เปิดตำนานแวมไพร์

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 12 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,175
    ขนหัวลุก

    "ใบหนาด"



    คุณอา "ใบหนาด" ครับ วันก่อนผมดูหนัง HBO เป็นเรื่องของแวมไพร์ ใช้เมืองไทยเป็นฉาก หนังสนุกดีครับ และทำให้ผมสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับแวมไพร์มากเลย แวมไพร์ หรือ "ผีดูดเลือด" นี่มีความเป็นมาอย่างไรครับ? ผมรู้จักตัวแรกคือแดร๊กคิวล่า คิดว่ามันมีจุดกำเนิดที่ทรานซิลวาเนียใช่ไหมครับ

    คุณอาช่วยเล่าให้หน่อย ผมกับเพื่อนๆ ที่อยู่ ม.3 ห้องเดียวกันจะรออ่านครับ...

    โน้ต-สามเสน

    ตอบหลานโน้ต


    หนังเรื่องนี้อาก็ได้ดูเหมือนกัน แปลกดีที่เห็นแวมไพร์มาเต้นแร้งเต้นกา บู๊ล้างผลาญในเมืองไทย เพราะปกติเราจะชินตากับแวมไพร์ในฉากปราสาททึบๆ หรูๆ สไตล์คลาสสิกของฝรั่ง หรืออย่างทันสมัยหน่อยก็เรื่อง "เบลด" ซึ่งแวมไพร์ไม่ใช่ท่านเคาน์แดร๊กคิวล่าแล้ว แต่เป็นผีดูดเลือดหล่อล่ำ แวมไพร์ในหนังบางเรื่องเป็นนักดนตรีร็อกซะด้วย

    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าสมัยนี้มีหนุ่มสาวหลายคนที่อยากเป็นแวมไพร์เหลือเกิน เพราะมันดูเท่ ลึกลับ มีเสน่ห์สยอง บางคนถึงขนาดขอให้หมอฟันกรอเขี้ยวแหลมเปี๊ยบ ใส่คอนแท็กต์เลนส์ แต่งตัวประหลาดๆ ประกาศตัวว่าเองว่าเป็นแวมไพร์

    แวมไพร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือท่านเคาน์แดร๊กคิวล่านั่นแหละครับ พี่แกมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้จากปลายปากกาของ บราม สโตกเกอร์ นักเขียนชาวไอริช เมื่อค.ศ.1897 โน่น คนอ่านติดกันเกรียวกราวมาถึงทุกวันนี้ และเชื่อว่า แดร๊กคิวล่ามีกำเนิดมาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของ วลาด แดร๊กคิว เจ้าครองนครวัลลาเชีย ในศตวรรษที่ 15 ผู้ชื่อว่าโหดร้ายกระหายเลือดเหลือเกิน ชอบจับข้าศึกมาเสียบไม้ปักไว้ในสนามรบนักร้อยนับพัน ให้มันดิ้นกระแด่วๆ ตายช้าๆ ท่ามกลางคาวเลือดคละคลุ้ง

    แต่นั่นก็เป็นแค่กำเนิดแดร๊กคิวล่า-แวมไพร์ตนหนึ่งเท่านั้น!

    จุดเริ่มแรกของแวมไพร์ขนานแท้และดั้งเดิม เกิดขึ้นเมื่อกว่าหกพันปีก่อนในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศอิรัก

    สี่พันปีก่อนคริสตกาล ดินแดนนั้นคือ เมสโสโปเตเมีย ที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส แหล่งอารยธรรมโบราณยุคแรกเริ่ม ตำนานต่างๆ ก่อเกิดขึ้นที่นี่ และแพร่กระจายออกสู่โลกภายนอก นำมาซึ่งมหากาพย์, ตำนาน, เทพนิยาย, กฎหมาย, การเริ่มมีอักขระ, พยัญชนะ, การเขียนหนังสือ, ความก้าวหน้าทางเกษตรกรรม, คณิตศาสตร์, เรขาคณิต, การถลุงโลหะ...และความเชื่อในเรื่องผีดิบ!

    ชนชาติแรกที่มาตั้งอาณาจักรในดินแดนนี้คือ พวกสูเมอร์ และวัฒนธรรมของชาวสุเมเรียนก็รุ่งโรจน์เหลือเกิน พวกเขาค้นพบระบบคณิตศาสตร์ ใช้เลขฐาน 60 และสามารถใช้คณิตศาสตร์สร้างรูปสามมิติ สร้างปราสาทราชวังอลังการ

    คณิตศาสตร์และเรขาคณิตทำให้คนเรามีความคิดเป็นระบบ ระเบียบ ซึ่งแสดงว่าชาวสุเมเรียนเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีเหตุผล ฉลาดปราดเปรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็มีหลักฐานว่าคนพวกนี้กลัวผีขนาดหนักด้วย

    สิ่งที่พิสูจน์ว่าชาวสุเมเรียนชื่อเรื่องผีและกลัวผีขึ้นสมองก็คือ พวกเขามีคาถากันผีเป็นมาตรการป้องกันเพทภัย ภิกษุและภิกขุณีของสุเมเรียนต้องเรียนรู้และฝึกฝนวิชาปราบผีดิบ ทั้งผีดูดเลือดและภูตผีปีศาจทั้งหลายแหล่ เพราะชาวบ้านเดือดร้อนเหลือเกิน ต้องการผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทำนองเดียวกับสมัยนี้ต้องมีตำรวจไว้ปราบผู้ร้ายนั่นแหละครับ

    ผีของชาวสุเมเรียนมีหลายประเภท ซึ่งได้แก่ อิ๊กอิมมู, อูรุกู, ลิลิธ และภูตร้ายเจ็ดตน!

    อิ๊กอิมมู เป็นผีที่คนไทยเรียกว่า ผีตายโหง คือตายอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุ, ถูกฆ่า, หรือฆ่าตัวตาย รวมความว่าตายอย่างสยดสยองน่ากลัว ศพถูกทิ้งหรือซ่อนไว้ ไม่ให้ทำพิธีศพอย่างถูกต้องตามประเพณี วิญญาณเลยอาฆาตพยาบาท ชอบเข้าสิงคนอ่อนแอ ให้ญาติๆ ต้องทำพิธีไล่ผีกันบ่อยๆ

    อูรูกู เป็นผีที่เรารู้ว่ามันมีอยู่เพราะได้หลักฐานจากศิลาจารึก อักษรลิ่ม หรืออักษรคูนิฟอร์ม สลักว่า "อูรูกู เป็นแวมไพร์ซึ่งจู่โจมทำร้ายมนุษย์"

    โปรดสังเกต ชาวสุเมเรียนใช้คำว่า "แวมไพร์" เป็นครั้งแรกของโลกก็ตรงนี้เอง!

    ผีลิลิธ เป็นผีสาว ชาวสุเมเรียน เรียกว่า "หญิงสาวแห่งความมืด" เธอจะมาลักหลับพวกผู้ชาย ดูดพลังจากพวกหนุ่มๆ ในยามราตรี ได้ข่าวว่าเธอเซ็กซ์จัดจริงๆ เอ้า!

    ส่วนภูตร้ายเจ็ดตนเป็นผีที่ชาวสุเมเรียนกลัวที่สุด จนต้องแต่งคาถาไล่ผีเป็นบทสวดไว้ว่า

    "ผีร้ายที่ไม่รู้จักละอาย มันมีกันอยู่เจ็ดตน! มันไม่แคร์ใคร ไม่รู้จักความเมตตาปรานี มันคอยทำลายมนุษยชาติ มันทำให้มนุษย์เลือดสาดเหมือนสายฝน มันสวาปามเนื้อสดๆ ของคน และดูดเลือดจากเส้นโลหิต ในที่ซึ่งมีรูปเคารพของปวงเทพมันจะสั่นสะท้าน มันเป็นผีที่โหดเหี้ยม ดื่มกลืนเลือดไม่รู้อิ่ม! มาเถิดเรามา...มาทำพิธีปลุกพลังเพื่อหยุดยั้งมันกันเถอะ มันจะได้ไม่กลับมายุ่มย่ามแถวนี้อีก!"

    คาถาเขียนไว้แบบนี้จริงๆ ครับ บอกไว้โต้งๆ เลยว่ามันเป็นผีดูดเลือด และกลัวเทพเจ้า สถานที่ใดมีรูปปั้น รูปสลัก แท่นบูชาเทพเจ้าล่ะก็มันจะไม่กล้าเข้าไป

    เชื่อกันมาจนทุกวันนี้ว่า แวมไพร์ไม่กล้าเข้าใกล้โบสถ์!

    ยังไม่จบนะครับ หลานโน้ตถามมานิดเดียว แต่เรื่องนี้ต้องตอบกันยืดยาว...พรุ่งนี้อามีนิทานและวิธีการที่แวมไพร์มันแพร่กระจาย ระบาดไปทั่วโลก โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
     
  2. อักขรสัญจร

    อักขรสัญจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,513
    ค่าพลัง:
    +27,183
    บนดอยก็มีแวมไพร์
     
  3. สุเมธ

    สุเมธ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +71
    จากต้นกระทูกล่าวว่า"ชาวสุเมเรียนใช้เลขฐาน 60 "
    มีเหตุมาจากอะไรละ คนเรามี 10 นิ้วเลยใช้เลขฐาน 10
    ระบบอิเล็กทรอนิกส์มีติดกับดับเลยใช้เลขฐาน 2
    แล้วชาวสุเมเรียนเนี่ยใช้เลขฐาน 60 ทำม๊ายยยยยย
    มี 60 นิ้วเรอะไง ใครสอนเนี่ย >_<
     
  4. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,175
    ในตอนที่แล้ว เราพูดถึงกำเนิดแวมไพร์ว่ามีจุดเริ่มแรกในดินแดนเมโสโปเตเมีย แหล่งอารยธรรมโบราณ ที่ปัจจุบันคือประเทศอิรัก ซึ่งเมื่อ 6,000 ปีก่อนนั้น มนุษย์พวกแรกที่ไปสร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่คือชาวสุเมเรียน ชาวเผ่าที่ปราดเปรื่องแต่กลัวผีขนาดหนักและพวกเขาได้สลักอักษรลิ่ม หรืออักษร "คูนิฟอร์ม" ลงแผ่นศิลาจารึกเป็นคาถาไล่ผี มีคำว่า "แวมไพร์" ปรากฏอยู่ด้วย

    ในขณะนั้นเอง ไกลออกไป 1,500 ไมล์ทางตอนเหนือของประเทศอินเดียปัจจุบัน ก็มีแหล่งอารยธรรมสูงส่งเกิดใหม่เกือบพร้อมกัน บริเวณนั้นเราเรียกว่า ที่ราบลุ่มแม่น้ำอินดัส

    แม้จะดูเหมือนว่าอารยธรรมเมโสโปเตเมีย เกิดก่อนอารยธรรมอินดัสราว 200-300 ปี แต่ก็มีหลักฐานว่าทั้งสองแหล่งนี้มีการติดต่อถึงกันได้ และแน่นอนที่สุดความเชื่อเรื่องแวมไพร์ก็แพร่หลายถึงกันด้วย

    อันที่จริงชาวอินดัสมีตำนานผีดูดเลือดของตนเองมานานแล้ว เพราะดูจากแนวความเชื่อในลัทธิศาสนา ชาวอินดัสมีเทพเจ้าที่ดื่มเลือดสดๆ ของมนุษย์ปรากฏเป็นหลักฐานรูปวาดและรูปสลัก เป็นรูปน่าเกลียดน่ากลัวของสิ่งมีชีวิตสยดสยอง มีใบหน้าเขียวอื๋อ แยกเขี้ยวแหลมยาวคมกริบ

    เชื่อกันว่าสิ่งนี้คือเทพแวมไพร์ตนแรกของโลก!

    ความเชื่อนี้ขยายไปสู่ดินแดนใกล้เคียง อย่างเช่น เทพเนปาลิส ลอร์ดออฟเดธ มีเขี้ยวแหลม ถือหัวกะโหลกที่มีเลือดสดๆ เต็มเปี่ยม ประทับยืนอยู่บนกองกะโหลกมนุษย์

    เทพองค์ต่อมาที่มีลักษณะเป็นแวมไพร์คือ เทพแห่งมรณะของทิเบต ลักษณะคล้ายเทพของดินดัส คือ พักตร์เขียว เขี้ยวยาว ดื่มเลือดมนุษย์เป็นกระยาหาร

    เทพที่ทันสมัยขึ้นมาคือ "กาลี" เทวีของพวกลัทธิทักกี-ลัทธิกระหายเลือดที่แฝงตัวอยู่ในสังคมของอินเดีย หลอกจับนักเดินทางไปฆ่าเอาเลือดบูชายัญ ไม่เลือดเด็กเลือกแก่ อังกฤษพยายามปราบปรามแต่ไม่สำเร็จ

    ในทิเบตยังมีตำนานแวมไพร์ 58 ตนที่ดุร้าย และออกตามล่ากินเหยื่อ ขณะที่อินเดียมีผีดูดเลือดที่เรียกกันว่า "เวตาล"

    สำหรับดินแดนของจีนก็มีแวมไพร์ที่เรียกว่า ผีเซียงซี เป็นผีตายโหงที่วิญญาณไม่สงบสุข อาฆาตพยาบาท ออกหากินตอนกลางคืน จับเหยื่อกินสดๆ มันกลัวกระเทียมเหมือนแดร็กคูล่าและผีดูดเลือดทั่วๆ ไป

    ความเชื่อจากจีนแพร่ต่อมายังญี่ปุ่น ซึ่งมีผีดูดเลือดตามสไตล์ตัวเอง ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ "กัปปะ" เป็นผีที่อยู่ในน้ำ ชอบดึงเหยื่อลงไปดูดเลือดกิน

    ในทวีปออสเตรเลียนั้น ชนเผ่าอะบอริจิ้นเชื่อเรื่องผีดิบดูดเลือด "ยารา-มา-ยฮา-ฮู" ตัวเตี้ยสั้น อาศัยตามต้นฟิก ชอบโจนลงมาจากต้นไม้ตะปบดูดเลือดคน

    สปีชี่ส์พิเศษสุดของแวมไพร์ ต้องมาดูในแอฟริกา เราเรียกมันว่า "โอบายิโฟ" ซึ่งไม่ใช่ผีของคนตาย แต่เป็นผีแม่มด ลักษณะกึ่งปีศาจ สามารถถอดกายออกจากร่างเพื่อล่าเหยื่อ เหมือนกระสือของไทยเรา และเลือดที่มันแอบดูดจากคนนอนหลับก็ไม่ใช่อาหาร แต่เป็นยาบำรุงพลังอำนาจ เพราะเลือดมนุษย์หมายถึงพลังชีวิต

    นักเขียนนวนิยายหรือภาพยนตร์ชอบใช้ แอฟริกา-อียิปต์เป็นต้นกำเนิดแวมไพร์ ตัวอย่างที่โด่งดังคือเรื่อง "ควีน ออฟ แดมด์" ของ แอนน์ ไรซ์ ซึ่งเป็นเรื่องนางพญาที่เป็นแม่มดแวมไพร์ มีพลังอำนาจแรงกล้า

    ตำนานจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ไม่มีที่ใดในโลกนี้เหมาะจะเป็นบ้านของแวมไพร์เท่ากับในยุโรป ที่ซึ่งมีผีดูดเลือดเกลื่อนกล่นไปหมด จนดูไม่ออกว่าเมืองไหนกันแน่ที่เป็นจุดกำเนิดของแวมไพร์ฝรั่ง แต่สันนิษฐานว่าจะเป็นที่กรีซ-แหล่งอารยธรรมโบราณที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป

    มหากาพย์ของกรีซมีเรื่องราวอภินิหาร มหัศจรรย์ มากมาย

    หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องแวมไพร์ที่เก่าแก่ นางคือ "ลาเมีย" ราชินีแห่งลิเบีย ที่ทรงสิริโสมงดงามจนเทพซุสแอบหนีเฮร่า ราชินีแห่งสวรรค์ลงมาร่วมอภิรมย์กับนาง มีโอรสธิดาหลายองค์ พอมเหสีขี้หึงเฮร่ารู้เข้าเท่านั้นแหละ เฮร่าก็พรากลูกๆ ของลาเมียไปจากนาง...ฝ่ายลาเมียก็เจ็บแค้นแสนสาหัส และสาบานจะแก้แค้นโดยมาลงเอากับมนุษย์เรานี่แหละ

    นางตระเวนดูดกินเลือดลูกๆ ของมนุษย์ทั่วโลก และในที่สุด ราชินีลาเมียแสนงามก็กลายสภาพเป็นงูร้ายมีเกล็ด!

    ผีดูดเลือดของกรีซยังมีอีกประเภท ที่เรียกว่า "วไรโคลากัส" มันชอบเรียกชื่อคนยามวิกาล หากใครขานรับ หรือเปิดประตูดูว่าใครมาเรียก มีหวังโดนมันดูดเลือด กลายเป็นแวมไพร์ไปกับมันด้วย

    วิธีฆ่าผีดูดเลือด วไรโคลากัส ก็คือวิธีที่เราเห็นในหนังฝรั่งทั่วไป ด้วยการเอาลิ่มไม้ตอกหัวใจ ตัดหัว แล้วเอาหัวมันวางไว้ตรงปลายเท้าที่มันนอน เท่านี้ผีก็เอื้อมไม่ถึง...ไม่สามารถหยิบหัวมาต่อกับร่างได้

    ถ้าหัวขาดมันก็มองอะไรไม่เห็น ไม่มีปัญญาลุกไปอาละวาดที่ไหน

    ว่ากันว่า ผีดิบยุโรป คือคนที่ศพไม่ได่ถูกฝัง หรือทำพิธีตามประเพณี หรืออาจถูกคว่ำบาตร ไล่ออกจากการเป็นคริสตศาสนิกชน ถ้าจะให้วิญญาณไปสู่สุคติ บาทหลวงต้องมาสวด ทำพิธีอโหสิให้

    ตอนหน้าเราจะมาดูซิว่า แวมไพร์มีลักษณะยังไงกันบ้าง!
     
  5. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,175
    ตลอดเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา เรื่องราวของสิ่งมีชีวิตประหลาดๆ มักเป็นเรื่องราวที่มีเสน่ห์ดึงดูดความสนใจ และชวนสยองแก่ผู้คนทั้งหลายทั่วโลก

    ภูตผีปีศาจ, มนุษย์หมาป่า, เสือสมิง, นางเงือก, สัตว์ประหลาดและแวมไพร์ผีดูดเลือด เรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดนวนิยายขายดี ละครทีวี และภาพยนตร์สยองขวัญ หลายคนไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง ทั้งผีดูดเลือด, มนุษย์หมาป่า, แม่มด, นางฟ้า...แต่อีกหลายคนเชื่อว่ามันไม่ใช่แค่ตำนาน หรือนิทานเล่าสู่กันฟังสนุกๆ เท่านั้น

    บางทีความรู้สึกสยดสยองจนขนหัวลุก อาจจะเกิดจากสัญชาตญาณดั้งเดิมของคนเรา ที่กลัวสิ่งที่ตนเองมองไม่เห็น เรากลัวสิ่งที่เรายังไม่รู้จักมันอย่างถ่องแท้ เมื่อไม่รู้ว่า มันคืออะไร เราก็กลัว และเมื่อกลัว เราก็จะทำลายมันซะ!

    เรากลัวสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด กลัวผี กลัวแวมไพร์

    แวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์ คนโบราณทั่วโลกทั้งเกลียดทั้งกลัวมัน แต่ทุกวันนี้ก็มีวัยรุ่นและหนุ่มสาวไม่น้อยที่อยากเป็นแวมไพร์ โดยพยายามทำพฤติกรรมเลียนแบบแวมไพร์ หรือแม้แต่คิดว่าตัวเองเป็นจริงๆ

    นั่นคือ ด้วยการนอนเวลากลางวัน ตื่นเวลากลางคืน แต่งตัวสีดำหรูหราคล้ายๆ สไตล์โบฮีเมียม เสริมเขี้ยว และอาจจับคู่กันเพื่อเจาะเลือดจากต่างฝ่ายมาดูดกินพอเป็นพิธี ที่ทำเช่นนี้เพราะเห็นว่าเท่ แวมไพร์เป็นขบถสังคมที่หวาน เศร้าและโรแมนติกมาก...ขณะเดียวกันก็เร้นลับ และมีอำนาจคล้ายๆ แม่มดอยู่ไม่น้อย

    จริงๆ แล้ว แวมไพร์ที่โลกเกลียดกลัวมาเนิ่นนานนับพันๆ ปีนั้นมีลักษณะอย่างไรแน่?

    แวมไพร์ในตำนานโบราณ เป็นคนละเรื่องกับผีดูดเลือดที่เราเห็นในจอหนัง

    ค.ศ.1931 เบลา ลูโกซี่ พระเอกหนังสวมบทบาทเป็นท่านเคาน์แดร๊กคิวล่า

    คนโบราณเล่ากันว่า แวมไพร์มีหลายประเภท แค่แยกได้ชัดเจนเป็นสองประเภทคือ หนึ่ง ผีดิบแวมไพร์ที่เห็นเป็นตัวตน กับสอง แวมไพร์ที่มีพลังอำนาจเป็นท่านปีศาจ

    แวมไพร์ประเภทแรกนั้นเป็นผีดิบที่ฟื้นจากความตาย เรียกง่ายๆ ว่าเป็นศพที่ตะกายขึ้นมาจากหลุม มันจึงไม่ได้ใส่เสื้อคลุมยาว หรือมีชุดแวมไพร์โก้หร่าน แต่มันอยู่ในผ้าห่อศพ ผิวหนังมันไม่ได้ซีดขาว แต่เป็นสีแดงแบบมีเลือดฝาด

    ด้วยเหตุนี้ มันจะกระเทือนความรู้สึกของนักล่าแวมไพร์มาก เมื่อตอกลิ่มลงไป เลือดจะพุ่งกระฉูดออกมาเหมือนก๊อกแตก!

    นักล่าแวมไพร์ผู้สันทัดกรณีแจ้งมาว่า ผีแวมไพร์จะเป็นศพที่อืดๆ คล้ายบวมน้ำ ผิวมีสีแดงๆ เหมือนหมูถูกน้ำร้อน ข้อสำคัญคือกลิ่นมันร้ายกาจมาก เล็บก็ยาวดำสกปรก ตาลุกวาวแดงก่ำ บางตนไม่มีเขี้ยวให้เห็นหรอก มันมีแต่ฟันที่คมกริบ

    ว่ากันว่า นักล่าแวมไพร์ตัวจริงเสียงจริงน่ะ แค่เปิดโลงดูก็รู้แล้วว่าศพนี้ใช่แวมไพร์หรือไม่?

    แวมไพร์บางจำพวกเป็นผีที่ศพไม่ได้ลุกขึ้น แต่วิญญาณที่เชื่อมโยงกับศพจะออกไปล่าเหยื่อเอง มันจึงแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้ เช่น ค้างคาวยักษ์ หรือไม่ก็ปลอมเป็นคนที่เหยื่อรู้จักมักจี่อย่างดี เพื่อจะได้หลอกออกมาดูดเลือดกินได้ง่ายๆ

    หลายต่อหลายครั้งเหยื่อมักจะจำได้ว่า คนที่มาพูดคุย หลอกจับไม้จับมือตนนั้น เป็นคนที่ตายไปแล้ว และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดความโกลาหลกันทั้งหมู่บ้านเชียว

    ในสมัยนี้ คนทั่วโลกถูกผีอำกันบ่อยๆ และจะเล่าตรงกันว่าเป็นเงาดำๆมาทับร่างไว้ไม่ให้กระดิกกระเดี้ย แล้วมันก็จะดูดพลัง ดูดเลือดของเราไป

    มาเลเซียมีผี "ลางซุยร์" ที่เป็นแวมไพร์ลุกจากหลุมเกือบเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติธรรมดา คนในหมู่บ้านอาจนำตัวมันมารักษา และทำให้มันอยู่ร่วมกับคนเราได้เกือบเหมือนเดิม

    มีแวมไพร์อีกประเภทหนึ่งที่มีอำนาจจิตสะกดคนที่เป็นเหยื่อได้

    เริ่มต้นจากการเป็นคนที่ชอบเล่นคุณไสย เมื่อตายไปมันจะเป็นวิญญาณที่มีอำนาจครอบงำเหนือจิตใจเหยื่อ ซึ่งเหยื่อจะถูกสะกดเหมือนโดนผีอำ แล้วผีจะสูบพลังจากรังสีออร่าที่แผ่ออกมารอบๆ ตัวมนุษย์

    เรื่องราวแบบนี้ฟังดูคล้ายๆ "ปอบ" ของไทย

    แวมไพร์จะดูดพลังคนเป็นๆ และแวมไพร์พวกนี้มักจะเป็นคนแก่ ผอมแห้งไม่ค่อยสบาย ไม่แข็งแรง คนอื่นจะเห็นมันนอนแบ็บ เจ็บออดๆแอดๆ ความเจ็บปวดอ่อนแอนี้เองทำให้มันต้องไขว่คว้าพลังชีวิตจากคนอื่น ที่หนุ่มสาวกว่ามาประทังชีวิตตัวเอง

    ผีดูดเลือดแวมไพร์เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ทั่วโลก ในทุกประเทศ ทุกท้องถิ่นในลักษณะต่างๆ กันไป

    การดูดเลือดอาจเป็นสัญลักษณ์แห่งการดูดพลังชีวิตคนอื่นมาเป็นของตนหลายคนไม่เชื่อ คิดว่ามันเป็นแค่นิยาย แต่หลายคนเชื่อว่ามันมีจริง

    มีบางสิ่งบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ในตำนานและเรื่องเล่า ที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาล สิ่งที่ซ่อนเร้นอาจเป็นโรคภัยบางอย่าง ที่ทำให้คนเรามีพฤติกรรมคล้ายแวมไพร์ หรือมันอาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์จริงๆก็ได้

    สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ
     
  6. boko0121

    boko0121 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +7,736
  7. naf06

    naf06 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    577
    ค่าพลัง:
    +2,227
    (verygood) ได้ความรู้ดีแฮะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...