภูมินั้นได้แก่ สวรรค์ 6 ชั้น มนุษยภูมิ เดรัจฉาน เปรตอสุรกาย นรก แต่สกทาคามีบุคคลนั้นพ้นจากอบายภูมิไปแล้วตั้งแต่เป็นโสดาบันจึงเกิดได้เพียงในสวรรค์ และมนุษย์เท่านั้น
    <O:p</O:p

    5.) อนาคามีมรรคบุคคลคือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่งมรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ที่เรียกว่าอนาคามีมรรคจิตทำลายกิเลสได้เด็ดขาดเพิ่มขึ้นอีก 2 ตัวคือ<O:p</O:p

    - กามฉันทะ
    - ปฏิฆะ
    <O:p</O:p

    6.) อนาคามีผลบุคคลคือผู้ที่ผ่านอนาคามีมรรคมาแล้ว
    คุณสมบัติที่สำคัญของอนาคามีผลบุคคลคือถึงจะยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็จะไม่กลับมาเกิดในกามภูมิอีกเลยแต่จะไปเกิดในภูมิที่พ้นจากเรื่องของกามคือรูปภูมิ หรืออรูปภูมิเท่านั้น (ดูหัวข้อรูปราคะ และอรูปราคะในเรื่องสัญโยชน์ 10 ประกอบ)
    <O:p</O:p

    ในรูปภูมิ 16 ชั้นนั้น จะมีอยู่ 5 ชั้นที่เป็นที่เกิดของอนาคามีผลบุคคลโดยเฉพาะ ซึ่งรวมเรียกว่าสุทธาวาสภูมิดังนั้น ในสุทธาวาสภูมิทั้ง 5 ชั้นนี้จึงมีเฉพาะอนาคามีผลบุคคล อรหัตตมรรคบุคคล และพระอรหันต์ (ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ในภูมินี้แล้วยังมีชีวิตอยู่) เท่านั้น
    สุทธาวาสภูมิ 5 ชั้นประกอบด้วย

    - อวิหาภูมิ
    - อตัปปาภูมิ
    - สุทัสสาภูมิ
    - สุทัสสีภูมิ
    - อกนิฏฐาภูมิ

    <O:p</O:p
    7.) อรหัตตมรรคบุคคลคือบุคคลที่เจริญวิปัสสนาต่อไปอีกจนกระทั่งมรรคจิตเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ที่เรียกว่าอรหัตตมรรคจิตทำลายกิเลสที่เหลือทุกตัวได้อย่างหมดสิ้นจนไม่มีกิเลสใด ๆ เหลืออีกเลย สัญโยชน์ที่มรรคจิตขั้นนี้ทำลายไป ได้แก่
    - รูปราคะ
    - อรูปราคะ
    - มานะ
    - อุทธัจจะ
    - อวิชชา<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    8.) อรหัตตผลบุคคลหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพระอรหันต์คือผู้ที่ปราศจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงแล้วเพราะกิเลสตัวสุดท้ายถูกทำลายไปในขณะแห่งอรหัตตมรรคจิตที่ผ่านมาแล้วเป็นผู้ที่พ้นจากทุกข์ทางใจทั้งปวงเพราะไม่ยึดมั่นในสิ่งใดเลย แต่ยังคงต้องทนกับทุกข์ทางกายต่อไปจนกว่าจะปรินิพพานเพราะตราบใดที่ยังมีร่างกายอยู่ก็ไม่อาจพ้นจากทุกข์ทางกายไปได้
    นิพพานนั้นมี 2 ชนิด คือ
    <O:p</O:p

    - สอุปาทิเสสนิพพานหรือนิพพานเป็นหมายถึงนิพพานที่ยังมีส่วนเหลือคือกิเลสทั้งหลายดับไปหมดแล้วพ้นจากทุกข์ทางใจทั้งปวงแล้ว แต่ยังมีร่างกายอยู่ ทำให้ต้องทนทุกข์ทางกายต่อไปอีกได้แก่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

    - อนุปาทิเสสนิพพานหรือนิพพานตายหมายถึงนิพพานโดยไม่มีส่วนเหลือคือพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ทั้งทางกายและทางใจอย่างสิ้นเชิง ได้แก่พระอรหันต์ที่ตายแล้วนั่นเอง ซึ่งเรียกได้อีกอย่างว่าปรินิพพาน (ปริ = โดยรอบ, ปรินิพพาน = นิพพานโดยรอบทุกส่วนคือทั้งร่างกายและจิตใจ คือนิพพานจากทุกข์ทั้งปวงนั่นเอง)
    <O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบชีวิตในวัฏสงสารว่าปุถุชนทั้งหลายเหมือนผู้คนที่ผุด ๆ โผล่ ๆ อยู่กลางน้ำลึกต้องทนทุกข์ทรมาน สำลักน้ำอยู่อย่างไม่รู้อนาคต ต้องเสี่ยงภัยจากปลาร้ายทั้งหลายโสดาบันเปรียบเหมือนผู้ที่พยุงตัวพ้นจากผิวน้ำขึ้นมาได้จนสามารถมองเห็นฝั่ง(แห่งพระนิพพาน) แล้วเตรียมตัวว่ายเข้าหาฝั่งนั้นสกทาคามีบุคคลเปรียบเหมือนผู้ที่กำลังว่ายเข้าหาฝั่งอนาคามีบุคคลเปรียบเหมือนผู้ที่เข้าใกล้ชายฝั่งมากคือถึงจุดที่น้ำตื้นพอที่จะหยั่งเท้าถึงพื้นดินได้ แล้วเดินลุยน้ำเข้าหาฝั่งจึงพ้นจากการสำลักน้ำแล้วพระอรหันต์เปรียบเหมือนผู้ที่เดินขึ้นฝั่งได้เรียบร้อยแล้วพ้นจากอันตรายทั้งปวงแล้ว รอวันปรินิพพานอยู่
    <O:p</O:p

    ท่านผู้อ่านอยากอยู่ในสภาพไหนก็เชิญเลือกเอาเองเถิด.<O:p</O:p


    __________________
    เทียนติดไฟเล่มเดียวสามารถช่วยให้เทียนอีกหลายพันเล่มพบความสว่างได้...โดยที่ไม่ทำให้เทียนเล่มนั้นมีอายุการใช้งานน้อย
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    แหล่งที่มา :agaligo.com
     
  2. wara43

    wara43 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2006
    โพสต์:
    9,108
    ค่าพลัง:
    +16,130
    [​IMG]ขอกราบโมทนาสาธุครับ สาธุ...
     
  3. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หลวงพ่อท่านเขียนอธิบายไว้ว่าท่านจะเข้าสมาบัติณานไหนก็ตามแต่.....แต่ไม่ใช่สมาบัติแปดแน่นอน....หมายความว่าสมาบัติแปดเข้าได้ครั้งเดียวเพราะตรงนั้นไม่ว่าจิตหรืออะไรก็ไม่มีเหลือแล้ว....หมายถึงมาถึงตรงนี้คือพระโสดาบันอยู่หรือไม่ครับ.....แม้จะผ่านสมาบัติแปดมาแล้ว.....และหากยังเจริญสมาธิต่อไปอีกหากจิตเขาทำงานของเขาเองจนทะลุไปถึงสูงสุดซึ่งเข้าใจว่าเหลือไม่มากนี่....อีกนิดเดียวก็ตายใช่หรือไม่....หรือพอมาถึงแปดแล้วต้องตายทุกคนเพราะตรงนั้นไม่อะไรเหลืออยู่แล้ว.....ไม่มีรูปไม่มีนามไม่มีกระทั่งจิต...นิวรณ์ก็ไม่มีหมายความว่าไม่มีอะไรเลย....หากเข้าแปดได้อีกชัดแจ้งและรักษาอารมณ์ได้อีกคำตอบคือตายใช่หรือไม่...เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...