อีกห้านาที นิทานธรรมะ กฏแห่งกรรม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 6 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,027
    วันหนึ่ง ขณะอยู่ที่สวนสาธารณะ หญิงคนหนึ่งนั่งลงข้างชายคนหนึ่งบนม้านั่งใกล้สนามเด็กเล่น ลูกชายของฉันอยู่ที่นั่นค่ะ เธอบอกและชี้ไปที่เด็กชายเล็กๆคนหนึ่งในเสื้อกันหนาวสีขาว ที่กำลังไถลลงจากไม้ลื่น

    น่ารักน่าชังจริง ๆ ครับ ชายตอบพร้อมกับชี้ไปที่ชิงช้า ลูกชายผมใส่เสื้อสีเขียวครับ แล้วเขาก็ก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือก่อนที่จะตะโกนเรียกลูกชาย
    “ลูกแก้วเราจะไปกันแล้ว”
    แก้วอ้อนพ่อ “ แค่ห้านาทีครับพ่อ ห้านาทีเอง”
    ชายคนนั้นพยักหน้าให้ลูกเล่นได้ต่อไปอย่างที่ต้องการ
    ผ่านไปห้านาที พ่อยืนขึ้นและเรียกลูกชายอีกครั้ง “ได้เวลาไปรึยังลูก”
    แก้วอ้อนอีกครั้ง “ห้านาทีครับ อีกห้านาที”
    ชายคนเดิมยิ้มรับและพูดว่า “ตกลง”
    หญิงคนนั้นพูดทันที “เหลือเชื่อจริงๆ คุณช่างเป็นพ่อที่อดทนจัง”

    ชายคนนั้นพูดว่า กาย ลูกชายคนโตของผมถูกรถชนตายเมื่อปีที่แล้ว เหตุจากคนเมาแล้วขับ ผมไม่เคยใช้เวลากับกายมากนัก ตอนนี้ผมยินดีแลกกับทุกอย่างถ้าจะได้ใช้เวลาสักห้านาทีกับลูก ผมสาบานว่าผมจะไม่ทำผิดซ้ำสองอีก
    “ลูกผมคิดว่าจะมีเวลาได้เล่นชิงช้าเพิ่มอีกห้านาที แต่ที่จริงแล้ว ผมต่างหากที่มีเวลาดูแกเล่นเพิ่มอีกห้านาที”
    ที่มา : prajan.com​



    [SIZE=-1]<center>นิทานธรรมะ</center>

    หมอนวิเศษ
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในประเทศจีนมีชายชาวนาคนหนึ่ง
    ชื่อ "อาเฉิน" กำลังนั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ได้มีพ่อค้าเร่คนหนึ่ง
    เข้ามาทักทายเขาว่า "พ่อหนุ่ม ทำมาหากินเป็นอย่างไรบ้าง"
    <center>[​IMG]</center>
    "ไม่ไหวเลยครับ ชีวิตของข้าอับจนสิ้นดี" อาเฉินตอบอย่างเศร้าสร้อย
    "เจ้าไม่พอใจในวิถีชีวิตของตนเองดอกหรือ?" พ่อเฒ่าสอบถาม
    "จะให้ข้าพอใจได้อย่างไรในเมื่อข้าต้องทำงานหนักทั้งวัน
    ถ้าข้าได้เป็นเศรษฐี ข้าจึงจะพอใจ" อาเฉินกล่าว พ่อเฒ่านิ่งงันไม่พูดอะไร
    <center>[​IMG]</center>
    ก่อนจากกันพ่อเฒ่าได้ยื่นห่อผ้าในมือให้อาเฉิน และพูดขึ้นว่า
    "พ่อหนุ่ม ข้าต้องเดินทางไปหมู่บ้านข้างเคียง พรุ่งนี้เช้าจึงจะกลับ
    เจ้าจะเก็บรักษาหมอนใบนี้ไว้ให้ข้าได้หรือไม่? หมอนใบนี้หนุนนอนสบายดี
    เจ้าจะใช้หมอนใบนี้หนุนหัวในคืนนี้ก็ได้"
    อาเฉินรับคำจะเก็บรักษาหมอนไว้ให้ ทั้งสองจึงแยกทางกัน
    <center>[​IMG]</center>
    ในคืนนั้น อาเฉินใช้หมอนของพ่อเฒ่าหนุนนอน
    <center>[​IMG]</center>
    เมื่ออาเฉินตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีแท่งเงิน แท่งทองเต็มไปหมด
    "รวยแล้ว ในที่สุดเราก็รวยสมใจนึก" อาเฉินตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ
    "ข้าจะสร้างคฤหาสน์หลังงาม ข้าจะซื้อทุกอย่างที่ข้าต้องการ"
    <center>[​IMG]</center>
    อีกไม่นานคฤหาสน์ของเขาก็สร้างเสร็จ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา
    อาเฉินเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว เขาไม่ปราถนาจะลดตัวลงไปเสวนากับคนจน
    ดังนั้นเขาจึงปิดคฤหาสน์อาศัยอยู่ในนั้นตามลำพัง
    อยู่มาไม่นานอาเฉินก็เบื่อหน่าย "ขาดอะไรไปสักอย่าง? อ้อรู้แล้ว
    สวนของข้าว่างเปล่านั่นเอง" เขาจึงสั่งให้คนงานหาดอกไม้หลากสีสัน
    งดงามที่สุดเท่าที่จะหาได้ และไม้ใหญ่มาปลูกไว้ในสวน และขุดสระเลี้ยงปลา
    <center>[​IMG]</center>
    แต่แล้ว อาเฉินยังรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
    "จะต้องขาดอะไรไปสักอย่าง อ้อรู้แล้ว บ้านหลังนี้เงียบเกินไป"
    อาเฉินจึงว่าจ้างนักดนตรี นักรำมาขับกล่อมให้ความบันเทิง
    แต่แล้วต่อมาไม่นาน อาเฉินก็รู้สึกเบื่อกับการร้องรำ เขาจึง
    ไล่นักดนตรี นักรำออกจากบ้านไป อาเฉินรู้สึกเหงาหงอยอ้างว้าง
    "อ้า...สิ่งที่ข้าต้องการคือ ภรรยาสักคน...ใช่แล้ว"
    <center>[​IMG]</center>
    อาเฉินส่งคนรับใช้ไปป่าวประกาศกลางหมู่บ้านว่า หญิงใดที่ยังเป็นโสด
    ขอให้มาชุมนุมที่หน้าคฤหาสน์ของเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อให้เขาเลือกเป็นภรรยา
    แต่ ไม่มีหญิงใดโผล่หน้ามาให้เห็นในเช้าวันถัดมา อาเฉินรู้สึกแค้นเคืองฉุนเฉียว
    "เฮอะ ชาวนาโง่เง่า ข้าไม่เห็นจะต้องการเลย อยู่คนเดียวก็ได้"
    <center>[​IMG]</center>
    อยู่มาวันหนึ่ง อาเฉินตัดสินใจลงจากเขา อาเฉินนั่งเกี้ยวงดงาม
    มีคนรับใช้สี่คนหาม มาดโอ่อ่าภูมิฐานยิ่งนัก แต่อาเฉินก็ต้องประหาดใจ
    เมื่อผู้คนในหมู่บ้านไม่มีใครให้ความสนใจเขาเลย เมื่อเขาผ่านโรงเตี๊ยมเก่า
    เขาได้ยินเสียงผู้คนทักทายกัน สลับกับเสียงหัวเราะเป็นระยะ เขามองเห็น
    เพื่อนเก่าซดข้าวต้มร่วมกัน แม้คนเหล่านั้นจะยากไร้ แต่ก็มีความสุขยิ่ง
    <center>[​IMG]</center>
    อาเฉินหวนกลับมายังคฤหาสน์อ้างว้าง นั่งครุ่นคิดอยู่เป็นนาน
    เขากลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว แต่ก็ไม่มีความสุข ชีวิตแสนสบายแต่อ้างว้าง
    อาเฉินอยากจะกลับไปเป็นชาวนาสามัญเช่นเดิม แล้วเขาก็เผลอหลับไป
    <center>[​IMG]</center>
    เมื่ออาเฉินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องเก่าซอมซ่อ
    <center>[​IMG]</center>
    ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิม อาเฉินเพิ่งรู้ว่าตัวเองฝันไป เขาวิ่งออกจากกระท่อม
    หัวเราะร่าด้วยความยินดี อาเฉินร้องทักทายชาวนาที่เดินผ่านบ้าน เหมือนกับ
    เพื่อนรักที่หายหน้าไปนาน และพอถึงตอนสายของวันชายชราเจ้าของหมอน
    ก็ได้มาหาอาเฉิน "เป็นอย่างไรพ่อหนุ่ม เมื่อคืนหลับฝันดีหรือไม่"
    <center>[​IMG]</center>
    อาเฉินวิ่งกลับเข้าบ้าน หยิบเอาหมอนห่อผ้าให้เรียบร้อย ยื่นคืนให้เจ้าของ
    "ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าเป็นอย่างมาก ที่ให้ยืมหมอนวิเศษใบนี้
    ข้าเพิ่งได้บทเรียนล้ำค่าของชีวิต...ไม่มีสุขใดใหญ่หลวงเกินไปกว่า
    ความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่อีกแล้ว"
    <center>[​IMG]</center>
    อาเฉินหยิบจอบขึ้นพาดบ่า เดินผิวปากออกจากบ้าน
    มุ่งหน้าไปยังท้องนา พ่อเฒ่าอมยิ้ม และออกเดินทางต่อไป
    <center>[​IMG]</center>

    <center>กฏแห่งกรรม</center>

    เวรกรรม ของเศรษฐี
    ในตลาดไม่มีใครเลยสักคนที่ไม่รู้จัก เถ้าแก่ " ตั๋ง " เพราะแกเป็นผู้บุกเบิกตลาดแห่งนี้เป็นคนแรก แกขายทุกอย่างที่จะขายได้ ตั้งแต่ กาแฟ ไข่ลวก บุหรี่ สุรา ไปจนถึง ปะยาง รถจักรยายยนต์ พอมีเงิน เก็บหอมรอมริบก็ซื้อที่ทางไว้

    กระทั้งเวลาผ่านไปไม่กี่ปี เถ้าแก่ตั๋ง ก็เป็นเจ้าของตลาดเต็มตัวมีแผงให้เช่าโดยไม่ต้องขายเหมือนก่อนหน้าที่แกก็คือเดินตรวจตลาด เก็บค่าเช่าอย่างชนิดไม่ขาดไม่เกิน

    " อั้วไม่ล่ายสร้างตลาด มาให้พวกลื้อติดค่าเช่าน้ะ ให้ลู้ซะล่วย " เป็นคำพูดที่เถ้าแกชอบพูดดัง ๆ เป็นการกึ่งประจานเวลาแผ่งไหนผลัดค่าเช่าแก

    ใคร ๆ ก็รู้จักเถ้าแก่ตั๋ง เพราะแกจะวางท่ายิ่งใหญ่ไม่รู้จักใคร หรือถ้าใครเดินเข้าตลาดแล้วไม่ซื้อของแกก็จะเดินไปด่าเขาทำตัวเป็นที่อิดระอาใจกับคนในตลาดนั้น ถ้าย้ายได้ก็ย้ายหนีไป ถ้าย้ายไม่ได้ก็ต้องทนรับสภาพไป

    หลายปีผ่านมา เถ้าแก่ตั๋ว ได้ขยายครอบครัวกลายเป็นตระกูลห้าฃพยางค์อันยิ่งใหญ่ขยายกิจการใหญ่โต ประกอบกับตัวเถ้าแก่เริ่มแก่ชราหน้าที่เก็บค่าเช่า และดูแลผลประโยชน์ก็ตกมาถึงลูกหลาน ที่เจริญรอยตามเถ้าแก่ ตั๋ง ขณะเดียวกันเมื่อลูกหลานเติบโต แบ่งแยกครอบครัวกันออกไป เถ้าแก่เคยมีอดีตอันยิ่งใหญ่ ก็เหมือนคนแก่คนหนึ่งภายในบ้าน ไม่ได้รับความสนใจจากลูกหลาน เรียกว่าถูกทอดทิ้งก็ว่าได้

    หลังจากมีการแบ่ง มรดก ให้ลูกหลานเป็นที่เรียบร้อย เถ้าแก่ตั๋ว ก็ถูกส่งไป บ้านพักคนชรา โดยลูกหลานปล่อยอย่างไม่ใยดี แม้ตัวแกจะห่วงตลาดเก่าที่สร้างมากับมือ แต่ร่างกายก็ซูบซีดผอมจนหนังหุ้มกระดูกหมดราศีความเป็นเถ้าแก่ ชีวิตต้องนั่งรถเข็นอย่างหมดสภาพ

    วันหนึ่งขณะที่ตลาดจอแจด้วยผู้คนไปมา ชายชราคนหนึ่ง สภาพมอมแมมไม่ต่างอะไรจาก ขอทาน เสื้อผ้าขาดวิ่น แขนขาลีบเรียว จนต้องนอนหมอบกับพื้นสกปรก ที่ตลาดแห่งนั้น แล้วเจ้าเด็กน้อย ๒ คนที่มองดูมองชายชราตามประสาเด็กพลางล้วงกระเป๋าหยิบเศษเหรียญสตางค์หย่อนลงกระป๋องแล้วพูดว่า

    " ตาออกไปขอทานที่อื่นเถอะเดี๋ยวเตี๋ยมาเห็นจะโดนไล่หรอก เตี๋ยบอกว่าเมื่อตอนก๋งอยู่ ก๋งไม่ชอบให้ขอทานมาอยู่ในตลาด "

    เจ้าเด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วโดยไม่รู้หรอกว่า ขอทานผู้นั้นคือ เถ้าแก่ตั๋วหรือก๋งคนที่แกพูดถึง และแกก็ยังห่วงตลาดที่แกสร้างมากับมือ
    ที่มา http://www.watkoh.com
    [/SIZE]<!-- End main-->
     
  2. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    ชอบนิทานเซนจัง คนคิดนี่ก่งมากๆเลย ไว้วันหลังคุณ rinnn หามาให้อ่านกันอีกนะครับ
    ปล. วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรถึงเกิดอยากเข้าห้องกฎแห่งกรรม ปกติไม่ค่อยได้เข้ามาที่นี่ครับ
     
  3. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,027
    นิทานเซน เพื่อจิตใจงดงาม

    ดึกสงัด ขโมยคนหนึ่ง ถือมีดย่องเข้าไปในอาราม ข่มขู่อาจารย์เซ็นชีหลี่ว่า
    "เอาเงินออกมาเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะฆ่าเสีย"

    อาจารย์เซ็นชีหลี่กล่าวว่า "อย่ามารบกวนอาตมาทำสมาธิภาวนา เงินอยู่ในลิ้นชัก
    ไปหยิบเอง!"

    ขโมยคนนั้นรีบไปค้นที่ลิ้นชัก เก็บเอาเงินไปหมด
    ขณะที่จะจากไปอาจารย์เซ็นชีหลี่กล่าวว่า "อย่าเอาไปหมดนะ
    เหลือไว้หน่อยให้อาตมาซื้อดอกไม้ไหว้พระพรุ่งนี้"

    ขโมยจึงทิ้งเงินเล็กน้อยไว้ในลิ้นชัก
    พอหันหลังจะจากไปอาจารย์เซ็นชีหลี่ก็กล่าวอีกว่า "ไม่ขอบคุณสักคำหรือ?"

    ขโมยจึงกล่าวขอบคุณก่อนสาวเท้าจากไป

    หลังจากนั้น ขโมยผู้นี้ได้ก่อคดีขึ้นอีก กระทั่งถูกมือปราบจับตัวไว้ได้
    ขโมยให้การว่าเคยปล้นเงินของอาจารย์เซ็นชีหลี่
    ขณะที่มือปราบเรียกตัวอาจารย์เซ็นชีหลี่ไปให้การชี้ตัวจำเลย
    อาจารย์ชีหลี่กลับให้การว่า "เขาไม่ใช่ขโมย เขาไม่ได้ปล้นอาตมา
    อาตมาให้เงินเขาเอง เขาขอบคุณอาตมาแล้ว"

    คำให้การของอาจารย์เซ็นชีหลี่ช่วยให้ขโมยผู้นี้ได้ลดหย่อนผ่อนโทษ
    เมื่อขโมยผู้นี้พ้นโทษจึงปลงผมออกบวชขอเป็นศิษย์จากอาจารย์เซ็นชีหลี่อย่างซาบซึ้งตื้นตันและยินยอมพร้อมใจ

    เห็นได้ชัดว่าอาจารย์เซ็นชีหลี่เป็นอาจารย์เซนที่แท้จริง ท่านมิเพียงละกิเลส
    บำเพ็ญธรรม เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากสังสารวัฏเท่านั้น
    ยังชักนำผู้อื่นสู่หนทางหลุดพ้นด้วยจิตใจเมตตาการุณย์
    เปี่ยมด้วยปฏิภาณและสติปัญญาอันเฉียบแหลม

    คนเราถ้าช่วยตัวเองให้อยู่สุขสบายได้แล้ว ควรจะช่วยเหลือผู้อื่นด้วย
    เพราะการช่วยเหลือผู้อื่นก็เท่ากับสร้างบุญกุศลให้ตัวเอง
    ถึงไม่ได้หวังผลตอบแทนก็ตาม



    http://www.saranair.com
     
  4. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,027
    นิทานเซน - เรียบเรียงโดย นพ.ประสาน ต่างใจ

    นกอินทรี


    มีเรื่องที่เล่าถึงชาวไร่ผู้หนึ่ง วันหนึ่งขณะเดินเล่นที่ตีนเขา
    ได้พบกับไข่ของนกอินทรีทองใบหนึ่งที่ตกลงมาแต่ยังไม่แตก
    เขาก็เลยเก็บมันกลับไปที่ไร่ให้แม่ไก่ที่กำลังกกไข่ของมันอยู่ลองฟักดู
    ในไม่ช้าแม่ไก่ก็ฟักลูกนกอินทรีทองออกมาจากไข่พร้อม ๆ กับลูกของมัน
    ทั้งหมดจึงเติบโตมาด้วยกัน
    ลูกนกอินทรีทองจะร้องเช่นเสียงร้องของลูกไก่ตัวอื่น ๆ ที่เดินตามแม่ของมัน
    และจะหัดคุ้ยเขี่ยดินเพื่อหาอาหารหาแมลงไส้เดือนไปตามเรื่องของไก่
    พอโตขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่งลูกนกอินทรีก็ขยับปีกได้เช่นไก่กระทงทั้งหลายที่พยายามหัดบิน
    และมันก็เหมือนพี่น้องของมันที่สามารถบินได้เพียงช่วงสั้น ๆ และต่ำเรี่ยดิน

    หลายปีต่อมา
    วันหนึ่งขณะที่ลูกนกอินทรีทองเติบใหญ่แล้วกำลังเดินคุ้ยเขี่ยดินหาอาหารกินอยู่นั้น
    ได้มองขึ้นไปแลเห็นนกตัวใหญ่ที่สง่างามกางปีกบินร่อนถลาลมอยู่บนท้องฟ้า
    อย่างไม่กลัวเกรงต่อกระแสลมแรง ปีกสีทองที่กางอ้าสะท้อนแสงตะวัน
    เห็นเป็นประกายเจิดจ้าอย่างน่าประทับใจเป็นที่ยิ่ง

    "แม่เจ้าโวย.. ช่างสง่างามอะไรยิ่งนัก ใครรู้บ้างว่านั่นเป็นสิ่งใด ? "
    ลูกนกตะโกนถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

    "นั่นคือ เจ้าแห่งฟากฟ้า พญาอินทรีทอง" ไก่หนุ่มตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ ร้องตอบขึ้น
    "พญานกอินทรีย่อมอยู่แต่บนฟ้า...ส่วนเราที่เป็นเพียงไก่กระจอก ๆ
    มีสิทธิเพียงเดินดิน อย่าได้คิดโบยบินเหินหาวห้วงเวหา"

    ลูกนกอินทรีทองจึงกลายเป็นไก่ นาน ๆ เข้าก็แก่ตัวลงไปอย่างไก่
    และสุดท้ายก็ตายไปอย่างไก่ เพราะตัวมันเองเท่านั้นที่คิดอย่างเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นไก่..​
     
  5. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,027
    ลา (ไม่) โง่



    ที่จริงลานั้นไม่โง่เลย ในธรรมชาติในทุ่งหญ้าที่ม้าลาปนเปอยู่ด้วยกันเป็นฝูง
    ผู้นำฝูงจะต้องเป็นลาเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ตัวมันเล็กกว่า
    แต่มีความสามารถมีความแข็งแรงกว่าม้ามากนัก ทั้งยังมีความสามารถเรียนรู้ได้เร็ว
    ตำนานโบราณของนักเดินทางจึงมีเรื่องของลากับมูเลาะห์ นัสรูดิน
    คนที่เหมือนกับลา มีความโง่ที่ฉลาดหลักแหลม เพียงแต่ว่าค่อนข้างจะไม่ค่อยมีจังหวะจะโคน
    นิทานของลากับนัสรูดินนั้นมีหลายตอน เป็นทั้งปรัชญาธรรมชาติและเป็นภูมิปัญญาโบราณ
    ซึ่งบางทีก็ต้องอ่านซ้ำหลายครั้งถึงจะเข้าใจ

    นัสรูดินนั้นเรียนรู้โลกและความจริงทางโลกจากลา และลาก็เรียนรู้โลกของลาจากนัสรูดิน
    ดังนิทานที่เล่าถึงการเดินทางไปค้าขายของนัสรูดินที่ต้องเดินทางข้ามแม่น้ำ
    มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นัสรูดินนำเกลือไปขายที่เมืองจีน
    เขาได้นำเกลือจำนวนมากใส่กระสอบแล้วผูกกระสอบเกลือบรรทุกไว้บนหลังลา
    จนมันหลังแอ่นเดินแทบไม่ไหว ระหว่างเดินทางข้ามแม่น้ำที่ค่อนข้างกว้างสายหนึ่ง
    เกลือที่บรรทุกอยู่บนหลังลาที่เปียกชุ่มน้ำตลอดทาง ก็ค่อย ๆ ละลายจนเกือบหมด
    เมื่อถึงฝั่งตรงกันข้ามลามันก็รู้สึกว่าน้ำหนักที่แบกมาจนหลังแอ่นนั้นอยู่ ๆ ก็หายไป
    มันก็ดีใจวิ่งไปมารอบ ๆ นัสรูดินเป็นวงกลม พร้อมกับส่งเสียงร้องดัง ๆ
    จนนัสรูดินทั้งอายทั้งโกรธตัวเอง และพาลไปโกรธลาด้วย คิดในใจว่า
    "เออ ดีแล้ว ทีใครทีมัน... วันหน้าจะได้เห็นกัน"

    ในการเดินทางไปค้าขายในคราวต่อมา
    นัสรูดินก็ขนเอาฝ้ายมัดใหญ่บรรทุกบนหลังลาจนหลังแอ่นแทบเดินไม่ไหวอีก
    พอทั้งลากับคนเดินทางมาถึงแม่น้ำและข้ามน้ำไปได้สักครู่
    น้ำหนักของฝ้ายอมน้ำก็ทวีเพิ่มมากขึ้นจนลาแทบจะจมน้ำตาย
    นัสรูดินต้องคอยช่วยกว่าลาจะข้ามแม่น้ำและขึ้นฝั่งมาได้ ก็เหนื่อยกันทั้งคนทั้งสัตว์
    เมื่อขึ้นมาได้นัสรูดินก็หัวเราะและพูดกับลาว่า

    "นั่นแหละที่จะสอนให้เจ้ารู้ว่า การเดินทางข้ามแม่น้ำแต่ละครั้งได้สอนอะไรให้เรียนรู้บ้าง
    เห็นไหมว่าทุกครั้งที่เจ้าข้ามแม่น้ำ เจ้าย่อมได้เรียนสิ่งใหม่เสมอ
    อย่าโทษข้า แต่ต้องขอบใจถึงจะถูก"

    และลาก็เรียนรู้จริง ๆ จนต่อมาใคร ๆ ก็รู้และกล่าวขานกันทั่วว่า
    นัสรูดินมีลาที่นอกจากจะไม่โง่แล้วยังชาญฉลาดยิ่งนัก

    หลังจากนั้นอีกนานต่อมา
    มีสหายที่สนิทสนมกับนัสรูดินมากคนหนึ่งแวะมาหาเพื่อขอยืมลาที่ฉลาดตัวนั้นสักครั้ง
    โชคไม่ดีที่นัสรูดินได้ข่าวล่วงหน้าก็เลยเอาลาไปล่ามและขังไว้ในห้องที่หลังบ้าน
    ดังนั้นเมื่อสหายของเขามาถึงที่พักของนัสรูดินก็แปลกใจที่ไม่เห็นลาที่ปกติจะพบ
    ยืนกินหญ้าอยู่ที่ทุ่งหน้าที่พัก สหายของนัสรูดินจึงถามว่า
    "ข้าตั้งใจมาขอยืมลาของท่านไปทำงานสักสองสามวัน
    แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันไปอยู่เสียที่ไหน ข้าถึงไม่เห็นมัน"

    นัสรูดินทำหน้าเหมือนกับว่าเห็นใจที่เพื่อนต้องมาเสียเที่ยวเปล่า ๆ เขาตอบว่า
    "ข้าเสียใจจริง ๆ ตอนนี้ข้าไม่มีลาเสียแล้ว"

    ทันทีที่นัสรูดินพูดจบเสียงร้องของลาก็ดังลั่นขึ้นมา
    ก็รู้อยู่แล้วว่าลานั้นมันร้องดังแค่ไหน

    สหายของนัสรูดินจึงพูดออกมาด้วยความโกรธว่า
    "แล้วนั่นเสียงอะไร ไม่ใช่เสียงร้องของลาดอกหรือ
    ท่านไม่น่าพูดปดว่าไม่มีลาอีกแล้ว จะไม่ให้ข้ายืมลาก็น่าจะบอกกันตรง ๆ ก็ได้"

    นัสรูดินหันหน้ามาหาสหาย แล้วก็พูดถามขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า

    "แล้วระหว่างข้ากับกับลาของข้า - ท่านจะเชื่อใครกันล่ะ ? "

    แล้วคุณจะเชื่อใคร ?
    ทำให้ระลึกถึงคำตอบที่พระพุทธเจ้าบอกแก่ศานุศิษย์ของพระองค์ว่า
    อย่าเชื่อผู้หนึ่งผู้ใด อย่าเชื่อตามที่เขาเล่ามา
    อย่าเชื่อคัมภีร์หรือแม้แต่เชื่อสมณะที่เป็นครูของตนบอกเช่นนั้น
    แต่ต้องติดตามแสวงหาประสบการณ์ด้วยตนเอง คิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง
    ตัวเองเท่านั้นที่เป็นสรณะที่พึ่ง ไม่ใช่พึ่งผู้อื่นหรือพึ่งระบบหนึ่งระบบใด
     

แชร์หน้านี้

Loading...