เปิดคำพิพากษา ศาลฎีกาตัดสิน ประหาร"นพ.วิสุทธิ์" ปิดตำนานหมอฆ่าเมีย

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 29 กรกฎาคม 2007.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949

    วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6086​

    เปิดคำพิพากษา ศาลฎีกาตัดสิน ประหาร"นพ.วิสุทธิ์" ปิดตำนานหมอฆ่าเมีย


    คอลัมน์ แฟ้มคดี



    [​IMG]ในที่สุดคดี "หมอฆ่าเมีย" ที่โด่งดังระดับตำนานคดีหนึ่งของเมืองไทยก็มาถึงบทสรุป

    เมื่อศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ประหารชีวิต "น.พ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ" อดีตสูตินรีแพทย์ ร.พ.จุฬาฯ จำเลยคดีฆาตกรรม "พ.ญ.ผัสพร บุญเกษมสันติ" อดีตสูตินรีแพทย์ ร.พ.บุรฉัตรไชยากร หรือร.พ. รถไฟ ภรรยา

    คดีนี้ได้รับความสนใจและติดตามจากสังคมมานานกว่า 6 ปี นับตั้งแต่เกิดเหตุเมื่อปี 2544

    ไม่เพียงเพราะผู้ก่อเหตุเป็นนายแพทย์ชื่อดังระดับประเทศเท่านั้น หากแต่ความซับซ้อนและการคลี่คลายคดีอยู่ในระดับนำมาเป็นบทเรียนสอนในโรงเรียนตำรวจ หรือระบบยุติธรรมได้เลย

    นอกจากนี้ยังเป็นคดีแรกๆ ที่ตำรวจใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ และพยานแวดล้อมมามัดตัวผู้ก่อเหตุ

    และศาลเชื่อในหลักฐานที่ปรากฏตัดสินลงโทษ ทั้งที่ไม่มีการพบศพหรือประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์

    โดยหลักฐานหลายๆ อย่างเกิดขึ้นจากความฉลาดของหมอวิสุทธิ์เอง เพราะเพื่อพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยต่างๆ จึงสร้างหลักฐานเท็จให้แนบเนียน

    แต่ท้ายที่สุดหลักฐานเหล่านั้นก็ย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง!??

    คดีนี้มีจุดเริ่มเล็กๆ เพียงปัญหาในครอบครัว เมื่อราวหลายปี 2541 หมอผัสพรจับได้ว่าหมอวิสุทธิ์มีสัมพันธ์กับคนไข้สาวรายหนึ่ง เธอให้สามีเขียนจดหมายรับสารภาพและยืนยันว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก

    ต่อมาหมอผัสพรยอมยกที่ดินเนื้อที่ 41 ไร่เศษ ที่ อ.พาน จ.เชียงราย ให้สามี โดยหวังว่าทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น

    แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะหมอวิสุทธิ์เหมือนกับจะหมดเยื่อใยแล้ว จึงตัดสินใจย้ายออกจากบ้านพักแพทย์ร.พ.รถไฟ มาอยู่ข้างนอกเพียงลำพัง พร้อมทำเรื่องขอหย่าขาด แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอม

    ความรุนแรงเริ่มมากขึ้นเมื่อมีหลักฐานหมอวิสุทธิ์ใช้ดัมเบลล์ทุบรถเมีย และเขียนจดหมายด่าอย่างรุนแรง ที่ไม่ยอมแยกทาง

    ท้ายที่สุดหมอวิสุทธิ์ตัดสินใจฟ้องศาลขอหย่า แต่ประนีประนอมกันได้

    มีข้อมูลว่าปัญหามาจากเรื่องมรดก และคำขู่ของหมอผัสพร ที่จะนำเรื่องที่หมอวิสุทธิ์สนิทสนมกับคนไข้สาว และลงบันทึกรับสารภาพเอาไว้เผยแพร่ต่อสาธารณะและส่งไปให้แพทยสภา!!!

    ซึ่งนั่นหมายถึงชื่อเสียงเกียรติยศป่นปี้ไปทั้งหมด

    ตำรวจเชื่อว่านี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้หมอวิสุทธิ์วางแผนฆ่าเมีย และลงมือสำเร็จเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2544 <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=1><TBODY><TR bgColor=#ffe9ff><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    จากนั้นเริ่มอำพรางคดีด้วยการจ้างคนเขียนจดหมายลางาน และจดหมายบอกถึงลูกๆ ว่าหมอผัสพรไปนั่งวิปัสสนาที่ จ.ระยอง

    แถมยังส่งข้อความเข้าเครื่องเพจเจอร์ของตัวเอง ในลักษณะว่าหมอผัสพรส่งมาว่าไป จ.ระยอง!??

    แต่ท้ายที่สุดตำรวจก็ตามรอยและคลี่คลายได้ว่าหมอวิสุทธิ์เป็นคนทำให้หมอผัสพรหายตัวไปเอง ด้วยการนัดพบกันที่ร้านโออิชิ และใส่ยานอนหลับชนิดแรงให้ดื่ม ก่อนพาไปสังหารที่อาคารวิทยนิเวศน์ ใน ม.จุฬาฯ

    และนำชิ้นส่วนที่เหลือไปทิ้งชักโครกห้องพักโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล ลาดพร้าว ที่เปิดเตรียมเอาไว้

    หลักฐานคราบเลือด ชิ้นเนื้อ และพยานแวดล้อมอื่นๆ ตำรวจส่งฟ้อง แต่ปรากฏว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องโดยอ้างว่าไม่มีประจักษ์พยาน และไม่พบศพหมอผัสพร!??

    นายโชติ วัฒนเชษฐ์ บิดาหมอผัสพร ตัดสินใจยื่นฟ้องเอง ปรากฏว่าศาลรับฟ้อง

    ในภายหลังอัยการสูงสุดพิจารณาสำนวนอีกครั้งก่อนมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหา คดีจึงนำขึ้นสู่การพิจารณาชั้นศาล

    ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินตรงกันให้ประหารชีวิตหมอวิสุทธิ์

    ราว 2 ปีหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา และทนายหมอวิสุทธิ์ยื่นฎีกา โดยยกประเด็นโต้แย้งหลักฐานของตำรวจถึง 13 ประเด็น

    กระทั่งวันที่ 25 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ก็นัดอ่านคำพิพากษาคดีนี้!??

    โดยหมอวิสุทธิ์ ซึ่งถูกจองจำตั้งแต่ศาลชั้นต้นตัดสินประหารเมื่อปี 2546 เดินทางมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

    ส่วนฝ่ายโจทก์มีอัยการ นายโชติ และพล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วยผบ.ตร. ที่เคยคุมคดีนี้
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,446
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ผู้พิพากษาเริ่มอ่านคำตัดสินย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสาเหตุแห่งความขัดแย้ง

    "เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 44 จำเลยกับผู้ตายไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารโออิชิ ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ซึ่งหลังรับประทานอาหารเสร็จ จำเลยกับผู้ตายเดินออกจากร้านไปด้วยกัน โดยไม่มีผู้ใดพบเห็นผู้ตายอีก และวันเดียวกันจำเลยได้เปิดห้องพักเลขที่ 318 อาคารวิทยนิเวศน์ ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"

    "จากนั้นวันที่ 21 ก.พ.44 จำเลยคืนห้องพักและไปเปิดห้องพักเลขที่ 1631 โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ที่ได้จองไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 13 ก.พ.44 โดยจำเลยได้คืนห้องพักดังกล่าวเมื่อวันที่ 22 ก.พ.44 เวลา 06.00 น. โดยวันเดียวกันจำเลยได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ร.พ.รถไฟว่าผู้ตายไม่ได้ไปปฏิบัติหน้าที่แพทย์เวรเมื่อวันที่ 21 ก.พ.44 จำเลยจึงไปแจ้งความต่อ สน.พญาไท ว่าผู้ตายหายตัวไป โดยเมื่อวันที่ 26 ก.พ.44 ร.พ.รถไฟได้รับจดหมาย 2 ฉบับ ลงลายมือชื่อผู้ตายส่งถึง ผอ.ร.พ.แจ้งขอลาหยุดงาน 15 วัน"
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=2><TBODY><TR bgColor=#ffffe8><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าการตรวจพิสูจน์คราบโลหิต และชิ้นเนื้อที่ระบุว่าเป็นดีเอ็นเอของผู้ตายไม่น่าเชื่อถือ ผลการตรวจดีเอ็นเอชิ้นเนื้อ คราบเลือด และเส้นผม ได้ผลแตกต่างกัน เห็นว่าแม้ว่าผลตรวจจะมีสัดส่วนแตกต่างกันบ้าง แต่เมื่อนำผลตรวจมาเปรียบเทียบกันแล้วพบว่ายืนยันดีเอ็นเอตรงกันกับของผู้ตาย ซึ่งการตรวจหาดีเอ็นเอได้มาโดยการพิสูจน์ทางเครื่องมือวิท ยาศาสตร์ที่มีความเที่ยงตรงเชื่อถือได้"

    ส่วนการที่จำเลยเกี่ยว ข้องกับการตายหรือไม่นั้น ตามที่ข้อเท็จจริงวินิจฉัยไว้แล้วว่ามีพนักงานบริการร้านอาหารโออิชิ พยานโจทก์ เบิกความยืนยันว่าเห็นผู้ตายและจำเลยมารับประทานอาหารที่ร้าน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วเห็นจำเลยประคองผู้ตายเดินออกจากร้านในลักษณะคนเหม่อลอยคล้ายครองสติไม่ได้

    ข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ยังระบุด้วยว่าจำเลยเคยสั่งซื้อยาดอร์มิคุมซึ่งเป็นยานอนหลับ 30 เม็ด ก่อนผู้ตายจะหายตัวไปประมาณ 2 เดือนเศษ โดยอ้างว่าให้นางเตียง แซ่แต้ มารดาของจำเลย ทั้งที่ไม่เคยมีประวัติการใช้ยาตัวนี้มาก่อน ดังนั้นจึงเป็นข้อพิรุธของจำเลย

    นอกจากนี้ข้อเท็จจริงที่ได้จากการนำสืบเกี่ยวกับจดหมายลางาน 2 ฉบับ เห็นว่าพฤติการณ์ของจำเลยไปจ้างผู้อื่นพิมพ์จดหมายและอ้างว่าเป็นของผู้ตาย โดยปลอมลายมือชื่อและส่งไปยังที่ทำงานของผู้ตาย เป็นข้อเท็จจริงที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยว่าเพื่อปกปิดการตายให้แนบเนียนยิ่งขึ้น

    พยานโจทก์ต่างๆ ยังชี้ให้เห็นถึงข้อพิรุธของจำเลยอีกหลายประการ เช่น จำเลยใช้มือถือของตัวเองส่งข้อความเข้าเครื่องเพจเจอร์ของจำเลยเอง เรื่องช่างซ่อมแซมบ้านเพื่อนำมาเป็นข้ออ้างให้ผู้ตายมาพบที่ร้านอาหารดังกล่าว

    เช่นเดียวกับข้อพิรุธที่จำเลยซื้อถุงขยะสีดำขนาดใหญ่-ขนาดเล็กอย่างละแพ็ก ก้อนดับกลิ่น และกระดาษทิชชูจำนวนมาก ซึ่งแม้ว่าสินค้าเหล่านี้จะเป็นสิ่งของใช้สอยใช้ชีวิตประจำวัน แต่ช่วงเวลาที่จำเลยหาซื้อก็หลังจากผู้ตายหายตัวไปใหม่ๆ ซึ่งหากมีการฆ่าผู้ตายสินค้าเหล่านี้ก็สามารถใช้ประโยชน์กลบเกลื่อนร่องรอยหรือปกปิดการกระทำความผิดของจำเลยได้เป็นอย่างดี

    จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนให้เห็นว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตาย และเมื่อพิจารณาถึงความขัดแย้งระหว่างจำเลยและผู้ตายเห็นได้ว่าทั้งสองมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงที่ผู้ตายเข้าใจว่าจำเลยมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับหญิงอื่น กระทั่งมีการทำบันทึกหลักฐานต่อรองกับจำเลยในการแบ่งทรัพย์สิน

    ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จำเลยโกรธแค้นผู้ตายมากยิ่งขึ้น โดยช่วงที่แยกกันอยู่จำเลยได้เขียนจดหมายด่าว่าผู้ตายอย่างรุนแรง จึงชี้ให้เห็นว่าจำเลยหมดความรักใคร่ผู้ตายและมีความเกลียดชังผู้ตายจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีก

    "สรุปแล้วเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ทั้งสองนำสืบมา แม้ส่วนใหญ่จะเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณี แต่ก็มีความสอดคล้องต้องกัน และมีเหตุผลต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน โดยเมื่อพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์ที่เป็นข้อพิรุธของจำเลยหลายประการแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยได้แอบอ้างเรื่องนัดพบช่างซ่อมแซมบ้าน เพื่อหลอกลวงผู้ตายไปพบที่ร้านอาหารโออิชิ วันที่ 20 ก.พ.44"

    จำเลยลอบนำยานอนหลับดอร์มิคุมใส่ลงไปในอาหารจนผู้ตายครองสติไม่ได้ จากนั้นจำเลยพาผู้ตายไปยังอาคารวิทยนิเวศน์ที่จัดเตรียมไว้เพื่อทำการหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายให้ปราศจากเสรีภาพแล้วจำเลยลงมือฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่วางแผนไว้

    จากนั้นจำเลยชำแหละแยกศพผู้ตายออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ทิ้งลงโถชักโครกที่ห้องพักอาคารวิทยนิเวศน์ และ รร.โซฟิเทล ในวันที่ 21 ก.พ.44 เพื่อปิดบังการตาย

    พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และฐานฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น

    พิพากษายืนให้ประหารชีวิตจำเลย!!!
     
  3. บุษบากาญจ์

    บุษบากาญจ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    9,476
    ค่าพลัง:
    +20,271
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ฉนั้น จงกลัวที่จะทำบาป ถึงแม้ไม่มีใครเห็นแต่เรานั้นเห็น
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...