เซนและศิลปะการวาดภาพ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 1 มิถุนายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,027
    <center>[SIZE=+3]เซนและศิลปะการวาดภาพ[/SIZE]
    ภิกษุณีอ๊กบง ซูนิม *
    </center>

    การวาดรูปคือ การทำสมาธิภาวนา

    สำหรับข้าพเจ้า การวาดรูปคือการทำสมาธิภาวนา ทันทีที่ข้าพเจ้าจับพู่กัน ข้าพเจ้าไม่รู้สึกต่างไปจากการทำสมาธิภาวนา เวลาที่ข้าพเจ้าวาดรูปนั้นในใจข้าพเจ้าไม่มีที่ว่างให้แก่ความคิดวอกแวกต่างๆ ที่อาจจะผุดขึ้นมาได้เลย ใจของข้าพเจ้าปลอดจากความคิดใดๆ ทั้งสิ้น จะมีก็แต่เพียงรูปที่กำลังวาดอยู่ มันเป็นสมาธิภาวนาโดยนึกถึงความคิดเพียงหนึ่งเดียว หากใครคนหนึ่งทำสมาธิภาวนาโดยนึกถึงฮวาดู แล้ว คนคนนั้นจะรู้ว่าการวาดรูปและการนึกถึง ฮวาดู เป็นสิ่งเดียวกัน การนึกถึง ฮวาดู และจดจ่อกำหนดจิตอยู่กับการวาดรูป และการวาดรูปนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน
    แม้จะพักอยู่แฟลต แต่ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตนเช่นเดียวกับช่วงที่ข้าพเจ้าอยู่สำนักภิกษุณี คือข้าพเจ้าจะตื่นเองตอนเวลาตีสาม หลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้วข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิภาวนา เสร็จแล้วข้าพเจ้าจะทานอาหารเช้าและทำกิจวัตรประจำวันต่อ ตอนเย็นเป็นช่วงที่ค่อนข้างเงียบ ข้าพเจ้าจึงสวดมนต์และทำสมาธิภาวนาอีกรอบหนึ่ง
    บางครั้งข้าพเจ้าจะวาดรูปทั้งวัน ในแง่หนึ่งมันก็เหมือนกับว่าข้าพเจ้าทำสมาธิภาวนาทั้งวันนั่นเอง ข้าพเจ้าจดจ่ออยู่กับการวาดรูปเป็นอันมากจนไม่รู้ว่าเวลาทั้งวันหมดไปแล้ว หากรู้สึกเพลียมากข้าพเจ้าจะวาดรูปไม่ได้ แต่ถ้าไม่เหนื่อยมาก็จะจับพู่กันวาดรูปอีกเมื่อมีคนขอให้ข้าพเจ้าสอนวาดรูป ข้าพเจ้าก็จะสอนเขา

    ดำรงความตั้งใจให้มั่น

    เวลาสอนนักเรียนข้าพเจ้าจะเริ่มด้วยหลักเบื้องต้น คนสมัยนี้มีความสามารถพิเศษ พวกเขาจึงเข้าใจอะไรไอย่างรวดเร็วและสามารถประยุกต์คำแนะนำไปใช้ได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าผิดหวังคือพวกเขามีความอดทนน้อย หากท่านเริ่มทำการใดๆ ท่านจะต้องบากบั่นทำไปจนเสร็จ หากท่านจับพู่กันท่านจะต้องวาดต่อไปเรื่อยๆ ลองแล้วลองอีก การวาดรูปต้นไม้ที่สง่างามสี่ชนิด (กล้าวยไม้ ต้นไผ่ ดอกพลัม และต้นดอกเบญจมาศ) นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากท่านต้องการวาดให้ได้ดี ท่านจะต้องลองวาดแล้ววาดอีกหลายรอบ ความพยายามเป็นเรื่องสำคัญ ปัจจุบันนี้ผู้คนจะลองทำนิดหนึ่งแล้วก็เลิกไปอย่างนี้เรียกว่า "ท่าดีทีเหลว" ในตอนแรกข้าพเจ้าจะถามพวกเขาว่าพวกคุณจะวาดรูปไปจนถึงอายุหกสิบหรือเจ็ดสิบปีหรือเปล่า และพวกเขาก็จะตอบว่าแน่นอน แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาจะมีเหตุผลมากมายที่ต้องทำให้เลิก เช่น ไม่มีเวลา งานเยอะ หรือเป็นเพราะเรื่องโน้นเรื่องนี้
    การเป็นจิตรกรหรือศิลปินนั้นท่านจะต้องประคองจิตใจให้ต่อเนื่องเหมือนตอนเริ่มต้น แม้ว่าท่านจะไม่จับพู่กันวาดรูปทุกวันก็ตามแต่ละสัปดาห์ท่านจะต้องวาดรูปให้ได้คืนละประมาณสิบถึงยี่สิบนาที เช่นวาดรูปเล่นๆ บนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ใช้แล้ว เป็นต้น หากท่านทำเช่นว่ามานี้ทักษะนี้ก็จะอยู่กับท่านและมันจะอยู่ติดตัวท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องฝึกเป็นเวลานาน แม้ในตอนที่ท่านทำธุระอื่นๆ มากมายแต่ท่านไม่ควรละทิ้งความตั้งใจมั่นและความรู้ตัวที่จะวาดภาพ

    สำรวมใจ

    ทำใจให้สงบและเป็นสมาธิ ท่านจะวาดรูปไม่ได้หากในใจท่านฟุ้งซ่านและสันยุ่งเหยิง จิตใจท่านจะต้องสงบและสำรวม ก่อนวาดรูปให้ทำสมาธิภาวนาสักครู่เพื่อสำรวมและทำใจให้สงบ หากใจท่านสงบแล้วการวาดรูปก็จะไม่มีปัญหา ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากจิตใจ ทุกสิ่งทุกอย่างก็คือจิตใจ ดังนั้นภาพวาดจึงเป็นจิตใจด้วย หากจิตใจว้าวุ่นไม่สงบ รูปที่วาดออกมาก็จะเป็นเช่นเดียวกับใจ จิตมีหนึ่งเดียว ธรรมทั้งหลายคืนสู่ความเป็นหนึ่งอย่างที่มันเป็นอยู่
    พุทธศาสนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฎตามธรรมชาติ เป็นเรื่องการตื่นตัวรับรู้ธรรมชาติเดิมแท้ของเรา และการวาดรูปก็เป็นการแสดงออกของตัวเรา ถึงภาวะจิตใจของเรา ศิลปินแต่ละคนแสดงออกถึงลักษณะนิสัยของพวกเขาตามที่เป็น เมื่อเราผลิตผลงานออกมาจากสภาพจิตใจที่สงบนิ่ง เราก็ได้ภาพที่สงบที่ไม่มีทั้งฉันหรือเธอ
    หากงานที่วาดออกมาจากจิตที่เป็นสมาธิ งานที่ปรากฏก็จะแสดงให้เห็นสภาพเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากจิตใจมีความสงบลุ่มลึกและนิ่งแล้วละก็ฮวาดูจะเป็นอย่างไร ฮวาดูบอกให้รู้อย่างชัดแจ้งว่าคืออะไร หากในขณะนั้นท่านถือพู่กันที่มีสีอยู่ ท่านก็จะวาดด้วยจิตที่เป็นสมาธิ

    ต้นไม้อันสง่างามทั้งสี่


    ในช่วงวัยเยาว์ ข้าพเจ้าชอบเรียนศิลปะการเขียนตัวอักษรและมีโอกาสได้เรียนกับอาจารย์คนเก่ง ข้าพเจ้าเริ่มเรียนวาดรูปเมื่ออายุ ๑๕ ปี สิ่งที่ข้าพเจ้าวาดนั้นไม่ใช่ทั้งแบบตะวันออกหรือตะวันตก มันเป็นสิ่งที่เรียกกันว่าต้นไม้อันสง่างามทั้งสี่ หมายถึงกล้วยไม้ ต้นไผ่ดอกพลัมและต้นเบญจมาศ ข้าพเจ้าวาดต้นไม้ทั้งสี่นี้มาตลอดชีวิต
    ต้นไม้ทั้งสี่นี้มีความหมายมากมาย หากท่านวาดรูปกล้วยไม้แม้ในใบหนึ่งก็จะมีความสมบูรณ์และเป้าหมาย มันแสดงออกถึงธรรรมชาติและยังเป็นสิ่งที่สวยงามยิ่งอีกด้วย มีกล้วยไม้พิเศษชนิดหนึ่งที่หากเราเอามาไว้ในห้องแล้วมันจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วแม้คนที่อยู่นอกห้องก็ได้กลิ่น กล้วยไม้อวดความสวยงาม ธรรมชาติและกลิ่นหอมโดยไม่ต้องสนใจการยอมรับหรือการปฏิเสธ
    ส่วนต้นไผ่นั้นตั้งตรงและมีสีเขียว และก็ดำรงอยู่อย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ลำต้นตั้งตรงและสีเขียวของมันไม่เคยเปลี่ยนแปรไม่ว่าจะเป็นฤดูฝน ร้อน หรือหนาว มันจะเป็นของมันอย่างนั้นตลอด ในจำนวนต้นไม้ทั้งสี่นี้ ต้นไผ่มีความแข็งแรงและมีเอกลักษณ์เฉพาะตนมากที่สุด เราใช้ต้นไผ่ทำขลุ่ยมานานแล้วเพราะมันเป็นวัสดุที่ให้เสียงเพราะที่สุด
    ดอกพลัมมีความพิเศษเพราะมันจะบานอยู่บนกิ่งก้านที่ไร้ใบในช่วงปลายฤดูหนาวหรือแม้ในช่วงที่หิมะตกอันเป็นช่วงที่ต้นไม้ทั้งหลายไร้ใบ ไม่มีสีเขียวหรือสีใดๆ ให้เห็นเลย ความคงที่ของดอกพลัมนั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะไม่ว่าจะเหน็บหนาวสักเพียงใด ต้นพลัมก็จะผลิตดอกเสมอ
    ต้นเบญจมาศมีความพิเศษเพราะมันจะออกดอกหลังจากที่ดอกไม้อื่นๆ ร่วงโรยกันหมดแล้วในฤดูใบไมัร่วง และมันจะบานหลังจากจุดเยือกแข็งแรกของต้นฤดูหนาว
    ต้นไม้ทั้งสี่มีลักษณะเฉพาะตนและเป็นสัญลักษณ์ของความงามความมั่นคง และความสมบูรณ์
    ในช่วงวัยเยาว์ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเมืองที่มีจิตกรชื่อดังอยู่ถึงสี่ท่าน ท่านหนึ่งบอกข้าพเจ้าว่าอย่าไปจำกัดตัวเองอยู่แค่การวาดรูปต้นไม้เพียงสี่ต้นเท่านั้น และให้วาดรูปภูเขาและแม่น้ำด้วย อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าคิดว่าวาดรูปต้นไม้สี่ต้นก็เพียงพอแล้ว
    จริงๆ แล้วการวาดต้นไม้สี่ต้นนี้ต้องใช้ความเข้มแข็งอดทนมากมาย ท่านอาจจะเห็นแต่ภาพที่วาดด้วยหมึกสีดำและคิดไปว่ามันทำได้ง่าย แต่ใบไม้แต่ละใบจะต้องมีชีวิต ถ้ามันตาย ภาพก็ใช้การไม่ได้ใบแล้วใบเล่าแต่ละใบต้องมีชีวิต และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการวาดต้นไม้เหล่านี้ถึงเป็นการทำงานที่คุ้มค่า ผู้ที่มีพรสวรรค์ในการวาดต้นไม้ทั้งสี่นี้มีอยู่น้อยมาก ตอนที่ข้าพเจ้าเรียนกับอาจารย์นั้นเราเริ่มเรียนด้วยกันห้าคน แต่มีเฉพาะข้าพเจ้าเท่านั้นที่ยังคงวาดรูปเหล่านี้ตลอดมา

    วาดรูปอีกครั้ง

    ข้าพเจ้าบวชเป็นภิกษุณีในช่วงอายุ ๓๕ และตอนนี้ข้าพเจ้าอายุ ๘๐ ปีแล้ว ข้าพเจ้าอุปสมบทหลังจากวาดรูปมาแล้วหลายปี ช่วงนั้นเป็นช่วงหลังจากที่เกาหลีได้รับการปลดปล่อยจากญี่ปุ่นซึ่งตามมาด้วยสงครามเกาหลี เกาหลีเคยเป็นประเทศเดียว ต่อมาในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่สองก็ถูกแบ่งแยกเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้จากนั้นเกาหลีเหนือก็รุกรานเกาหลีใต้และเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดสงครามเกาหลีขึ้น มีการเข่นฆ่าและความทุกข์เกิดขึ้นมากมาย แม้แต่คนเกาหลีก็ฆ่าพวกเดียวกันเอง ข้าพเจ้าพรั่นพรึงต่อสิ่งที่ได้ประสบและเริ่มไม่ชอบที่จะอยู่ในโลกที่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
    เมื่อสงครามสิ้นสุดลง เกาหลีถูกแบ่งแยกเป็นสองโดยใช้เส้นแบ่งเขตแดน ข้าพเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แม้เพียงวันเดียวในโลกเช่นนั้น ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอุปสมบทเป็นภิกษุณีที่ศาลาตงก๊ก ซา ซึ่งเป็นสถานที่ศึกษาพระสูตร ข้าพเจ้าตัดสินใจฝึกทำสมาธิภาวนา ทิ้งพู่กันและสีและเดินทางไปฝึกสมาธิภาวนาตามที่ต่างๆ
    อีกสามปีต่อมาหลังจากที่พำนัก ณ สถานปฏิบัติธรรมซกนัมซา (สำนักภิกษุณีเซนใกล้เมืองพูซาน ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศเกาหลีใต้) เพื่อฝึกสมาธิภาวนาอยู่หลายฤดู ข้าพเจ้าเริ่มมีอาการปวดหัวเข่าอย่างรุนแรง มันปวดมากจนข้าพเจ้าไม่สามารถนั่งหรือก้มกราบได้และแทบจะเดินไม่ได้เลย ข้าพเจ้าเดินทางไปรักษาตัวที่กรุงโซล และมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ตอนที่เป็นภิกษุณีนั้นข้าพเจ้าไม่ได้สนใจเรื่องเงินทองเลย แต่ตอนนี้มีความจำเป็นต้องใช้เงินรักษาตัว เพื่อนฝูงจึงแนะให้ข้าพเจ้าจัดงานแสดงภาพวาด
    การป่วยทำให้ข้าพเจ้าหันมาวาดรูปอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าทุ่มเทกายใจทั้งหมดกับการวาดภาพมากมาย และภาพที่นำออกมาแสดงนั้นก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี หลังจากงานแสดงภาพข้าพเจ้าหวังว่าโรคที่รักการรักษาจะหาย และข้าพเจ้าต้องการกลับไปทำสมาธิภาวนาต่อที่ภูเขา แต่ขาของข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้หายขาด ส่วนหลังของข้าพเจ้าก็กลับปวดมากขึ้น การรักษาทำให้ข้าพเจ้าดีขึ้นบ้างแต่ไม่ได้รักษาโรคของข้าพเจ้าแต่อย่างใด
    ข้าพเจ้ามีลูกศิษย์ที่ติดตามข้าพเจ้าตั้งแต่ตอนที่เธอจบโรงเรียนประถมและข้าพเจ้าต้องอยู่ช่วยเหลือเรื่องการเรียนของเธอที่กรุงโซลตอนนี้เธอเรียนขั้นมหาวิทยาลัยแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าเนื่องจากเธออยู่ในความรับผิดชอบของข้าพเจ้า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงต้องดูแลเรื่องการศึกษาให้ข้าพเจ้าจึงพำนักอยู่ที่กรุงโซลวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า และตอนนี้ข้าพเจ้าก็ยังอยู่ที่นี่ เมื่อสี่ปีที่แล้วหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงภาพวาดของข้าพเจ้า ตอนแรกข้าพเจ้าบอกไปว่าทำไม่ไหวแล้ว แต่ในที่สุดก็ตกลงใจ

    ศิลปิน

    ศิลปินจะต้องวาดรูปและข้าพเจ้าไม่อาจหยุดวาดรูปได้ เมื่อข้าพเจ้าป่วยข้าพเจ้าจะระลึกถึงฮวาดู เมื่ออาการดีขึ้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าจะต้องวาดรูปให้ได้ จากนั้นข้าพเจ้าก็ลืมเรื่องอื่นๆ ไปหมดทั้งความคิดที่วอกแวกและอื่นๆ ดังนั้นการวาดรูปกับตัวข้าพเจ้าก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าข้าพเจ้าตั้งใจจะทำอะไรอย่างอื่นแต่ก็ทำไม่ได้ ข้าพเจ้าลืมทุกสิ่งทุกอย่างและทุกอย่างก็หยุดพักของมันไปเองตามธรรมชาติ
    ไม่ว่าจะทำอะไร ศิลปินมีอารมณ์ที่ต่างจากคนทั่วไป เพราะเหตุนี้จึงทำให้คนเข้าใจพวกเขาผิดได้ง่าย แต่จริงๆ แล้วต้องมีอะไรบางอย่างในตัวพวกเขาที่ทำให้พวกเขาสามารถทำงานที่ฉลาดหลักแหลมได้ คนที่จิตคลุมเครือไม่ชัดเจนและทำงานที่มีลักษณะเช่นนี้ออกมา พวกเขาก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
    บางครั้งท่านอาจจะสงสัยว่า "ทำไมคนนี้ถึงทำตัวแบบนี้" ท่านไม่สามารถเข้าใจเขาได้และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร บ่อยครั้งศิลปินจะพูดกับพวกเดียวกันว่า "รูปวาดนี้ออกมาไม่ดี" พอตกเย็นพวกเขาปวดหัว พวกเขาโกรธและตะโกน และในที่สุดก็ออกไปข้างนอก อาจมีคนถามขึ้นว่า "ทำไมต้องออกไปข้างนอกด้วย" อีกคนตอบกลับว่า "รูปที่วาดออกมาใช้ไม่ได้" แต่หากว่ารูปที่วาดออกมาดีทุกรูป มันคงไม่มีความหมายมันคงไม่มีคุณค่า มันจะมีค่าก็ต่อเมื่อในยามที่รูปออกมาไม่ดี แต่เราสามารถพัฒนาฝีมือให้มีมาตรฐานสูงขึ้นได้อย่างฉับพลัน นี้แหละศิลปะ ไม่ว่าเราจะเป็นศิลปินแบบใด ไม่ว่าเราจะใช้วิธีการไหน ถ้าพูดถึงภาวะจิตใจที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตงานศิลปะออกมาแล้วละก็ มันเหมือนกันทั้งหมด




    หมายเหตุ * ภิกษุณีอ๊กบงเป็นจิตรกรภาพเซนที่มีอายุมากแล้วหลายปีที่ผ่านมาท่านได้แสดงผลงานภาพวาดมาหลายครั้ง และเร็วๆ นี้มีการพิมพ์หนังสือรวบรวมภาพเขียนของท่าน (ท่านเป็นคนพิการด้วยโรคข้ออักเสบ แต่กระนั้นท่านก็ยังร่าเริงและเป็นมิตรมาก) ท่านอาศัยอยู่ในแฟลตเล็กๆ แห่งหนึ่งในกรุงโซล
     

แชร์หน้านี้

Loading...