เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว : ดังตฤณ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 24 มกราคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    <!-- Main Content -->
    [​IMG]



    คำนำ

    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความหิวโหย ทั้งหิวอาหารกันที่ท้อง ทั้งหิวความรู้กันที่สมอง และทั้งหิวความสุขกันที่ใจ จะหาสิ่งมีชีวิตใดในโลกนี้ ที่หิวกระหายหลายแบบหลายเวลาได้เท่ามนุษย์เล่า?


    หิวมาก หิวทุกวัน แต่เสบียงกลับน้อย ถ้าไม่เป็นขอทานทางร่างกาย มนุษย์ก็มักเป็นขอทานทางวิญญาณ พวกเราขอข้าวขอน้ำจากพ่อแม่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แต่พวกเราหลายคนก็ทำตัวเป็นขอทานที่ลืมคืนข้าวคืนน้ำให้กับพวกท่าน คนเรามักปรี่เข้าไปหาใครที่พอเป็นหลักเป็นที่พึ่งน่าอบอุ่น แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่เคยปักหลักเป็นที่พึ่งน่าอบอุ่นให้กับใครเลย


    เอาแต่ขอมาแต่ไม่ค่อยให้ไป มนุษย์จึงมักตกอยู่ในห้วงวัฏจักรแห่งการเป็นขอทาน ต้องเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการขอไม่รู้จักจบจักสิ้น


    ตอนเห็นเด็กขอทานที่หิวไส้จะขาด คุณอาจแสนสงสารและเคยคิดรำพึงว่าทำอย่างไรโลกนี้จะไม่ต้องมีขอทานอีก ความคิดทำนองนั้นอาจเหนี่ยวนำให้ใครบางคนอยากเป็นนักปฏิวัติ อยากปฏิรูปสังคมให้เสมอภาค แต่ประวัติศาสตร์ก็จารึกไว้แล้วว่าทุกระบอบการปกครอง แม้ออกแบบให้เกิดความเท่าเทียมในสังคมดิบดีแค่ไหน ในที่สุดก็เป็นที่มาของขอทานรูปแบบใหม่ๆเสมอ ถ้าไม่ใช่ขอทานที่เสื้อแสงขาดวิ่น ก็เป็นขอทานที่ใส่สูท หรือใส่เครื่องแบบทหารกันอยู่ดี
    สำนักพิมพ์ฮาวฟาร์ภูมิใจรวมเอางานหลายๆชิ้นของคุณดังตฤณ ทั้งที่เป็นคำถามคำตอบในคอลัมน์เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ทั้งที่เป็นบทความในคอลัมน์ ‘ข่าวน่ากลุ้ม’ และทั้งที่เป็นส่วนหนึ่งของงาน ชิ้นโบแดงอย่าง ‘เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน’ นำมาไว้ในเล่มเดียว ภายใต้ชื่อ ‘เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว’ ฉบับ คัดสรร ด้วยความเชื่อมั่นว่านี่จะเป็นคู่มือดับหิว ทั้งที่ท้อง ทั้งที่สมอง และทั้งที่ใจ ได้อย่างชะงัด


    เหตุใดเราจึงมั่นใจเช่นนั้น? ก็เพราะทางเราประจักษ์แล้ว เลื่อมใสแน่แล้วว่าบุญนั่นเองคือเสบียงดับหิว ส่วนบาปนั่นแหละคือทะเลทรายแห่งความกระหายโหย และงานเขียนของคุณดังตฤณก็ช่วยทั้งคลายสงสัยได้ในเบื้องต้น กับทั้งให้ความกระจ่างถึงที่สุดในเบื้องปลาย เหมือนคู่มือหาอาหาร และคู่มืออ่านทิศสำหรับคนหลงป่า ที่คนหลงป่าพบแล้วย่อมดีใจ รู้ตัวว่าจะไม่ต้องร่อนเร่โหยหิวในป่าใหญ่อันน่าสะพรึงกลัวอีกนานนัก

    สำนักพิมพ์ฮาวฟาร์
    กุมภาพันธ์ ๕๒
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ถาม ทำทานมาเยอะแล้ว เป็นปีๆเลยนะ แต่ทำไมไม่เห็นรวยซะทีครับ?

    ก่อนอื่นต้องเห็นภาพกว้างที่สุดอย่างนี้ครับ ความรวยที่มั่งคั่งและมั่นคงแต่แรกเกิดมักจะมาจากการมีทานจิตยิ่งใหญ่สม่ำ เสมอในอดีตชาติ กล่าวคือถ้าชาติใดมีความคิดเสียสละ มีความคิดอยากให้ทรัพย์แก่คนยาก มีเจตนาทำนุบำรุงสมณะนักบวชให้อยู่ดีมีความสุขในการประพฤติพรหมจรรย์ โดยทำเรื่อยๆตามควรแก่ฐานะ บุญจะสั่งสมเป็นกองภูเขา อีกทั้งจิตใจจะเปิดกว้างไม่ตระหนี่คับแคบ ซึ่งรวมรวบยอดแล้วพอสิ้นสุดภพนั้น กรรมก็จะเลือกสรรแดนเกิดใหม่ให้ โดยมีความสบายรับกับจิตที่ปราศจากโลภะ เมื่อเลือกที่เกิดให้ก็ยังไม่หมดแรงส่ง เพราะทานที่ทำทั้งชาติมีกำลังใหญ่ สายป่านยาว จึงส่งแรงอุดหนุนให้มั่งคั่งสม่ำเสมอเนิ่นนาน โอกาสร่วงหล่นจากบัลลังก์เพชรบัลลังก์พลอยนั้นยากยิ่ง


    ส่วนคนที่รวยปานกลาง แล้วต่อมาประกอบธุรกิจจนร่ำรวยยิ่งใหญ่เป็นอภิมหาเศรษฐีนั้น มีเหตุปัจจัยในปัจจุบันเป็นหลักตั้ง และมีบุญจากการให้ทานในอดีตเป็นส่วนเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทานที่เคยทำในอดีตชาติเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่กำลัง ประกอบอยู่ในปัจจุบัน เช่นอดีตเคยทำขนมถวายพระด้วยใจปรารถนาให้พวกท่านลิ้มรสดีๆเป็นประจำ แล้วชาติปัจจุบันมีความชอบใจประกอบธุรกิจทำขนม ก็จะเป็นผู้มีความฉลาดเลือกเครื่องปรุง ฉลาดแต่งรส กับทั้งมีโชคด้านการตลาด ทำมาค้าขึ้น เลื่องชื่อลือชาในฝีมือทำขนมชนิดที่ใครๆก็ต้องแห่มาที่ร้านไม่ขาดสาย แต่ถ้าชาติปัจจุบันเลือกจะเป็นลูกจ้าง บุญที่เคยทำขนมถวายพระก็ต้องเก็บไว้ก่อน เป็นต้น


    สำหรับคนที่ยากจนมาแต่เกิด คิดทำงานเป็นลูกจ้างก็ไม่ค่อยได้เลื่อนขั้นเลื่อนเงินเดิน คิดลาออกมาเป็นเถ้าแก่ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดโดยไม่มีกำไรงอกเงยสักที อันนี้อาจจะขาดแรงส่งจากการทำทานในอดีตชาติ และอาจจะขาดความคิดอ่านหรือมุมมองเชิงธุรกิจในชาติปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีความเป็นไปได้ว่าอดีตอาจฉ้อฉลคดโกงคนอื่นไว้ หรือลักขโมยคนอื่นไว้มาก ชาตินี้เมื่อคิดมีทรัพย์เป็นของตัวเองจึงอาจถูกหลอก ถูกโกง หรือถูกภัยธรรมชาติย่ำยีเอา นี่พูดอย่างเป็นกลางๆตามเนื้อผ้านะครับ หากโดนใครก็โปรดอย่าเสียอกเสียใจเลย รู้เหตุรู้ผลแล้วก็จะได้ไม่ย่ำซ้ำรอยเดิมอีก

    เมื่อมองภาพใหญ่ให้ได้ ๓ ระดับคร่าวๆข้างต้นแล้ว คุณคงนึกออกว่าทานในอดีตเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์แห่งความรวยที่หว่านไว้รอ ออกดอกออกผล ส่วนศีลในอดีตเปรียบเหมือนแผ่นดินอันเป็นที่ตั้งของดอกผล ถ้าขาดเมล็ดพันธุ์ดี ดอกผลก็ไม่เกิด หรือต่อให้เมล็ดพันธุ์ดีแต่ขาดดินที่อุดมสมบูรณ์ แม้ดอกผลโตได้ก็ไม่งอกงาม หรือกระทั่งเหี่ยวเฉาไป


    คราวนี้วกกลับมาถึงคำถามว่าทำไมทำทาน (ในชาติปัจจุบัน) มาเป็นปี ไม่เห็นมีผลเป็นความร่ำรวยปรากฏสักที? อันนี้ก็พอจะตอบได้ว่า เพราะเหตุปัจจัยในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ ทั้งแง่ของความฉลาดหาเงิน และทั้งในแง่ของลำดับกาลให้ผลกรรมอันเกิดจากการทำทาน

    ขอจงอย่าไปยึดผิดๆว่าทานในปัจจุบันเป็นเหตุผลเดียวโดดๆที่ทำให้ร่ำรวยขึ้นได้
    ทันที เพราะทานที่ทำในปัจจุบันชาติมักมาในรูปของกำลังหนุน ไม่ใช่หัวรถจักรฉุดดึงฐานะทางการเงินได้ทันตาทันใจ


    หัวรถจักรสำคัญนั้น ได้แก่ผลของทานและศีลที่บำเพ็ญไว้ในอดีต บวกกับความฉลาดในลู่ทางหาเงินในปัจจุบัน หากขาดหัวจักรดังกล่าว ก็ต้องค่อยๆสร้างสมกันครับ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ถาม ผมเข้าใจถูกไหมว่าการทำทานเป็นเหตุแห่งความร่ำรวย? ถ้าหากเข้าใจผิด หรือยังทำบุญไม่ถูกอย่างไร จะขอคำแนะนำหน่อยได้ไหม?

    ขอสรุปง่ายๆคือถามว่าทำบุญอย่างไรจึงจะรวยเร็วทันตาเห็นนะครับ ประทานโทษ นี่พูดตามเนื้อผ้า ไม่ได้ว่ากระทบกัน แต่ผมเห็นคนตั้งคำถามแบบนี้หรือคิดทำนองนี้เมื่อใด ดูแล้วทำบุญด้วยจิตของนักเก็งกำไรทุกที คือคิดในแง่การลงทุนที่ต้องการได้ผลตอบแทน ไม่ใช่ทำทานด้วยจิตคิดสละเอาเลย และ เมื่อไม่ได้ทำทานด้วยจิตคิดสละ ไม่ได้ทำเพราะอยากอนุเคราะห์อย่างแท้จริง ทานนั้นก็มักมีผลน้อย หรือให้ผลช้า เนื่องจากความโลภเป็นของหนัก นอกจากทำจิตให้ทึบ ไม่ปลอดโปร่งเป็นกุศลเต็มที่แล้ว ยังบั่นทอนกำลังบุญ หรือหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เกิดผลเร็วอีกด้วย

    เพื่อให้เห็นชัดขึ้นก็ต้องมองแบบตลอดสายอย่างนี้ครับ ถ้าในอดีตชาติใครเคยตระหนี่ถี่เหนียวทั้งชีวิต กระแสความตระหนี่นั้นยังท่วมท้น ยังบีบให้อยู่ในภพที่คับแคบ ยังไม่หมดเวลาให้ผล มาชาติปัจจุบันถ้าไม่ทำทานด้วยความตั้งใจฝึกละลายความตระหนี่ ใจยังไม่เปิดกว้างไปในทางเอื้อเฟื้อจริงๆ เอาแต่สร้างภาพว่าทำบุญ ที่แท้หวังลงทุนเอาดอกเอาผลเร็วๆ อย่างนี้ก็ยากที่จะสบายใจ นับประสาอะไรกับสบายกายด้วยลาภผลเล่า?


    ลงทุนทำธุรกิจยังมีความเสี่ยง ยังผิดหวังบ้าง สมหวังบ้าง แล้วลงทุนในรูปแบบของทาน จะให้ได้ดังใจทุกครั้งอย่างไรไหว? กฎแห่งกรรมวิบากเขาไม่ได้ทำงานแบบให้ทาน แล้วต้องรวยทันทีเสมอไปครับ เขาดูก่อนว่าคุณคิดให้ด้วยเจตนาอะไร ดูว่าใจคุณ ‘จริง’ แค่ไหน ถ้าตรวจสอบแล้วผ่าน เขาก็ให้ ไม่มีการอั้นไว้ ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชังใดๆอย่างแน่นอน


    เพื่อให้เปรียบเทียบง่ายว่าทานที่ดีต้องหลีกเลี่ยงอาการแบบไหน ผมจะพาสำรวจการทำงานของจิตขณะให้ทานแบบเก็งกำไรดังนี้


    ๑) ก่อนให้มีความโลภครอบงำ จิตจึงมืด ไม่สว่าง
    ๒) ขณะให้อาจมีความรู้สึกดีๆบ้าง จิตจึงอาจสว่าง แต่ก็ยืนอยู่บนฐานของความโลภอยู่ดี
    ๓) หลังทำจะมีความคาดหวัง รอคอย ชนิดแทบจะชะเง้อออกมานอกหน้าต่างทุก ๕ นาทีว่าเมื่อไหร่ลาภจะชะลอลงมาจากฟากฟ้า

    เห็นชัดๆทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำอย่างนี้ ลองหาให้เจอสิครับว่ากุศลจิตขนานแท้อยู่ตรงไหน กฎ แห่งกรรมวิบากที่ชัดเจนข้อหนึ่งคือถ้าก่อกรรมโดยมีโลภะ โทสะ โมหะเจืออยู่ กรรมนั้นจะเป็นอกุศล หรือกระเดียดไปในทางอกุศล หรืออย่างน้อยที่สุดถึงตั้งต้นเป็นกุศลจริงก็จะถูกแย่งพื้นที่ความสว่างไป ด้วยเพราะมีเงาอกุศลทาบทับอยู่ดี

    ไม่ใช่ว่าทำบุญแบบเก็งกำไรแล้วสูญเปล่าหรอกนะครับ ผลบุญยังมีอยู่ดี เพียงแต่จะมาช้า แล้วก็ไม่หนักแน่น ทำนองเดียวกับนักดนตรีที่เล่นไม่เก่ง ใช่ว่าทำให้เสียงดนตรีดังไม่ได้ แต่ดังแล้วไม่เพราะ ไม่ได้จังหวะจะโคน ไม่หนักแน่นเร้าใจเท่านั้นเอง


    เมื่อไหร่ที่คุณให้จนเกิดความรู้สึกราวกับซื้อของให้ตัวเอง นั่นแหละคุณ ‘ทำทาน’ อย่างแท้จริง ฝึกจนถึงจุดจริงๆจะรู้ครับว่ารู้สึกอย่างไร เหมือนดีใจที่ได้ของเอง เพราะเข้าใจล่วงหน้าอย่างลึกซึ้งว่าผู้รับเขาจะเกิดปีติสุขและอิ่มเอมกับการ ใช้ของขนาดไหน แล้วคุณพลอยร่วมยินดีในระดับเดียวกันหรือเกินกว่าเขา

    คำแนะนำที่ดีที่สุด คือประกอบสัมมาอาชีพ ขยันขันแข็งให้เต็มกำลัง และอย่าหวังรวยทางลัด การมีอาชีพซื่อสัตย์สุจริตและความขยันขันแข็งนั้น ไม่ใช่อำนวยผลเฉพาะหน้าที่การงานนะครับ แต่ยังเหมือนเป็นฐานรองรับความกินดีอยู่ดีที่สมตัวในระยะยาวด้วย


    เมื่อประกอบอาชีพสุจริต มีรายได้มา ก็ลองฝึกที่จะเผื่อแผ่ เจือจาน ได้น้อยก็ทำน้อย แต่ขอให้มีใจใหญ่เป็นหลักก็แล้วกัน คุณจะพบด้วยตนเองว่าการให้ในแต่ละครั้งนั้น มีปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับใจตน คือเบาลงเรื่อยๆ ยินดีมากขึ้นเรื่อยๆ เลื่อมใสในการให้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงตรงนั้นต่อให้ไม่มีผลตอบแทนเป็นรูปธรรมใดๆ ใจคุณก็ไม่รอแล้ว เพราะอิ่มสุขอิ่มปีติอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว


    พอถึงจุดของความชอบให้ ชอบช่วยด้วยไม่หวังผลตอบแทน นั่นแหละครับ ความช่วยเหลือจากธรรมชาติจะเริ่มไหลมาเทมา คุณไม่อยากได้ก็ต้องได้ คุณไม่อยากรวยก็ต้องรวย เพื่อเอาไว้เป็นทุนทำทาน เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวต่อไปไงครับ
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ถาม – ผมเป็นนักธุรกิจ ควรมีความเชื่อเรื่องกรรมอย่างไรจึงจะทำธุรกิจได้รุ่งเรือง?

    กฎธรรมชาติมีอยู่ข้อหนึ่ง คือ เพราะให้ไป จึงได้มา แต่เพราะตระหนี่ ถึงมีก็หมด กฎอันเป็นธรรมดาข้อนี้นะครับ ถ้ารู้ซึ้งเข้าไปจริงๆด้วยจิตแล้ว ไม่มีความสงสัยใดๆแล้ว คุณจะอยากฝึกให้ทานเป็นนิตย์ เหมือนเช่นที่พระพุทธองค์เคยตรัสว่าถ้าคนทั้งหลายทราบผล ทราบอานิสงส์ของการให้ทานแล้ว ก็คงแจกจ่ายอาหารให้ผู้อื่นก่อนบริโภคเองเป็นแน่แท้


    ถ้าหากสงสัยในแง่ที่ว่าเหตุใดชาตินี้ใครทำมาค้าขึ้น ใครขยันค้าขายแค่ไหนก็ขาดทุนยับเยินตลอดศก เสมือน ‘ทุนเก่า’ ที่ลึกลับมีมาไม่เท่ากัน อันนี้ก็ขอให้ดูที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือ ผู้ใดเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วเอ่ยปากเปิดโอกาสให้พวกท่านขอปัจจัยที่ ต้องการ เมื่อสมณะหรือพราหมณ์เอ่ยปากขอแล้ว…


    ๑) เขากลับไม่ถวายปัจจัยตามที่รับปาก เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ ก็ย่อมประสบกับความขาดทุน
    ๒) เขาถวายปัจจัยตามที่รับปากไว้ แต่ไม่เป็นไปตามความต้องการของสมณะหรือพราหมณ์ผู้ขอ เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ ก็ย่อมไม่ได้กำไรตามที่ความมุ่งหวัง
    ๓) เขาถวายปัจจัยตามที่รับปากไว้ และตรงกับความต้องการของสมณะหรือพราหมณ์ เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ ก็ย่อมได้กำไรตามที่มุ่งหวัง
    ๔) เขาถวายปัจจัยตามที่รับปากไว้ และของถวายมากเกินกว่าที่สมณะหรือพราหมณ์ต้องการ เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์นี้ เขาทำการค้าขายอย่างใดๆ ก็ย่อมได้กำไรยิ่งกว่าที่มุ่งหวัง

    ที่พระพุทธเจ้าท่านยกเอาบุคคลอันเป็นเป้าหมายของการให้ทานเป็นสมณะหรือ พราหมณ์ ก็เพราะความจริงมีอยู่ว่าสมณะหรือพราหมณ์นั้นเป็นบุคคลจำพวกที่ทรงคุณใหญ่ ขอให้ทราบว่าสมณะหรือพราหมณ์มิใช่จำเพาะเจาะจงแต่ว่าต้องเป็นภิกษุสงฆ์ในเขต พุทธศาสนา แต่เป็นนักบวชผู้มีความประพฤติพรหมจรรย์สะอาด มีศีลที่เหนือกว่าชาวบ้านร้านถิ่นธรรมดา นี่ก็นับว่าใช้ได้แล้ว


    เมื่อเข้าหาบุคคลผู้มีระดับจิตวิญญาณชั้นสูง เกิดความเลื่อมใสในบุญ เอ่ยปาก รับปาก ว่าจะจัดหาของใช้ให้ด้วยจิตคิดบริจาคอย่างแท้จริง นั่นเรียกว่ามีเชื้อ มีทุน มีปัจจัยอยู่กับตัว เกิดชาติใดถ้าอยากเป็นพ่อค้าแม่ขาย อยากเป็นคหบดีใหญ่ผู้มีทรัพย์มาก ก็ย่อมอาศัยทุนใหญ่ประเภทนี้เองเป็นตัวชี้ชะตา ว่าจะค้าขายขาดทุนหรือได้กำไร


    อย่างไรก็ตาม ดังกล่าวแล้วว่าทุนจากอดีตชาติเป็นของลึกลับ เชื่อได้ยาก แม้รู้ว่าผลลัพธ์มีจริง แต่ก็ไม่อาจสืบพิสูจน์ทราบได้จะแจ้ง เว้นแต่จะเป็นผู้มีสมาธิจิตผ่องแผ้วพอจะโน้มน้อมไปรู้เห็นเหตุผลระดับข้ามภพ ข้ามชาติได้ ฉะนั้นมาดูทานที่เป็นปัจจุบันดีกว่า ตั้งคำถามง่ายๆครับ คุณทำเพื่อลูกค้าแค่ไหน?

    คำว่า ‘นักธุรกิจ’ นั้นเหมือนมีแต่เอา ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย คุณจะค้าขายอะไรก็ตาม หากมีจิตคิดให้ประโยชน์แก่ลูกค้า ผลิตสินค้าอะไรก็คัดแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่คุณรู้แก่ใจว่านั่นคือของเลิศสุด สมราคาที่สุด ผ่านกระบวนการผลิตที่น่าไว้ใจสูงสุด เท่านั้นก็จัดเป็นการค้าขายด้วยจิตอนุเคราะห์แล้ว


    เปรียบเทียบแบบอ้อมๆกับพุทธพจน์ข้างต้น ก็คือว่าคนซื้อเขาต้องการของอย่างหนึ่ง สินค้าของคุณเสมือนการรับปากว่าจะจัดให้ตามที่เขาต้องการ ก็เรียกว่าเสมอกันระหว่างเงินที่ยื่นมากับของที่ให้เขาไป ความสุขความพอใจของฝ่ายซื้อหาย่อมทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรืองหรือมีกำไร ตามที่คาดเอาไว้


    แต่หากคุณให้ ‘เกินความต้องการ’ คือลูกค้าได้อะไรเกินคาด เกินราคาสินค้าระดับเดียวกัน คุณไม่ต้องเพิ่ม แต่ก็เพิ่มให้ หากมีจิตคิดอนุเคราะห์โดยบริสุทธิ์แท้จริงแล้ว ก็หวังได้ว่าคุณจะมีกำไรอื้อซ่า หรืออย่างน้อยก็เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ในการทำแผน


    แต่แม้จะเป็นเรื่องพิสูจน์ได้ในชาติปัจจุบัน ของก็ต้องรอเวลาให้ผลเหมือนกันนะครับ หรืออาจจะมีปัจจัยแทรกซ้อนซึ่งคาดเดายากมาบั่นทอนกำลังใจเสียก่อน เช่นคุณเคยไปสัญญากับพระอรหันต์ว่าจะถวายปัจจัยที่ท่านต้องการ แล้วเกิดลืม หรือเกิดขี้เกียจ หรือมีเหตุติดขัดให้ไม่อยากถวาย แบบนี้คุณเจอวิบากหนักชนิดแก้ยาก และจะทำให้คุณท้อถอยในการมีจิตคิดอนุเคราะห์ นี่ก็ทำให้อดเห็นผลของการค้าขายแบบมีจิตอนุเคราะห์ได้เหมือนกัน


    ความสุขและความพอใจของคนกลุ่มใหญ่นั้น ถ้าว่ากันตามจิตวิทยาเชิงการตลาดคือการสร้างภาพที่ดี น่าประทับใจ และอยากอุดหนุนให้ลูกค้า แต่ในแง่ของกรรม ถ้าคุณให้กับคนอื่นด้วยความจริงใจ ก็จะได้ใจจริงตอบกลับมา นี่อาจเป็นคำตอบว่าทำไมบางทีพ่อค้าวางแผนแจกจ่ายของฟรีอย่างดิบดี แต่กลับไม่ได้รับความพอใจ นั่นก็เพราะไม่มี ‘ใจ’ อยู่ในสินค้าตั้งแต่แรก มีแต่การให้แบบลงทุนหวังผลตอบแทน หวังทำยอดให้เข้าเป้าหรือเกินเป้า และจิตที่คิดให้แบบลงทุน ก็มักเหมือนมีม่านหมอกบดบังทัศนวิสัย มันทำให้ความคิดอ่านและการคัดสรรของคุณพร่าเลือนหรือกระทั่งเลวลง จนตัดสินใจเลือกอะไรผิดๆ ไม่น่าประทับใจสำหรับลูกค้า


    ส่วนจิตที่คิดให้ จิตที่คิดอนุเคราะห์ จิตที่หวังประโยชน์ผู้อื่นเป็นที่ตั้งนั้น จะทำให้คุณมีรสนิยมดี รวมทั้งเข้าถึงศาสตร์และศิลป์แห่งการค้าอย่างแท้จริง จิตคุณจะมีศักยภาพในการคัดเลือก ในการตัดสินใจ และในการคิดค้นปรับปรุงแก้ไขกิจการให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นได้ คุณต้องไปถึงจุดนั้นถึงจะเห็นและเชื่อด้วยตนเองครับว่า ทานจิตนั่นแหละ ปัจจัยสำคัญสูงสุดสำหรับการเป็นพ่อค้าแม่ขายผู้ประสบความสำเร็จ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ถาม – ทำไมคนค้าขายสินค้าที่ผิดศีลธรรมจึงร่ำรวย?

    ก่อนอื่นต้องมองว่าการค้าขายเริ่มต้นขึ้นจากความต้องการซื้อ เมื่อมีความต้องการซื้อย่อมมีผู้เสนอตัวเข้ามาหยิบยื่นสินค้าให้ ใน โลกนี้กิเลสของคนผลักดันให้อยากซื้ออะไร ขอให้มองและตรองตามจริงก่อน จะเห็นว่าเครื่องของอันเป็นไปในทางอบายมุข ทั้งเหล้ายา นารี เกมการพนัน ล้วนเป็นที่ต้องการอันดับหนึ่ง ดังนั้นใครครองตลาดได้ก่อน ได้ส่วนแบ่งมาก ย่อมมีรายได้มากเป็นเงาตามตัว และย่อมมีอิทธิพลเหนือธุรกิจอื่นซึ่งชาวโลกอยากซื้อหาน้อยกว่าด้วย


    ความฉลาดเกี่ยวกับกลไกการตลาด วิธีผลักดันด้วยภาพลักษณ์น่าประทับใจผ่านระบบโฆษณาอันล้ำลึก ล้วนเป็นตัวแปรให้สินค้าขายดิบขายดียิ่งกว่าเทน้ำเทท่า
    มองในแง่ที่จับต้องได้เช่นนั้นแล้ว ลองหันมามองในแง่ที่จับต้องไม่ได้บ้าง การค้าขายสินค้าผิดศีลธรรมไม่ใช่เหตุแห่งความวิบัติของทรัพย์สินเงินทองโดยตรง เพราะฉะนั้นทรัพย์ที่ได้มาถ้าเก็บสะสมไว้ก็จะยิ่งพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีเหตุปัจจัยลึกลับมากระทำให้พินาศลง


    กรรมอันเป็นเหตุแห่งความวิบัติของทรัพย์สินเงินทองโดยตรงคือการลักขโมย ความคดโกง ความอกตัญญู ความตระหนี่ถี่เหนียว และความติดใจการพนัน ถ้าคุณลองสำรวจคุณสมบัตินักค้าของผิดศีลธรรมรายใดแล้วไม่พบกรรมอันนำไปสู่ ความวิบัติแห่งทรัพย์ดังกล่าวมา ก็อย่าเพิ่งไปอยากให้เขาวิบัติเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ค้าของผิดศีลธรรมราย อื่น เหมือนกับที่คุณไม่ชอบใครแล้วจะไปแช่งให้เขาล่มจมตามใจชอบไม่ได้ กรรมของเขาเองช่วยเลี้ยงดูสมบัติของเขาอยู่ และกรรมของเขาเองอาจช่วยกวาดล้างสมบัติของเขาเมื่อถึงเวลาไปเอง


    ลองดูแง่ดีของเขาบ้างดีกว่า ส่องให้เห็นว่าเขาเคยบริจาคอะไรให้สังคมบ้างไหม? เขามีใจคิดสละไหม? เขาค้า ขายซื่อตรงกับลูกค้าไหม? เขาห่างจากการพนันไหม? หากเขามีกรรมที่เป็นบวกอยู่ มาก คุณก็ต้องให้เครดิตเขาว่าเป็นผู้ฉลาดในกองบุญอยู่บ้าง และเห็นตามจริงว่าเขาได้ในสิ่งที่สมควรจะได้แล้ว


    เจ้าของธุรกิจใหญ่นั้นมักอยู่ในฐานะเจ้านายใหญ่ซึ่งมีผลกระทบกับหมู่คน จำนวนมากไปด้วย และความเป็นนายใหญ่ก็รวมกรรมหลากหลายไว้ในหนึ่งเดียว เช่นความเมตตาต่อลูกน้อง ความเอื้ออาทรต่อสังคม หากศึกษาชีวประวัติของบุคคลที่ร่ำรวย คุณจะพบว่าแต่ละคนต้อง ‘ให้’ อะไรคนอื่นมามาก เขาจึงมีเส้นสาย มีคนอยากตอบแทน และมีช่องทางมากกว่าคู่แข่งอื่นๆ


    การให้ของคนๆหนึ่งนั้น มีเขารู้อยู่แก่ใจว่าให้แบบหวังผล ให้ด้วยความเคยชิน หรือให้ด้วยจิตคิดอนุเคราะห์อย่างแท้จริง หากคุณไม่อาจหยั่งทราบน้ำใจของใครได้ ก็ขอให้ดูผลว่าเขาประกอบกิจการได้งอกเงยยั่งยืนเพียงใด หยัดสู้คู่แข่งได้เหนียวแน่นยาวนานแค่ไหน นั่นพอเป็นสิ่งที่สะท้อนได้ว่ากรรมของเขา ไม่อดีตชาติก็ปัจจุบันชาติ ที่กำลังอุดหนุนค้ำชูอยู่ และคุณจะไม่มีวันหาคำอธิบายที่น่าฟังได้ว่าทำไมชะตาของแต่ละคนจึงคงเส้นคงวา บ้าง ผันผวนขึ้นๆลงๆรวดเร็วบ้าง


    ส่วนผลกรรมจากการค้าขายสิ่งผิดศีลธรรมนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นไปในทางไม่ดี เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่าชาวพุทธไม่พึงกระทำอาชีพ ๕ ประการคือ ค้าขายอาวุธ ค้าขายสัตว์ ค้าขายเนื้อสัตว์ ค้าขายน้ำเมา ค้าขายยาพิษ


    และเหตุที่ไม่ควรค้าสิ่งเหล่านี้ แน่นอนครับ ก็คงเป็นเพราะมีแนวโน้มจะได้ไปอบายมากกว่าค้าขายสิ่งอื่นนั่นเอง (ในความ เห็นของผม ค้าขายสัตว์เหมารวมถึงขบวนการค้ามนุษย์ ส่วนการค้าขายเนื้อสัตว์น่าจะเน้นที่โรงฆ่าสัตว์มากกว่าอย่างอื่น)
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ถาม – แสวงหาคนจริงใจแต่ไม่เคยเจอ ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ?

    ถ้าคิดว่าโลกนี้เป็นโรงละครที่เรากำลังรับบทโต้ตอบกับตัวละครอื่นๆ บางคนก็เหมือนโดนผู้กำกับแกล้งให้รับบทหนัก ต้องร้องไห้ช้ำใจเพราะถูกหลอกอยู่บ่อยๆ ยิ่งนึกว่าจริงใจด้วย ก็ยิ่งต้องพบความจริงในภายหลังว่าที่แท้เขากะเล่นไม่ซื่อตั้งแต่ต้น จะในเกมความรักหรือเกมธุรกิจก็ตาม


    ก่อนอื่นขอให้มองว่าพื้นฐานของมนุษย์เป็นไปในทำนองเดียวกันคือ ‘อยากเอา เข้าตัว’ แต่ละคนเริ่มคิดออกมาจากจุดนี้ ความแตกต่างขึ้นอยู่กับใครจะถูกอบรมให้มีมโนธรรมต้านทานความเห็นแก่ตัวมาก น้อยเพียงใด


    ถ้าคุณมองว่าการมี ‘ใจจริง’ หมายถึงการซื่อสัตย์ รักเดียวใจเดียวไม่แปรผันเป็นอื่น ก็ต้องเห็นให้ซึ้งเสียก่อนว่าใจจริงสร้างขึ้นด้วยอะไร หรือใจจริงมาจากไหน อย่ามองด้วยความคาดหวังเผินๆว่าโลกนี้มีใครคนหนึ่งถือกำเนิดเกิดมาพร้อมกับ มีใจจริงติดตั้งไว้ในตัวสำเร็จรูป ทุกคนต้องผ่านสัญชาตญาณเอาเข้าตัวมาก่อน เริ่มตั้งแต่ร้องอ้อแอ้ขอข้าวแม่กินเป็นต้นมา


    พอโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนพบสิ่งน่าชอบน่าชังมากมาย นอกจากนั้นยังเจอสอนให้เอาแต่ได้บ้าง เจอสอนให้เสียสละบ้าง ในที่สุดทุกคนจะไปถึงจุดของการตัดสินใจว่าจะมีชีวิตแบบไหน คิดเอาหรือคิดให้เป็นหลัก


    คนที่ตัดสินใจว่าจะคิดเอาเป็นหลักนั้น นึกถึงใจคนอื่นมากกว่าใจตัวเองไม่เป็นหรอกครับ พอเขาได้สิ่งที่ต้องการ เขาก็พร้อมจะสลัดเราทิ้ง ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรักหรือหุ้นส่วนธุรกิจของเขา


    คราวนี้ลองคิดดูว่าโลกกำลังเต็มไปด้วยคนคิดเอาหรือคนคิดให้มากกว่า กัน? ถ้าพูดกันแบบไม่อ้อมค้อมก็คือโลกนี้เต็มไปด้วยคนคิดเอา จะมีสักกี่คนที่คิดให้ ดังนั้นคุณจึงกำลังแสวงหาสิ่งที่หาได้ยากประมาณงมเข็มในมหาสมุทร


    วิธีที่จะเจอคนจริงใจกับเรา ไม่ว่าในด้านความรักหรือธุรกิจ จึงต้องไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ ทำนองเดียวกับที่ไม่มีใครงมเข็มในมหาสมุทรเจอโดยปราศจากเครื่องช่วย ซึ่งในที่นี้ก็คือกรรมนั่นแหละครับ คุณต้องเข้าใจหลักกรรมข้อหนึ่ง คือเมื่อให้สิ่งใดย่อมไม่สูญเปล่า ต้องมีการสะท้อนตอบเป็นการได้รับสิ่งนั้นคืนมาเสมอ ฉะนั้นตอนนี้อยู่ในช่วงรับความไม่จริงใจซึ่งเราเคยทำไว้กับใครมาก่อนก็ช่าง เถอะ เอาเป็นว่าขอให้สร้างเหตุ สร้างเครื่องช่วยให้เราไปพบกับคนจริงใจในกาลข้างหน้า คือพยายามจริงใจกับคนอื่นโดยไม่ย่อท้อก็แล้วกัน


    ถ้าคุณซื่อกับคนอื่น ไม่คิดหลอกคนอื่นได้ทั้งชาติ ชีวิตนี้คุณจะมีใจที่สะอาดของตัวเองเป็นเพื่อนแท้ และภพต่อไปคุณจะไม่ถูกกรรมเหวี่ยงไปอยู่ในหมู่คนอสัตย์
    อีกประการหนึ่ง ถ้าคุณต้องการหาเข็มในมหาสมุทรให้เจอก่อนตาย คุณไม่ควรรู้แค่ว่าเข็มมันอยู่ในมหาสมุทร คุณไม่ควรโดดตุ๋มลงไปเฉยๆตรงไหนก็ได้ ก่อนอื่นคุณควรสืบให้พอรู้เป็นเค้าเป็นแนว ว่าเข็มน่าจะหล่นอยู่ในย่านใด แล้วค่อยใช้ความจริงใจดำดิ่งลงไปค้นหา จึงจะพอมีสิทธิ์เจอกันได้


    ขอให้พิจารณาดู ปัจจุบันเรามีอินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์กับผู้คนมากหน้าหลายตา พอจะหาคู่ หาความรัก หาความจริงใจ เราก็มักตระเวนไปตามเว็บบอร์ดหรือห้องสนทนาที่มีชื่อตรงตามเกณฑ์นั้นๆ เช่นเว็บหาความรัก หรือห้องหาคนจริงใจ ตรองดูเถิดว่าโอกาสจะได้เจอนั้นมีมากน้อยแค่ไหน เสือหิวย่อมรอตะครุบกวางตามแหล่งน้ำฉันใด ชายเจ้าเล่ห์ย่อมดักรอสาวหน้าซื่อตามแหล่งถามหารักฉันนั้น


    บางทีที่เราไม่เจอสิ่งที่ต้องการก็เพราะเราแสวงหาผิดที่ เราคาดหวังว่าคงเจอคนจริงใจตามบ้านใกล้เรือนเคียง ตามอาคารสำนักงาน หรือตามสถานบันเทิง นั่นก็อาจเป็นไปได้ แต่ยากหน่อย เพราะตามความน่าจะเป็นเรามักเจอ ‘คนธรรมดา’ ที่คิดเอาเข้าตัวกันโดยมาก ทำไมไม่ลองมองว่าคนจริงใจควรอยู่ตามงานบุญ ตามเว็บธรรมะ หรือห้องสนทนาเรื่องศีลเรื่องธรรม


    ไม่ต้องกลัวว่าตามงานบุญหรือตามแหล่งกิจกรรมธรรมะทั้งหลายจะชวนคุณคุย เรื่องหลุดพ้นลูกเดียว และในอีกทางหนึ่ง ก็อย่าหวังว่าจะพบแต่คนดีๆในงานบุญหรือแหล่งกิจกรรมธรรมะ แต่อย่างน้อยให้คิดเสียว่าโอกาสจะเจอคนดีๆควรมีมากกว่าแหล่งกิจกรรมเพื่อ ความสนุกฉาบฉวยทั้งหลาย


    ถ้าได้ยินคำว่า ‘ธรรมะ’ แล้วร้องกับตัวเองว่า ‘ยี้’ หรือ ‘น่าเบื่อ จัง’ ก็ขอให้ทราบว่าคุณยังไม่ได้ต้องการความจริงใจเป็นเรื่องเป็นราว เพราะคุณจะเจอคนจริงใจได้ในหมู่คนมีธรรมะเท่านั้น


    และเมื่อใดคลุกคลีกับธรรมะมากพอ คุณจะพบว่าธรรมะไม่ได้มีแต่ภาพกักบริเวณตนเองเพื่อหลุดพ้นจากกิเลส คุณจะเห็นโลกในอีกมิติหนึ่ง คือไม่ใช่เอาแต่มองหารูปเสียงน่าชอบใจภายนอก แต่จะเริ่มแสวงหาความรู้สึกแสนดีน่าครอบครองอันเป็นภายใน


    คุณจะตระหนักว่าความรู้สึกแสนดีไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ต้องมีวิธีอะไรอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างทำให้มันเกิดขึ้น เช่นกำหนดกรอบไว้ว่าจะไม่ปล่อยให้ความโลภและความโกรธทะยานแรงขึ้นถึงระดับ ที่จะกระทำการอันเป็นความเดือดร้อนของคนอื่น เมื่อรู้สึกตัวเองว่าเป็นความปลอดภัยให้คนอื่นได้ คุณก็จะรู้สึกถึงความไม่เดือดเนื้อร้อนใจของตนเองด้วย


    จากนั้นเขยิบขึ้นไปอีก เช่นรู้จักสละสิ่งที่คุณมีให้คนอื่นทั้งที่ไม่จำเป็นต้องให้ คุณจะลืมคำว่า ‘ให้ทำไมให้โง่’ แต่จะพบคำใหม่ในหัวตัวเองคือ ‘ทำไมมัวโง่ไม่ ให้มาเสียตั้งนาน’ คุณจะรู้ว่าการให้โดยไม่หวังผลตอบแทนนั้นเป็นสุข และคุณก็อาจจะรู้ว่าในที่สุดแล้ว การเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนนั่นเอง จะพาคุณไปรู้จักกับคนประเภทเดียวกัน โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ในวันใดวันหนึ่ง


    สรุปคือถ้าแสวงหาคนจริงใจอยู่ และยังไม่เลิกย่อท้อ ก็ขอให้ปลูกฝังความซื่อสัตย์จริงใจให้เกิดขึ้นในตนเองก่อน และพยายามรักษามันไว้จนลมหายใจสุดท้าย พอเชื่อได้ว่าอย่างน้อยมีคุณคนหนึ่งในโลกที่ซื่อสัตย์และจริงใจ จะได้ไม่ต้องไปแสวงหาคำตอบจากที่ไหนว่าคนซื่อสัตย์และจริงใจมีอยู่แต่ใน นิทานหรือมีตัวตนอยู่ในโลกความจริงนี้ด้วย


    นอกจากนั้นถ้าจะแสวงหา ก็ควรแสวงหาในที่ที่มี อย่ามัวเสียเวลาไปแสวงหาในที่ที่ไม่มี ผมให้คำรับรองไม่ได้ว่าคุณจะเจอเมื่อไหร่ แต่เชื่อมั่นว่าวันหนึ่งคุณจะได้เจอครับ ด้วย ‘กรรม’ และ ‘ความเข้าใจ’ ที่ถูกต้องนั่นเอง
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ถาม – การปฏิเสธไม่รับรักคนที่มาติดพัน แล้วปรากฏว่าเขาเสียใจมาก เห็นแล้วสงสารและทำให้พลอยรู้สึกเศร้าใจตาม อย่างนี้แปลว่าการปฏิเสธของเราเป็นบาปหรือไม่?

    บาปหรือไม่บาป บาปมากหรือบาปน้อย ต้องมองหลายแง่ หลายวาระครับ


    ๑) คุณมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเขามาชอบข้างเดียว หากยังมีลักษณะอนุญาตให้เขามีความหวัง หรือซ้ำร้ายทำเอาเขาอาการหนักขึ้นด้วยการให้ความหวังลมๆแล้งๆ โดยอาจใช้ภาษาพูดหรือภาษากายอ่อยเหยื่อ อย่างนี้ถือว่าเข้าข่ายหลอกลวง กฎหมายบ้านเมืองเอาผิดไม่ได้ แต่ตามกฎแห่งกรรมจะตามล่าคุณในวันใดวันหนึ่ง ช้าหรือเร็ว คือมีเหตุบีบให้ต้องไปหลงชอบคนอื่นข้างเดียวด้วยความทรมานใจเข้าบ้าง


    ๒) คุณมีท่าทีอย่างไรในขณะพยายามปฏิเสธ หากเต็มไปด้วยโทสะ พูดจาทิ่มตำให้เจ็บใจ ให้เขารู้สึกไร้ค่า อย่างนี้เข้าข่ายทำร้ายกัน กฎหมายเอาผิดคุณไม่ได้อีก แต่กฎแห่งกรรมจ้องจะคัดสรรคนมาทำร้ายจิตใจคุณคืนบ้าง หรืออาจเป็นเขาคนนั้นย้อนกลับมาเอง นี่เป็นเรื่องไม่แน่ไม่นอน ผลัดกันหักอกนี่เยอะนะครับ เห็นๆเลยล่ะว่าเปลี่ยนผลัดกันก่อเวรในชาติเดียวกันนี่เอง ไม่ต้องรอชาติหน้า


    ๓) คุณมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่าเขาเศร้าจัด หากกระหยิ่มยิ้มย่อง เกิดความสะใจ ภูมิใจในเสน่ห์ของตนเอง อย่างนี้ก็เข้าข่ายเป็นเศษกรรมได้เหมือนกัน คือถึงแม้ทีแรกคุณไม่เจตนายั่ว ให้หลง แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธห้วนๆแบบมะนาวไม่มีน้ำ ขอเพียงมีใจยินดีที่เห็นเขาเจ็บเพราะคุณ เท่านี้ก็จัดเป็นกรรมทางใจซึ่งมีผลแล้ว แต่ผลอันเกิดจากกรรมทางใจอาจรอคิว กันนาน แตกต่างจากที่ลงมือทำหรือออกปากพูดด้วยเจตนาประทุษร้ายมาก

    หากสำรวจตัวเองแล้วเห็นว่าไม่มีจิตคิดประทุษร้ายสักขณะเดียว ก็โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่งครับ เห็นเขาเศร้าก็อย่าไปเศร้าตามเขา แค่ทำใจเป็นกลาง เป็นอุเบกขา ว่ามโนกรรมของเขาผูกมัดตัวเอง ร้อยรัดตัวเอง เขาก็ต้องทุกข์เอง คุณมีหน้าที่รักษาความสุข ความปลอดโปร่งของตนเองไว้ แล้วคิดกับเขาในทางดี พูดกับเขาในทางดีให้ได้สบายใจตามคุณ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ขึ้นอยู่กับมโนกรรมของเขาเองเป็นหลัก


    หมายเหตุทิ้งท้ายไว้หน่อย บางคนนี่ตอนไหนๆดีหมด ไม่แกล้งยั่วให้หลง ไม่ปฏิเสธแบบทิ่มแทง แต่ด้วยความไม่รู้ ยังพลาดนิดหนึ่งตรงคิดกระหยิ่มยิ้มย่อง ยังยินดีที่มีคนบาดเจ็บทางใจเพราะตนเป็นต้นเหตุ อย่างนี้เป็นกตัตตากรรม คือไม่ได้เจตนาให้เขาเจ็บแต่แรก ทว่าเมื่อเขาเจ็บแล้วยินดีเสมือนได้ลงมือทำ นี่ก็เรียกว่าเป็นกรรมทางใจในภายหลัง ผลอาจเป็นการเจอคนแล้งน้ำใจเมื่อต้องการความช่วยเหลือ หรืออาจถูกเหยียบย่ำซ้ำเติมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    แอร์ไม่เย็นขอหย่า

    เครื่องปรับอากาศที่ฝรั่งเรียกเต็มๆว่า ‘แอร์คอนดิชันเนอร์’ หรือที่ไทย เราเรียกกันเหลือสั้นจุ๊ดจู๋ว่า ‘แอร์’ นั้น คงเป็นสมบัติขาดไม่ได้ไปแล้วสำหรับชีวิตกลางเสาไฟ มันคือเครื่องทำความเย็น กำจัดความร้อนอบอ้าว ทำห้องที่เราอยู่ให้ฉ่ำชื่นรื่นกาย


    แอร์บ้านใครไม่เย็นแล้วเมียขอหย่าหรือเปล่าผมไม่ทราบ ถ้าทราบแล้วจะเอามาบอก แต่เข้าใจว่าโลกนี้คงไม่มีใครความอดทนต่ำขนาดนั้น ที่กำลังจะพูดถึงในคอลัมน์คิดจากความว่างฉบับนี้ ไม่ได้หมายถึงแอร์ที่ทำความเย็นทางกาย แต่เป็น ‘แอร์ที่ทำความเย็นทางใจ’ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด แต่คนกลับมองไม่เห็นความสำคัญ หรือบางคนเห็นความสำคัญแต่ไม่ทราบจะเรียกช่างที่ไหนมาซ่อม
    ช่วงกำลังจะเริ่มต้นอยู่ด้วยกัน คนส่วนใหญ่พิจารณาว่าแอร์ในชีวิตคู่มีหลายอย่าง สำหรับบางคนอาจเป็นเงินมากๆ สำหรับบางคนอาจเป็นบ้านหรูๆ สำหรับบางคนอาจเป็นโซ่ทองคล้องใจคือลูกน่ารักๆ สุดแท้แต่ใครจะยึดมั่นถือมั่นสิ่งไหนเป็นสำคัญ


    แต่พออยู่ไปอยู่มาพักหนึ่ง ทุกคนจะมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน และได้ข้อสรุปว่าแอร์ในชีวิตคู่หาใช่สมบัตินอกกายอย่างเงิน อย่างบ้าน กับทั้งไม่ใช่เด็กบ้าที่คลอดออกมาก็เอาแต่แหกปากร้องทั้งวัน แต่ทั้งหมดในความเป็นเขาหรือเธอนั่นแหละ คือแอร์ของจริง สมบัติภายในของแต่ละฝ่ายคือเครื่องทำความเย็นที่น่าสัมผัสกว่าแอร์ แย่ตรงที่ส่วนใหญ่รักกันแบบลืมติดตั้งแอร์ หรือทู่ซี้ใช้แอร์ไม่มีน้ำยา พอบ้านไม่เย็นก็ขอหย่ากันโครมคราม


    มนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่งผลิตความเย็นให้กับเพื่อนร่วมชายคาได้อย่างไร ขอแยกเป็น ๓ ข้อใหญ่ๆ


    ๑) กระแสความเย็นจากการกระทำ

    นับเริ่มตั้งแต่การมีกายที่สะอาด ไม่ไปเปื้อนน้ำกามสกปรกนอกบ้าน ตลอดจนกระทั่งรู้จักเก็บมือเก็บเท้าไว้นวดคนรักเบาๆให้หายเมื่อย ไม่ใช่ใช้มือใช้เท้ากระทุ้งกระแทกให้อีกฝ่ายฟกช้ำดำเขียว


    การช่วยกันทำความสะอาดขัดถูเรือน และการช่วยกันเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้เก่าเข้ามาอยู่ในท้องของฝ่ายหญิง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความเย็นจากการกระทำทั้งสิ้น หากไม่พอดีกัน ฝ่ายหนึ่งร้อนแบบหื่นกระหายเร่าร้อน ฝ่ายหนึ่งร้อนแบบอึดอัดรำคาญ กายของทั้งคู่ก็หมดสิทธิ์ทำความเย็นระงับความร้อนให้อีกฝ่าย


    หายากแต่มีอยู่นะครับ ที่ชวนกันหันหน้าเข้าหาห้องพระ นั่งสมาธิสวดมนต์ ทำกายของทั้งสองให้กลายเป็นความเย็นไปอีกแบบ ฉ่ำเย็นแท้จริง และยิ่งอยู่ยิ่งเย็นขึ้นทุกวัน


    ๒) กระแสความเย็นจากน้ำเสียงและวิธีพูด

    นับเริ่มตั้งแต่การพูดทักทายโอภาปราศรัยไปจนถึงการลงนั่งช่วยกันหาทางแก้ ปัญหา แก้ปมขัดแย้งอันเกิดขึ้นได้กับทุกครัวเรือน แต่ละคำสำคัญทั้งนั้น
    บางคู่เห็นการทักทายจ๊ะจ๋าเป็นเรื่องเล็ก ขี้เกียจทำ หรือทำก็แบบประชดทีเล่นทีจริง เช่น หวัดดีอีแก่ อะไรทำนองนี้ จะเห็นเป็นเรื่องน่ารักหรืออย่างไรไม่ทราบ ล้วนแล้วแต่ทำให้แอร์เสียประสิทธิภาพในการทำความเย็นลงทั้งสิ้น


    การทักทายและการใช้สรรพนามที่อีกฝ่ายบอกว่าชอบ และการเลี่ยงเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามที่รู้ว่าเขาชัง จะทำกระแสความเย็นทางวาจาให้เกิดอย่างสม่ำเสมอ ในระยะยาวคนอยู่ร่วมชายคาย่อมเย็นหู รู้สึกสบายโสตใต้เงาบ้านไม่รู้เบื่อ


    และแล้วเมื่อเกิดปัญหาหรือข้อขัดแย้งขึ้นมา ธรรมดามนุษย์นี่นะครับ ไม่ชอบขึ้นต้นด้วยคำที่เย็นหรอก คำเล็กๆเช่น ‘นี่!’ หรือแม้คำสุภาพเช่น ‘คุณ!’ แบบลงเสียงหนักๆ ก็เพียงพอแล้วที่จะแทนเสียงลั่นกลองรบ พอขึ้นต้นด้วยกลองรบ สิ่งที่ตามมาย่อมเป็นความร้อนของสงครามอันคลี่คลายเป็นเย็นได้ยาก


    คุณจะไม่ตระหนักตราบเท่าที่ไม่ลองเปลี่ยนนิสัยทางการพูด รู้ไหมครับว่าคำแรกที่ใช้เริ่มเปิดฉากถกปัญหากันนั้นสำคัญเพียงใด? มันจะ เป็นการเริ่มต้นด้วยความเย็น และมีแนวโน้มจะลากจูงคำเย็นๆตามมาเป็นขบวน


    แต่ก็นั่นแหละ บางคนขึ้นต้นพูดดี แต่แอบแฝงรังสีอำมหิตหรือเจตนาประทุษร้ายไว้แบบคนซ่อนมีดไว้ข้างหลัง พูดไปพูดมาเปลี่ยนจากใบหน้านางฟ้าเทวดาเป็นอาการยิงฟันคล้ายเปรตเขี้ยวแหลม ได้ง่ายๆ จุดเริ่มต้นของแอร์ทางคำพูดอย่างแท้จริงจึงมิใช่ที่ลมปาก แต่เป็นเจตนาพูดกันด้วยเมตตาอย่างแท้จริง หากกำหนดจิตไว้เสียแต่แรกว่าลงท้ายที่สุดต้องเป็นคำสุภาพที่ออกมาจากใจจริง นั่นแหละแอร์จะทำงานรื่น เปลี่ยนสถานการณ์ร้อนๆให้กลายเป็นเย็นได้แน่


    ๓) กระแสความเย็นจากจิต

    คุณนึกไม่ถึงหรอก แล้วคนทั้งโลกส่วนใหญ่ก็ไม่รู้กันถึงความจริงอันลึกลับนี้ด้วย ความคิดของคนเรามีลักษณะเป็นคลื่นบวกคลื่นลบอยู่ และที่สำคัญ กระแสความคิดของคนเราก่อกระแสความเย็นหรือกระแสความร้อนให้จิตคนอื่นสัมผัสได้ หากแค่พบกันเพียงผ่านประเดี๋ยวประด๋าวอาจไม่ค่อยรู้สึก แต่ถ้าได้อยู่ร่วมกันเป็นเดือนเป็นปี อีกฝ่ายสามารถรู้ชัดแน่แค่เข้าใกล้


    โดยเฉพาะอย่างยิ่งนะครับ ถ้าเจาะจงคิดไม่ดี คิดด่า หรือคิดอยากทำให้คู่ของคุณเจ็บกายเจ็บใจ พอเขาเดินเข้าบ้านจะรู้สึกอึดอัดหรืออบอ้าวเล็กๆอย่างอธิบายไม่ถูกขึ้นมา ทันที แม้ไม่รู้ว่าต้นเหตุมาจากความคิดของคุณ หรือแม้กระทั่งเหมือนภายนอกยังรัก หรือยังแสดงความเป็นปกติทุกประการ ก็จะไม่สุขเย็นถึงใจอย่างไรชอบกล


    ตรงข้าม หากเหมือนมีเรื่องระหองระแหง หรือคุณเป็นฝ่ายบ่นจุ๊กจิ๊กน่ารำคาญได้เกือบตลอดเวลา แต่ขอเพียงความคิดของคุณที่มีต่อเขาเป็นไปในทางดี เขาก็รู้สึกเย็นได้เมื่อเข้าใกล้ คือสรุปง่ายๆว่าถ้าคุณเป็นพวกปากร้ายใจดี คนจะอยากอยู่ใกล้ตอนคุณเงียบ แต่ขยับปากเมื่อไหร่ใครๆจะอยากเผ่นกันหมด


    ความคิดของคนเราเป็นไปได้สารพัดพิสดารก็จริง แต่ที่สุดแล้วก็มีอยู่แค่สองประเภทใหญ่ๆ คือคิดแล้วตัวเองเป็นสุข กับคิดแล้วตัวเองเป็นทุกข์ ลองรวบรวมความคิดที่มีต่อคู่ของคุณดูให้ได้สัก ๑๐ ข้อ อะไรก็ได้ที่คิดเป็นประจำ ไม่ว่าจะนึกด่า นึกชม นึกอยากให้เปลี่ยน หรือนึกอยากให้เป็นอยู่อย่างนี้ แล้วดูซิว่าคุณได้คะแนนความคิดในทางบวกเกิน ๕ หรือน้อยกว่า ๕ ถ้าได้ตั้งแต่ ๖ ขึ้นไปแปลว่าเขาอยู่ใกล้คุณแล้วรู้สึกเหมือนเข้าห้องที่แอร์ทำงานดี แต่ถ้าน้อยกว่านั้นเขาจะรู้สึกทำนองเดียวกับที่คุณอยากบ่นตอนแอร์ไม่เย็น แอร์มีปัญหา


    พอลงลึกมาถึงระดับความคิดและกระแสความเย็นจากจิต คุณจะนึกถึงคำว่า ‘บุญ’ ได้ง่ายขึ้น เพราะบุญคือความเย็น บุญคือคุณงามความดี บุญคือกระแสนามธรรมด้านบวกที่เริ่มต้นจากจิต จากความนึกคิด จากคำพูด จากการลงมือกระทำ ทั้งที่มีต่อกัน และทั้งที่ทำเพื่อคนอื่นในสังคม


    การไปทำบุญร่วมกัน ไม่ว่าจะที่วัดหรือสถานสงเคราะห์คนอนาถาต่างๆ หากตกลงซื้อหาหรือจัดของทำทานร่วมกันด้วยน้ำจิตน้ำใจเป็นหนึ่ง ไม่เห็นขัดแย้งกัน ระหว่างเดินทางไม่ทะเลาะกันทั้งขาไปและขากลับ นั่นแหละครับต้นแหล่งความคิดเยือกเย็นขนาดใหญ่ที่จะทำความคิดอื่นๆในชีวิต ประจำวันให้พลอยเยือกเย็น ไม่นึกอยากขัดแย้งกันในทุกๆกรณีตามไปด้วย

    เครื่องปรับอากาศดีดี
    มีไอเย็นให้ห้องเดียวน้อยนิด
    แต่ความคิดเย็นรื่น
    กระจายความฉ่ำชื่นให้กับบ้านได้ทั้งหลัง
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    เฮ้อ! – ผอ.กองปกครองและทะเบียน กทม. เผยสถิติการหย่าร้างสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้ไม่หย่ากันก็แยกกันอยู่เสียอย่างนั้น

    บุญที่ทำร่วมกันช่วยให้อยู่เย็นเป็นสุข เหมือนสานใยรักให้เหนียวแน่นขึ้นเรื่อยๆ ส่วนบาปที่ก่อร่วมกันจะแกล้งให้อยู่ร้อนนอนเป็นทุกข์ เหมือนกะเทาะฐานความรักให้ร้าวเข้าทุกที ฟังอย่างนี้ทุกคนคงเข้าใจและรู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ปัญหาคือจะมีสักกี่คนรู้ว่าบุญคืออะไร บาปคืออะไร ส่วนใหญ่ยึดเพียงภาพเห็นง่าย เช่น ทำบุญร่วมกันคือตื่นมาช่วยกันใส่บาตรพระตอนเช้าที่หน้าบ้าน ส่วนก่อบาปร่วมกันคือช่วยกันฆ่าหมกศพเจ้าหนี้ไว้ที่หลังบ้าน


    ความจริงบุญกับบาปเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันทั่วไป และเรื่องน่าเศร้าก็คือหญิงชายที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมักใช้ชีวิตแบบเปื้อน บาปโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่เข้าใจให้ดีว่าบาปคือการกระทำทั้งปวงที่เจืออยู่ด้วยความโลภ ความโกรธ และความหลง เอาแค่นินทาเพื่อนบ้านหรือสาปแช่งนักการเมืองร่วมกันอย่างเมามัน เพียงเท่านี้ก็ค่อยๆสร้างรอยร้าวขึ้นได้ทีละน้อยโดยไม่รู้สึกตัวแล้ว ทั้งที่ตอนทำจะเหมือนสนุกร่วมกันด้วยซ้ำ


    เซ็กส์เป็นเครื่องมือของธรรมชาติที่เอาไว้แกล้งสัตว์โลก คือใช้ดึงดูดสัตว์โลกเข้าหากันตอนแปลกใหม่เพราะยังไม่ได้กัน แต่เสร็จแล้วก็ใช้ผลักไสสัตว์โลกออกจากกันตอนจำเจเพราะได้กันบ่อย ถ้าเหตุผลในการแต่งงานของคุณคือเซ็กส์หรือเกี่ยวเนื่องด้วยเซ็กส์ ก็แปลว่าคุณนับเวลาถอยหลังสู่การแตกแยกตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งเหนื่อย ยิ่งหน่ายกายกันและกันเพียงใด สายใยระหว่างใจคุณกับคู่ครองก็ยิ่งเปื่อยลงเพียงนั้น


    การส่งเสริมกันทางจิตวิญญาณ คือวิธีเดียวที่จะรักษากันและกันไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง ฉะนั้นอาจต้องเริ่มจากจุดแรกสุด คือขอให้เลือกคนที่คุณอยากสวดมนต์ร่วมกับเขา อยากใส่บาตรร่วมกับเขา คนที่คุณอยากคิดกับเขาในทางดี อยากพูดดีๆกับเขา และอยากทำอะไรดีๆให้เขา เริ่มเดินดียิ่งเดินก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้ต้องเผชิญหน้าปัญหาทางการเงิน เจอมือที่สาม หรือกระทั่งเซ็กส์ไม่สมดุล ก็ยากนักที่จะทำให้คุณแตกแยกกันได้
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ถาม – การที่คนเรามีเสน่ห์เป็นที่รักใคร่ของบุคคลทั่วไป เป็นผลของกรรมอะไรบ้างคะ?

    เหตุแห่งการเป็นผู้ทรงเสน่ห์นั้น ไม่ใช่ง่ายที่จะกล่าวถึงให้ครอบคลุม เพราะไม่ใช่แค่ ‘ทำดีแล้วจะมีเสน่ห์’ เนื่องจากเสน่ห์มีหลายรูปแบบ และเสน่ห์แต่ละแบบก็ไม่ใช่จะ ‘ใช้ได้ผล’ กับทุกคน คุณอาจประหลาดใจว่าทำไมบางคนประพฤติตัวชั่วร้าย พูดจาเอาแต่ได้ ทว่ายังคงมีเสน่ห์ลึกลับ ทรงพลังพอจะจับใจคนใกล้ชิดให้ถวิลหาอาวรณ์ได้เกือบตลอดเวลา


    สรุปง่ายๆนะครับ ถ้าแค่มองหา ‘สูตรสร้างเสน่ห์’ ด้วยการแต่งตัว จัดทรงผม ปรับปรุงบุคลิกในอิริยาบถต่างๆ ตลอดจนกระทั่งฝึกพูดจาให้น่าพิศวาส คุณจะพบความจริงว่าสำหรับหลายๆคนแล้ว สูตรสร้างเสน่ห์ทั้งหลายอาจแค่ช่วยให้ดูดีขึ้น แต่หาได้เปิดก๊อกเทพลังเสน่ห์ให้ไหลมาเทมาแต่อย่างใดไม่


    แม้แต่สถาบันพัฒนาบุคลิกภาพระดับโลกยังทราบครับว่าไม่มีสูตรสำเร็จครอบ จักรวาลที่ทำให้ ‘ทุกคน’ ดูดีขึ้นมาทันตาเห็น เอาแค่ข้อจำกัดทางกายภาพที่แต่ละคนมีเด่นมีด้อยต่างกัน ก็ไม่ทราบจะหั่นหรือเฉือนกันท่าไหนให้เท่าเทียมกันทั้งหมด ฉะนั้นตามแนวคิดเชิงพุทธ คำถามของคุณนับว่าตรงเป้าที่สุดแล้ว นั่นคือ กรรมอันใดส่งผลให้เกิดเสน่ห์?

    ก่อนอื่นต้องมองว่า ‘เสน่ห์’ คือพลังอะไรอย่างหนึ่งที่ทำให้คนอื่นหลงใหล หรือรักใคร่ อยู่ห่างแล้วถวิลถึง อยากเข้าพบ อยากเข้าใกล้ และประกายเสน่ห์อาจเปล่งออกมาจากรูปกายก็ได้ เปล่งออกมาจากวิธีพูดจาก็ได้ หรือเปล่งออกมาจากกระแสจิตเงียบๆก็ได้


    นอกจากนั้น พลังเสน่ห์ยังมีอยู่ ๓ ชนิดหลักๆ คือพลังดึงดูด พลังประทับ และพลังชะโลม เมื่อเข้าใจตามนี้ก็จะเห็นกลไกและที่มาที่ไปของเสน่ห์แต่ละชนิดอย่างกระจ่าง
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    เสน่ห์ทางกาย

    เป็นเสน่ห์ที่เน้นพลังฝ่ายดึงดูดมากกว่าอย่างอื่น เช่นเห็นแล้วดึงดูดให้อยากมองนานๆยากจะถอนสายตา หรือกระทั่งอยากถลาเข้าไปลองสัมผัสให้ได้เดี๋ยวนั้น
    เสน่ห์ทางกายปรากฏเด่นเห็นง่ายสุด จับต้องได้ง่ายสุด เพราะกายมนุษย์เปล่งประกายเสน่ห์ได้ผ่านความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐาน ตลอดจนความผ่องใสมีสง่าราศีแห่งผิวพรรณ ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหรือพิธีรีตองใดๆในการเปล่งประกายเสน่ห์ชนิดนี้ แค่ปรากฏตัวก็ใช้ได้แล้ว


    ความเปล่งปลั่งชนิดบาดตาได้ตั้งแต่แรกพบนั้น เป็นผลอันเกิดจากการให้ทานที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ไม่มีความขัดข้องทางใจเท่ายองใย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีโอกาสถวายทานแด่พระพุทธเจ้าหรืออริยสงฆ์สาวก แล้วรักษาความเลื่อมใสนั้นไว้ได้ตลอดชีวิต ก็จะมีความรุ่งเรืองปรากฏชัดทางผิวหนังตั้งแต่ในชาติแห่งทานนั้น แล้วปรากฏชัดเจนในชาติถัดมา ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมนุษย์


    ความสมส่วนแห่งรูปพรรณสัณฐานจะเกิดจากความมีศีลสะอาดเป็นหลัก รายละเอียดและมิติของรูปร่างหน้าตาที่ล่อตาชวนตะลึง กลิ่นกายที่น่าพิสมัย ตลอดจนความละเอียดน่าสัมผัสของผิวหนังที่เหมาะกับเพศนั้น บันดาลขึ้นจากความสามารถในการ ‘งดเว้น’ ความประพฤติทางกายและวาจาอันสกปรก เน่าเหม็นจนเคยชิน กระทั่งแม้ความคิดก็ไม่หลุดออกนอกกรอบของศีล พูดง่ายๆว่าเป็นผู้เคยมีศีลอันมั่นคงแข็งแรง จิตสะอาดสะอ้านจากมลทินยิ่ง จึงบันดาลให้เกิดผลงดงามไร้ที่ติ กระทบตาผู้คนแล้วชวนหลงใหลยิ่ง


    คนที่ไม่ค่อยทำบุญกับบุคคลศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆมักมี อำนาจเสน่ห์ทางกายน้อย เนื่องจากโอกาสที่จิตจะเปล่งประกายความเลื่อมใสอย่างแรงกล้าขณะทำบุญนั้นยาก นัก
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    เสน่ห์ทางวาจา

    เป็นเสน่ห์ที่มีพลังฝ่ายประทับมากกว่าอย่างอื่น เช่นฟังพูดแล้วติดหูไม่รู้ลืม ราวกับพลังเสียงและสำเนียงพูดบุกรุกเข้ามาฝังตัวและกลอกกลิ้งอยู่ในแก้วหูคน ฟังได้ พอห่างกันแล้วถวิลถึงราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝด


    เสน่ห์ทางวาจาจะแผลงฤทธิ์เต็มที่ต่อเมื่อผู้พูดมีโอกาสฉายไม้เด็ดสัก ประโยคสองประโยค การโอภาปราศรัยทักทายเพียงคำสองคำอาจจะยังไม่ได้ผลนัก แต่หากได้ช่องสำแดงเดชเต็มกำลัง เสน่ห์ทางวาจาก็อาจชวนให้หวนคิดถึงได้ยิ่งกว่าเสน่ห์ทางกายมาก เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับส่ำเสียงและถ้อยคำจะยืนยาวกว่าความทรงจำเกี่ยว กับรูปลักษณ์


    เสน่ห์ทางวาจาที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเห็นภาพง่ายที่สุดคงได้แก่วิธี รบเร้าหรือวิธีตื๊อของแต่ละคน บางคนตื๊อแล้วน่ารัก แต่หลายคนตื๊อแล้วน่ารำคาญ ทั้งที่ก็เป็นการรบกวนผู้ฟังเหมือนๆกัน นี่ก็เพราะบางคนเท่านั้นที่มีพลังเสน่ห์ทางวาจา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มี


    เสน่ห์ทางวาจามีองค์ประกอบหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็เกิดจากกรรมเกี่ยวกับวาจาทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมกันทั้ง สิ้น องค์ประกอบหลักของเสน่ห์ทางวาจาจำแนกได้เป็น ๓ ส่วนดังนี้


    ๑) ความไพเราะของแก้วเสียง เกิดขึ้นจากความเป็นผู้มีวาจาสุจริต ทั้งพูดเรื่องจริงเท่าที่ควรพูด เลือกคำที่ฟังรื่นหูไม่หยาบคาย หาวิธีพูดประนีประนอมไม่เสียดสีใคร ตลอดจนครองสติในการพูดเพื่อประโยชน์ได้เสมอ องค์ประกอบหลักเหล่านี้จะปรุงแต่งแก้วเสียงให้ฟังดี ฟังเย็น และฟังมีพลังสะกด ถ้ายิ่งหมั่นสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ ตลอดจนเปล่งเสียงประกาศธรรมอันชอบโดยไม่เคอะเขิน แก้วเสียงก็จะเปล่งประกายสดใสเพราะพริ้งได้ตั้งแต่ชาติปัจจุบัน และไปปรากฏผลชัดที่สุดในชาติถัดมา น้ำเสียงและสำเนียงจะกลมกล่อมไม่บาดหูเลย (เว้นไว้แต่จะหลงผิด พูดจาเป็นอัปมงคลนานปีจนกำลังของวจีทุจริตใหม่ชนะกำลังของวจีสุจริตเก่า)


    ๒) ลูกเล่นในการจำนรรจา เกิดขึ้นจากความเป็นผู้ใส่ใจเจรจาให้น่าเอ็นดู เป็นที่ถูกใจ ทำความบันเทิงสดใสแก่ผู้ฟัง ยกตัวอย่างเช่นพวกชอบเล่านิทานให้เด็กฟัง ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้สนุกสนาน ได้ข้อคิด และได้มองโลกในแง่ดีมีความอบอุ่น กรรมอันเกิดจากการฝึกเล่านิทานจริงจังจะบันดาลให้เกิดสัญชาตญาณในการมัดใจ ด้วยลีลาพูด คือรู้เองว่าด้วยลูกเล่นการออกเสียงสั้นยาว ลงเสียงหนักเบา ตลอดจนควบกล้ำอย่างไรให้ฟังน่ารักน่าใคร่ ชัดถ้อยชัดคำ พวกนี้ถ้าทำงานพากย์จะประสบความสำเร็จง่ายมาก และอาจจะไม่ต้องร่ำเรียนที่ไหนก็เก่งได้ยิ่งกว่ามืออาชีพที่คร่ำหวอดมานมนาน


    ๓) ความฉลาดเลือกคำ เกิดขึ้นจากความเป็นผู้คิดก่อนพูด ใช้สติในการง้างปากที่อ้ายาก ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์บงการปากที่ไร้หูรูด ธรรมชาติของสตินั้น ยิ่งฝึกฝนให้เพิ่มมากขึ้นเท่าใด ปัญญาก็จะยิ่งทวีขึ้นเท่านั้น


    คนที่ไม่ค่อยใส่ใจกับการพูดนั้น นอกจากจะขาดเสน่ห์ทางวาจาแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดข้อน่ารังเกียจได้มากมาย เช่นคนพูดส่อเสียดและใส่ไคล้ผู้อื่นบ่อยๆมักมีกลิ่นปากเหม็นเน่า คนติดพูดคำหยาบคายกระโชกโฮกฮากมักมีสำเนียงเสียงไม่รื่นหูไม่ชวนฟัง เป็นต้น
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    เสน่ห์ทางกระแสจิต

    เป็นเสน่ห์ชนิดที่มีพลังชะโลมได้มากกว่าอย่างอื่น เช่นแค่เข้าใกล้รัศมีใครบางคนคุณก็รู้สึกเยือกเย็น หรือกระทั่งเกิดความเงียบสงัดไร้ความคิดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม กระแสจิตของบางคนอาจเปี่ยมด้วยอิทธิพลแห่งพลังดึงดูดและพลังประทับได้ยิ่ง กว่าเสน่ห์ทางกายกับวาจารวมกันเสียอีก หากคุณเคยมีประสบการณ์ผ่านพบใครบางคน ที่คุณอยู่ใกล้ๆแล้วเกิดความอยากอยู่ใกล้ เมื่อห่างไปก็ถวิลถึง แม้รูปร่างหน้าตาของเขาไม่จัดว่าเลอเลิศ กับทั้งถ้อยทีเจรจาก็งั้นๆ นั่นแหละครับตัวอย่างของคนมีเสน่ห์ทางกระแสจิตขั้นรุนแรง


    เสน่ห์แห่งกระแสจิตนั้น เป็นสิ่งเห็นไม่ได้ด้วยตา จับต้องไม่ได้ด้วยมือ ทว่าง่ายที่จะสัมผัสด้วยใจ และแม้คุณพบเจอจังๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าในเมื่อไม่เคยมีใครขอให้คุณอธิบาย คุณเลยไม่เคยฝึกจำแนกแยกแยะว่ากระแสจิตมีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีพลังเสน่ห์จับใจได้แตกต่างกันสักแค่ไหน


    จิตมนุษย์ที่กระจายออกมาให้สัมผัสได้นั้น มีกระแสพลังจากแหล่งต่างๆได้หลายหลาก อาทิเช่น พลังความคิด พลังจากมหากุศลที่ประกอบแล้ว พลังความสว่างทางปัญญาที่รู้ชอบในธรรมะ พลังสุขภาพ พลังของหน้าที่ พลังของอิทธิพลต่อหมู่คน พลังของที่อยู่อาศัย พลังของพาหนะส่วนตัว พลังของอัญมณี พลังของสัตว์ที่ผูกพันแน่นเหนียว พลังไสยศาสตร์ ตลอดไปจนกระทั่งพลังของเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกันในทางใดทาง หนึ่ง โดยย่นย่อกระแสจิตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีมีตัวตนของแต่ละคน


    ผมอาจแจกแจงที่มาที่ไปและชนิดของเสน่ห์ทางกระแสจิตอย่างละเอียดเป็น หนังสือเล่มหนึ่งได้โดยเฉพาะ แต่ในที่จำกัดนี้คงกล่าวเพียงสังเขปในแง่ ‘วิธีคิดอันเป็นต้นตอเสน่ห์ ทางกระแสจิต’ เพราะเสน่ห์ทางกระแสจิตของมนุษย์ธรรมดาจะเป็นไปตามวิธีคิด สายความคิดของมนุษย์ทั่วไปจะไม่ค่อยขาดสาย จึงปรุงแต่งให้จิตเป็นไปต่างๆนานาได้มากกว่าปัจจัยอื่น


    ขอยกเฉพาะวิธีคิดหลักๆที่ก่อรัศมีจิตอันเป็นเสน่ห์ดังนี้


    ๑) ความคิดเป็นเส้นตรงไม่หมกมุ่นวุ่นวน คือมีเป้าหมายปลายทางของความคิด ชัดเจน มีลำดับที่จะไปให้ถึงจุดหมายอย่างแน่ชัด หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกราบรื่น ไม่วกวน และอยู่ใกล้คุณนานๆอาจพลอยเกิดคลื่นความคิดเป็นระเบียบตามไปด้วย


    ๒) ความคิดที่เบากริบหรือเงียบเชียบ คือคิดเท่าที่จำเป็น สามารถเว้นวรรคความคิดเพราะรู้จักเสพสุขกับสิ่งอื่น เช่นภาพแมกไม้ เสียงน้ำตก หรือกระทั่งเฝ้าสังเกตการเข้าออกอย่างเรียบง่ายตามธรรมชาติของสายลมหายใจตน เอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกผ่อนคลายไม่อึดอัด อยู่ใกล้คุณอาจพลอยสงบผาสุกตามไปด้วยชั่วครู่ และหากคลุกคลีใกล้ชิดกับคุณนานพอ กลุ่มความคิดที่หนาแน่นของเขาอาจพลอยเบาบาง กลายเป็นคนไม่คิดมากตามคุณไปด้วยอย่างถาวร


    ๓) ความคิดมองโลกในแง่ดี คือมีมุมมองของความหวังด้านบวกเสมอ จึงเชี่ยวชาญในการสร้างทางออก ขณะที่คนทั้งโลกเชี่ยวชาญในการพาตัวไปสู่ทางตัน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกสว่างไสว ไม่มืดมน และอยู่ใกล้คุณนานๆอาจพลอยเกิดแรงบันดาลใจและความหวังใหม่ๆตามไปด้วย


    ๔) ความคิดเผื่อแผ่พร้อมจะเสียสละ คือมีความอยากให้มากกว่าอยากเอา สามารถเป็นผู้ริเริ่มในการให้ โดยไม่จำเป็นต้องคำนวณเสียก่อนว่าจะได้รับสิ่งใดเป็นผลตอบแทน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เห็นคุณเป็นที่พึ่ง (ขอให้ทราบว่าความเป็นที่พึ่งกับความเป็นคนรับใช้นั้น ต่างกันนิดเดียว ระหว่างให้แบบใจอ่อนยินยอมไปหมด กับให้แบบใจดีมีความน่าเกรงใจ ศิลปะของการให้อย่างหลังจะมีเสน่ห์ ขณะที่การให้อย่างแรกจะดูไร้ค่าหรือถึงขนาดน่ารังแก)


    ๕) ความมีใจเอ็นดูไม่คิดประทุษร้าย คือไม่แม้แต่จะแอบด่า แอบสาปแช่งคนหรือสัตว์ที่ตนเกลียด แต่มีเหตุผลบอกตนเองเสมอว่าทำไมจึงควรให้อภัย เห็นกระจ่างที่มาที่ไปอันน่าเห็นใจของคนแสนเลวสักคน หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังชะโลมใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่หวาดระแวง และบังเกิดความปรารถนาดีต่อคุณ หากเกลียดหรือคิดทำร้ายคุณได้แปลว่าต้องมีใจพาลสันดานหยาบเอาเรื่องทีเดียว


    ๖) ความคิดมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่ท้อแท้ คือแม้พบอุปสรรคก็ไม่แสดงความ อ่อนแอให้เห็น เพราะคิดหาทางรุกคืบไปข้างหน้าเข้าหาเส้นชัยหรือทางออกจากปัญหา ทำอะไรทำจริง พูดอะไรแล้วทำอย่างที่พูด ตั้งใจอะไรแล้วไม่ล้มเลิกง่ายๆ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงพลกำลัง ความเข้มแข็งไม่อ่อนแอ ความคมคายไม่ทื่อมะลื่อ เต็มไปด้วยความก้าวหน้าพัฒนาสู่ความสำเร็จลุล่วง


    ๗) ความคิดยับยั้งชั่งใจ คือแม้พบสิ่งยั่วยุให้ละโมบโลภมาก ก็ระงับความทะยานอยากเสียได้หากเห็นว่าไม่ถูกไม่ชอบ หรือแม้พบสิ่งยั่วยุให้พยาบาทอาฆาตแค้น ก็ระงับความหุนหันพลันแล่นอยากโต้ตอบด้วยความรุนแรงเสียได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงขันติ ความอดทนทางใจ


    ๘) ความคิดไม่เข้าข้างตัวเอง คือไม่หลงตัว ไม่ปกป้องตัวเอง เป็นคนดีจริงด้วยการรู้ตัวว่ายังมีจุดบอดหรือข้อเสียอันใดอยู่บ้าง ไม่ใช่ดีจริงด้วยการประกาศว่าข้าดีพร้อม ข้าทำอะไรไม่ผิดสักอย่าง ไม่คิดเข้าข้างตัวเองแม้ผิดพลาดทำชั่วบ้าง ก็มีระดับมโนธรรมสูงพอจะสำนึกผิดได้ด้วยตนเอง หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังประทับใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกถึงสำนึกอันดีงามของมนุษย์ กระแสความสำนึกผิดและการรับผิดชอบอย่างอาจหาญจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น กล้าที่จะสำนึกผิด แล้วก็ไม่ต้องขัดแย้งกับตนเอง ไม่ต้องเกลียดตนเองด้วยกำแพงปกป้องตนเองอันน่ารังเกียจ


    ๙) ความคิดที่รื่นรมย์เบาสมอง คือความสามารถมองแง่ร้ายให้กลายเป็นตลกได้ หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกพร้อมจะมีอารมณ์ขัน นึกสนุก ไม่เคร่งเครียด เต็มไปด้วยความรื่นเริงบันเทิงใจตามไปด้วย


    ๑๐) ความคิดแบบผู้ชนะที่มีน้ำใจนักกีฬาและความปรานี ไม่มีใครอยากยืนอยู่ ข้างคนแพ้ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครอยากอยู่ใต้อำนาจคนชนะที่เหลิงหลงและหมิ่นศักดิ์ศรี ผู้อื่น ผู้ชนะอาจอยู่ในเกมกีฬา เกมธุรกิจ ตลอดจนกระทั่งเกมกิเลส คือถ้าเอาชนะกิเลสยากๆของตนเองได้ก็จัดเป็นผู้ชนะได้เหมือนกัน และเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ด้วย หากคุณมีความคิดชนิดนี้ จะก่อให้เกิดเสน่ห์ชนิดเปล่งพลังดึงดูดใจ คนที่สัมผัสจะเกิดความรู้สึกหลงใหลมนต์เสน่ห์อันโดดเด่นจับตาจับใจได้ง่าย


    วิธีคิดแบบอันเป็นตรงข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้น จะบั่นทอนเสน่ห์ลง กล่าวคือกระแสความคิดจะเป็นแบบผลักไสให้ออกห่าง (ตรงข้ามกับพลังดึงดูดใจ) หรือแบบไม่ประทับลงในความทรงจำ (ตรงข้ามกับพลังประทับใจ) หรือแบบระคายเคือง (ตรงข้ามกับพลังชะโลมใจ) เช่นต่อให้มีเสน่ห์ทางกายและเสน่ห์ทางวาจา แต่ถ้าคิดฟุ้งซ่านมากๆเป็นนิตย์ ก็จะก่อคลื่นรบกวนคนใกล้ชิดให้ปั่นป่วนตาม อึดอัดที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดนานๆ เป็นต้น
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    เหตุใดจึงเป็นผู้มีรูปงาม?

    ในบทก่อนเราทราบว่าด้วยอาการทางใจและวิธีคิดทำบุญอย่างไรจึงส่งให้เป็น หญิงชาย แต่หญิงชายมีระดับชั้นวรรณะเป็นต่างๆ เริ่มเห็นได้ตั้งแต่การปรากฏตัวเลยทีเดียว บางคนเห็นแล้วน่าเมิน บางคนเห็นแล้วน่ามอง ความไม่รู้ทำให้เราคิดว่านั่นคือการ ‘ให้มา’ ของธรรมชาติ หรือของผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ แต่ความจริงก็คือเราแต่ละคน ‘ได้มา’ อย่างมีเงื่อนไข และเงื่อนไขนั้นก็คือกรรมเกี่ยวกับทานและศีลนั่นเอง

    นิยามของความงาม

    คนเราเห็นความงามต่างกัน ฉะนั้นจึงต้องตกลงกันให้ดีว่าความสวยคืออะไร ความงามคืออะไร จะได้ไม่ต้องพูดในเชิงปรัชญา เช่นความงามเป็นสิ่งลี้ลับ ความงามเป็นสิ่งฉายให้เห็นเฉพาะคน หรือความงามของที่ฉายออกมาจากจิตใจภายใน ฯลฯ


    ต่อไปนี้เมื่อพูดถึงความสวยหรือความงาม ขอให้เข้าใจว่าเราพูดจำเพาะถึงความงามในรูปร่างหน้าตาของมนุษย์


    ความสวยงามของมนุษย์คือลักษณะที่ตาคนส่วนใหญ่เห็นแล้วเกิดความยินดี เกิดความสุข เกิดความพึงพอใจ ตลอดจนกระทั่งเกิดความติดใจใหลหลง แน่นอนว่ามีตาของคนส่วนน้อยที่อาจเห็นแย้ง มองแล้ววิจารณ์ว่าไม่เห็นสวยเลย หรือถากถางว่าอย่างนี้เหรอหล่อ? นั่นอาจเป็นอคติหรือพื้นหลังเฉพาะตัวของแต่ ละคน เครื่องชี้ที่ชัดคือเจ้าตัวผู้มีรูปร่างหน้าตาเป็นสมบัติเอง ส่วนใหญ่ไปไหนต่อไหนได้รับความชื่นชม ทำให้ปลื้มเปรมกับสมบัติที่ติดตัวมาแต่เกิดหรือไม่

    สำหรับเราเอง เมื่อเรารู้สึกดีกับการปรากฏตัวในแต่ละครั้ง จะเหมือนมีรัศมีแห่งความเชื่อมั่นฉายออกไปพร้อมกับพลังกระทบด้านดี ซึ่งถ้าดีจริงอย่างที่เรารู้สึก อย่างน้อยก็จะพลอยทำให้คนอื่นรู้สึกดีตามไปด้วย


    สำหรับสายตาคนอื่น ผู้มีรูปงามชนิดแลตะลึง หรือที่เรียกว่า ‘สวยจัด’ กับ ‘หล่อจัด’ นั้น เป็นบุคคลประเภทที่ปลุกเร้าให้เกิดความสับสนวุ่นวายใจ ความสวยหล่อจัดๆสามารถกระตุ้นให้เกิดความคิดหลากหลาย หรืออาจเรียกได้ว่ารบกวนให้คนเห็นกระวนกระวายใจผิดปกติ เพราะในหัวเกิดถ้อยคำพิเศษที่ไม่ค่อยปรากฏนักในการเห็นบุคคลทั่วไป เมื่อคนเราไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ตัวเองเห็นออกมาเป็นคำพูดได้ถนัด ก็มักนึกถึงคำหรูๆเกินจริงเช่น ‘ความงามที่เหมือนเวทมนต์’ หรือ ‘หยาดฟ้ามา ดิน’ เป็นต้น


    แม้ในความงามแลตะลึงอาจมีความต่าง คือสวยหล่อแต่หน้า รูปร่างเอวองค์ไม่สมส่วน บางคนเตี้ยม่อต้อ บางคนสูงชะลูด บางคนผิวหยาบไม่น่ามอง บางคนโครงกระดูกมีจุดปูดโปนประหลาดๆ บางคนมีรายละเอียดใต้ร่มผ้าน่ารังเกียจ ฯลฯ หาได้น้อยที่สวยหล่อพรั่งพร้อมไปทั้งสรรพางค์กายสมคำว่า ‘สวรรค์เสก’
    ความจริงสวรรค์ไม่ได้ทำอะไรกับความมีรูปงามของมนุษย์ แต่ความมีรูปงามของมนุษย์ทำให้คนเรานึกถึงสวรรค์ต่างหาก นั่นแหละคือคุณของความงาม ช่วยปรุงแต่งให้ผู้พบเห็น หรือแม้แต่ผู้ครอบครองความงามเองได้รู้สึกชื่นชมยินดี และเหนี่ยวนำให้เลื่อมใสไปในทางมีจิตคิดเป็นกุศล


    น่าเสียดายในปัจจุบันคนสวยหล่อทั้งหลายเอาเครื่องหน้าและรูปร่างของตนไป เป็นสินค้าทางเพศกันมาก ทำให้คนมองเกิดความรู้สึกที่เพี้ยนไป คือเห็นความสวยหล่อมีไว้ขาย มีไว้ทำเงิน มีไว้หาประโยชน์ ไม่ได้มีเอาไว้จูงใจให้เกิดความเลื่อมใสว่าบุญมีจริง สวรรค์มีจริงเหมือนในสมัยโบราณเขามองกัน


    สรุปคือสำหรับคนราคะจัดส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ความสวยอาจเป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้กระตุ้นความกำหนัด สำหรับศิลปินผู้มีความละเอียดอ่อนในหัวใจ ความสวยสามารถเป็นเครื่องปลุกเร้าจินตนาการสร้างสรรค์ให้บรรเจิดจ้า และสำหรับผู้แสวงบุญ ความสวยเป็นร่องรอยหลักฐานยืนยันว่าผลบุญมีจริงและทำให้มนุษย์ต่างกันได้ เพียงใด!
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    กรรมหลักที่ตกแต่งให้รูปงาม

    หลักง่ายๆคือคนตามใจกิเลสจะมีรูปทราม ส่วนคนงามจะงามเพราะสละกิเลส กรรมที่ตกแต่งให้รูปงามนั้น เป็นกรรมประเภทที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดความผ่องใส มีความขาวสะอาดสว่างรอบปราศจากมลทิน และกิริยาที่จะก่อให้เกิดลักษณะดังกล่าว ก็ไม่พ้นเรื่องของการสละความตระหนี่ และการรักษาความตั้งใจไม่เกลือกกลั้วกับความชั่ว โดยตีกรอบความประพฤติทางกายและวาจาให้อยู่ในศีลธรรมอันดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอาการทางใจและวิธีคิดต่างๆประกอบอยู่ด้วย


    ๑) ทำทานด้วยศรัทธา

    ขอให้ดูเถิด คนส่วนใหญ่แม้ชอบทำทาน ก็มักทำทานด้วยจิตที่แห้งแล้ง ทำแล้วก็ถือว่าแล้วกัน น้อยคนนักจะทราบว่าแม้อาการทางใจในขณะทำทานก็มีผลใหญ่หลวงกับรูปร่างหน้าตา ได้ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผลของการให้ทานด้วยศรัทธา จะทำให้เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเป็นผู้มีรูปงามชวนพิศ น่าเลื่อมใส ผิวพรรณงามยิ่ง

    การทำทานด้วยความศรัทธาเป็นประจำ ทำให้เจ้าตัวรู้สึกสวยแพรวออกมาจากภายในตั้งแต่ชาติปัจจุบัน แม้รูปร่างหน้าตาในชาตินี้จะดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกสวยแพรวที่ออกมาจากภายในนั้น จะดึงดูดให้คนพบเห็นเกิดความทึ่งกว่าเดิม และหาคำตอบไม่ได้ ว่าทำไมไม่สวยไม่หล่อจึงน่ามองขนาดนั้น


    และผลของการทำทานด้วยความศรัทธาเป็นประจำ จะทำให้ชาติต่อไปมีใบหน้างดงามชนิดที่ชวนเลื่อมใส ข้อนี้คนของศาสนาที่ปลูกฝังเรื่องศรัทธาเป็นหลักจะได้เปรียบ เพราะเมื่อเกิดการประชุมทำพิธีทางศาสนาแล้วมักเหนี่ยวนำกันให้เกิดจิตศรัทธา เปี่ยมปีติสุขเป็นล้นพ้นกับการคิดให้ คิดเจือจาน คิดเมตตาต่อคนและสัตว์ทั้งโลก


    หลายคนคงสงสัยว่าอย่างไรจึงเรียกได้ว่าเป็นศรัทธาแล้ว อันนี้ใช้เกณฑ์ง่ายๆคือเมื่อนึกถึงบุญขณะต่างๆ ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ แล้วมีใจนึกอยากยิ้มสดชื่นออกมาจากภายใน เป็นยิ้มอันบันดาลจากความสุขความอิ่มเอมที่บริสุทธิ์ ปราศจากเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ส่วนการฝืนยิ้มไปแกนๆ แต่จิตไม่เป็นสุขนั้นไม่นับ
    สภาพแวดล้อมในการทำบุญมีส่วนก่อให้เกิดศรัทธาหรือเสื่อมศรัทธาได้มาก แต่หากเราเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในบุญอยู่อย่างหนักแน่น เชื่อมั่นว่าบุญมีที่ใจ ผลบุญเช่นความสุขความสว่างไสวก็เกิดทันทีที่ใจ เช่นนี้แม้สภาพแวดล้อมหรือบุคคลอันเป็นผู้รับจะไม่ดีนัก ใจเราก็คงไม่เสื่อมศรัทธาลงสักเท่าใด


    หากให้ทานไปแกนๆ ไม่คิดอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้ศรัทธาสักเท่าไหร่ อย่างนี้ชาติปัจจุบันแม้ทำทานมากก็ไม่ค่อยอิ่มใจ ไม่ค่อยรู้สึกอบอุ่นอยู่กับตัวเองนัก และชาติถัดไปถึงแม้มีรูปร่างหน้าตาดีก็ไม่ถึงกับดึงดูดให้รู้สึกเลื่อมใสใน ความงามนั้นๆสักเท่าใด


    หากให้ทานด้วยจิตใจคับแคบ เช่นแก่งแย่งชิงดีเอาหน้าเอาเด่น หรือให้ทานแบบกีดกัน ไม่คิดรวมทานกับใคร เช่นมาถวายสังฆทานพร้อมกันกับคนอื่น แต่จะแยกเป็นต่างหากต้องให้พระสวดสองที แบบนี้ชาติปัจจุบันแม้โครงหน้าสวยหล่ออยู่ก่อน เห็นแล้วก็ไม่ชวนให้รู้สึกปลื้ม และชาติหน้ากรรมจะตกแต่งให้หน้าตาออกไปในทางเค็มเสียมาก


    ๒) รักษาศีลได้สะอาดครบ

    ศีลจะมีส่วนช่วยปรุงแต่งหน้าตาให้ดูดีจริงๆต่อเมื่อสะอาดหมดจดในข้อ หนึ่งๆ ต้องจาระไนกันด้วยความรู้สึกยามเมื่อตาเห็น ศีลแต่ละข้อจะก่อให้เกิดความรู้สึกทางใจดังนี้


    ๑) อยากปกป้องชีวิตสัตว์ ทำให้หน้าตาใจดี เห็นแล้วสงบเย็น
    ๒) ไม่เพ่งเล็งอยากได้ ทำให้หน้าตาน่าไว้ใจ เห็นแล้วเชื่อถือ
    ๓) ซื่อสัตย์กับคู่ครอง ทำให้หน้าตามีเสน่ห์ชวนอบอุ่นใจ เห็นแล้วอยากเป็นคู่ด้วย
    ๔) ไม่คิดปั้นคำลวง ทำให้หน้าตาใสซื่อ เห็นแล้วนึกเอ็นดู
    ๕) ไม่เกลือกกลั้วสิ่งเสพย์ติดมึนเมา ทำให้หน้าตาดูเป็นคนมีสติปัญญาดี เห็นแล้วเชื่อว่าไม่ใช่พวกคิดอ่านฟุ้งซ่านเหลวไหล


    ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างสม่ำเสมอ จะมีความสะอาดผุดผ่องออกมาทางผิว ศีลจะตกแต่งให้เนื้อหนังบางส่วนหนาขึ้นหรือบางลง เห็นแล้วดูสมส่วนขึ้น และจิตที่สงบไม่เดือดร้อนกระวนกระวายจะทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนบนใบหน้าผ่อน คลาย จึงดูดีที่สุดเท่าที่โครงหน้าจะอำนวย


    ถ้าใครถือศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต ชาติใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาสมส่วนหมดจด มองจากมุมไหนก็ดูดีไปหมด แบบที่เรียกกันว่างามไร้ที่ตินั่นเอง
    หากละเมิดศีลเป็นอาจิณ หน้าตาและผิวพรรณจะดูคล้ำหมอง เว้นแต่อำนาจศีลแต่หนหลังมีพลังแรงมาก ช่วยค้ำพยุงไว้ได้ระยะหนึ่ง หรืออาจใช้วิทยาการทางความงามในปัจจุบันช่วยทำให้ผุดผ่องก็มีสิทธิ์ แต่จะประคับประคองได้ไม่นาน ในที่สุดความเสื่อมโทรมแบบแก่ก่อนวัยต้องถามหาอยู่ดี


    และกรรมที่เกิดจากการละเมิดศีลเป็นอาจิณนั้น จะมีผลให้ชาติถัดมามีความไม่สมส่วน แม้ใบหน้าสวยหล่อด้วยการทำทานอย่างมีศรัทธา จุดอื่นในร่างกายก็จะไม่สมส่วน เช่นขาสั้นไปบ้าง หลังยาวไปบ้าง


    ๓) อาการทางใจและวิธีคิด
    บางคนแม้ทำทานและรักษาศีลมาดีในแบบที่จะทำให้สวยหล่อ แต่เป็นผู้ที่ฉุนเฉียวง่าย เก็บเรื่องเล็กๆน้อยๆมาคิดมากใหญ่โต อย่างนี้ก็มีผลกับรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณทั้งในชาตินี้และในชาติต่อๆไปได้ มาก ดังเช่นที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า


    บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นคนมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อยก็ขัดใจ โกรธเคือง พยาบาทมาดร้าย ทำความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ เขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก และเพราะมีความข้องติดอยู่ในกรรมเช่นนั้นแม้ตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆในภายหลังก็จะเป็นคนมีผิวพรรณทราม


    พูดง่ายๆคือ แม้ให้ทรัพย์เป็นทานด้วยศรัทธาได้เพียงใด แต่ถ้าใจไม่รู้จักให้อภัยเป็นทานเลย ก็ได้ชื่อว่าสร้างส่วนแห่งความเป็นผู้มีรูปทรามเอาไว้
    สมมุติว่าเราเป็นผู้ให้ทานด้วยศรัทธายิ่งไปตลอดชีวิต แต่ขณะเดียวกันก็เป็นพวกฉุนเฉียวง่ายไม่รู้จักระงับอารมณ์เลยจนวันตายเช่น กัน อย่างนี้กรรมอาจปรุงแต่งให้มองเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งเหมือนสวยหล่อ แต่มองจากอีกมุมหนึ่งกลับดูไม่ได้เอาเลย และผิวพรรณแทนที่จะเลอเลิศจากผลของทาน ก็กลายเป็นแค่ธรรมดาๆ ไม่ถึงกับน่าดู ไม่ถึงกับน่าเกลียดไป หรือไม่บางส่วนของเนื้อหนังดูเหมือนงามละเอียด แต่บางส่วนกลับหยาบกระด้าง ครึ่งๆกลางๆไม่สมบูรณ์เสมอกันทั่ว


    ขณะโกรธ ขณะยอมถูกโทสะควบคุมจิตใจ เราจะไม่มีมุมมองอื่นนอกเหนือไปจากความคิดเขม่นเข่นเขี้ยวอยากจองล้างจอง ผลาญ แต่เมื่อรู้ผลของการเป็นคนเจ้าโทสะแล้วเช่นนี้ ก็อาจฝึกมองไว้ล่วงหน้า ว่าเราจะเสียเวลา เสียรูปในอนาคตให้กับความโกรธเปล่าๆปลี้ๆไปทำไม อย่างไรคู่อริของเราก็ต้องตายจากกันไปเสวยวิบากของแต่ละคน


    เพียงเห็นในขณะที่โกรธเป็นขณะแห่งความสูญเปล่า เท่ากับเอาเวลาที่ควรจะทำให้อะไรดีขึ้นสักนิดไปทิ้งเสียอีกนาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง วันหนึ่ง เดือนหนึ่ง หรือปีหนึ่ง หากเราเห็นทุกวินาทีในโลกนี้มีค่ายิ่งกว่าทอง ก็จะปรับทัศนะได้ใหม่ เห็นว่ายิ่งเสียเวลากับสิ่งไร้ประโยชน์น้อยลงเพียงใด ก็เท่ากับมีเวลาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น เราจะเป็นทาสกิเลสผู้น่าสงสาร ที่มัวหลงเสียเวลาในชีวิตไปหมกมุ่นครุ่นคิดถึงสิ่งไร้สาระโดยแท้


    ถ้าหากประกอบพร้อมทั้งการให้ทรัพย์เป็นทานด้วยศรัทธา และการให้อภัยเป็นทานด้วยใจจริง อย่างนี้ความสมบูรณ์พร้อมในเรือนกายย่อมเป็นที่หวังได้
    และบางคนแม้ทำทานรักษาศีลดี มีจิตใจเบิกบานเป็นนิตย์ แต่ก็แอบคิดเล็กคิดน้อยอยู่ในใจ เช่นเจอใครก็จ้องจับผิดอยู่เงียบๆ นึกด่าเขาอยู่เงียบๆ หรือกระทั่งชอบสาปแช่งอยู่เงียบๆ เพราะคิดว่าคงไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จิตมีความโสมนัสอยู่กับความคิดร้ายๆภายในใจ ก็มีผลให้รูปร่างหน้าตาเสียความสมบูรณ์แบบ ลดหลั่นกันไปตามฐานะแห่งกรรม


    วิธีคิดของคนนั้น เป็นมโนกรรมสำคัญที่จำแนกสัตว์ออกเป็นต่างๆอย่างแท้จริง เพราะเป็นของที่ตนรู้อยู่กับตัว และเป็นของที่ติดตัว ติดจิตติดวิญญาณเราไปทุกหนทุกแห่ง จึงเป็นใจกลางแห่งความปรุงแต่งรูปร่างหน้าตา ถ้าความคิดมีมลทิน แม้สวยหรือหล่อจากทานและศีลก็เหมือนภาพงามที่มีรอยด่างหรือจุดตำหนิ


    กล่าวได้เต็มปากว่าวิธีคิดนั่นเอง ทำให้ความสวยหล่อไม่ได้มีแบบเดียว ถอดพิมพ์กันเป๊ะๆไม่ได้ และรูปร่างหน้าตานั้น จะไม่ผิดแผกแตกต่างจากที่เราเป็นอยู่อย่างนี้มากนักก็เพราะการสืบสายของวิธี คิดนี่เอง หากสามารถยกระดับวิธีคิดได้มาก หน้าตาก็จะเปลี่ยนไปมากแบบแปรผันตรง


    สรุปว่ากรรมหลักๆที่ทำให้สวยหล่อบาดตาบาดใจกันจริงๆ หรือมีรูปงามเกินใจใครต้านทานนั้น มาจากการเป็นคนที่หมั่นทำทานด้วยศรัทธา มีศีลสะอาดบริสุทธิ์หมดจด และมีอาการทางใจกับวิธีคิดที่เป็นบวกอยู่เสมอๆ คือไม่เป็นคนมักโกรธ ไม่คิดอกุศลหรือติดใจความคิดอัปมงคลจนปล่อยใจให้ไหลไปกับเรื่องต่ำๆ


    ผู้ทำกรรมในแบบที่จะส่งผลเป็นความสวยหล่อถึงขีดสุดดังกล่าวนี้ จะมีความงามออกมาจากภายในตั้งแต่ชาติปัจจุบัน เห็นแล้วรู้สึกดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง และในความเป็นมนุษย์ชาติถัดไป ก็จะเป็นผู้งามวัย วัยเด็กก็น่ารักแบบเด็ก วัยหนุ่มสาวก็หล่อสวยแบบหนุ่มสาวตามค่านิยมของยุคนั้นๆ และถ้าล่วงเข้าวัยชราก็ยังชวนพิศแบบผู้สูงอายุที่ดูไม่จืดตา


    การผสมกันระหว่างกรรมประเภทต่างๆที่ก่อให้เกิดรูปร่างหน้าตานั้น ไม่มีกรรมใดกรรมหนึ่งระหว่างทานและศีลเป็นผู้ขึ้นรูป ทุกอย่างผสมกันเบ็ดเสร็จแล้วออกมาเป็นหน้าตาหนึ่งๆเลยทีเดียว แต่รูปทรงอาจถูกกำหนดจากน้ำหนักของทานหรือศีลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นถ้าเคยเป็นผู้มีนิสัยหนักไปทางทำทานด้วยศรัทธามากกว่ารักษาศีลให้สะอาด หมดจด ชาตินี้จะดูรูปงามชวนชมเมื่อมองผาด แต่พอมองพิศแล้วเห็นความไม่ค่อยสมส่วนสักเท่าไหร่ หรือกระทั่งจุดลับต่างๆไม่น่าพิสมัยนัก


    ส่วนบางคนเป็นผู้มีนิสัยหนักไปทางรักษาศีลพอประมาณมากกว่าทำทานด้วย ศรัทธา หรือบางทีไม่ค่อยได้ทำทานเอาเลย ชาตินี้จะดูสมส่วน เครื่องหน้าทุกชิ้น อวัยวะใหญ่น้อยทั้งหลายดูเข้ารูปรับกันไปหมด แต่กลับสวยหล่อแบบเรียบๆ ไม่หวือหวาสะดุดตานัก


    และขอให้เข้าใจด้วยว่าสภาพจิตในชาติอันเป็นปัจจุบันก็มีบทบาทสำคัญยิ่ง บางคนรูปร่างหน้าตาดี แต่กลับขาดเสน่ห์ เพราะปล่อยตัวปล่อยใจให้ง่วงเหงาหาวนอน หรือหดหู่ทอดอาลัยตายอยาก จมอยู่กับความเศร้าชั่วนาตาปี อย่างนี้ก็ขาดความชวนชมได้เหมือนกัน เพราะแม้ตาคนเขาจะเห็นรูปโฉมดีๆภายนอก แต่ใจเขาก็จะรู้สึกแย่กับกระแสความหดหู่หรือคลื่นความปั่นป่วนในภายในจนอยาก เมินมากกว่าอยากพิศให้นาน
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ถาม – โลกกำลังจะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่จริงหรือไม่?

    ตั้งแต่เกิดเหตุสึนามิถล่มหลายประเทศ ขบวนการพยากรณ์ก็กลับมาฮิตใหม่อีกครั้ง หลังจากซบเซาไปนาน ทั้งการไม่มาตามนัดของสงครามนิวเคลียร์ในปี ๑๙๙๙ และทั้งการลบแผนที่หลายๆประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีหมู่เกาะซึ่งเสี่ยงต่อการจมน้ำทั้งหลาย


    ผมมองว่าขบวนการพยากรณ์ภัยพิบัติส่วนใหญ่คือการใช้ประโยชน์จากความกลัว ของผู้คน คำทำนายมักหนีไม่พ้นแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟไหม้ พายุซัด เพราะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบ่อยในระยะหลัง แต่เพื่อให้น่าสนใจ คำพยากรณ์ช่วงนี้จะออกแนวหายนะระดับล้างโลกที่น่าขนพองสยองเกล้า เช่นประเทศนั้นประเทศนี้จะหายวับไปกับตา อะไรทำนองนั้น


    นอกจากภัยทางธรรมชาติ ยังมีคำพยากรณ์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งอันนี้ก็เป็นจริงและควรมองว่าน่าหวั่นวิตกกว่ากันเสียอีก เพราะมีข่าวไวรัสสายพันธุ์ใหม่ให้ได้ยินเป็นรายวัน ชนิดที่ต่อไปคนอาจไม่ประหลาดใจถ้ามีข่าวว่าอยู่ดีๆมีคนกลุ่มหนึ่งบนฟุตบาทลง ไปชักดิ้นชักงอพราดๆเหมือนในหนังเขย่าขวัญ โดยทีมแพทย์ตรวจเบื้องต้นไม่ทราบว่าโดนเชื้อโรคสายพันธุ์ใดเล่นงาน


    เสียงลือเกี่ยวกับการเอาอาวุธนิวเคลียร์มาเป็นเครื่องมือข่มขู่กัน ระหว่างประเทศ ก็ทำให้เกิดการพยากรณ์อันน่าเชื่อถือได้อีก ว่าวันหนึ่งโลกคงไม่แคล้วต้องประสบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่สุด คนตายเรือนล้านทันทีจากอาวุธนิวเคลียร์ และอีกหลายล้านต้องตายแบบผ่อนส่งจากพิษกัมมันตภาพรังสี


    สรุปคือ ปัจจัยที่จะทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่นั้นมีอยู่จริง!

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่มีอยู่จริงก็ไม่จำเป็นต้องแผลง ฤทธิ์เสมอไป ทำนองเดียวกับที่เราเดินผ่านหมามีเขี้ยวเล็บทุกวัน มันมีสิทธิ์กัดเราเนื้อขาดได้ตอนทีเผลอ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่กัด ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราเดินผ่านไปสบายๆโดยไม่คิดอะไร จนกว่าจะมีข่าวหมาเป็นพิษสุนัขบ้า หรือได้ยินใครในตลาดเล่าให้ฟังว่าหมู่นี้หมาชอบกัดคนเดินเท้าประจำ คุณถึงค่อยเกิดอาการเหลียวซ้ายแลขวาลอกแลก แตกต่างไปจากเดิม


    ลองหลบมุมจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง แล้วมาดูกันในมุมมองของกรรมวิบากกันบ้างนะครับ ผมจะไม่พูดแบบหมอดู คือไม่ฟันธงลงไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ตอนดาวทำมุมอย่างไร แต่จะลองวาดภาพให้คุณเห็นอย่างชัดเจน ว่าตามหลักแล้ววิบากกรรมจะเล่นงานคนเรือนล้านพร้อมกันได้เพราะมีเหตุปัจจัย ดังนี้


    ๑) มีสัตว์ต้องตาย ‘พร้อมกัน’ นับอสงไขย คืออย่าไปคิดเฉพาะมนุษย์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่กำลังเสวยบุญขั้นสูงสุด แต่ต้องคิดถึงสัตว์น้อยใหญ่อีกไม่รู้กี่แสนล้านตัวด้วย เพราะสมมุติว่าคนตายเพียงหนึ่งล้าน แปลว่าต้องกินอาณาบริเวณกว้างไกลไม่ใช่เล่นๆ อาจจะทั้งจังหวัดเล็กๆ ลองคิดดูสิครับว่าหมาแมว นกหนู มดปลวก และอะไรจิปาถะอื่นๆจะมีอยู่ประมาณไหนในหนึ่งจังหวัด ใช้ตัวเลขมั่วๆว่า ‘นับไม่ถ้วน’ ไปพลางๆดีกว่า


    ๒) วิบากกรรมที่ทำให้ตายกะทันหันนั้น ควรจะเป็นประเภทตัดรอนภาวะดีๆ เปลี่ยนเอาภาวะร้ายๆมาแทนที่แบบปุบปับฉับพลัน ไม่ให้ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว พูดง่ายๆว่าต้องตกต่ำลงจากสภาพเคยอยู่ดีมีสุขในสภาพเนื้อตัวแห้งสะอาดนุ่ม นิ่มแบบมนุษย์ไปเป็นอื่นที่ลำบากกว่ากัน ทั้งนี้ก็เพราะคนและสัตว์ส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมใจตายไว้ล่วงหน้า เมื่อไม่ได้เตรียมก็แปลว่าใช้ชีวิตตามสบาย ซึ่งตามสบายของคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ถ้าไม่คิดเรื่องเซ็กซ์ก็คิดเรื่องล้างแค้น ถ้าไม่คิดเรื่องล้างแค้นก็คิดเรื่องความสำคัญของตัวตน ล้วนแต่เรื่องปรุงแต่งจิตให้เศร้าหมอง เมื่อตายขณะจิตเศร้าหมองย่อมเอียงลงต่ำ เว้นแต่จะสั่งสมบุญใหญ่ไว้ช้อนได้ทัน อีกประการหนึ่ง ภัยพิบัติระดับทำคนตายเป็นล้านนั้น มักมาในรูปแบบของความน่าสะพรึงกลัวไม่มีอะไรเกิน ความกลัวเป็นโทสะชนิดแรงกล้า ถ้าครอบงำจิตสุดท้ายไว้ทั้งดวงได้ ก็มักตรึงจิตให้ติดอยู่กับความกลัวนั้นๆ พูดง่ายๆเป็นเปรตที่ต้องวนเวียนอยู่กับภพแห่งความน่ากลัวไปอีกนาน จนกว่าจะมีบุญใดมาเลื่อนชั้นให้ น้อยคนครับที่เปลี่ยนจากภาวะมนุษย์ด้วยอุบัติเหตุกะทันหันแล้วไปสูงขึ้น ต้องสั่งสม ต้องย้อมจิตย้อมใจเป็นกุศลกันจนอยู่ตัวพอประมาณ


    เอาแค่ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดมหาหายนะสองข้อข้างต้น ก็คงพอจะพิจารณาได้ว่าการตายเกลี้ยงฉาดแบบเทกระจาดทิ้งทั้งหมดโลกในคราว เดียวนั้น เกิดขึ้นได้ยากเต็มทีครับ เพราะแปลว่าผู้มีบุญถึงขั้นได้เป็นมนุษย์กว่า ๖,๐๐๐ ล้านรายจะต้องตายร้ายพร้อมกันหมด อัตราความเป็นไปได้คงเป็นศูนย์ คือต่อให้มีดาวหางใหญ่เท่าดวงจันทร์จะวิ่งมาชนโลกแตกดับ ก็ต้องได้พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเหมือนในหนังจนได้


    อย่างไรก็ตาม แม้โอกาสตายเกลี้ยงพร้อมกันจะเป็นศูนย์ แต่โอกาสทยอยตายเป็นกระจุกๆนั้นชักเริ่มมีมาก ทั้งนี้เพราะมีผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนเพิ่มขึ้นนั่นเอง


    ผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนนั้นคือใครบ้าง?


    ๑) ผู้ถึงวาระสุดท้าย อาจถึงเวลาตายด้วยกรรมเก่าจากอดีตชาติ หรือเพราะกรรมใหม่ในชีวิตปัจจุบัน บันดาลให้ต้องตกตาย ณ จุดของเวลานั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าจิตกำลังเป็นกุศลหรืออกุศลในขณะเผชิญความตาย โดยมากพวกนี้จะมีโอกาสตั้งสติระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งสิ่งมนุษย์มักยึดเหนี่ยวกันก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของตน แต่ถ้าระหว่างมีชีวิตไม่ทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้อยู่ในใจ ก็มักกังวลโน่นนี่สารพัด


    ๒) ผู้ถึงวาระสุดท้ายเช่นเดียวกับข้อแรก แต่กรรมในอดีตชาติหรือในชาติปัจจุบันบังคับไว้เลยว่าต้องตายด้วยจิตที่เป็น กุศลหรืออกุศล เช่นถ้าอดีตชาติเคยฆ่าผู้อื่นด้วยวิธีทำให้กลัวก่อนตาย หากชาติปัจจุบันไม่สร้างกระแสกรรมใหม่ไว้แรงพอจะส่งให้จิตมีกำลังและสว่าง ไสวพอ ก็จะต้องตายด้วยเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความกลัวอย่างท่วมท้น แม้พยายามระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในนาทีสุดท้าย อย่างไรก็แก้ไม่ทัน


    ๓) ผู้มีบาปหนัก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังดำมืด ขาดกำลังส่งให้ไปดี เขามีบาปหนักสมควรจะต้องชดใช้ ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็จะขาดเหตุปัจจัยในโลกนี้มาลงโทษอย่างสาสม อันนี้หาได้ยาก ที่เคยมีเป็นเยี่ยงอย่างแก่มนุษยชาติก็ได้แก่พระเทวทัตซึ่งทำร้ายพระ พุทธองค์สารพัดวิธีแบบกะปลงพระชนม์ อยู่ๆพื้นแผ่นดินที่ยืนอยู่ก็แยกออกแล้วกลืนหายลงไปเฉยๆ (ไม่ได้สูบฮวบเดียว จมมิด เพราะหลักฐานมีอยู่ว่าพระเทวทัตสำนึกผิดได้ตอนโดนดูดลงไปเหลือแค่ส่วนหัว ตำแหน่งที่พระเทวทัตโดนในปัจจุบันก็ยังมีปักป้ายแสดงที่อินเดีย ใครอยากดูก็ลองไปสัมผัสเอาเองว่ามีความน่าขนลุกอยู่จริงไหม)


    ๔) ผู้มีบุญมาก ถึงเวลาตายในจังหวะที่จิตกำลังผ่องใส หรือมีกำลังของกุศลอุ้มชูมากพอจะประกันภพใหม่ว่าต้องดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่ เขามีบุญญาธิการที่ควรได้เป็นผู้เสวยสุขมาก ขนาดที่ว่าถ้ายังมีชีวิตต่อ ก็ขาดเหตุปัจจัยที่จะตกรางวัลอย่างสมน้ำสมเนื้อกับบุญญาบารมีเสียแล้ว พวกนี้กุศลจะคุ้มตัว ต่อให้เกิดเรื่องน่ากลัวขนาดไหนก็ไม่ตระหนก จิตส่วนลึกมีความเชื่อมั่นกับกระแสกุศล อบอุ่นใจมากพอ ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นคือหญิงชาวนาคนหนึ่ง ตื่นเช้าใส่บาตรพระอรหันต์ซึ่งเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ซึ่งผลกรรมด้านดีจะแรงมาก ต้องเห็นผลใน ๗ วัน แต่ด้วยวิถีชีวิตของนางไม่มีปัจจัยในโลกสนองตอบได้ไหว เลยตายแบบปัจจุบันทันด่วนด้วยสัตว์ร้าย ไปเสวยสวรรค์ระหว่างทางทำบุญนั่นเอง (ปัจจุบันข่าวทัวร์บุญที่รถเทกระจาดก็ มีให้เห็นบ่อยจนบางคนตั้งข้อสังเกตนะครับ อย่าตีความว่าทำบุญแล้วตายหมายถึงทำบุญแล้วได้อัปมงคลเป็นอันขาด)


    ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สึนามิที่ผ่านมา คนมักถามกันว่าผู้เคราะห์ร้ายเคยทำกรรมใดร่วมกันมาจึงร่วมตายเกือบพร้อม เพรียงอย่างนั้นถึงสามแสนคน
    อันนี้ขอให้ทราบนะครับ การตายหมู่ไม่ใช่เครื่องหมายบอกเสมอไปว่านั่นเป็นวิบากกรรมที่พวกเขาทำมา ร่วมกัน ขอให้สังเกตว่ากรณีสึนามินั้น แต่ละคนกระจายกันรับเคราะห์กรรมซึ่งมีแรงหนักเบาไม่เท่ากัน สถานการณ์ที่ส่งผลให้เจ็บตายไม่เหมือนกัน และที่สำคัญไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่ได้จูงมือไปรวมตัวกันตามข้อตกลงแต่อย่างใด


    นอกจากนั้นขอให้สังเกตอีกประการหนึ่ง คือหลายรายไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนภพของพวกเขา ก็มีเหตุให้พวกเขาต้องไปอยู่ที่นั่นพอดี ตำแหน่งที่จะถูกน้ำซัดตายพอดี ส่วนคนที่ยังไม่ถึงฆาต แม้ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว ก็กลับรอดและไม่บาดเจ็บเท่าแมวข่วน บางคนถูกน้ำซัดเข้าปะทะผนัง น่าจะตายแน่แล้ว ผนังส่วนนั้นกลับพังราบ เลยรอดจากการถูกอัดก๊อปปี้! นี่แหละการแสดงความมหัศจรรย์ในการ ‘คัดคน ออก’ ของกฎแห่งกรรมวิบาก ใครยังคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ก็สมควรทบทวนดูใหม่จากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ว่าทำไมความบังเอิญจึงเล่นตลกได้ขนาดนี้?


    การประสบเคราะห์กรรมร่วมกัน ชนิดที่ส่อถึงอดีตกรรมที่เคยทำมาด้วยกันนั้น จะเป็นประเภทกลุ่มคนที่รู้จักกัน ร่วมทางหรือลงเรือลำเดียวกัน ประสบกับรูปแบบเคราะห์กรรมเดียวร่วมกัน เช่นในคัมภีร์มีเรื่องของเหล่าภิกษุไปติดในถ้ำด้วยกัน อดอยากปากแห้งร่วมกันอยู่หลายวัน ก็เพราะกรรมหมู่ในอดีตชาติที่เคยร่วมกันกักขังสัตว์ให้ได้รับความทรมาน เป็นต้น


    โลกนี้แบ่งออกเป็นเขตพื้นที่ปลอดภัยกับเขตพื้นที่สุ่มเสี่ยง และเป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย ไม่มีสมัยใดที่โลกปูตลอดด้วยพื้นที่ปลอดภัยหรือสุ่มเสี่ยงอย่างเดียว ต้องมีกระจายเขตดีเขตร้ายไว้ให้บริการส่ำสัตว์ผู้มีบุญมีบาปอย่างทั่วหน้า อยู่เสมอ ฉะนั้นขอให้ลืมเรื่องภัยล้างโลกแบบกวาดทีเดียวหายเรียบไปได้ วันหนึ่งโลกอาจถึงกาลแตกดับจริง แต่ป่านนั้นต้องไม่มีสัตว์บุญมากอย่างมนุษย์หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว


    โลกยังไม่แตกวันนี้ แต่ก็อย่าประมาทเลยครับ เพราะเราอาจยืน เดิน นั่ง นอนอยู่ในเขตประหาร และเราก็ไม่อาจทราบเสียด้วยว่าถึงเวลาของเราหรือยัง ขอให้คำนึงถึงการเตรียมเสบียงไว้เพื่อความไม่ประมาทแหละดีที่สุด เราจะได้ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องถามหาคำทำนาย ว่าที่กำลังหายใจได้ กำลังรู้สึกและนึกคิดได้เหมือนอย่างนี้ วาระสุดท้ายจะต้องตายเดี่ยวหรือตายหมู่ ตายดีหรือตายทรมาน ตายในขณะที่จิตเป็นกุศลหรืออกุศล เพราะธรรมดาผู้สั่งสมบุญ ตุนเสบียงไว้มากๆ ย่อมอุ่นใจอยู่เสมอว่ากรรมขาวทั้งปวงจะตามไปช่วยอุดหนุนค้ำจุนมิให้หลงตายตก ร่วงลงต่ำอย่างแน่นอน
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ถาม – เขา ว่าเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๓ ขึ้น จะมีนิวเคลียร์ลง ผู้คนจะตายเป็นร้อยล้านพันล้าน ถ้าใครทำดีมากๆแล้วจะรอดได้ อยากถามคุณดังตฤณว่าคำทำนายนี้เป็นจริงหรือไม่?

    สิบกว่าปีก่อนผมเคยอ่านคำทำนายที่ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ หรือ ค.ศ. ๑๙๙๙ จะมีมหาสงครามนิวเคลียร์ ผู้คนล้มตายกันทั่วโลก แต่คนดีๆจะมีสิทธิ์อยู่ต่อ บางแหล่งถึงกับระบุทีเดียวว่าจะมีกรวยสีรุ้งพุ่งจากฟากฟ้าลงมาปกป้องอภิบาล คนดีมีศีลสัตย์ให้อยู่รอดปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายจากระเบิดล้างโลก


    ครั้งนั้นผมก็ขมวดคิ้วสงสัยแล้วว่าเอ๊! คนเลวตายหมด แต่คนดีผีคุ้ม ไม่ตายง่ายๆ มิแปลว่าผลของการเป็นคนดีคืออยู่ทรมานต่อจากพิษกัมมันตภาพรังสีหรอก หรือ? คิดดูซิครับ โลกหลังมหาสงครามนิวเคลียร์น่ะมันจะไปเหลืออะไรนอกจากฝุ่นพิษ อาหารการกิน น้ำไฟและความเป็นอยู่ต่างๆคงย่ำแย่เหลือรับประทาน
    คำทำนายทำนองนี้เหมือนจะเอาใจคนทั่วไปที่ไม่อยากตาย หรือเป็นกุศโลบายให้คนเร่งขวนขวายทำความดีกัน ส่วนดีก็ดีแหละครับ แต่ส่วนไม่ดี ที่เป็นผลกระทบข้างเคียง คือความเข้าใจผิด สำคัญผิด และเชื่อมโยงเรื่องกรรมวิบากกันผิดๆ เป็นเหตุให้เสื่อมศรัทธาได้ง่ายๆถ้าผลออกมาไม่ตรงกับคำทำนาย ยกตัวอย่างเช่นยังไม่ทันเกิดสงครามนิวเคลียร์ คนดีมีศีลสัตย์ถูกไฟดูดตายโดยไม่มีปาฏิหาริย์ที่ไหนช่วย คนรู้ข่าวก็จะมองกันว่าไหนบอกคนดีผีคุ้มไง ทำไมงอก่องอขิง ไหม้เกรียมเป็นที่น่าสลดสังเวชขนาดนี้?


    ถ้ามองแบบคนกลัวตาย ยังยึดติดกับสุขขี้ปะติ๋วในโลก คุณก็ต้องอยากฟังคำทำนายประเภทตัวเองดีพอ มีบุญพอจะอยู่ต่อ แต่หากคุณมีศรัทธาในบุญอย่างแท้จริง และตระหนักว่าบุญจะเป็นที่พึ่งให้คุณสบายกว่านี้ ก็คงคิดไปอีกอย่างหนึ่งครับ คือถึงตายโหงก็ตายโหงอย่างคนมีบุญ ร้องจ๊ากใหญ่ๆสักนาทีหนึ่งแล้วได้ไปหัวเราะร่าหรรษาบนสวรรค์อีกครึ่งกัป ครึ่งกัลป์ อย่างนี้จะต้องไปกลัวอะไร?


    ทำดีมากๆในชาตินี้ ไม่เกี่ยวกับตายเร็วหรือตายช้าหรอกครับ ไม่เกี่ยวกับตายสงบหรือตายน่าสังเวชด้วย แต่จะเกี่ยวกับตายแล้วไปไหนมากกว่า อย่างไรทุกคนก็ต้องทยอยจากกันไปหมดอยู่แล้ว ถ้าคุณกำลังอ่านบรรทัดนี้อยู่ ก็แปลว่าเหลือเวลาให้ทำใจเชื่อเรื่องบุญกรรมกันอย่างถูกต้องพอสมควร ก่อนตายไม่ควรหวาดผวา แต่ควรเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมใจใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อความไปสู่สุคติ หรือเพื่อความสิ้นสุดทุกข์ร้อนถาวรต่อไป


    อีกประการหนึ่ง เรื่องตื่นข่าวหายนะระดับประเทศหรือระดับโลกนั้น ไม่ถือว่าเป็นเรื่องงมงายเสียทีเดียว เพราะช่วงที่ผ่านมาเกิดเรื่องเลวร้ายมากมายเสียจนคนหายประมาทกันเยอะ แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้พิจารณาตามจริงด้วยว่าคำทำนายเกี่ยวกับหายนะระดับช้างนั้น ผิดมากกว่าถูก ถ้าเหมารวมได้ทั้งหมดคุณอาจตาค้างด้วยความประหลาดใจ คือร้อยคำทำนายจะมีสักหนึ่งหรือน้อยกว่านั้นที่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นจริงๆ ชนิดตรงเผงทั้งเวลา สถานที่ และบุคคลผู้ก่อการ


    เมื่อข้อเท็จจริงตามสถิติคือ ‘เป็นไปได้ต่ำที่จะทายถูก’ พวกเราก็ควร กำหนดใจเชื่อไว้น้อยๆด้วยเหมือนกัน เหตุการณ์ระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับวิบากกรรมของคนเรือนล้านนั้น ไม่ใช่รู้กันง่ายๆหรอกครับ บางคนฟังคำทำนายแล้วก็วิ่งเต้นเข้าพิธีไสยศาสตร์บ้าง ตระหนกตกตื่นจนท้อแท้ไม่อยากทำอะไรเลยบ้าง หรือกระทั่งสิ้นหวังขนาดอยากฆ่าตัวตายไปล่วงหน้าบ้าง (เพราะคิดๆอยู่ก่อน หน้าแล้วจากเรื่องรันทดในชีวิตตน) เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตที่เหลือไม่ คุ้มค่า เป็นไปเพื่อถูกอุปาทานครอบงำให้จิตเป็นอกุศลเปล่าโดยแท้


    ผมว่าเรามาเตรียมตัวกันแบบชาวพุทธจริงๆกันดีกว่าครับ ชาวพุทธเป็นอย่างไร? เป็นคนที่พยายาม ‘รู้ตามจริง’ ด้วยเหตุผล ไม่ใช่ ‘เชื่อตามกัน’ โดยปราศจากการพิจารณา


    และด้วยท่าทีของชาวพุทธ ผมอยากตั้งข้อสังเกตดังนี้


    ๑) ยอมรับตามจริงว่าปัจจุบันโลกตกอยู่ในเงื้อมเงาของอันตรายหลายประเภท อย่าดึงดันปฏิเสธแบบหัวดื้อตาใส ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ พวกเชื่อเรื่องภัยพิบัติคือกลุ่มคนที่งมงายเท่านั้น


    ๒) เมื่อเกิดคำทำนายใดๆ ทั้งจากฝั่งหมอดูและจากฝั่งนักวิทยาศาสตร์ ขอให้ตั้งสติฟังอย่างรอบคอบว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นเร็วๆนี้มีข่าวว่าอุกกาบาตจะตกในอ่าวไทย ลือกันแพร่สะพัดต่างๆนานา ถือเอาจังหวะที่ผู้คนกำลังขวัญเสียจากสึนามิ โดยไม่คำนึงถึงหลักความจริงทางวิทยาศาสตร์ประกอบ หากพิจารณาคำทำนายดีๆแล้ว จะเห็นได้ตั้งแต่เมื่ออ่านหรือรับฟังในครั้งแรกนั่นเองว่าเป็นของเก๊ เป็นเรื่องของคนชอบเล่นสนุกกับความกลัวของมวลชน


    ๓) เมื่อใจกลัวก็อย่าทำปากแข็งว่ากล้า ขอให้ถือเป็นโอกาสศึกษาพุทธพจน์ ว่าท่าทีเกี่ยวกับการเตรียมตัวตายเป็นเช่นใด ตายด้วยจิตแบบไหนถึงจะคุ้ม ซึ่งขอสรุปรวบรัดโดยง่าย คือพระพุทธเจ้าท่านให้ระลึกถึงความตายเสมอๆ และความตายแบบมนุษย์สามัญก็ปราศจากร่องรอยนิมิตบอกเหตุเหมือนเทวดา เพราะฉะนั้นอย่าได้ประมาท ชะล้างสิ่งโสโครกใดได้ก็ชะล้างเสีย เตรียมเสบียงไว้เดินทางต่ออย่างใดได้ก็เตรียมเสีย ซึ่งเสบียงที่ดี ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการมีปัญญาเห็นชอบ เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และสิ่งทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นสมบัติถาวรของเราหรือของใคร เมื่อใจไม่เปื้อนมลทินบาป สะอาดเอี่ยมด้วยบุญกุศล และเลิกห่วงหวงดิน น้ำ ไฟ ลมทั้งหลายในโลกหล้าที่ต้องมีอันแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เห็นอิสระทางใจอันเกิดจากความปล่อยวางเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด นั่นแหละครับ ท่าทีการเตรียมตัวตายแบบพุทธของแท้


    หากจำที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้ ก็ขอให้ระลึกสั้นๆว่า อย่ากลัวตายร้าย แต่ขอให้กลัวจะอยู่อย่างไม่ได้เตรียมตัวไปดี ก็แล้วกัน ถ้าเปลี่ยนค่านิยมใหม่เสียได้ ไม่เอาแต่กลัวตายโหง ไม่เจาะจงอยากแก่ตายอย่างสงบ คุณจะไม่ตื่นเต้นกับคำทำนายหายนะโลกเก๊ๆอีกต่อไปครับ7
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    เฮ้อ - ข่าวว่าน้ำจะท่วมโลกแน่ ไม่มีใครรู้ว่าอีกเมื่อไร อาจจะ ๕ ปีหรือ ๑๐ ปีก็ได้ทั้งนั้น

    ข่าวโลกแตกมีมานานครับ ผู้คนฟังแล้วก็ตื่นกลัวบ้าง หัวเราะเยาะบ้าง สุดแท้แต่ว่าใครเป็นคนประกาศข่าวโลกแตก


    ช่วงนี้เสียงหัวเราะเยาะอาจจะแผ่วลงหน่อย แล้วความตื่นกลัวก็เกิดขึ้นอย่างยาวนานกระทั่งด้านชาและกลายเป็นความชินไป เสียแล้ว เพราะดินฟ้าวิปริตปรวนแปรเหลือเกิน ในวันเดียวกันธรรมชาติอาจมี ‘อารมณ์แปรปรวน’ ได้สารพัด เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวร้อนแสบผิว เดี๋ยวหนาวถึงไขกระดูก นี่เป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ต้องไปดูภูเขาน้ำแข็งถล่มที่ไหนก็รู้สึกได้ว่าโลกทำตัวเกเรขึ้นทุกวัน
    แถมข่าวโลกแตกรอบนี้ ก็ไม่ใช่เด็กเลี้ยงแกะในหมู่บ้านเล็กๆเสียด้วย แต่เป็นถึงนักวิทยาศาสตร์ผู้มีหน้าที่สอดส่องดูแลความเป็นไปของประเทศและของ โลกโดยตรง!


    เอาล่ะ! สมมุติว่าคราวนี้โลกจะแตกจริงๆเสียที ด้วยการมีน้ำท่วมไปทุกหนทุกแห่ง แล้วเป็นยังไง เราจะทำอะไรได้?


    มาตั้งต้นกันแบบที่ทำให้ไม่ตื่นกลัวและไม่ประมาทดีกว่า วิธีก็ง่ายๆคือถ้ายังไม่มีโจทย์ให้ชีวิตในอนาคต ก็ตั้งโจทย์สมมุติให้กับวันนี้แล้วกัน


    ถามตัวเองหรือยังว่าถ้าต้องพลัดพรากกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ไม่มีเครื่องมือสื่อสารที่ดีที่สุดในโลกอย่างมือถือและอินเตอร์เน็ตดังเช่น ปัจจุบัน คุณจะเลือกไปอยู่กับใคร? แน่นอนว่าคุณคงเลือกอยู่กับคนที่รักไม่ได้ครบทุกคน เพราะในวันน้ำท่วมฉับพลัน คนที่คุณรักอาจอยู่ไกลสุดขอบฟ้า คุณจะรู้สึกว่าเขาอยู่ไกลคุณจริงๆก็ตอนไม่มีมือถือและอินเตอร์เน็ตนี่แหละ


    สรุปคือในที่สุดอันเป็นสุดท้ายแล้ว คุณเลือกอยู่กับใครไม่ได้ตามปรารถนาหรอก ซึ่งนั่นก็ไม่แตกต่างจากที่กำลังเป็นอยู่สักเท่าไรเลย แม้คุณสมใจได้อยู่กับบุคคลอันเป็นที่รักในวันนี้ คุณก็ไม่รู้เลยว่าวันไหนจะมีเงื่อนไขหรือปัจจัยใดมาพรากเขาไป และวันใดบุคคลอันเป็นที่รักถูกพรากไปโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง วันนั้นเองที่ต้องตระหนักด้วยความตระหนกว่าคุณไม่เคยมีสิทธิ์อยู่กับใครจริง
    คุณต้องอยู่กับตัวเองตลอดไป ตราบเท่าที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ฉะนั้นถ้าเตรียมสร้างตัวเองให้น่ารัก น่าอบอุ่น และน่าอยู่ด้วย คุณก็จะมีความสุขอยู่กับตัวเองในทุกวาระสุดท้าย ไม่ว่าจะต้องตายโหงในชาตินี้หรือตายดีในชาติไหน
    อีกสักคำถามหนึ่ง คุณถามตัวเองหรือยังว่าถ้าจะต้องเป็นหนึ่งในผู้จมน้ำตาย หรือกระหายน้ำจนขาดใจเพราะหนีขึ้นที่สูงเกินไป คุณจะเอาอะไรเป็นทุนรอนสำหรับเกิดใหม่ ให้ดีกว่าต้องมาอยู่ในโลกที่จมน้ำได้? แน่นอนว่าตอนยังดีๆทุกคนจะบอกว่าช่าง เถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด... แต่ขอโทษที คนพูดอย่างนี้ส่วนใหญ่จำๆเขามานะครับ ดีที่สุดที่จะทำวันนี้ของคน พูด ก็มักไม่ต่างจากเมื่อวานและวันก่อนๆ นั่นคือขอให้ผ่านไปอีกวัน กินให้อร่อยที่สุด นอนให้นานที่สุด และขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะให้โล่งที่สุด!

    พอถึงคราวหายนะขึ้นมาจริงๆ มีสักกี่คนทำใจได้ เราต้องการความ มั่นคงทางใจในวาระสุดท้ายเป็นสำคัญ ความมั่นคงทางใจเท่านั้น ที่จะทำให้เราพร้อมตายโดยไม่ต้องทำใจใดๆ ทุกอย่างจะสบายในตัวเอง
    ความมั่นคงทางใจเกิดขึ้นจาก ๒ สิ่ง


    ๑) กรรมดีที่สั่งสมมา ไม่ใช่กรรมดีที่รีบตาลีตาเหลือกนึกถึงพระอรหันต์ก่อนตายนะครับ ผมหมายถึงความดีที่บำเพ็ญมาทั้งชีวิต ความดีจะปรากฏเป็นความขาว ความสว่าง และความรู้สึกงดงามทางใจ ก่อให้เกิดความสุข ความตั้งมั่น โดยไม่ต้องวิงวอนขอการคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ


    ๒) ความเข้าใจ คนเราจะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังความตาย นั่นเพราะความไม่รู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไรแน่ ต่อเมื่อทำความเข้าใจว่าอนาคตก็คือผลของปัจจุบัน คุณก็จะเห็นอนาคตจากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันนั่นเอง


    หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง หากใจคุณมืด อนาคตก็ย่อมมืด!
    ความสว่างคือธรรมะ ความมืดคืออธรรม ยิ่งใจคุณผูกอยู่กับธรรมะมากขึ้นเท่าไร ใจคุณก็ยิ่งสว่างขึ้นเท่านั้น ตรงข้าม หากใจคุณเอาแต่ผูกอยู่กับอธรรม พอทำความรู้สึกเข้ามาในใจ ก็จะเห็นแต่ความมืดคลุ้มไม่มีดี


    ธรรมะที่ดีที่สุดคือการมีสติระลึกถึงความจริงเฉพาะหน้า เช่น เห็นให้ได้ว่าประโยชน์สูงสุดยามตาย ก็คือความเข้าใจว่าร่างที่จะตายไม่ใช่เรา เป็นเลือดเนื้ออันเกิดจากข้าวปลาที่เอามาจากโลก และต้องคืนให้กับโลก นอกจากนั้นก็ทำความเข้าใจเตรียมไว้ว่า แม้ดวงจิตที่จะดับก็ไม่ใช่เรา เป็นแค่ธรรมชาติที่เกิดด้วยเหตุ และดับไปเรื่อยๆอยู่แล้ว เอาแค่ตื่นนอนตอนเช้าก็ถือว่าจิตเกิดใหม่แล้ว และแค่หลับไปก็ถือว่าจิตดับไปแล้ว จะต่างอะไรจากจิตดับยามตาย และเกิดอีกในยามปฏิสนธิในภพใหม่เล่า?


    สรุปคือถ้าเข้าใจถูกและดีพอ คุณก็จะยิ้มรอโลกแตกได้ไม่ต่างจากที่เคยรอวันพรุ่งนี้ที่แสนธรรมดาจริงๆครับ
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    เฮ้อ! – อาจารย์เอแบคสาว อดีตดาวคณะเศรษฐศาสตร์จุฬา กระโดดตึกดับชีวิตเพื่อให้คนรักหนุ่มเห็นใจ

    เรื่องนี้เป็นข่าวดังด้วยหลายปัจจัยครับ ประการแรกสาวผู้ตายสวยระดับนางแบบ ประการที่สองขับเบนซ์สปอร์ตขึ้นมาถึงชั้น ๑๐ ของตึกเอ็มไพร์ทาวเออร์ ประการที่สามเป็นถึงลูกสาวเศรษฐีใหญ่ แถมเรียนจบเกียรตินิยม และกำลังสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยดังอีกต่างหาก เรียกว่าชีวิตนางเอกนิยายขนานแท้ ทุกคนที่ทราบประวัติผู้ตายถึงกับอึ้งกันไปหมด


    คุณคงนึกไม่ออกว่าที่ผ่านมาเคยมีนักประพันธ์ท่านไหน เขียนให้นางเอกที่มีพร้อมทุกสิ่งทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติกระโดดตึกฆ่าตัวตาย อย่างมากก็แค่ให้พยายามแต่ไม่สำเร็จ พระเอกมาช่วยทัน หรือคิดได้เอง เปลี่ยนใจเสียก่อนในวินาทีสุดท้าย


    ทว่าชีวิตจริงเป็นสิ่งเปราะบางนัก และนางเอกในโลกความจริงก็ทำสำเร็จโดยไม่มีใครหน้าไหนมาช่วยทัน แม้กระทั่งตัวของเธอเอง!


    แน่นอนว่าการตายพร้อมไดอารี่สีแดงข้างกายนั้น หมายถึงการจงใจสื่อสารถึงคนรัก และบีบคั้นเขาด้วยการเป็นข่าวดัง ไม่แคร์ด้วยว่าคนทั้งโลกจะเห็นสภาพศพเธอน่าอเนจอนาถเพียงใด


    ข้อความในไดอารี่ ทำให้จับใจความได้ว่าสาเหตุของการปลิดชีพตนเอง ก็คือเพื่อให้คนรักหนุ่มเห็นว่านี่ไม่ใช่การสร้างภาพ เพราะคงไม่มีใครลงทุนสร้างภาพด้วยการทิ้งชีวิตทั้งชีวิตอย่างนี้ ส่วนสภาพร่างกายก็ชวนให้คนพบเห็นสลดสมใจเธอ เพราะจากที่เคยงามสมส่วนดึงดูดสายตาไปทั้งร่าง กลายเป็นแขนขาหักผิดรูป แถมไม่สิ้นลมทันที แต่ไปทนพิษบาดแผลไม่ไหวหลังจากเจ้าหน้าที่พยายามพาส่งโรงพยาบาลแต่ไม่ทันการณ์


    คนส่วนใหญ่งุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุผลกลใดในโลกมีน้ำหนักพอจะทำให้เธอยอมทิ้งชีวิตที่น่าอิจฉา เห็นปานนี้ ซ้ำร้ายชาวเว็บที่ด่วนตัดสินคนอื่นก็ด่าเธอไล่หลังต่างๆนานา ซึ่งก็ได้รับการตอบโต้จากผู้ใกล้ชิดของเธอทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนพ้องน้องพี่หรือลูกศิษย์ลูกหา ต่างพากันชี้ว่าเธอเป็นที่รัก มีคุณงามความดี ไม่ใช่บุคคลที่สมควรได้รับการด่าทอให้เสียหายจากคนเพิ่งรู้จักเธอสั้นๆผ่าน สื่อข่าวแต่อย่างใดเลย


    ชีวิตคนทั่วไปเต็มไปด้วยความขาด แต่ชีวิตของเธอคนนี้อาจจะมากด้วยความเกิน จึงไม่เป็นที่เข้าใจโดยง่าย ว่าทำไมถึงไม่รู้จักเสียดายชีวิต…


    ความจริงก็คือ เพราะมีทุกอย่างนั่นแหละ จึงพร้อมจะเป็นทุกข์ได้สาหัสกว่าคนอื่น!

    คนกว่าค่อนโลกทุกข์เพราะกระหายสุขที่ยังไม่เคยได้ลิ้มรส แค่ข้าวอร่อยสักมื้อ แค่เสื้อผ้าดีๆสักชุด หรือแค่ความรักความอบอุ่นจากใครสักคน ตั้งแต่เกิดจนตายอาจไม่มีสิทธิ์รู้จัก จึงแสวงหาและรอคอยเรื่อยไป ทว่าเธอคนนี้รู้จักข้าวอร่อยและเสื้อผ้าดีๆมาตั้งแต่เกิด แถมมีทุกอย่างที่คนๆหนึ่งพึงอยากได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ความสามารถ ตลอดจนกระทั่งบุคคลที่ทำให้รู้สึกแสนรัก


    และจากคำให้การของเธอในไดอารี่ ความรักฉันหญิงชายก็เป็นยอดสุดของความสุขสำหรับเธอ เป็นบทสรุปว่าชีวิตเธอพรั่งพร้อมทุกสิ่งไปทำไม แต่เมื่อความรักของเธอหายไป ชีวิตก็ได้ข้อสรุปใหม่เป็นทุกข์ที่ไม่อาจทนเช่นกัน!

    คนเราถ้ายังไม่เคยได้ก็ยังอยากอยู่ต่อจนกว่าจะได้ แต่เมื่อได้แล้วเสียไปอย่างไม่อาจได้คืน ก็เหมือนไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจเธอผู้ด่วนจากไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่ ขณะเดียวกันเธอก็สอนให้โลกรู้ เป็นครูสำหรับสาวอีกหลายๆคนที่ยังหลงฝันว่ายอดสุดของชีวิตคือการมีครบสูตร ทั้งสวย รวย เก่ง และแฟนหล่อ

    มันไม่ใช่เลย วิบากด้านดีอาจหยิบยื่นทุกสิ่งให้กับคนๆหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นการหลอกลวงอีกครั้ง ไม่ต่างจากที่กำลังหลอกคนอื่นทั้งโลกอยู่เดี๋ยวนี้ ทุกคนต้องได้ อะไรถูกใจมาสักอย่าง เพื่อให้หลงนึกว่ามี เพื่อให้สำคัญผิดว่าสิ่งนั้นเป็นที่รัก เพื่อให้เกิดอุปาทานถือมั่นว่าตนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ทั้งที่ต้องเสียสิ่งนั้นไปให้กับกฎแห่งความแตกพัง จะช้าหรือเร็วเท่านั้น

    หากใครมีชีวิตเพื่อเรียนรู้ว่าชีวิตเป็นสิ่งลวงใจให้ยึด ไม่ใช่ของจริงให้ควรถือมั่น ก็จะไม่เลือก ‘ฆ่าตัวตาย’ แต่จะหันมา ‘ฆ่าอุปาทาน’แทน เพื่อพบสุขอีกแบบที่คาดไม่ถึง และทำได้จริงก่อนสิ้นชีวิตครับ
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ถาม ความหม่นหมองเกิดจากอะไรได้บ้าง? ทุก วันนี้ถือว่าอยู่ในกรอบของความเป็นคนดี คบเพื่อนดี ไม่คิดทำร้ายใคร ไม่เที่ยวเสียหาย ทำทานบ้างตามโอกาส แต่กลับคิดมาก เครียดเก่ง ขี้วิตกกังวลง่ายๆคล้ายไม่ต้องมีต้นสายปลายเหตุ อย่างนี้จะถือว่าจิตกำลังสะสมความหม่นหมองทีละเล็กทีละน้อยจนถึงขั้นร้ายแรง ในที่สุดหรือไม่?


    คำตอบง่ายๆเลยครับ สำหรับบางคน ความหม่นหมองเกิดจากความเคยชินที่จะหม่นหมอง หรือยอมตนให้กับความหม่นหมองจนเคยตัว เรื่องไม่น่าคิดก็เก็บมาคิด เรื่องไม่น่าวิตกก็เก็บมาวิตก


    หากเข้าข่ายดังว่านี้ ก็ขอให้คุณทราบเถิดว่าโรคช่างวิตกมีต้นสายปลายเหตุ การ ยินยอมตกเป็นเบี้ยล่างของความวิตกโดยไม่หาทางทำอะไรให้ดีขึ้นนั่นเองคือต้น เหตุ เหมือนเราตกลงไปในหนองน้ำที่เน่าเหม็นและชื้นแฉะน่ารังเกียจ แล้วตั้งคำถามกับตนเองว่าเหตุใดเนื้อตัวเราจึงไม่แห้งเสียที เหตุใดกลิ่นเหม็นเน่าจึงยังติดผิวกายเราอย่างน่าอึดอัดระอา นี่ก็เป็นเพราะเราไม่หาทางยกตัวขึ้นจากหนองน้ำนั่นเอง

    หนองน้ำที่ว่านี้มีพิษด้วยนะครับ เหมือนทำให้สมองเราฝ่อลงได้ หดหู่ท้อแท้ และเชื่ออยู่ลึกๆว่าจะไม่มีวันขึ้นจากหนองน้ำได้ นับว่าแปลกแต่จริง ยิ่งนานวันก็จะยิ่งซ่านไปตามเนื้อตัว สะสมไว้ที่จุดต่างๆคล้ายไขมันมีพิษ ทำให้ผิดปกติไปต่างๆนานา บางวันหงุดหงิดง่าย แต่บางวันก็คล้ายเกิดอาการทอดอาลัยตายอยาก เป็นต้น


    ส่วนที่ว่าอาจพัฒนาถึงขั้นร้ายแรงหรือไม่ก็ขอให้ตรองดู ถ้าคุณมีชีวิตที่ปราศจากความสุข อะไรมันจะเลวร้ายไปได้มากกว่านั้นอีก? ชีวิตที่ขาดความสุขนั้น แม้เคยเป็นดอกไม้ก็ต้องเปรียบกับดอกไม้ที่ขาดน้ำ ดอกไม้จะดูเป็นดอกไม้อยู่หรือหากเหี่ยวเฉา? การปราศจากสุขทั้งที่ไม่มีเหตุให้ทุกข์อย่างชัดเจนนั้น แสดงถึงวิธีคิดที่ผิดพลาด เรียกว่าเหตุแห่งทุกข์ก็คือวิธีคิดนั่นเอง

    ในระหว่างใช้ชีวิตอันเป็นปกติ หากยังตัดสินใจเลือกที่จะเป็นสุขไม่ได้ แล้วขณะใกล้ขาดใจตายจะมีความแน่นอนอันใดเป็นหลักประกันที่น่าไว้ใจเล่า? ไม่มีสิ่งใดเป็นศัตรูผู้ให้โทษกับเราได้เท่าการตั้งจิตไว้ผิดพลาดอีกแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...