อารมณ์ใจร้อนเป็นปฏิฆะกับการบรรลุของพระอานนท์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย i คนพิการ, 26 มกราคม 2011.

  1. i คนพิการ

    i คนพิการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    60
    ค่าพลัง:
    +172
    [FONT=&quot]<center>[​IMG]
    อารมณ์ใจร้อนเป็นปฏิฆะกับการบรรลุของพระอานนท์
    </center>[/FONT]
    <center>[​IMG]</center>

    [FONT=&quot] เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๗ พ.ย. ๒๕๓๖สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ ไว้ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot] ๑. "อย่าฝืนอารมณ์ของจิต ให้ตามรู้อารมณ์ไปตลอด คิดชั่วก็รู้ คิดดีก็รู้ ให้ตามแก้ไขอารมณ์ชั่วที่ถูกกิเลสครอบงำด้วยกรรมฐานแก้จริตหากคิดดีอยู่แล้วก็หาทางส่งเสริมให้ดียิ่งขึ้น อย่างที่เจ้าทำเมื่อเย็นนี้นั้นถูกต้องแล้ว แม้ผลจักยังไม่ทรงตัวเท่าที่ควร ก็ให้ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ อย่าท้อถอย"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๒. "การเข้าสู่สัจธรรมอยู่เสมอ ๆ นั้นเป็นของดี เพราะจักทำให้จิตยอมรับความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ค่อยๆ ทำไปอย่าใจร้อน ทำไปเรื่อย ๆ อย่างมีเป้าหมาย ดีกว่าใจร้อนทำไปด้วยอารมณ์ตัณหาทะยานอยาก หวังมรรคผลจนเกิดความเศร้าหมองแห่งจิต ทำเช่นนั้นไม่สมควร"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๓. "ให้ใจเย็นเข้าไว้ เป็นการฝึกสมาธิจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในความสงบเยือกเย็น เป็นการละได้จากอารมณ์ใจร้อน ซึ่งเป็นปฏิฆะตัวหนึ่งเช่นกัน ถ้าหากเจ้ารักษาอารมณ์ใจไปอย่างนี้เรื่อย ๆ อารมณ์ใจร้อนก็จักคลายลงไป ขอให้ดูท่านพระอานนท์เป็นตัวอย่าง ที่ท่านเคร่งเครียดรีบเร่ง จักให้มรรคผลบังเกิดขึ้นฉับพลัน ตลอดคืนยันรุ่งก็ไม่บรรลุ พออารมณ์เย็นลง ความเครียดผ่อนคลาย จิตเริ่มมีความสบาย ตั้งใจจักเอนกายลงพักผ่อน ก็บรรลุพระอรหันต์ที่ตรงนั้นเอง"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๔. "ที่กล่าวมานี้เพื่อให้เจ้าได้เข้าใจถึงสภาพจิตในจิต ต้องอาศัยหลักมัชฌิมาปฏิปทา เป็นที่ตั้งแห่งอารมณ์ของจิต ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ทำให้พอสบาย ๆ ใจเย็น ๆ เกี่ยวกับมรรคผลไปเรื่อย ๆ ก็จักถึงจุดหมายปลาทางได้เอง"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕. "อย่าลืม เจ้าไม่ใช่บุคคลประเภท อุคคติตัญญูจักใจร้อนให้บรรลุมรรคผลเร็วมิได้ แม้อุคคติตัญญู การบรรลุมรรคผลก็มิใช่ได้เพราะความใจร้อน อาศัยบารมีธรรมที่บำเพ็ญมาเต็มแล้วแต่กาลก่อน จึงบรรลุได้เร็วตามนั้น"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๖. "พวกเจ้าเป็น วิปจิตัญญู ก็พึงจักต้องศึกษาและปฏิบัติไปตามคำสั่งสอนก่อน อีกทั้งมีการเวียนว่ายตายเกิดมานานนับอสงไขยกัปไม่ถ้วนเยี่ยงนี้ จู่ ๆ จักให้เคาะกิเลสหลุดไปได้อย่างฉับพลัน ย่อมเป็นการยาก เพราะฉะนั้น จักต้องใจเย็น ๆ แต่มิใช่เย็นแบบมีความประมาทในชีวิต จักต้องคิดถึงความตาย ควบกับความเพียรในความใจเย็นอยู่เสมอ อุปสมานุสสติ กายคตานุสสติ ควบอสุภกรรมฐานตั้งมั่น ควบคู่กับอานาปานัสสติ ไว้เสมอ กันความไม่ประมาทในชีวิต จิตสงบยอมรับความเป็นจริงในกฎของกรรมหรืออริยสัจ แล้วก็ปฏิบัติไปตามแนวคำสั่งสอนโดยไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งข้างหน้า ก็ย่อมจักถึงจุดหมายปลายทางได้"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๗. "อนึ่ง การคิดถึงหนทางระงับอารมณ์ปฏิฆะโดยเอาจิตตนเองเป็นเครื่องวัดว่า ถ้าใครด่าเรา นินทาเรา เราไม่ชอบใจแน่ เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ไม่ควรด่าใคร นินทาใคร เราไม่ชอบให้ใครมาแสดงอารมณ์โกรธ เราก็ไม่ควรที่จักแสดงอารมณ์โกรธเขา นั่นเป็นการคิดตามคำสั่งสอนของตถาคต ที่ท่านฤๅษีนำมากล่าวในพรหมวิหาร ๔ กรณีนี้เป็นการที่ถูกต้อง เจ้าควรจักคิดทบทวนอยู่เสมอ ๆ ซ้ำ ๆ จิตจักยอมรับตามความเป็นจริง เห็นโทษของอารมณ์โกรธ เพราะจักเป็นเหยื่อของอบายภูมิได้โดยง่าย"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๘. "จุดนี้ ขอให้คิดถึงท่านฤๅษีสอนในเทป โทษละเมิดพระธรรมวินัยที่กบิลภิกษุเมื่อขึ้นจากอเวจีมหานรก มาเกิดเป็นปลาเกล็ดสีทอง ต้องตายลงเพราะอารมณ์ปฏิฆะและโทสะ น้อยใจในกฎของกรรม มีความคับแค้นใจในกรรมที่ตนทำมาในอดีต จึงเอาศีรษะฟาดเรือตายไปอเวจีมหานรกก็ด้วยอารมณ์นี้พวกเจ้าก็จักสามารถศึกษาโทษแห่งอารมณ์โทสะ-โมหะ-ราคะได้จากพระสูตรต่าง ๆ เพราะล้วนแล้วแต่มีตัวอย่างให้ดูมาแล้วทั้งสิ้น ถ้าหากเข้าใจถึงโทษแห่งอารมณ์นั้น ๆ จิตก็จักคลายจากการเกาะติดอารมณ์นั้น ๆ ลงได้ เสมือนหนึ่งบุคคลผู้หลงดื่มยาพิษมานาน พอรู้จริงว่านี่คือยาพิษ อันทำให้เราตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขาก็จักไม่ยอมหลงดื่มยาพิษนั้นอีกต่อไป ข้อนี้อุปมาฉันใด จิตของผู้รู้จริงก็จักเป็นฉันนั้น ขอให้ใช้ปัญญาศึกษากันให้ดีๆ จักปล่อยวางอารมณ์ที่เสมือนหนึ่งยาพิษที่ฆ่าตัวให้ตายได้"[/FONT]

    [FONT=&quot]<center>ร่างกายนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้า</center>[/FONT] [FONT=&quot] เมื่อวันอังคารที่ ๙ พ.ย. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงพระเมตตาตรัสสอน เพื่อนผมไว้ดังนี้[/FONT]
    [FONT=&quot] ๑. "ขันธ์ ๕ ย่อมไม่มีในใครทั้งหมดร่างกายไม่ใช่ตถาคต ร่างกายไม่ใช่ท่าน สัมพเกสี ร่างกายนี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ร่างกายนี้ไม่ใช่พระอรหันต์ ปกติของร่างกายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปตามสภาวธรรมของโลกนั้น ๆ"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๒. "พระพุทธเจ้าเป็นได้เพราะพระธรรมตถาคตคือพระธรรม ท่านสัมพเกสีเป็นพระอรหันต์ได้ ก็เพราะพระธรรม พระธรรมนั้นไม่เกิด ไม่ตาย พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์จึงไม่เกิดไม่ตายตามสภาวะของธรรมนั้นๆ"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๓. "จำได้ไหมที่ตถาคตตรัส ผู้ใดเกาะสังฆาฏิของตถาคตอยู่ แต่ไม่ประพฤติในพระธรรมวินัย ก็เสมือนหนึ่งอยู่ไกลคนละฟากฟ้า ผู้ใดอยู่ไกลคนละฟากฟ้า แต่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยอยู่ ก็เสมือนหนึ่งอยู่ใกล้เกาะชายสังฆาฏิของตถาคตอยู่[/FONT]
    [FONT=&quot] ประการแรก หมายถึง ผู้อยู่ใกล้ร่างกายของตถาคต แต่ไม่สนใจศึกษาปฏิบัติในพระธรรม ก็เสมือนหนึ่งอยู่ไกล เพราะตถาคตคือจิตที่เข้าถึงพระธรรม บุคคลผู้ไม่สนใจพระธรรม จึงไม่สามารถเข้าถึงพระพุทธเจ้าได้[/FONT]
    [FONT=&quot] ประการหลัง บุคคลใดแม้อยู่ห่างไกลจากร่างกายของตถาคต แต่ยังเคารพนบนอบปฏิบัติในพระธรรมอยู่เสมอ จึงได้ชื่อว่ายังจิตให้เข้าถึงพระธรรม พระธรรมก็ย่อมโยงจิตให้สัมผัสกับจิตของตถาคตได้ จึงเสมือนอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าตลอดไปฉันนั้น[/FONT]
    [FONT=&quot] ๔. "อนึ่งเจ้ายังจำได้ไหม ที่ตถาคตตรัสกับพระอานนท์เมื่อใกล้จักปรินิพพานว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ หลังจากตถาคตได้ปรินิพพานแล้ว พระธรรมวินัยทั้งหลายนี่แหละจักเป็นพระศาสดาสอนเธอ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๕. "ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมจนจิตเข้าถึงธรรมแล้ว เขาจักเห็นตถาคตคือจิต มิใช่ร่างกาย ความใกล้ตถาคตเห็นตถาคต จึงอาศัยพระธรรมโยงจิตให้เข้าถึงจิตโดยประการฉะนี้"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๖. "บุคคลผู้ใดเห็นธรรม จึงมีการเห็นพระพุทธเจ้า ยิ่งหลังจากตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ก็ยิ่งทราบชัดว่าร่างกายนั้นมิใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็คือจิตที่เข้าถึงพระธรรม ท่าน ต่างหากที่เป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าจักมาหลงอยู่ในร่างกายเพื่อประโยชน์อันใด เพราะมีร่างกายจึงมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจใช่หรือไม่ (ก็รับว่า ใช่) แล้วท่านสัมพเกสี ใช่ร่างกายหรือไม่ (ตอบว่าย่อมไม่ใช่) แล้วร่างกายนั้นใช่ท่าน สัมพเกสีหรือไม่(ตอบว่า ย่อมไม่ใช่) ท่าน สัมพเกสี คือ จิตไม่ใช่ร่างกาย ตถาคตก็เช่นกัน พระพุทธเจ้าคือจิตไม่ใช่ร่างกาย"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๗. "จิตนั้นย่อมไม่เกิดไม่ตาย ถ้าหากปฏิบัติพระธรรมโดยตั้งใจให้เข้าถึง โลกุตรวิมุติจิตเจ้านั้นย่อมสัมผัสได้กับจิตของตถาคต หรือจิตของ ท่านสัมพเกสี และเมื่อร่างกายที่เจ้าอาศัยอยู่ถึง กาลัง ละกัตวา (ตาย) จิตของเจ้าที่เต็มไปด้วยพระธรรมวินัยนั้น ก็จักมาอยู่รวมกันที่พระนิพพาน ดินแดนอมตะแห่งนี้ ได้อยู่ร่วมกันกับพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุก ๆ องค์ รวมทั้งท่านสัมพเกสีด้วย ความพลัดพรากจากกันจักไม่มีอีก ความโศกเศร้าเสียใจจักไม่มีอีก"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๘. "ที่ตถาคตตรัสมาทั้งหมด ขอให้เจ้าใคร่ครวญด้วยปัญญาเถิด มิใช่ตรัสให้เชื่อ แต่ตรัสเพื่อเจ้าจักได้เกิดความเห็นชอบด้วยปัญญา การหลงเกาะติดอยู่กับร่างกาย ไม่ว่าของตนเองก็ดี ของบุคคลอื่นก็ดี ของสัตว์ก็ดี ล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งความทุกข์ อันมี ชาติปิทุกขา มรณังปิทุกขัง โสกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัส สุปายาส เป็นต้น อารมณ์เหล่านี้จักทำให้จิตของเจ้าเศร้าหมอง ทำปัญญาให้ถอยหลัง และมีอบายภูมิเป็นที่ไป หรือไม่ก็จักต้องกลับวนเวียนเกิดเป็นมนุษย์อีก ๓ ชาติ ๗ ชาติ จักมีประโยชน์อันใด แค่ชาตินี้ชาติเดียวยังรู้ทุกข์ไม่พออีกหรือ (รับว่าทุกข์พอแล้ว)"[/FONT]
    [FONT=&quot] ๙. "เมื่อรู้ว่าทุกข์ ก็จงวางภาระขันธ์ ๕ หรือร่างกายนี้เสีย หันมาตั้งใจปฏิบัติในพระธรรม เพื่อยังจิตให้เข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน จดจำไว้เสมอ พระพุทธเจ้าก็คือจิต ท่าน สัมพเกสีก็คือจิต เจ้าเองก็คือจิต ยังจะติดร่างกายเพื่อประโยชน์อันใด ให้เร่งรีบทำจิตตามพระธรรมคำสอน บริสุทธิ์ถึงที่สุดเมื่อไหร่ จิตที่เป็นวิมุติของเจ้านั้นจักได้พบพระพุทธเจ้า และท่าน สัมพเกสีอย่างถาวรเมื่อนั้น คำว่าพลัดพรากจากกันจักไม่มีอีก ถ้าหากมัวแต่หลงผิดติดร่างกาย ทำอารมณ์จิตให้เศร้าหมอง อีกนานนักหนากว่าจักได้พบกันอีก ขอให้คิดดูให้ดี ๆ"[/FONT]

    ขอกราบขอบพระคุณแหล่งที่ให้ความรู้เพื่อความเจริญในการปฏิบัติ
    [FONT=&quot]<center></center>[/FONT]
    [FONT=&quot]<center> เว็บไซน์ ��������͹�繻�ԦСѺ��ú���آͧ����ҹ���</center>[/FONT]
    [FONT=&quot]<center> </center>[/FONT]
    [FONT=&quot]<center> รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน</center>[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pongsangkhan.jpg
      pongsangkhan.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.4 KB
      เปิดดู:
      83
    • images23.jpg
      images23.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.7 KB
      เปิดดู:
      548
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2011
  2. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    [​IMG]

    กราบนอบน้อม อนุโมทนา สา ... ธุ
     
  3. อรชร

    อรชร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +11,465
  4. bcbig_beam

    bcbig_beam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +3,246
    "เมื่อรู้ว่าทุกข์ ก็จงวางภาระขันธ์ ๕ หรือร่างกายนี้เสีย หันมาตั้งใจปฏิบัติในพระธรรม เพื่อยังจิตให้เข้าถึงพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน จดจำไว้เสมอ พระพุทธเจ้าก็คือจิต ท่าน สัมพเกสีก็คือจิต เจ้าเองก็คือจิต ยังจะติดร่างกายเพื่อประโยชน์อันใด ให้เร่งรีบทำจิตตามพระธรรมคำสอน บริสุทธิ์ถึงที่สุดเมื่อไหร่ จิตที่เป็นวิมุติของเจ้านั้นจักได้พบพระพุทธเจ้า และท่าน สัมพเกสีอย่างถาวรเมื่อนั้น คำว่าพลัดพรากจากกันจักไม่มีอีก

    ขอกราบโมทนาในธรรมทานด้วยครับ
    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  5. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260

    *
    [​IMG]

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา </O:p>
    *
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มกราคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...