เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลถวายอสทิสทาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 15 สิงหาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,445
    [​IMG]

    อสทิสทาน

    <!-- #EndEditable --><!-- #BeginEditable "content" -->ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายและบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณรที่รัก สำหรับตอนนี้ก็เป็นตอนฟังพระสูตร ถือว่าเป็นการฟังพระสูตรก่อนหลับหรือว่าก่อนนิทราเห็นใครเขาเขียนว่าเป็นพระสูตรก่อนนิทรา หรือนิทราก่อนหลับ เนื้อความก็มีอยู่ว่า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงประทับอยู่ที่พระเชตวัน ทรงปรารภ อสทิสทาน จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนาว่า น เว กทริยา เทวโลกัง วชันติ เป็นต้น เนื้อความมีอยู่ว่าในเมืองพาราณสี ในตอนนี้ท่านบอกว่าพระราชากับบรรดาราษฎรมีการแข่งขันกันทำบุญ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรจะคิด เรื่องนี้ยาวหน่อย จะจบในเทปหน้าเดียวหรือไม่ก็ไม่ทราบ

    เนื้อความมีอยู่ว่า สมัยหนึ่งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจาริกไป คือเที่ยวไป มีภิกษุ 500 รูป เป็นบริวาร เสด็จเข้าไปถึงพระเชตวัน พระราชาเสด็จไปที่วิหาร คำว่าพระราชานี่หมายถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จไปที่วิหารที่พระเชตวัน และกราบทูลองค์สมเด็จพระภควันต์ ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าว่าในวันรุ่งขึ้นจะทรงเตรียมอาคันตุกะทาน คือในวันรุ่งขึ้นท่านจะถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ ที่ว่า อาคันตุกะ หมายถึงผู้มา คือว่าพระผู้มาทั้งหมด พระองค์จะถวาย และจึงได้ตรัสเรียกชาวพระนครว่า จงดูทานของเรา เมืองนี้เขาแข่งขันกันทำความดี เขาไม่ได้แข่งขันกันโกง แข่งขันกันให้ ว่าท่านทั้งหลายจงดูทานของเรา ชาวพระนครมาเห็นทานของพระราชาแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงได้นิมนต์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เตรียมจะถวายทานบ้าง และส่งข่าวไปกราบทูลพระราชา คือพระเจ้าปเสนทิโกศล ขอพระองค์ผู้สมมติเทพจงมาทอดพระเนตรทาน ของข้าพระองค์ทั้งหลาย เขาก็พยายามจัดทานให้ยิ่งกว่าพระราชาที่ถวาย

    เมื่อพระราชาได้ทอดพระเนตรแล้ว ก็กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วอีกว่า ท่านอันยิ่งกว่าทานของเราที่ชนทั้งหลายเหล่านี้ทำแล้ว เราจะถวายทานอีกย่อมต้องถวายให้ยิ่งกว่า เราจะยอมแพ้ชาวบ้านไม่ได้ จึงทรงรับสั่งให้เตรียมทานเสร็จเรียบร้อยในวันรุ่งขึ้น แล้วก็บอกให้ชาวพระนครมาดูอีก

    ชาวพระนครมาดูแล้ว เห็นว่าท่านของพระราชายิ่งใหญ่กว่าของพวกตนมาก จึงมีการเตรียมตัวถวายทานกันอีก และก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบว่า วันพรุ่งนี้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะถวายทานในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพระองค์จงเสด็จมาดูทานของข้าพระพุทธเจ้า อันว่าทานของชาวบ้านนี่เขารวมกันเต็มอัตรา และมีจิตใจเสมอใจกันเป็นคนดี ทานเขาก็มากกว่าพระราชา พระราชาองค์เดียวสู้เขาไม่ได้

    เป็นอันว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ท่านเป็นพระราชาที่ไม่ยอมแพ้คนในด้านทำความดี ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านเองปรารถนาพุทธภูมิ ต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้าในวันหน้า

    และขอบรรดาผู้ฟังทั้งหลายโปรดทราบว่าในเมืองพาราณสี นี่พระราชาทุกพระองค์มีนามว่า ปเสนทิโกศล เหมือนกันหมด และพระบรมราชินีก็มีนามว่าพระนางมัลลิกา เหมือนกันหมด ในเมื่อเหมือนกันอย่างนี้โดยชื่อ แต่ว่าจริยาก็ดี ความประพฤติก็ดี ความคิดเห็นก็ดี จะไม่เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าหากว่าไปอ่านพบหรือฟังพบว่าเมืองพาราณสี มีพระเจ้าปเสนทิโกศล หรือว่าพระนางมัลลิกา ที่ประพฤติตัวไม่ดี ให้ทราบว่าเป็นองค์ไหนกันแน่ ไม่ใช่องค์นี้

    ก็เป็นอันว่าพระราชาไม่สามารถจะเอาชนะชาวบ้านได้ จึงคิดในใจว่าเราจะไม่ยอมแพ้ ต่อมามีวาระที่ 6 คือว่ากันไปว่ากันมาถึงวาระที่ 6 ชาวพระนครก็เพิ่มขึ้น 100 เท่า 1,000 เท่า พระราชาให้เท่าไหร่ฉันให้เท่านั้น เพิ่มเตรียมให้สู้ขึ้น ตระเตรียมทานโดยที่คิดว่าอะไรที่ไม่มีจะต้องไม่มีในทานอันนี้ ท่านคราวนี้ต้องมีทุกอย่าง เพราะเรามากด้วยกัน เราจะต้องเอาชนะพระราชาของเราให้ได้ ท่านเป็นพระราชาก็จริงแหละ แต่ว่ากำลังของท่านน้อยกว่าเรา เราชาวพระนครทั้งหมดช่วยกัน ก็ถือว่าไม่ใช่เฉพาะชาวพระนคร ชาวบ้านทั้งหมดช่วยกัน เขาป่าวประกาศ

    พระราชาหรือพระเจ้าปเสนทิโกศล ไปทอดพระเนตรทานนั้นแล้ว ทรงดำริว่าถ้าเราจักไม่อาจทำทานให้ยิ่งกว่าของชาวพระนครทั้งหมดนี้ ให้สูงกว่าเขาชีวิตของเราจะอยู่เพื่ออะไร คนอย่างเราจะยอมแพ้ไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถชนะทานของชาวบ้านได้เราตายดีกว่า เมื่อคิดแบบนี้แล้วทำอย่างไร ก็คิดไม่ตก ตั้งใจว่าจะหาอะไรมาบ้าง ไปดูแล้วชาวบ้านแกมีทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าอะไรไม่มี ไม่มีในทานนั้น มีทุกอย่างครบถ้วน ในที่สุดก็หาอุบายไม่ได้ ทำอย่างไร ก็นอนบรรทม นอนดำริถึงอุบายที่จะต้องทำอยู่ นอนผึ่ง ตอนนอนก็รู้สึกว่าไม่ค่อยอยากจะกินข้าว กินปลา ใครมาพูดก็ไม่ค่อยอยากจะพูดด้วย นั่งคิดอย่างเดียวว่าเราจะเอาอะไรมาให้ทานดีหนอ ให้ยิ่งกว่า ชาวบ้าน เขาไม่ยอมแพ้เรา เราก็ยอมแพ้ไม่ได้ นี่ทุกคนต้องฟัง ถ้าทุกคนที่ฟังแล้วมาแข่งขันกันทำความดีอย่างนั้นจะมีประโยฃน์มาก ขอตลุยเรื่อง

    ตอนนั้นมาพระนางมัลลิกาก็เข้ามาเฝ้าท้าวเธอ พระนางมัลลิกาเทวี นี่ชื่ออย่างนี้มันเหมือนกัน จะต้องวงเล็บว่า พระนางมัลลิกาเทวี โดยตำแหน่งพระราชินี แต่ชื่อจริง ๆ ที่ยังไม่มาเป็นพระราชินีชื่อว่า ศรีระจิตร ศรีระจิตรนะ เข้าไปเฝ้าท้าวเธอแล้ว ทูลถามว่าข้าแต่มหาราชเจ้าเพราะเหตุไรพระองค์จึงเป็นผู้บรรทมคือนอนแบบนี้ และทำไมร่างกายของพระองค์นี้ดูเหมือนกับคนที่มีความเหนื่อยมาก นอนถอนใจ บรรทมถอนใจ ร่างกายก็ซูบซีด หน้าก็ซูบซีด ตาก็เหม่อลอย พระองค์ทรงคิดถึงเรื่องอะไรหรือพระเจ้าข้า หรือว่าจะไปเจอเทวีที่ดีกว่านี้อีก หม่อมฉันจะไปติดตามมาให้ พระนางทรงทราบ

    พระราชาก็ตรัสว่า พระเทวีนี่น้องหญิงเธอยังไม่เข้าใจนะ เวลานี้ฉันแพ้ชาวบ้านเขารู้ไหม ฉันให้ทานเท่าไหร่ ชาวบ้านก็รวมใจกันให้มากกว่านั้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า แล้วฉันจะเอาอะไรดีไปชนะชาวบ้านเขา เออน้องหญิง ทราบว่าน้องหญิงเป็นคนมีปัญญาดี มีความละเอียดรอบคอบและก็สุขุม มีความรู้จักประโยชน์และสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ จะมีอะไรช่วยฉันคิดได้บ้างไหม

    เวลานั้นพระนางมัลลิกาก็กราบทูลท้าวเธอว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์อย่าทรงคิดมากไปเลย เรื่องทาน ไม่ใช่ของหนัก พระราชาเป็นผู้ใหญ่ในแผ่นดิน ฉะนั้นชาวพระนครทั้งหลายจะให้แพ้น่ะไม่ได้ พระองค์เคยทอดพระเนตรหรือว่าเคยสดับแล้วที่ไหนหม่อมฉันจะจัดแจงทานแทนพระองค์ นั้นก็หมายความว่าเคยเห็นไหมที่พระราชายอมแพ้ชาวบ้าน พระราชานี่ความจริงไม่ใช่มีมานะหนัก แต่ต้องทำความดี ให้เหนือเพื่อเป็นการจูงใจคนให้มีความดีปฎิบัติความดีตาม ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเด็กย่อมเห็นว่า ผู้ใหญ่ทำดีก็อยากจะดีบ้าง ทำอย่างไรก็ชอบทำตามนั้น ฉะนั้นเมื่อพระราชาชอบให้ทานชาวบ้านก็ต้องให้ทาน

    พระนางจึงได้กราบทูลท้าวเธออย่างนี้ว่าความที่พระนางเป็นผู้ใคร่จะจัดแจงอสทิสมาน คือหมายความว่าตั้งใจไว้แล้วจะถวาย อสทิสทาน มานานแล้วแต่โอกาสมันยังไม่มี ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์จงรับสั่งให้เขาทำดังนี้คือ หนึ่งทำมณฑปสำหรับนั่งในวงเวียน คือทำวงเวียนแล้วก็ทำมณฑปสำหรับนั่งใช้ไม้เรียบ ๆ ที่ทำด้วยไม้สาละและใช้ไม้ขานาง ขานางเอาไว้ถ่างขาทำเป็นโต๊ะเพื่อบรรดาพระสงฆ์ 500 รูปนั่ง สำหรับพระที่เกิน 500 จะนั่งนอกวงเวียน ในวงเวียน 500 ทำตั่งทำโต๊ะนั่งสบาย ๆ และขอให้จงรับสั่งให้ทำเศวตฉัตร 500 คัน ช้างประมาณ 500 เชือก ช้าง จะถือเศวตรฉัตรทั้งหลายเหล่านั้นกั้นอยู่เบื้องหลังให้ภิกษุ 500 รูป งานมันใหญ่มาก และขอจงรับสั่ง ให้ทำเรือสำเร็จด้วยทองคำอันมีสีสุก คำว่าสำเร็จหมายความว่าสั่งทำเรือทองคำ ทองคำ แท้ ๆ ที่มีสีสุกสัก 8 ลำ หรือ 10 ลำ และก็เรือเหล่านั้นจะอยู่ท่ามกลางมณฑป และจะมีเจ้าหญิงองค์หนึ่ง ๆ จะนั่งบดของหอมอยู่ในระหว่างภิกษุ 2 รูป คือภิกษุพระ 2 องค์ มีเจ้าหญิง 1 องค์ นั้นบดของหอมถวาย และ เจ้าหญิงอีกองค์หนึ่งจะถือพัดถวายแก่พระภิกษุ 2 รูป พระ 500 นี่ก็เจ้าหญิง 500 เข้า ไปแล้ว เจ้าหญิงที่เหลือจะนำของหอมที่บดแล้วมาใส่ในเรือทองคำทุก ๆ ลำ และบรรดาเจ้าหญิงทั้งหลายเหล่านั้น เจ้าหญิงบางพวก จะถือดอกอุบลเขียวคือดอกบัวเขียวเคล้าของหอมที่ไส่ไว้ในเรือทองคำ จะให้ภิกษุรับเอากลิ่นอบ

    ที่ทำอย่างนี้นะจะเอาชนะชาวบ้าน เพราะว่าชาวบ้านเขาจะไม่มีเจ้าหญิงใช้ คือเจ้ามีเฉพาะกลุ่มเจ้า คำว่าเจ้า ชาวบ้านจะมีเจ้าหญิงไม่ได้ และอีกประการหนึ่งชาวบ้านก็ไม่มีเศวตฉัตร และชาวบ้านจะมีช้างก็ไม่มากเท่าช้างของพระราชา นี่ถือเอาชนะกันตอนนี้ และชาวบ้านจะแพ้ด้วยเหตุผลเหล่านี้พระเจ้าข้า ก็ได้กราบทูลต่อไปว่า ขอพระองค์จงรับสั่งให้ทำอยางนี้เถิด

    พระเจ้าปเสนทิโกศลฟังแล้วก็ดีใจหายเหนื่อยลุกผลุนผลันมาทันที ว่าดีแล้วน้องหญิง เรื่องอันงามเจ้าบอกพี่แล้ว จึงได้ทรงรับสั่งให้ทำกิจทั้งสิ้นโดยทำนองที่นางกราบทูลมาแล้ว ช้างเชือกหนึ่งยังไม่พอต่อภิกษุรูปหนึ่ง และหมายความว่าภิกษุแต่ละองค์ต้องใช้ช้างแต่ละเชือก แต่นับไปนับมาแล้ว ช้างมันไม่พอ ช้างไม่พอไม่ใช่อะไร ช้างน่ะมีมาก แต่ไม่พอ ฟังเหตุผลไปก่อน เป็นอันว่าช้างเชือกหนึ่งเฉพาะพระภิกษุรูปหนึ่ง 500 รูปน่ะไม่พอ จะทำอย่างไร

    พระนางมัลลิกาจึงได้กราบทูลถามว่าช้าง 500 เชือก เรามีไม่พอหรือมีไม่ถึง 500 เชือกหรือ พระนางทราบว่ามีมาก พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ตรัสว่ามี น้องหญิง ช้างที่ว่าไม่พอน่ะ มันเหลือแต่ช้างตัวดุร้ายน่ะซี ถ้าช้างทั้งหลายเหล่านั้นไปเห็นพระเข้าล่ะก็ มันจะทำร้ายพระ เพราะว่าช้างเห็นพระนี่ไม่เชื่องกับพระ ก็เหมือนกับควายที่ไม่เชื่องกับพระ ไล่ขวิดพระนั่นเอง เหมือนกับลมพาไล่พระ พระนางก็ได้กราบทูลให้ทรงทราบว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันทราบที่เป็นที่ยืนถือฉัตรของลูกช้างซึ่งดุร้ายเชือกหนึ่ง หมายความว่ามีลูกช้างเชือกหนึ่งพร้อมที่จะถือฉัตรได้ ถึงแม้ว่ามัจะดุร้ายก็สามารถปราบได้ด้วยกำลังใจ

    พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็ถามว่าเราจะเอาช้างมาอยู่ที่ตรงไหนล่ะ พระนางมัลลิกาก็กราบทูลว่า ยืนที่ใกล้ๆ พระผู้เป็นเจ้าชื่อว่า องคุลิมาน หมายความว่าลูกช้างตัวที่มันดุเอามายืนใกล้ ๆ องคุลิมาน ได้สู้กัน องคุลิมาน ไม่ใช่ก้อย แต่ว่าเวลานี้ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำอย่างนั้น คือว่า พระราชารับสั่งให้เอาช้างตัวนั้นมายืนใกล้ องคุลิมานถือฉัตร พอมาใกล้องคุลิมาน ก็อาศัยบารมีความดีของท่าน ลูกช้างก็สอดหางเข้าไปในระหว่างขา ได้ปรบหูทั้งสองหรือตั้งหูทั้งสองขึ้นหลับตายืนอยู่

    มหาชนแลดูช้างซึ่งทรงเศวตฉัตรเพื่อพระเถระหรือองคุลิมานนั้น จึงพากันคิดว่านี่เป็นอาการของช้างดุร้ายที่ว่าเห็นปานนี้ ท่านองคุลิมาน พระเถระย่อมทำได้ หมายความว่าปราบพยศของช้างได้

    พระราชาทรงถวายภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานด้วยอาหารอันปราณีตแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสิ่งใดที่เป็นกัปปิยะ คือเป็นของสมควรหรือกัปปิยภัณฑ์ของที่สมควรที่ของใช้ในโรงทานนี้ทั้งหมด หม่อมฉันถวายทุกสิ่งทุกอย่างแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคือถวายทั้งหมดของนะไม่ใช่คน สิ่งที่เป็นวัตถุทั้งหมด เรือทองคำก็ดีอะไรก็ดี เตียงตั่งก็ถวายหมด เป็นอันว่าพระราชา ทรงถวายเสร็จ ท่านกล่าวว่าในทานทั้งหลายเหล่านั้น ทรัพย์มีประมาณ 14 โกฎิ อันพระราชาทรงบริจาคในวันเดียวนั้นของ 4 อย่างก็คือ เศวตฉัตรหนึ่ง บรรลังก์สำหรับนั่งหนึ่ง เชิงบาตรหนึ่ง ตั่งสำหรับเช็ดเท้าหนึ่ง เป็นของที่หาค่าไม่ได้ เป็นของมีราคาสูง

    เมื่อพระศาสดาคือสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ารับทราบแล้ว ท่านกล่าวว่าใคร ๆ ผู้สามารถทำทานถึงปานนี้แล้วไม่มี ไม่สามารถจะทำได้ ถวายทานในพระพุทธเจ้าทั้งหลายในครั้งใหม่อีกไม่ได้ ทานประเภทนี้เขาถวายกันคราวเดียวเพราะเหตุว่า อสทิสทาน ประเภทนี้จะปรากฎแก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่งองค์ต่อหนึ่งครั้ง คือถวายกันครั้งเดียวของมันหนักปริมาณมันสูง และผู้ที่ถวายทานประเภทนี้ได้ก็เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย ก็เรื่องราวมันก็มีมาก มันก็จบไม่ได้ จะลัดก็ลัดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าต้องเอาหนังสือมากางแล้วก็เล่าสู่กันฟัง เรื่องของท่านมีความละเอียด

    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท วันนี้ก็หยุดกันแค่นี้นะสำหรับท้องเรื่อง เหลือเวลาอีก 5 นาที ก็มานั้งคิดกันว่าในเมืองพาราณสี น่ะ พระเจ้าปเสนทิโกศลความจริงก็เป็นสหายกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กล่าวว่าเป็นพระสหายคือเป็นลูกกษัตริย์เหมือนกัน อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และก็มีศรัทธาในองค์สมเด็จพระพระภควันต์บรมศาสดามาก และในการทำทานคือพระโพธิสัตว์ไม่ยั้งในการทำทาน และแถมมีพระมเหสีคือ พระนางมัลลิกาเทวี อย่าลืมนะ มัลลิกาเทวี องค์นี้ชื่อเดิมของท่านชื่อ ศรีระจิตร เป็นผู้ที่ทรงทานมาก มีศรัทธามาก จริยาของท่านยังมีมากไปกว่านี้ แล้วก็จะคุยกันวันหน้า

    รวมความว่าทานที่ท่านให้อาศัยบุญบารมีเดิม คือว่าถอยหลังในชาติต่อ ๆ ไปก็ปรากฎว่าทั้งสองท่าน นี่ท่านผู้รู้ท่านบอกให้ฟัง ในธรรมบท อาจจะไม่บอกไว้ ท่านบอกว่าทั้งสองท่านนับแต่อดีต ตั้งแต่ปรารถนาพระโพธิญาณมาตั้งแต่เริ่มแรก ก็เป็นผู้หนักในทาน บางครั้งบางคราว ท่านเกิดในสภาวะของคนยากจน ผ้านุ่งก็เก่าแสนเก่า จะต้องประกอบอาชีพด้วยแรงงาน คือทำไร่ทำผัก ฐานะทางสมบัติก็ไม่ค่อยจะมีกิน ก็ปรากฎว่ามีคนยากจนเข็ญใจมาเมื่อไหร่ อาหารของท่านแม้จะเกือบไม่อิ่มก็พยายามแบ่งให้ แบ่งให้ไม่มาก ก็แบ่งให้น้อย ๆ พอที่ประทังชีวิตไปชั่วคราว นี่กำลังใจของท่านเป็นอยางนี้ในเรื่องในทาน โดยเฉพาะพระนางมัลลิกาเทวี ท่านผู้รู้ ผู้นั้นบอกให้ทราบว่า พระนางมัลลิกาเทวีนี่ถวายทานหนักเป็นพิเศษ ในอดีตที่ผ่านหรือว่าชาตินี้ก็ตาม จะเป็นคู่ปรับกับนางวิสาขามหาอุบาสิกา คือหนึ่งจริยาก็มีความนิ่มนวล สองการสละทานก็หนักมาก ในชาติก่อน ๆ มา อันนี้จะอ้างถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคไม่ได้นะ ท่านผู้รู้บอกว่าในชาติก่อนๆ ท่านชอบบูชาทาน บูชาธรรมด้วยเครื่องประดับ ในบางคราวซึ่งเกิดเป็นพระราชินีของพระมหากษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่งในชาตินั้น ๆ มาฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระภควันต์คือสมเด็จพระพุทธเจ้าก็ดี ฟังเทศน์จากพระอรหันต์ก็ดี พอใจในธรรมะ ถอดเครื่องประดับที่มีราคาสูงที่ชาวบ้านไม่สามารถจะมี ถวายบูชาธรรมแล้วก็ตีราคาเป็นเงิน ตีราคาเป็นเงินให้มันสูงกว่าราคาปกติ แล้วก็ประกาศขาย เพราะพระใช้เครื่องประดับไม่ได้ ท่านทราบ เมื่อไม่มีใครซื้อท่านก็ซื้อเอง เอาเงินจำนวนนั้นบำรุงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

    เพราะอานิสงส์อย่างนี้ การให้ทานหนักมาในกาลก่อน ต่อมาสมัยเมื่อพบองค์สมเด็จพระชินวร พระราชสวามีในสมัยนั้นก็มาเกิดเป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางศรีระจิตรก็มาเกิดเป็นพระนางมัลลิกาเทวี นี่ชื่อสำหรับพระราชินีนะ แต่ชื่อจริง ศรีระจิตร ท่านว่าอย่างนั้น ผิดถูกก็เป็นเรื่องของท่าน การถวายทานในครั้งนี้จึงเป็นของไม่หนัก เพราะสมัยนั้นมีมหาเศรษฐีมีเงินนับเป็น 80 โกฎิบ้าง 160 โกฎิบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นบ้าง คนที่มีมากหนักจริงคือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ในเมื่อชาวบ้านมีทรัพย์อย่างนั้นมาก พระราชาก็ต้องมีทรัพย์มากยิ่งขึ้น ฉะนั้นจึงทรงพระราชทานการบำเพ็ญกุศลได้ถึงวันละ 14 โกฎิ 14 โกฎินี่หมายความว่าแม้แต่พระนางมัลลิกาเทวี ก็มีสิทธิจะใช้ในเงินนี้ คือวันหนึ่ง ๆ พระราชาสามารถจับจ่ายใช้ถึงวันละ 14 โกฎิ และมีผู้สงสัยว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลสมัยนั้นมีลูกเท่าไหร่ ภรรยาไม่ใช่คนเดียว พระนางมัลลิกาเทวี เป็นภรรยาเอก เอกอัครมเหสี นอกจากนั้นจะมีเท่าไหรก็ดูลูก ลูกสังเกตตามเรื่องนี้ปาเข้าไปเลย 1,000 คน บ้างเป็นหลาน เป็นเหลนบ้าง และก็จริง ๆ แล้วคำว่า เจ้าหญิง ส่วนใหญ่จะเป็นลูกของกษัตริย์ แต่ว่าเป็นลูกของกษัตริย์ข้างเคียงคือน้อง ๆ รองลงไป ก็รวมความว่าพระราชาท่านมีทรัพย์ใหญ่ ฐานะก็ใหญ่ มีลูกก็มากตามฐานะ เรื่องราวในตอนนี้ยังไม่สรุปเรื่องธรรมะ

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า สัญญาณบอกหมดเวลาผ่านไปแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแต่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี เรื่องนี้นะจะต่อในวันพรุ่งนี้ต่อไป สวัสดี.

    ที่มา พระสูตรก่อนนิทรา
     

แชร์หน้านี้

Loading...