เครื่องรางนอกตำรา

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย tamsak, 10 กรกฎาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,186
    [​IMG]



    พระอาจารย์ กล่าวว่า "เมื่อวานอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ “เครื่องรางนอกตำรา” เขากล่าวถึงเครื่องรางอาถรรพ์หลายประเภท อย่าง แมลงทับปรอท ถ้าหากว่าตอนเด็กๆ ใครเคยเล่นแมลงทับ จะรู้ว่าพอแมลงทับไข่ได้ไม่นานก็จะตาย เด็กสมัยก่อนจะเล่นพวก แมลงทับ แมลงกว่าง กันเป็นปกติ พอเขย่าต้นไม้แมลงพวกนี้ก็ร่วงกราว ถ้าจับช้าก็จะบินหนี ตัวไหนตกใจก็จะทิ้งตัวลงมาแกล้งนอนตายอยู่กับพื้น ให้คนไม่สนใจ

    สมัยเด็กๆ อาตมาเอาแมลงทับใส่กระเป๋ากางเกงไว้ แล้วก็เด็ดยอดมะขามเทศอ่อนใส่ไป ๓ - ๔ ยอดให้กิน ไม่นานแมลงทับก็ไข่ในกระเป๋า พอไข่ได้ไม่นานก็ตาย เขาบอกว่าจะทำแมลงทับปรอท ต้องหาแมลงทับที่ตายวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘..หายากนะ..เพราะบางทีไม่ใช่ฤดูของแมลงทับ

    เครื่องรางที่เขากล่าวถึงก็มี แมลงทับปรอท พญาสิงขร เขี้ยวเสือไฟ เขาทำได้เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนมีความอดทนสูง บางทีทั้งชีวิตทำเครื่องรางชิ้นเดียว สมัยนั้นเขาถือว่าเป็นของคู่ตัว นอกจากนี้มี ลูกกลอนสมิง เกิดจากชานหมากว่านยาหลายอย่างผสมรวมกัน เสกด้วยคาถาอาคม มีไว้เพื่อป้องกันเสืออย่างเดียว

    อย่าง พญาสิงขร ต้องเอางาช้างที่ล้มเองมาแกะสลักเป็น รูปเสือ รูปสิงห์ ก็ได้ แล้วก็ทำพิธีปลุกเสกตามแบบเขา ป้องกันอันตรายในป่าได้ทุกชนิด

    อย่าง สมัยพระร่วง มี เขี้ยวงู ใหญ่เท่าผลกล้วยหอมเป็นของคู่บารมี ส่วนพวกลูกทะเลเขาใช้ กระเบนท้องน้ำ หรือไม่ก็ ฟันปลาฉลาม เป็นเครื่องราง ยิ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งดี

    อยากจะเชื่อว่าของที่เป็นชิ้นส่วนของสัตว์เหล่านี้ยังมีกลิ่นจำเพาะตัวอยู่ พอพวกสัตว์ได้กลิ่นก็รู้ว่าไอ้ตัวมหึมานี่ดุกว่าแน่ จึงไม่ไปยุ่งด้วย

    ถาม : อย่างงาช้างน้ำ ที่ใส่ในยาจินดามณี ยังพอหาได้หรือเปล่า ?

    ตอบ : ไม่ต้องไปหา เป็นเรื่องของบุญใครบุญมัน อาตมาว่าจะลองทำ ยาจินดามณี ดูสักครั้ง เพราะตำรายาจินดามณีไม่ใช่ของหวงห้าม มีเป็นสาธารณะเลย เพียงแต่ว่าส่วนประกอบบางคนเขาไม่รู้จัก

    สมัยอาตมาอยู่ เกาะพระฤๅษี ตอนนั้นมี ผักคราด เป็นตันเลย ต้องคอยถลกทิ้ง เครื่องยาผงจินดามณีประกอบด้วย ดอกคราด ดอกจันทร์ เกสรบัวหลวง (ถ้าได้บัวหลวงแฝดยิ่งดี) น้ำผึ้งรวง น้ำมะเขือขื่น ฯลฯ

    พวกเราคงไม่รู้จักแล้วว่า มะเขือขื่น กับ มะเขือเปราะ แตกต่างกันอย่างไร ? เอาแค่ว่าเจอ มะอึก ก็ไม่กล้ากินแล้ว มะอึกลูกเป็นขนๆ พอเราเห็นก็ไม่กล้ากิน หารู้ไม่ว่านั่นสุดยอดแล้ว ตำน้ำพริกอร่อยสุดยอดเลย

    ถาม : ยาจินดามณี ไว้ใช้กันตาย ไม่ใช่รักษาโรค ใช่หรือไม่ ?

    ตอบ : สามารถถอนคุณไสยได้ ถ้าบูชาติดตัว อธิษฐานป้องกันอันตรายต่างๆ ได้ ที่แน่ ๆ ก็คือ ถ้าคนยังไม่ถึงอายุขัย ป่วยหนักขนาดไหนก็รักษาได้ เพียงแต่ว่ากลิ่นของยาแรง อาตมาเคยพกแล้วเผลอทิ้งไว้ในห้อง กลิ่นยาตลบอวลทั้งห้องเลย ถ้าคนที่ไม่คุ้นจะว่ากลิ่นอะไรแปลกๆ

    อาตมาอยากได้สูตรยาจินดามณีที่ผสมแล้วแช่น้ำได้ จะได้ให้เขาทำน้ำมนต์ได้ แต่สูตรผสมแบบนี้ไม่แน่ใจว่าเวลาแช่น้ำแล้วตัวน้ำยาประสานจะเป็นพิษหรือเปล่า ?

    เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จัก ผักคราด เพราะไม่เคยกิน เด็กรุ่นเก่านี่ปวดฟันเมื่อไรก็วิ่งหาผักคราด เอามาเคี้ยวๆ แล้วอุดรูฟันไว้ พักเดียวก็หายปวดแล้ว กินเป็นยาชาได้ กินมากๆ นี่ลิ้นชาหมด ที่หายากหน่อยก็ ดอกจันทร์ ต้องสั่งร้านขายสมุนไพรโดยเฉพาะ เกสรบัวหลวงกับดอกจันทร์ นี่สั่งร้านสมุนไพรได้เลย แต่ถ้าเป็น บัวแฝด ต้องไปเก็บเอง เพราะเกิดยาก คนรู้คงเอาไปหมด เขาถือเป็นมหาเสน่ห์เลย




    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2012
  2. tamsak

    tamsak ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2004
    โพสต์:
    7,857
    กระทู้เรื่องเด่น:
    22
    ค่าพลัง:
    +161,186
    .

    แก้วปัทมราช ยิ่งหายากที่สุด แก้วปัทมราชถือว่าเป็นคดชนิดหนึ่ง คือ เม็ดบัวที่กลายเป็นหิน

    แก้วกัททลี ก็เหมือนกัน เป็นแก้วหรือหินที่เกิดในหัวปลี ในชีวิตอาตมาเจอเพียงครั้งเดียว ไม่ได้เจอเองหรอก คนอื่นได้มาแล้วเอามาอวด

    สมัยก่อนพวกหนุ่มๆ ชอบศึกษาวิชาอาคม เขามีวิชาเลี้ยง กล้วยตานี เลี้ยงกล้วยตานีแล้วจะได้เมียผี เขาใช้วิธีไปขอหน่อกล้วยจากต้นแม่ เอาพวกเครื่องแต่งตัว ของหอม ผ้าสไบ เครื่องไหว้ไป ต้องเลือกคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลาเที่ยงคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แล้วจุดธูป ๙ ดอก "แม่จ๋า..ฉันเอาสินสอดมาขอลูกสาวแม่ จะเลี้ยงดูให้ดี ไม่ทิ้งไม่ขว้าง ขอแม่ยกให้ฉันด้วยนะจ๊ะ" แล้วขุดหน่อกล้วยไป ต้องเรียกเขาไปตั้งแต่ตอนนั้นเลยนะ ให้ไปด้วยกัน เกลี้ยกล่อมเหมือนคุยกับสาวเลย

    เอาหน่อไปปลูกไว้ รดน้ำพรวนดินให้ดี คิดดูก็สยองแล้ว ขึ้น ๑๕ ค่ำตอนกลางคืน ดงกล้วยก็มืดๆ ใบกล้วยไหวแสกสาก คนกำลังใจไม่มั่นคงจริงๆ ไม่มีใครเขากล้าทำหรอก แต่ผีตานีขี้หึงทุกตัว อย่าเผลอไปมองสาวอื่นเชียวนะ สถานเบาผีก็เล่นงานแค่สาวคนนั้น ถ้าสถานหนักก็จัดการผัวด้วย..!

    สำหรับรายนั้นเขาทดลองเลี้ยงผีตานีไว้เฉยๆ ไม่ได้เอาเป็นเมียเหมือนคนอื่น จนกระทั่งถึงระยะหนึ่งผีบอกว่าต้องไปจุติแล้ว ก่อนไปเขาจะทิ้งของดีไว้ให้ ลองไปหาดู พอรุ่งขึ้นเขาไปดู ปรากฏว่าเห็นกล้วยออกปลี ที่อื่นก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เขาก็เลยตัดปลีออกมาผ่าดู เห็นแก้วอยู่ข้างใน ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง ไร่คนอื่นโดนเพลี้ยลง โดนลิงลง ช้างลง ลุยไร่เละเทะหมด แต่ไร่ของแกไม่เคยโดนอะไรเลย

    ของอย่างนี้บางทีก็อยู่ในลักษณะบุญใครบุญมัน บางคนได้ของพวกนี้มาก็ไม่รู้คุณค่า อย่าง ไข่แก้วงูจงอาง ถ้าจำไม่ผิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ราชบุรีหรือเพชรบุรี เขาเป็นพ่อค้ารับซื้อของป่า ชาวบ้านเอาหวาย เอาบอระเพ็ด เอาน้ำผึ้งมาขายให้แกเป็นประจำ วันนั้นพอชาวบ้านปลดกระสอบลงจากบ่า ไข่งูก็หล่นลงมา เขาก็หยิบขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นหิน แต่ยังมีเงาของลูกงูเห็นรางๆ อยู่ข้างใน

    เขาถามชาวบ้านคนนั้นว่าได้มาจากไหน ? ชาวบ้านเล่าว่าเขาเดินออกจากป่ามา เห็นงูจงอางใหญ่ตายเน่าแล้ว แต่แปลกใจที่เห็นแสงอะไรวูบวาบ พอเข้าไปดูปรากฏว่างูอมไข่อยู่ ก็เลยเอาไข่งูมา เขาถามชาวบ้านว่าจะขายไหม ? ชาวบ้านตกลงขาย “ถ้าเถ้าแก่จะเอา ผมขอห้าร้อย” ทั้งๆ ที่เถ้าแก่รู้ว่าของมีค่า แต่ก็ยังไปต่อราคาเหลือ ๓๐๐ บาท สมควรตายจริงๆ..!

    จากนั้นเขาก็เอามาลงประกาศในหนังสือพิมพ์ขาย ๗ ล้านบาท..! ถ้าเป็นอาตมาขายได้ ๗ ล้านบาท ก็แบ่งให้ชาวบ้านไป ๑ ล้านบาทเลย นี่ยังอุตส่าห์ไปต่อเขาเหลือแค่ ๓๐๐ บาท

    บางคนได้มาแล้วไม่มีบุญที่จะเก็บไว้ แบบเดียวกับแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวผัดไท ชาวบ้านสั่งผัดไทใส่ไข่ พอแม่ค้าเคาะไข่เทลงไปมีเสียงดังโป๊ก..! ไข่แดงกลายเป็นหิน..! เขาก็เลยเอาตะหลิวตักขึ้นมาดู แล้วก็วางไว้ แต่คนสั่งผัดไทเขารู้จักของ “เจ๊ๆ แปลกดี ขอผมเถอะ” แม่ค้าก็ให้ไป ตัวเองมีของดีอยู่แท้ๆ แต่ไม่รู้จัก ไปให้เขาได้

    ไข่ไก่ใบนั้นมีหินอยู่ข้างใน มีไข่แดงเป็นหิน แต่ไข่ที่อาตมาได้มาเป็นหินทั้งลูก ลูกเล็กๆ ประมาณนิ้วก้อย ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วก็คือ แคลเซียมของเปลือกไข่รวมตัวเป็นเปลือกไข่อย่างเดียว ไม่มีไข่แดง

    อาตมาได้ไข่นี้มาจาก เกาะพระฤๅษี ตอนนั้นลูกไก่ป่า ๒ ครอก เกิดวันเสาร์ ๕ พอดี ญาติโยมไปร่วมงานบวงสรวงหลายคน เขาไปเล่นกับลูกไก่ พอเลิกงานแล้วคนกลับหมด ตกเย็นอาตมาก็ไปดู เห็นว่าโยมไม่ได้เก็บพวกเปลือกไข่ออก อาตมาจึงไปเก็บเปลือกไข่ออกแล้วก็เจอไข่หินนี้ หลังจากได้ไข่ใบนั้นมา บรรดาของแปลกๆ ก็ไหลมาเทมา เหมือนกับว่าเขาหาพวก เรียกพวกมา ของเหล่านี้พวกไสยศาสตร์ชอบ จะมีอำนาจขนาดไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าพองูจงอางคาบไข่แก้วชูขึ้นมา ขนาดฝนยังไม่กล้าตกเลย

    ตอนที่อาตมาไปอยู่เกาะพระฤๅษีแรกๆ มีงูจงอางใหญ่ลงมาแช่น้ำในลำห้วยเป็นประจำ ตัวโตดำเมื่อมเลย น่าจะใหญ่กว่าท่อนแขน ยาวสัก ๓ - ๔ เมตรได้ ปีนั้นพอถึงหน้าฝน แต่ฝนกลับไม่ลง ถึงเดือน ๖ แล้วฝนยังไม่ลง เมฆมืดมา ฟ้าร้องครืนๆ แต่ฝนกลับไม่ลง ก็ได้แต่แปลกใจว่า ทำไมอากาศร้อนทรมานอบอ้าวขนาดนี้เป็นเดือนๆ ฝนกลับไม่ลง

    ตอนกลางคืนเดินไปที่หน่วยป่าไม้ คุยกับผู้ช่วยป่าไม้ ผู้ช่วยเขาบอกว่า “อาจารย์..นั่นเสียงอะไร ได้ยินมาหลายวันแล้ว เสียงอย่างกับแม่ไก่ครางเวลาฟักไข่” อาตมาลองฟังดู พอได้ยินก็บอกว่า " รู้ไหมว่าจงอางฟักไข่ ? จงอางฟักไข่มักจะร้องครางเหมือนแม่ไก่เลย" ผู้ช่วยบอกว่า "มิน่า..ฝนไม่ลงสักที ต้องรอให้ไข่ออกเป็นตัวก่อน"

    พวกนี้เป็น กรรมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม ถ้าฝนลงก่อนเดี๋ยวไข่เน่าหมด ไม่ทันออกเป็นตัว งูก็ต้องหาวิธีป้องกันไข่ วิธีที่จะป้องกันไข่ของตนก็คือขู่ฟ้า ดังนั้น..ไข่แก้วของงูจงอางน่าจะมีอานุภาพครอบจักรวาล โดยเฉพาะอยู่ในป่าคงไม่ต้องกลัวอันตรายอะไร เหมือนกับมีองครักษ์ชั้นดีไปด้วย สัตว์อื่นได้กลิ่นก็หนีเตลิดเปิดเปิงแล้ว


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕



    ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2012
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...