เจตสิกคืออะไร ต่างจากจิตอย่างไร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สันโดษ, 12 ธันวาคม 2008.

แท็ก: แก้ไข
  1. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    [​IMG]


    เจตสิกเป็นนามธรรมที่ไม่ใช่จิต แต่เกิดร่วมกับจิตแล้วก็ดับพร้อมกับจิต

    เจตสิก ได้แก่ โลภะ โทสะ เป็นต้น โทสะ คือ ความโกรธก็เป็นสภาพธรรม

    ที่มีจริงอย่างหนึ่ง โลภะเป็นสภาพที่ติดข้องต้องการ ก็เป็นสภาพธรรมอีก

    อย่างหนึ่ง แต่ทั้งโลภะและโทสะ...ไม่ใช่จิต

    จิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการรู้อารมณ์ (สิ่งที่ถูก

    จิตรู้) เช่น การได้ยิน เป็นต้น แต่ส่วนเจตสิกทั้งหลายนั้น บางเจตสิกก็เกิด

    กับจิตทุกประเภท บางเจตสิกก็เกิดกับจิตประเภทหนึ่ง ไม่เกิดกับจิตอีก

    ประเภทหนึ่ง เช่น โลภเจตสิกไม่เกิดร่วมกับโทสะมูลจิต

    จิตที่มีโลภะเจตสิกเกิดร่วมด้วย จะพอใจติดข้องในอารมณ์ จิตที่มี

    โทสะเจตสิกเกิดร่วมด้วย จะหยาบกระด้าง ขุ่นเคือง ไม่แช่มชื่น จิตที่มี

    โลภะเจตสิกเกิดร่วมด้วย และจิตที่มีโทสะเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นจิตต่าง

    ขณะและต่างประเภท เพราะประกอบด้วยเจตสิกที่ต่างกัน

    เจตสิกเป็นนามธรรมต่างๆ ชนิด ที่เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต ทำให้

    จิตต่างกันเป็น ๘๙ ประเภท หรือที่เรียกว่า ๘๙ ดวง ไม่ว่าจะเป็นจิตของพระ

    อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจิตที่โลกจักรวาลไหนๆ ทั้งสิ้น พระผู้มีพระ

    ภาคทรงประมวล และทรงจำแนกจิตทั้งหมดออกเป็น ๘๙ ประเภท ส่วน

    เจตสิกทั้งหมดนั้นมี ๕๒ ประเภท เจตสิกบางประเภท เกิดได้กับทั้งจิตที่ดี

    และจิตทีไม่ดี เจตสิกบางประเภท เกิดได้กับจิตที่ดีเท่านั้น และเจตสิกบาง

    ประเภทก็เกิดได้เฉพาะกับจิตที่ไม่ดีเท่านั้น


    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ต่อสิ กำลังอยากอ่าน
     
  3. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    จิต ทั้งหมดมี ๘๙ ดวง หรือ ๑๒๑ ดวงโดยพิเศษ ซึ่งรวมทั้ง
    จิตของพระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน และ ปุถุชน
    รวมทั้งจิตของบุคคลในโลกมนุษย์ และในสวรรค์ รวมทั้งจิตของรูปพรหม
    บุคคลในรูปพรหมภูมิ และอรูปพรหมบุคคลในอรูปพรหมภูมิ รวมทั้งจิตของ
    บุคคลในอบายภูมิ ๔ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย ดิรัจฉาน
    เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงจำแนกเป็นจิต ๘๙ ดวง
    หรือ ๑๒๑ ประเภทโดยพิเศษ เจตสิกมี ๕๒ ประเภท หรือที่เรียกว่า ๕๒
    ดวง รูปมี ๒๘ รูป

    ที่มา http://www.dhammahome.com




    *** ใน มนุษย์ 1 ร่าง (เพิ่มเอง)
     
  4. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ทราบได้อย่างไรว่า มีการเวียนว่ายตายเกิด แตกดับไปแล้ว ทราบได้อย่างไรว่า จะต้องไปเกิดในภูมิอื่น ดูเหมือนเป็นเรื่องไม่จริง


    ดูเหมือนเป็นเรื่องไม่จริง หรือดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ หรือดู
    เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะไม่เห็น แต่ถ้าพิจารณาในเหตุ และใน
    ผลย่อมสามารถที่จะรู้ได้ว่า จิต เจตสิก รูป เมื่อวานนี้อยู่ที่ไหน จิต
    เจตสิก รูป เมื่อเดือนก่อนอยู่ที่ไหน จิต เจตสิก รูป เมื่อปีก่อนนั้นอยู่
    ที่ไหน จิต เจตสิก รูป เมื่อ ๑๐ ปีก่อนนั้นอยู่ที่ไหน จิตทุกขณะนี้เกิด
    ขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไป ที่ใช้คำว่าสังสาระ คือ วนเวียนเกิด
    ขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะมีจิตเห็นอย่าง
    เดียวหรือขณะเดียวไม่ได้ จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตคิดนึกก็
    เช่นเดียวกัน เมื่อวานนี้ก็อย่างนี้ วันนี้ก็อย่างนี้ พรุ่งนี้ก็อย่างนี้ จิต
    แต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้น และดับไป ต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น จิตเมื่อวาน
    นี้เกิดดับสืบต่อกัน จิตขณะนี้ก็เกิดดับสืบต่อกัน การดับไปของจิตดวง
    ก่อนเป็นอนันตรปัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้นไม่รู้จบ ฉะนั้น ไม่มีใครจะ
    ยุติสภาพการเกิดดับสืบต่อกันของจิตในสังสารวัฏฏ์ได้ ในเมื่อเหตุยังมีอยู่
    ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์นั้น เมื่อจุติจิตดับไปแล้ว ปฏิสนธิจิตต้องเกิด
    สืบต่อ ถ้าเป็นผู้ไม่เชื่อในเหตุ และในผล ก็จะคิดว่าไม่มีเหตุที่จะทำ
    ให้จิตเกิด แต่ตามความเป็นจริงนั้น ธรรมทั้งหลายที่เกิดต้องมีปัจจัย
    ปรุงแต่ง มีเหตุที่จะทำให้เกิดจึงเกิดได้ เมื่อใดที่ดับเหตุปัจจัย คือ ถึง
    จุติจิตของพระอรหันต์ก็ปรินิพพาน ดับเหตุปัจจัยที่จะให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น
    เมื่อจุติจิตของพระอรหันต์ดับ จึงไม่มีปฏิสนธิจิตอีกต่อไป ฉะนั้น
    ตราบใดที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ต้องมีปฏิสนธิจิตเกิดต่อจากจุติจิต


    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  5. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ถาม จิตอยู่ส่วนไหนของร่างกาย บางคนว่าจิตอยู่ที่มันสมอง บางคน

    ว่าอยู่ในหัวใจ จริงหรือไม่

    ตอบ จิตมีที่เกิด ๖ ที่ เรียกว่า " วัตถุ ๖ " เป็นรูป ๖ รูป คือ

    จักขุปสาทรูป เป็นที่เกิดของ จักขุวิญญาณ จิตเห็นในขณะนี้

    โสตปสาทรูป เป็นที่เกิดของ โสตวิญญาณ จิตได้ยินในขณะนี้

    ฆานปสาทรูป เป็นที่เกิดของ ฆานวิญญาณ จิตที่ได้กลิ่น

    ชิวหาปสาทรูป เป็นที่เกิดของ ชิวหาวิญญาณ จิตที่ลิ้มรส

    กายปสาทรูป ที่ซึมซาบอยู่ทั่วร่างกาย เป็นที่เกิดของ
    กาย

    วิญญาณจิต
    ในขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    ซึ่งเย็นบ้าง หรือ ร้อนบ้าง หรือ อ่อนบ้าง

    หรือ แข็งบ้าง

    หทยวัตถุ เป็นวัตถุที่ ๖ เป็นที่เกิดของ จิตอื่น ๆ นอกจากนี้




    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  6. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    จิตปภัสสร หมายความถึง ภวังคจิต และในบางแห่งหมายถึง กุศล

    จิตด้วย ฉะนั้น บางขณะกุศลไม่ประกอบด้วยปัญญา แต่ในขณะนั้น

    ไม่มีอกุศลเกิดร่วมด้วย จึงเป็นปภัสสร



    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  7. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    จิตจะสงบได้เมื่อมีปัญญา เพราะว่าความสงบไม่ใช่อยู่คนเดียว แต่

    ความสงบเป็นขณะที่จิตใจไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ อกุศลใดๆ และพร้อมกัน

    นั้นถ้าการอบรมเจริญสมถภาวนาให้สงบขึ้น ต้องประกอบด้วยปัญญา


    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  8. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ภาษาบาลีไม่มีคำว่า ใจ แต่มีคำว่า จิตฺตํ ฉะนั้น ภาษาไทยใช้คำว่า จิตใจ

    หมายความว่าใช้คำเดิม แล้วก็เพิ่มภาษาไทยเข้ามาด้วย บางครั้งอาจจะ

    ใช้เพียงคำว่า ใจ บางครั้งอาจจะใช้เพียงคำว่า จิต แต่ว่า จิตนั้นก็หมายถึง

    สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ใช้คำว่า จิตก็ได้ ใจก็ได้ หทยะก็ได้

    วิญญาณก็ได้ มนัสได้ มโนได้ หมายความถึง จิตทั้งหมด


    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  9. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    เฉยๆก็เป็นจิต ถ้าไม่มีจิตก็เฉยไม่ได้ แต่ว่าความรู้สึกเฉยๆนั้น เป็นเวทนา

    เจตสิกที่เกิดกับจิต จิตเป็นแต่เพียงสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้

    และมีเจตสิก ๕๒ ประเภท เจตสิกรู้อารมณ์ด้วย จิตเป็นสภาพรู้เป็นใหญ่

    เป็นประธาน เป็นมนินทรีย์



    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  10. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    กลั้นลมหายใจ ก็ยังมีเห็น ยังมีได้ยิน ฉะนั้น ก็ยังมีจิตอยู่ ไม่มีใครที่จะ

    สามารถดับจิตได้เลย ต้องเป็นผู้ที่ได้ฌานสมาบัติขั้นสูงที่จะเข้านิโรธสมาบัติ

    ได้จึงจะดับจิตเจตสิกได้ ก่อนที่จะถึงปรินิพพาน


    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  11. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ขณะนี้จิตเกิดดับสืบต่อกันเร็วมาก ถ้าศึกษาในวิถีจิต พระผู้มีพระภาค

    ทรงแสดงไว้โดยละเอียดทีเดียวว่า หลังจากที่ปฏิสนธิจิตดับไปแล้วภวังคจิต

    เกิดสืบต่อ ไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีการได้กลิ่น ไม่มีการลิ้มรส ไม่

    ไม่มีการกระทบสัมผัส ไม่มีการคิดนึก ลักษณะของภวังค์จะเห็นได้ชัดใน

    ขณะนอนหลับ แต่ขณะนี้ไม่หลับ เพราะฉะนั้น เป็นจิตประเภทหนึ่งซึ่งเห็น

    ไม่ใช่ภวังคจิต และในขณะที่ได้ยิน ก็เป็นจิตประเภทหนึ่งซึ่งได้ยิน แต่จิต

    เห็นกับจิตได้ยินก็ห่างกันมากทีเดียว ไม่ใช่ว่าเกิดใกล้เคียงกัน อย่างที่ดู

    เสมือนว่าไม่ดับเลย ถ้าจิตเห็นกับจิตที่ได้ยินสามารถที่จะเกิดดับช้า ๆให้ทุก

    คนเห็น ก็จะไม่มีใครสงสัยในลักษณะของจิตซึ่งเป็นสภาพรู้ ที่เกิดขึ้นแล้วก็

    ดับไป

    ด้วยเหตุนี้ จึงต้องฟังแล้วพิจารณาว่า จิตมีจริง ขณะที่เห็นเป็นจิต

    ประเภท หนึ่ง ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ขณะที่ได้ยินก็มีจริงเป็นจิตอีกประเภท

    หนึ่ง ไม่ใช่เรา แต่การที่จะรู้ว่าจิตใดเกิดดับสืบต่อกันอย่างไรนั้น เป็นปัญญา

    ขั้นฟัง เพียงแต่เริ่มที่จะเข้าใจ แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังว่า ลักษณะอาการ

    ของการเห็นที่กำลังมีอยู่ และที่ว่า เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้

    เพราะว่ากำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งถ้าเป็นคนตายแล้วก็ไม่เห็น เพราะ

    ฉะนั้น ลักษณะเห็นขณะนี้มีจริงๆ แล้วก็เป็นอนัตตา แล้วก็เป็นลักษณะ

    กิจการงานของจิตชั่วขณะที่เห็นด้วย ค่อยๆศึกษา ค่อยๆพิจารณา ค่อยๆเข้า

    ใจเพิ่มขึ้น ทีละเล็กละน้อย เพราะว่า การอบรมเจริญปัญญานั้นเป็นจิรกาล

    ภาวนา เป็นการที่จะต้องอบรม เจริญไปจนกว่าปัญญาจะสมบรูณ์ ซึ่งจะต้อง

    อาศัยกาลเวลาที่นานมากทีเดียว เพราะส่วนใหญ่แล้ว จะตอบว่ามีจิต แต่ไม่

    ทราบว่าขณะนี้จิตอยู่ที่ไหน แต่ถ้าทราบว่า
    กำลังเห็นเป็นจิต กำลังได้ยินเป็น

    จิต ตลอดวันเป็นจิต ซึ่งเกิดดับสืบต่อตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ และจิตที่ดับ

    ไปแล้ว ก็ดับไปเลย ไม่ใช่กลับมาเกิดอีก


    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  12. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    เวลาที่อกุศลจิตจะเกิดขึ้นแต่ละขณะ

    จะต้องมีอกุศลเจตสิก ๔ ดวง เกิดร่วม คือ

    โมหเจตสิก ๑
    อหิริกะเจตสิก ๑
    อโนตตัปปะเจตสิก ๑
    อุทธัจจะเจตสิก ๑
    เจตสิก ๔ ดวงนี้จะเกิดกับอกุศลจิตทุกดวง แต่โมหะเป็นหัวหน้า

    เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า โมจตุกะ หมายความว่า หมวดของโมหะ ซึ่ง

    ประกอบด้วยเจตสิกอีก ๓ ดวง รวมเป็น ๔ ดวง เพราะฉะนั้น โมจตุกะ

    มี ๔ คือ โมหเจตสิก ๑ อหิริกะเจตสิก ๑ อโนตตัปปะเจตสิก ๑

    และ อุทธัจจะเจตสิก ๑


    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  13. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    จะเข้าใจอรรถที่ว่า “ความสงบในภายใน”

    เพราะจิตไม่ได้ออกไปยุ่งเกี่ยวภายนอกซึ่งเป็นตัวตน คน สัตว์เลย​

    ไม่มีโลกเก่าซึ่งเป็นโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยผู้คน วัตถุ สิ่งต่างๆ ที่เคยยึดถือว่า​

    เป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ อย่างเที่ยงแท้ถาวร​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2008
  14. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    แต่ว่าสติเกิดขณะใด ปัญญารู้ชัดขณะนั้น จึงเป็นความสงบภายใน

    เพราะไม่มีคน สัตว์ วัตถุใดๆ ที่ไม่สงบ เพราะคนเยอะ มีเรื่องมาก
    ถ้าเป็นบุคคลที่เคยมีความสัมพันธ์หรือมีเรื่องราวที่เคยเกี่ยวข้องกัน

    พอเห็นนิดเดียวก็ต่อเป็นเรื่องยาว แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักเรื่องก็สั้น

    พอเห็นก็คิดนิดเดียวก็หมดแล้ว ไม่ได้ติดตามไปเป็นเรื่องราวต่างๆ
    เมื่ออบรมเจริญปัญญาจริงๆ
     
  15. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    จะเห็นพระคุณของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด

    ตั้งแต่ขั้นปาติโมกขสังวรศีล ความประพฤติทางกายและทางวาจาที่ควรแก่สมณะ คือ

    เพศบรรพชิตผู้สงบ
    แม้แต่การมองก็มองชั่วแอกเพื่อให้ระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ควรต่อเรื่องให้ยืดยาว

    เมื่อเห็นแล้วก็ไม่ควรคิดวิจิตรเป็นคนนั้นเป็นคนนี้ เรื่องนั้น เรื่องนี้มากมาย
    เมื่อเห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นเพียง “เห็น” จะชั่วแอกหรือไม่ชั่วแอกก็ตาม เห็นแล้วก็จบ

    ขณะนั้นก็จะไม่ผูกพันธ์เยื่อใยในนิมิต อนุพยัญชนะ
    เมื่อปัญญารู้ชัดจริงๆ ว่าที่เคยเห็นเป็นโลกภายนอกมีคนมากมายนั้น ก็เป็นเพราะคิด

    ถ้าไม่คิด เพียงเห็นแล้วก็หมด จะมีคนเยอะไหม แต่เพราะเคยคิดมานาน

    เพราะฉะนั้น ก็ย่อมคิด แล้วแต่ว่าจะคิดอะไร​
     
  16. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    แม้ว่าจะเห็นสิ่งเดียวกัน แต่ละคนคิดไม่เหมือนกันเลยตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา

    เช่น เห็นดอกไม้ ท่านหนึ่งพอใจว่าสวย อีกท่านหนึ่งว่าไม่สวย

    ฉะนั้น สวยหรือไม่สวยจึงเป็นความคิดของแต่ละคน
    โลกที่แท้จริงจึงเป็นโลกของความคิดของแต่ละบุคคล

    เมื่อสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมจริงๆ
     
  17. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ก็จะรู้ชัดว่าขณะนั้นเป็นนามธรรมที่กำลังคิดเรื่องต่างๆ เท่านั้น

    ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตาม

    เมื่อรู้ลักษณะของนามธรรมที่คิด

    ก็รู้ว่าเรื่องราวที่เป็นคน สัตว์ต่างๆ ไม่มีจริงๆ

    ขณะที่เป็นทุกข์กังวลใจ ก็รู้ว่าทุกข์เพราะความคิด

    ขณะที่เป็นทุกข์ก็โดยนัยเดียวกัน

    ขณะที่ดูโทรทัศน์เรื่องที่ชอบใจ ก็เป็นสุขเพราะคิดตามภาพที่เห็น

    ฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ก็อยู่ในโลกของความคิดนึกนั่นเอง

    โลกแต่ละขณะจึงเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตา ทางหู

    ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็คิดนึกต่อทางใจ เป็นเรื่องราวต่างๆ เท่านั้นเอง

    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  18. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    ทุกขณะที่จิตดับเป็นการตายของจิต

    ที่เราเรียกว่าตายนั้น ความจริงไม่ได้ต่างอะไรกันเลยกับสภาพที่เป็นไปทุก
    ขณะจิตนี้เอง ทุกขณะที่จิตดับไปก็เป็นการตายของจิต จิตทุกดวงเกิดขึ้น
    แล้วก็ดับสิ้นไป ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดจิตดวงต่อไป เมื่อจิตดวงสุดท้ายของ
    ชาตินี้ คือ จุติจิตดับไปแล้ว จิตดวงแรกในชาติต่อไป คือ ปฏิสนธิจิตก็เกิด
    ต่อ ไม่มีตัวตนเลยสักขณะเดียวในชีวิต ฉะนั้น จึงไม่มีอัตตาตัวตนที่ท่อง
    เที่ยวไปจากชาตินี้สู่ชาติหน้า

    ที่มา http://www.dhammahome.com
     
  19. สันโดษ

    สันโดษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9,940
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,870
    และ ทั้งหมด ที่กล่าว ก็ คือ จิตในตัวคุณเอง

    จิตในร่างของคุณ ไม่รู้ว่า ตัวของเขา........มีจริงเเต่ไม่ใช่ ตัวตน นะเอย นะเอย
     
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    [​IMG]

    ชิมิ ชิมิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...