เมื่อพระพุทธเจ้าทรมานเล่นซ่อนหาแก้มิจฉาทิฏฐิของพระอิศวร(พระศิวะเจ้า)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 18 เมษายน 2010.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ตำนานเพลงสาธุการ
    [​IMG]
    มีเรื่องกล่าวเป็นตำนานปรัมปรา ของบรรดาครูบาอาจารย์ทางวิชาดนตรีว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ในระยะปฐมโพธิกาล กิติศัพท์เกียรติคุณของพระพุทธเจ้าก็เลื่องลือกระฉ่อนไปทั่วทิศานุทิศทั้งในมนุษย์และสวรรค์ วันหนึ่งพวกเทพบุตรเทพธิดาพากันลงมาจากสรวงสวรรค์ มาเฝ้าสดับพระธรรมเทศนาในที่เฉพาะพระพักตร์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเกิดหมดทวยเทพในสวรรค์ ครั้นถึงเวลาพระอิศวรเป็นเจ้าเสด็จออกมาประชุมเทวสภาก็ไม่มีเทวดาเข้ามาเผ้าอย่างเคย พระอิศวรตรัสถามพระนนที พระนนทีจึงกราบทูลให้ทราบ พระอิศวรเป็นเจ้าก็กริ้วทวยเทพเป็นอันมาก และกริ้วเอาพระพุทธเจ้าด้วย พระอิศวรจึงตรัสชวนพระอุมาผู้เป็นเหสี และพระนนที พร้อมด้วยเทพบริวารเสด็จลงมาเมืองมนุษย์ ทรงเห็นเทพบุตร เทพธิดาต่างนั่งสดับพระธรรมเทศนาสงบอยู่ ไม่แสดงอาการใจใส่ต่อพระองค์ผู้เป็นเจ้านายของตนเอาเสียเลย พระอิศวรทรงนิรมิตนาฏยสภาขึ้นที่ใกล้พระวิหาร ซึ่งเป็นธรรมสภาที่พระพุทธเจ้ากำลังประธานธรรมเทศนาอยู่ แล้วองค์พระอิศวรเอง พร้อมด้วยพระอุมาและพระนนทีกับเทพบุตรอัปสรบริวารที่ตามเสด็จมา ก็บรรเลง

    [​IMG]

    ดนตรีมีหลายหลบ เต้นนาณฑพระบำสวรรค์

    จับคู่อยู่พัลวัล สลับกันแลตระการ

    จอมผาอุมาเจ้า ออกหน้าเหล่าบริวาร

    รำรับขับประสาน นนทิการตีตะโพน

    ซัดแขนแอ่นอุระ ป๊ะเท่งป๊ะจังหวะโทน

    เยื้องกรายส่ายเอวโอน อ่อนแขนโยนยะยรรยง

    จอมเขารำเล้าโลม อุมาโน้มน้อมอรองค์

    อายเอียงเมียงม่ายทรง เบือนพักตร์บงองค์ภูบาล

    แซ่เสียงจำเรียงร้อง สนั่นห้องก้องกังวาน

    เฉื่อยฉ่ำสำเนียงหวาน ซร้องประสานกับดนตรี

    จอมทรงองค์อมร เอี่ยมอาภรณ์สำอางศรี

    งามสภาอ่ารูจี แจ่มรัศมีมณีฉัน

    อำนาจพระศาสดา เป็นมหาอัศจรรย์

    เทวฤทธิ์รังสฤษฎิ์สรรค์ อันมหันต์มโหฬาร

    ไม่กลบลบพระฤทธิ์ พระมุนิศวราจารย์

    รังสีที่บรรดาล ไม่แผ่สร่านถึงสภา

    ทิพย์สำเนียงเสียงสนั่น ก็ไม่ลั่นตลอดมา

    รูปร่างสำอางตา มิได้ปรากฏแก่ใคร

    ต่างนั่งฟังสัทธรรม ไม่ระส่ำระสายใจ

    สำราญบานฤทัย ด้วยเลื่อมใสศรัทธาธาร ฯ



    พระอิศวรเป็นเจ้าทรงเห็นดังนั้น ก็ประหลาดพระทัย จึงเสด็จเข้าไปในพระวิหาร ประดิษฐานพระองค์อยู่ตรงพระพักตร์พระพุทธเจ้า แล้วตรัสต่อว่าท้าทายพระพุทธเจ้าให้มาประลองฤทธิ์กันด้วยวิธีซ่อนหา

    ครั้งที่ 1 พระอิศวรจึงนิรมิตพระองค์เป็นธุลีละอองปลิวไปซ่อนพระองค์อยู่ในเมล็ดรัตนซึ่งประดับอยู่บนยอดพรหมพิมานพระพุทธเจ้าก็ทรงทราบด้วยพระญาณ แล้วบันดาลด้วยพระพุทธานุภาพ ให้พุทธบริษัทที่ประชุมอยู่ในธรรมสภานั้นมองเห็นด้วย พระศิวะพูดขอโอกาสซ่อนเป็นครั้งที่ 2 พระพุทธเจ้าก็ทรงประธานด้วยพุทธานุภาพ

    ครั้งที่ 2 พระอิศวรเสด็จไปซ่อนพระองค์อยู่ใต้บาดาล พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบด้วยพระญาณ แล้วบันดาลด้วยพระพุทธานุภาพ ให้พุทธบริษัทที่ประชุมอยู่ในธรรมสภานั้นมองเห็น

    ครั้งที่ 3 เสด็จลงไปซ่อนอยู่ในยมโลก พระพุทธเจ้าก็ทรงค้นพบด้วยพระญาณ แล้วบันดาลด้วยพระพุทธานุภาพ ให้พุทธบริษัทที่ประชุดอยู่ในธรรมสภานั้นมองเห็นด้วย
    ครั้นถึงคราวพระพุทธเจ้าซ่อนบ้าง ก็ทรงนิรมิตพระกายเล็กเป็นละอองปรมาณู ปลิวไปติดอยู่ ณ ปลายเกศาพระอิศวร พระอิศวรก็ทรงเปล่งรัศมีฉายแสงสว่างปั่วทุกทิศ ทรงค้นหาทุกหนทุกแห่งจนเหนื่อยอ่อนพระวรกาย ก็ไม่พบพระพุทธองค์ พระอิศวรจึงจำเป็นต้องทรงจำนนประกาศพระวาจายอมแพ้แก่พระพุทธเจ้า

    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า พระอิศวรยอมแพ้แล้ว ก็ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีออกมาจากที่ซ่อนให้ทราบว่า พระองค์ทรงซ่อนพระวรกายอยู่ ณ กลุ่มพระเกศาเหนือพระเศียรของพระอิศวรนั่นเอง แม้พระอิศวรจะพ่ายแพ้แล้ว แต่ก็ยังทรงแสดงทิฐิมานะอยู่พระพุทธเจ้าสังเกตเห็นว่า พระอิศวรยังทรงกระด้างกระเดื่องอยู่ เพื่อจะทรงทรมานให้คลายทิฐิมานะจึงยังไม่ยอมเสด็จลง คงประทับอยู่เหนือพระเศียรเกล้าของพระอิศวรต่อไป พระอิศวรเชิญเสด็จให้ลง ก็ไม่เสด็จลง มีพระพุทธดำรัสว่าถ้ายอมแพ้จริงให้พระอิศวรนำเอาดุริยางคดนตรีมาบรรเลงถวายอัญเชิญเสด็จ พระอิศวรจำเป็นต้องสั่งให้จัดหาปัญจดุริยางคดนตรีมาขับประโคมถวายเป็นพุทธบูชา ด้วยเพลงที่เรียกว่า “สาธุการ” พระพุธเจ้าจึงเสด็จลง ด้วยเหตุนี้ จึงถือเป็นธรรมเนียมประเพณีสืบมาว่า ถ้าจะบรรเลงเพลงดนตรีสำหรับเคารพบูชา หรือนอบน้อมนมัสการ ต้องบรรเลงเพลง “สาธุการ” ซึ่งถือเป็นเพลงครูสำหรับใช้ในการบรรเลงบูชาสิ่งที่เคารพนับถือ เสมือนเราถวายธูปเทียนดอกไม้บูชาเพื่อที่เคารพด้วยความเลื่อมใส
    ต่อมามีการสร้างพระปางนี้ บ้างก็เรียกนารายณ์ทรงโค หรือผกาพรหม นั้น หากเป็นรูปพระพุทธเจ้ายืนประทับบนเศียรเทวดาขี่วัว นั่นคือปางที่พระพุทธเจ้าทรงทรมานทิฏฐิของพระอิศวรหรือของพระศิวะเจ้านั่นเอง เพราะพระอิศวรทรงมีพญาโคนนทิเป็นพาหนะการที่เรียกนารายณ์ทรงโคไม่ถูกเพราะพระนารายณ์มีพาหนะเป็นครุฑ และพระพรหมก็ไม่ถูกอีกเพราะพระพรหมมีสี่พักตร์ ดังนั้นควรทำความเข้าใจว่าเป็นปางพระอิศวรแพ้พระพุทธเจ้า
    ที่มา เมื่อพระพุทธเจ้าทรมานเล่นซ่อนหาแก้มิจฉาทิฏฐิของพระอิศวร(พระศิวะเจ้า)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 ธันวาคม 2013
  2. lagunaram

    lagunaram เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +697
    ทำไมที่เราได้ยินมาน่าจะเป็นท้าวผกาพรหมไม่ใช่หรอ ในบทสวดพาหุงก็มีนะ ไหงกลายเป็นพระอิศวรได้

    ตอนสุดท้ายของบทพาหุง

    ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
    พรัหมัง* วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
    ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

    คำแปล

    พระจอมมุนีได้ทรงชนะพรหมผู้มีนามว่าพกาพรหม ผู้มีฤทธิ์ สำคัญตนว่าเป็นผู้รุ่งเรืองด้วยคุณอันบริสุทธิ์ มีความเห็นผิดประดุจถูกงูรัดมือไว้อย่างแน่นแฟ้นแล้ว
    ด้วยวิธีวางยาอันพิเศษ คือ เทศนาญาณ
    ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระพุทธชัยมงคลนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2010
  3. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    อันนี้เป็นตำนานนาฏศิลป์ ตำนานเพลงสาธุการครับ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร การสร้างรูปลักษณ์ก็เป็นพระอิศวรครับเพราะเทวดาทรงโคคือพระอิศวรครับ ส่วนเรื่องผกาพรหมเป็นเรื่องในพระสูตรครับอันนี้น่าจะเป็นตำนานทางนาฏศาสตร์ครับเห็นแปลกดีนำมาเล่าให้ฟังครับ
     
  4. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,444
    ตำนานทางเหนือก็มีกล่าวเรียกว่าพระปรมัยไอศวร ประลองฤทธิ์พระพุทธเจ้ามีการสร้างพระปางปราบปรมัยไอศวรด้วยครับ
    [​IMG]
    ประวัติความเป็นมาของพระปรไมยไอศวรปางซ่อนหา เดิมคือท่านเป็นผู้มีทิฐิมานะถือดี เอาตัวเองเป็นใหญ่ไม่ยอมฟังเหตุผลของใคร แม้แต่มาพบพระพุทธองค์ก็ยังไม่ยอมกราบไหว้ เพราะถือว่าตนเองเหนือกว่าพระพุทธองค์ ส่วนพระพุทธองค์ผู้มีบุญบารมีเหนือกว่าพระปรไมยไอศวรในทางธรรม คือหนึ่งไม่มีสอง แต่พระปรไมยไอศวรก็ยังอยากจะลองดีด้านอิทธิฤทธิ์กับพระพุทธองค์ ดังในรูปจำลองออกมาตอนที่ท้าทายให้พระพุทธองค์ซ่อนตัว ฝ่ายพระปรไมยไอศวรจะเป็นฝ่ายตามหา ซึ่งได้สัญญากับพระพุทธองค์ว่า หากหาท่านไม่พบ พระปรไมยไอศวรจะยอมกราบไหว้พระพุทธองค์ อีกทั้งข้าวของเงินทองอันมากมายอันจะไม่อาจจะนับได้ก็พร้อมจะถวายแด่ท่านทั้งหมด พระพุทธองค์ได้ยินคำท้าทายจากพระปรไมยไอศวรเช่นนั้น พระพุทธองค์จึงตอบรับคำท้าทายนั้น โดยเนรมิตแปลงกายเป็นตัวไรดำเข้าไปซ่อนอยู่ในมวยผมของพระปรไมยไอศวร พระปรไมยไอศวรตามหาพระพุทธองค์ไปทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นบนบกหรือใต้น้ำ จนแทบพลิกแผ่นดินหาก็ไม่พบ เมื่อหมดปัญญาจึงอ้อนวอนขอให้พระพุทธองค์ให้ออกมาให้เห็นหน้าแล้วจะยอมกราบไหว้ และทำตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ พระพุทธองค์จึงส่งเสียงอันดังกังวานไปทั่วพิภพว่า

    “พระปรไมยฯ ท่านเป็นเจ้าใหญ่แห่งเขาไกรลาศอันมีฤทธิ์ เมื่ออยากเห็นเราขอให้ท่านทำบันไดทองคำประกอบด้วยแก้วแล้วพากจากหน้าผากของท่านจนถึงแผ่นดินเดี๋ยวนี้เถิด เราตถาคตไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ในขมวนเกล้า (มวยผม) ของท่านนี้แล้ว”
    ฝ่ายพระปรไมยไอศวร ผู้ปราศจากซึ่งศีลธรรมได้ยินแล้วก็แปลกใจว่าจะเท็จจริงเพียงใด จึงเนรมิตบันไดทองคำตามรับสั่งแล้วเอาพาดจากหน้าผากของตนเองจรดถึงแผ่นดิน แล้วอัญเชิญพระพุทธองค์อันเป็นบรมครูแก่โลกทั้ง ๓ ออกมาให้ปรากฏ พระพุทธองค์จึงเดินออกมาจากมวยผมแล้วยืนเหยียบยันไดทองคำลงมาโดยปราศจากมลทินจนถึงแผ่นดิน พระอินทร์ พระพรหม พร้อมทั้งเทวดาทั้งหลายไม่อาจนิ่งดูดายได้ยกมือกราบไหว้สาธุการ ฝ่ายพระปรไมยไอศวรก็ก้มลงกราบไหว้พระพุทธองค์ ตั้งแต่นั้นมาพระปรไมยไอศวรจึงถือศีลปฏิบัติธรรม นำข้าวของเงินทองที่สัญญาไว้มาถวายพระพุทธองค์ จนเป็นที่เลื่องลือแก่หมู่ยักษ์มารทั้งหลายที่ได้เห็นพระปรไมยไอศวรกลับตัวกลับใจ ถึงบั้นปลายชีวิตก็ยังมีฤทธานุภาพ



    พระปรไมยไอศวรเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์อันลือชาปรากฏไปทั่วไกรลาศ มีอำนาจวาสนา มีความสามารถขจัดภัยภยันตรายตลอดถึงภูตผีปีศาจ มารร้าย ด้วยอิทธิฤทธิ์ของท่านนานัปการ ผู้คนเชื่อว่าผู้ใดมีไว้บูชาในครอบครัวจะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ซื้อง่ายขายคล่อง มีโชคลาภ ปราศจากโรคภัยทั้งปวง ด้วยความตั้งจิตอธิษฐานถึงบุญบารมีของท่านก็จะช่วยคุ้มครองปกปักรักษาได้

    ปัจจุบันรูปจำลองพระปรไมยไอศวร ประดิษฐานอยู่ที่ วัดศรีดอนมูล อ.สารภี จ.เชียงใหม่
     
  5. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,887
    ก็ตำกันมานานแล้วไง ก็มีเลือนบ้าง เปลี่ยนบ้าง ควรพิจารณาก่อนเชื่อกัน
     
  6. babyhead

    babyhead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +335
    ขอตอบคุณ lagunaram อันนี้ความคิดส่วนตัวนะครับ ในพาหุงเรียกผกาพรหมก็จริง แต่นั่นอาจเป็นชื่อที่พระพุทธเจ้าเรียกพระศิวะก็เป็นไปได้ เพราะท่านจะเรียกจากลักษณะ อีกอย่าง เทพของพราหมจริงๆแล้วก็คือพรหมของพุทธ แล้วที่น่าสังเกตคือขี่วัวเนี่ยแหละครับ และก็มีมิจฉาทิฏทิคิดว่าตนมีฤทธิ์มากก็คล้ายนิสัยของเทพ พระองค์นี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...