เคล็ดวิธีการเพิ่มพลัง จากการนั่งสมาธิ

ไปเจอมา เลยเอามาให้ลองอ่านดูกันคะ

มีผู้รู้ท่านหนึ่ง แนะนำว่า ในเวลาใดก็ตามที่รู้สึกอ่อนเพลีย หรือถูกพลังแฝง หรือถูกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจากสิ่งใดๆ ก็ตามที่ได้ดูดพลังจากตัวเราไป

หรือถูกเจ้ากรรมนายเวรรุมดูดพลังไปด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม ในขณะที่ถูกดูดขับพลังงานไปเมื่อใดที่รู้ตัวว่ากำลังจะหมดพลัง มีความอ่อนล้าแล้ว โดยตัวเราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ทุกคนจะมีพลังเพิ่มได้มาก
ขึ้น โดยให้ทำดังนี้

1. นั่งในท่าสบาย หรือนั่งขัดสมาธิก็ได้ โดยให้มือทั้งสองประสานสอดนิ้วมือเข้า
หากัน อุ้งมือไม่ติดกัน หงายมือ เหมือนรองรับน้ำใส่อุ้งมือ โดยหายใจเข้าออก ยาวๆ ลึกๆ
เข้าออกทางจมูก แล้วให้ลมหายใจเข้า วิ่งเข้าที่จมูก แล้ววิ่งไปที่จักระ 6 – 7 – 5 – 4 – 3 – 2
และไปหยุดที่จักระ 1 แช่นิ่งสักครู่ ที่จักระ 1
จากนั้น หายใจออกทางจมูก หรือทางปากก็ได้ ยาวๆ พยายามให้ลมหายใจเข้า
ออกนาทีละเพียง
5 - 6 ครั้งก็พอ
โดยทำ 3 ครั้งติดกัน

2. ท่าที่สองเรียกว่า ท่าโอริง
มือซ้าย - ใช้นิ้วชี้แตะนิ้วโป้ง ส่วนอีก 3 นิ้วเหยียดตรง หลังมือวางไว้ที่ขาซ้าย
มือขวา - คว่ำบริเวณหน้าขา ข้างขวา
การหายใจเข้า – ออก ให้หายใจเหมือนวิธีแรก

3. ในกรณีมีปัญหาที่พลังปั่นป่วน ต้องการปลดปล่อยพลัง
มือขวา - นิ้วชี้แตะโป้ง อีก 3 นิ้วเหยียดตรง หลังมือวางแตะที่ขาขวา
มือซ้าย - คว่ำบริเวณหน้าขา ข้างซ้าย
การหายใจเข้า – ออก ให้หายใจเหมือนวิธีแรก
เคล็ดการเพิ่มพลัง และการนั่งสมาธิ
สารชมรมศาสนาและการกุศล เรื่องที่ 462...เคล็ดการเพิ่มพลัง และการนั่งสมาธิ
หน้า 2 จาก 2 มงคล กริชติทายาวุธ
ประธานชมรมศาสนาและการกุศล

4. วิธีนั่งสมาธิที่ต้องการเพิ่มพลัง
มือทั้งสองต้องประสานกัน จะต้องให้นิ้วมืออื่นๆ สอดกัน โดยให้
นิ้วโป้งชนกัน (นิ้วโป้ง เป็นธาตุไฟ เป็นธาตุที่ช่วยก่อให้มีฤทธิ์เร็ว หรือเรียกพลังกลับคืน
ได้เร็ว เป็นเตโชกสิณอึกรูปแบบหนึ่ง การฝึกปรือในสายนี้ จะมีความร้อนเกิดขึ้น อารมณ์
อาจร้อนมากขึ้น อาจฉุนเฉียว โกรธง่ายขึ้น ก็ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะเป็นผลทีมักจะ
ติดตามมาเป็นปกติ)

 

อืม..น้องนิว ครับ เด่วจะช่วยอธิบายเพิ่มเติม
ประกอบความเข้าใจนะครับ. ตอนนี้ภาพรวมการหมุน
จักระของเรา ตรงจักระ ๑ หมุนดีแล้วแต่ว่าอาจร้อนเล็กน้อย
จักระที่ท้องก็หมุนๆวันอยู่ภายใน ส่วนตรงหน้าอกก็เรื่องหมุน
แต่ความรู้สึกเบาๆไม่ชัดเหมือนที่ท้อง ตรงหน้าฝากก็เริ่มรู้สึก
ชินแล้วและวงขยายของหน้าฝากก็ขยายกว้างมากขึ้นเลยหน้าตา
เราได้แล้วจะยังคงมีที่ชาๆหน่อยก็บริเวณริมผีปากบนแค่นั้น
โดยรวมๆก็ถือว่าไม่มีอะไรครับ..
ส่วนหลักการทั้งหมดรวมๆเป็นหลักการค่อนดีครับ สามารถ
ใช้ได้ปกติทั่วไปครับ...แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีแบบเห็นความ
แตกต่างชัดเจนนะครับ..ในหลักการที่ ๑ ที่นำมานั้นให้เปลี่ยน
ระบบหายใจผ่านแนวแกนของกระดูกสันหลังด้วยครับ..
โดยให้หายใจเข้าก่อนจนท้องพอง แล้วดันลมหายใจผ่านจักระ ๑
ย้อนมาตามแนวกระดูกสันหลังจนขึ้นจักระ ๗ ก่อนแล้วค่อยออกจมูกครับ
..
ส่วนวิธีการที่ ๒ และ ๓ ถ้าทำแล้ว ต่อไปกลัวจะเกิดเหตุการอย่างนั้น
ขึ้นอีก ให้หงายมือทั้งสองข้างบนหน้าตัก โดยที่ข้างหนึ่งให้นิ้วกลางมาแตะ
นิ้วโป้ และมืออีกข้างหนึ่งให้นิ้วนาง มาแตะที่นิ้วโป้..วิธีการนี้ก็จะเป็นการ
รับและถ่ายเทพลังงานส่วนเกินต่างๆออกจากร่างกายได้อัตโนมัติเช่นกันครับ..
ส่วนวิธีการที่ ๔ นั้นส่วนตัวไม่แนะนำให้ทำนะครับ...เพราะว่ามันจะไปกระตุ้น
ให้จิตเกิดการหมุนตัวแล้วไปสร้างประจุไฟฟ้าจนเกิดความร้อน
เป็นผลทำให้เกิดพลังงานคล้ายๆกสิณไฟภาคบังคับให้เกิดขึ้นมา
ซึ่งเป็นพลังงานที่ไม่ได้เกิดจากการที่ตัวจิตได้ฝึกฝนจนจิตมีกำลัง
จิตและสร้างขึ้นมาเป็นพลังงานกสิณได้จริงๆครับ
ซึ่งในอนาคตแล้วจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดีครับ..เพราะทำนานๆเข้า
จะไปปิดกั้นเรื่องการสร้างเมตตาที่ออกจากจิตเราด้วยครับ.
ให้เปลี่ยนเป็นหงายฝ่ามือออกทั้งสองข้าง และทำให้เวลาที่มีพระอาทิตย์ขึ้น
แล้วภานา โฮม มีณี ปัทเม ฮูม แรกจะจิ๊ดๆที่ผ่ามือก่อน พอชำนาญจะเกิด
ลมหมุนบนฝ่ามือได้ และพอชำนาญมากกว่านี้ ก็จะสามารถดึงพลังงาน
จากพระอาทิตย์ตรงนี้ ให้มาล้างจักระที่ ๗ ถึง จักระที่ ๑ ได้เองก็จะลด
อาการปั่นปวนของจักระที่เกิดในกรณีที่ ๓ ที่น้องนิวนำมาลงได้เองครับ.
และเป็นการเสริมเรื่องรักษาร่างกาย
ของเราได้โดยตรงและเสริมภูมิป้องกันจากการถูกพลังงานภายนอก
ต่างๆที่มารบกวนเราได้ด้วยครับ..ถ้าทำตอนกลางคือที่มีพระจันทร์
ก็จะเสริมเรื่องสมาธิและเสริมเรื่องการรักษาสภาพจิตใจให้สงบแล้วขึ้น
ซึ่งไม่ว่าตอนไหนให้เราหยุดถ้ารู้สึกว่าร้อนแสดงว่าเพียงพอแล้ว
ซึ่งถ้าเราทำได้ตรงนี้ข้อดีคือ
จะใช้เป็นเครื่องตรวจสอบระดับเมตตาในจิตเราได้ด้วยครับ..
และขอฝากคำเตือนไว้เป็นข้อคิดสะกิดใจเล็กน้อยครับ
เสือเฒ่ามีวิชาชอบแปลงตัวเป็นฤาษีหรือไม่ก็นักพรตหรือชีประขาว
แต่พอเราหลงกลไปแล้ว ก็จะกลายเป็นเสือและจับเรากินครับ..
.ปล. หวังว่าจะพอเข้าใจนะครับ.

 

น้องนิว

วิธีการที่ ๔ เป็นวิธีการหนึ่ง ในการดึงกำลังของธาตุ จากภายนอก มาเสริมให้กับกำลังธาตุภายในร่างกาย

หากมีกำลังของธาตุ มากเกินไป ต้องเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการ โดยจัดสมดุลกำลังธาตุในร่างกายให้เหมาะสม หากมีมากเกินไป ก็ต้องรู้จักการถ่ายเทกำลังส่วนเกินออกสู่ภายนอก เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว

ส่วนเรื่องความร้อนรุ่มทางจิตใจที่อาจเกิดมีขึ้นได้ ในทางปฏิบัติ ท่านว่า ให้ทรงพรหมวิหารธรรม กำกับไว้ด้วย ก็จะแก้ปัญหาในจุดนี้ได้จ้ะ เรียกว่าเปลี่ยนไฟร้อน ให้กลายมาเป็นไฟเย็น เสียเลย

ฝากให้น้องนิวเพื่อพิจารณาต่อไปจ้ะ

 

ขอบพระคุณพี่นพเป็นอย่างยิ่งคะ
สำหรับเทคนิค และคำเตือนที่ได้กล่าวไว้
ซึ่งการที่น้องนิว ไปค้นหาวิธี ที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น
เพราะรู้สึก เหมือน โดนดูดพลัง จาก พลังแฝง ยังไงไม่รู้ ก็เลยลองหาวิธีเพื่อสกัดกั้นการมาดูดพลังไป

แต่ก็มีข้อสงสัยอยู่บ้าง ไม่แน่ใจว่าจะกล่าวไว้ ณ ที่นี่ได้หรือเปล่า
การที่มีพลังแฝง มาดูดพลังจากเราไปนั้น อยากทราบว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เขาไม่สามารถสร้างพลังให้กับตัวเองได้หรอกหรือ

ถ้าเป็นวิญญาณ มาดูดไป ก็พอนึกได้อยู่บ้างว่า พวกนี้ เขา ไม่สามารถสร้างพลังให้แก่ตัวเองได้ ต้องไปอาศัยขโมยดูดจากคนอื่นไป

แต่พวกที่มีพลังอยู่แล้ว ทำไม ไม่เพิ่มพูนพลังนั้นด้วยตนเอง ใยต้องมาดูดพลังเราไปแบบนี้คะ

ไม่แน่ใจว่า ความสงสัย หรือ ความเข้าใจของน้องนิวผิด ถูกประการใดคะ

จะระวัง และมองให้ทะลุ ว่า เสือ อยู่ตรใหน จะได้ไม่หลงกล ให้เสือจับกิน อิอิอิ..

 

ขอบคุณพี่yooyut เป็นอย่างยิ่งคะ

 

เรียกว่า ดูด ก็ได้ เรียกว่าถ่ายเทพลังงานซึ่งกันและกันก็ได้ เรียกว่าคิดถึงกันก็ได้ เรียกว่ามาพึ่งพาอาศัยก็ได้ เรียกว่ามาเอาบุญด้วยก็ได้ เรียกว่ามาเอาหนี้ที่ติดค้างก็ได่้ ล้วนมาเพราะมีเจตนาจากผู้ที่มา หรือมาเพราะเจตนาของตัวเราเอง เพราะ อาจเป็นจิตวิญญาณของ เจ้ากรรมนายเวร ญาตพี่น้อง เพื่อนที่เคยอธิฐานจิตร่วมกันมา มันคือ ผลแห่งกรรม ของตัวเราเอง

ส่วนพวกที่มาดูด จากจิตของคนด้วยกัน จากพวกที่ฝึกจิตฝึกกายทิพย์มา พวกนี้ เป็นพวกเจตนาไม่ดี หรือ เขาอาจเจตนาไม่ดีแต่อยากให้ช่วย ก็มี
แบบว่า มาเพราะ มีเหตุปัจจัยแห่งการมา

ซึ่ง ต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้ก่อนครับ ถึงจะเข้าใจได้ครับ

 

ทีนี้ เรื่องมีอยู่ว่า ร่างกายคนเรา เหมือน แก้วน้ำใบหนึ่ง
สมมุติ เราอยากได้น้ำที่มีคุณภาพมากกว่าน้ำเดิมที่มีอยู่ ก็ต้องรู้จัก ถ่ายเทน้ำนั้นทิ้งไป แต่น้ำที่เราจะทิ้ง อาจเป็นประโยชนย์กับคนอื่นที่เขาอยากได้ เราก็ไม่ควรทิ้งเปล่า เราควรแผ่เมตตา ทำบุญทำทาน แก่คนอื่น เพื่อที่เราจะได้ไส่น้ำใหม่ที่ดีกว่ามีคุณค่ากว่าน้ำเดิมนั้น

น้ำนั้น คือ ปัญญา คือ การเจริญเติบโตของจิตวิญญาณ คือการเรียนรู้ของปัญญาญาณ นั่นเพราะ สิ่งไหนที่เรารู้แล้ว เราไม่ต้องแบก เพราะเรารู้แล้ว ยก แบ่ง แผ่ ทำบุญ ทำทาน แก่ คนอื่น มีประโยชน์กว่า

 

การคิดถึงกัน การสื่อสารกัน การติดต่อกัน นั่นคือการ แลกเปลี่ยนถ่ายเท พลังงาน หรือ บุญ หรือ ความคิด ความเข้าใจ ปัญญา อารมณ์ ความรู้สึก ระหว่างกัน โดยอัตโนมัติ โดยหลีกเลี่ยงมิได้ ระหว่าง คนต่อคน

ดังเพลงที่ร้องว่า ขอบคุณที่ไม่รู้จัก ม่ายรู้จัก นั่นเพราะ คุณรู้จักใคร ใครรู้จักคุณ ถึงคุณไม่รู้จักเขา เขาเคยเห็นคุณ เขาคิดอะไรยังไงกับคุณ ความคิดของเขาจะมาที่คุณทันที โดยที่คุณไม่ต้องคิดถึงเขาคนนั้น ก็ได้ นี่คือ จิตใจของมนุษย์

ถ้าคนที่รู้จักคุณ เขามีความทุกข์ มีปัญหา เขาก็คิดหาใครสักคน มาช่วยเขา แล้วถ้าเขาคิดถึงคุณ เขาคิดว่าคุณช่วยเขาได้ อิอิ คุณ ก็จะหลีกเลี่ยงมิได้ นั่นเอง

มิสเตอร์แอนเดอร์สัน มันหลีกเลี่ยง.....มิได้

 

แค่เขาอ่าน ตัวหนังสือที่มันออกมาจากจิตใจคุณ แล้วเขาคิด นั่นแหล่ะ แค่เขาอ่านแล้วคิด ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี มันจะถึงคุณ โดยทันทีทันใด

เพราะคนทุกคนมี เครื่อง รับรู้และเครื่องส่ง ภายในตัว ที่เรียกว่า อายตนะรับรู้ นั่นเอง กายใจ ยังไงล่ะเจ๊า

 

ดังนั้น การพูดอะไร กับใคร ถ้าเราพูดแล้ว มีประธาน กิริยา กรรม แลผู้รับผล และถ้าเรา สามารถจบเรื่อง ในประโยคนั้นไปเลย จะดีกว่า โดยไม่ต้อง ทำเป็นว่าตนเองฉลาด แล้วให้คนอื่นเอากลับไปคิด แบบนี้ ผิดถนัด

นั่นเพราะ ถ้าเขายังคงสงสัยและคิด เพราะ มีเราเป็นสาเหตุ อารมณ์ความคิดความรู้สึกทั้งหลาย ของคนอื่นๆ จะมาตกที่เรา โดยห้ามมิได้ นั่นเอง

ถ้าไม่อยากให้คนอื่นคิดถึงเรา ก็อย่าไปทำให้เขาคิดถึงเรา

ถ้าคนที่เรารู้จักเป็นคนไม่ดี มีแต่ทุกข์มีแต่ปัญหา นั่นแสดงว่า เราหนีไม่พ้น ความคิดถึงจากคนที่เขามีแต่ทุกข์มีแต่ปัญหาแน่นอน

วิธีแก้คือ ถ้าอยากให้เขาคิดดีส่งมาให้เรา เราก็ต้องทำให้คนคนนั้นเป็นคนดี ให้ได้

อิอิ ให้ได้ คือ คำตอบสุดท้าย นะคร๊าบบบบบบบบบบ

 

มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีคือ ทำให้เรา เรียนรู้ จิตใจของคนอื่น แล้วเราพัฒนาตนเอง เพื่อแก้ปัยหาจากจิตใจของคนอื่น คำตอบคือ แก้ได้ช่วยได้ แก้ไม่ได้ช่วยไม่ได้

มันจะเกิด อะไรขึ้นกับเราบ้างล่ะ อิอิ อีกเพียบ แก้ได้ก็จะดีเราเก่งแต่จะมีคนมาให้เราช่วยแก้อีกเพียบเรียงคิวกันมาเรย ถ้าแก้ไม่ได้ เราก็จะโทษตัวเองว่าเรายังไม่ดีพอต้องพัฒนาขึ้นอีกๆ อิอิ

ต้องถามว่า คุณพร้อมที่จะเป็นคนดี ในสายตาของคนอื่น หรือไม่
เพราะ มรรคแปด หรือความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ มันต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง แบบนี้นี่เอง

มันหลีกเลี่ยงมิได้หรอก มิสเตอร์แอนเดอร์สัน อิอิ

สรุป มันไม่มีหรอกข้อเสีย มันมีแต่ข้อดี อิอิ

 

อิอิ โลกแห่งความเป็นจริง ยินดีต้อนรับ ครับทุกท่าน
โลกแห่ง พลังงาน ที่รับรู้ตามจริง โดยอายตนะกายใจ

ดีไม่ดี ทุกข์ไม่ทุกข์ รับรู้กัน ได้โดยตรง ทุกคนต้องเรียนรู้เรื่องนี้ แบบ หลีกเลี่ยงมิได้

หนีไม่พ้นหรอก นะจ๊ะๆ

 

ทำไมต้องเรียนรู้ นั่นเพราะ จะได้พากันเข้าใจกันได้เสียทีว่า ดี คือดีอย่างไร ไม่ดีคือไม่ดีเพราะอะไร

มันคือ พลังงานความจริง ที่ไม่มี กายกรรม วจีกรรม มาหลอกลวง แต่มันคือ มโนกรรม ล้วนๆ ที่จะรู้ได้ตามจริง ครับ

ธรรมชาติดียังไงทุกคนรับรู้ แต่ คนดีเขาดียังไง นี่คือ ที่ต้องเรียนรู้

 

อย่าง จี้กง ถามว่า ท่านดีเพราะอะไร
กายกรรม วจีกรรม ไม่สามารถตัดสิน ว่า เขาเป็นคนดีหรือคนชั่ว
อย่างพ่อแม่ที่ตีลูก ดุด่าลูก

ครูที่ฝึกสอนลูกศิษย์
เจตนาหรือมโนกรรม ต่างหากที่ต้อง ทำความเข้าใจ

และเช่นกัน ตัวที่มาดูด จิตวิญญาณนั้น เจตนาต่างหาก คือสิ่งที่ต้องรู้ให้ได้

อย่าตีตนไปก่อนไข้ อย่าคิดไปเอง เพราะทุกเรื่อง ตนเองรู้ดีก่อนใคร อิอิ

ถ้าเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม จง ตั้งสติแล้วเรียนรู้มัน เราจะได้ไม่ถูกมันหลอก

 

บางคนเอาศีลมาวัด ก็แค่กายกรรม แต่มโนกรรม ไม่รู้ไม่เห็นว่าเขาคิดอะไรยังไง
บางคนเอาการแสดงออกมาวัด แต่ลับหลังเป็นยังไง ไม่รู้
บางคนเอาการแต่งตัว ฐานะมาวัด แต่ไม่สนใจเรื่อง มโนกรรมของเขา

อิอิ ต้อง เรียนรู้ นะครับ มันจำเป็น

 

แต่บางครั้งมโนกรรม เขาคิดยังไงก็ได้ แต่กรรมชั่วที่กายกระทำ เป็นตัวตัดสิน

เรื่องพวกนี้ เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ ครับ

เพราะความคิดของบางคนไม่มีเจตนาไม่มีอัตตาตัวตนเจือปน ก็เท่านั้น

แต่บางคนที่อ้าง ว่า ให้ดูที่ความคิด แต่กายกรรมชั่วสุดๆ มันก็อ้างเพื่อตนเองทั้งนั้น

นี่คือ สิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้ความจริง เจตนา อัตตาตัวตน นั่นเอง ตัวอวิชชา

 

อย่างคนที่ฝึกจิต ฝึกวิชา มันปิดเจตนา ของตนเอง กำบังกายใน ไม่ให้คนอื่นรู้

คนทั่วไปก็คิดว่ามันเก่ง น่าจะเป็นคนดี

แต่สำหรับผม ผมเห็นถึงสันดานของ พวกมัน ปิดบังผมไม่ได้หรอก อิอิ

ผมคือพญามารสำหรับคนชั่วทั้งหลาย

 

พวกฝึกจิต มันคิดว่า คนอื่นเห็นจิตมันดี สว่าง แต่ไม่เห็นกายกรรมของมัน ก็คิดว่ามันหลอกคนอื่นได้ แต่ หลอกผมไม่ได้ เพราะผม รับรู้พลังงาน เจตนา อัตตาตัวตนที่มันมีอยู่

อิอิ ผม ไม่ได้โม้

 

คนดี มองคนไม่ดี ว่า เขาไม่รู้ เขาเขลา เขาด้อยปัญญา ต้องช่วย

คนชั่ว มองคนที่ขัดขา ขัดคอ ขัดขวาง ว่า เป็นมาร เป็นศัตรู ต้องกำจัด

อิอิ คิดเอาเองก็แล้วกันนะครับ ผมคือ โคตรพญามาร

 

สรุป

ดังนั้นเห็นคนอื่นพูดอะไร อย่าพึ่งไปเชื่อ เพราะคนที่ก่อกรรมกับผมมันมีมาก
แล้วกว่าจะรู้ตัว ท่านก็ได้ ลงนรกไปแล้ว เพราะความด้อยปัญญาของตนเอง
ก็อย่าไปโทษคนอื่น เลย ให้โทษตนเอง ที่ด้อยปัญญาเอง

อิอิ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง