เรื่องที Hot ที่สุดในห้องพันทิพ ศาสนา ท่านเห็นอย่างไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย vichai2500, 5 กันยายน 2007.

  1. vichai2500

    vichai2500 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    600
    ค่าพลัง:
    +2,877
  2. น้อมโลกธรรม

    น้อมโลกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +154
    ถ้าพูดถึงกลุ่มผู้มีวิจารญาณในการวิเคราะห์เหตุผลข้อเท็จริงในธรรมชาติ ผมให้กลุ่มห้องวิทย์ พลังจิต ห้องหว้ากอ พันทิป น่าจะมีเหตุผลและศึกษาโดยยึดตามหลักพุทธศาสนามากกว่า เพียงแต่อาจมีหลายคนที่หัวแข็งยังไม่ยอมรับหลักหลายๆเรื่องทางศาสนา (แต่ก็ควรเคารพในความไม่ประมาทในการไม่เชื่อต่อสิ่งที่ยังไม่พิสูจน์เป็นที่ประจักษ์ได้ ของเขาเหล่านั้น)

    ส่วนห้องศาสนา พันทิป (หรือแม้แต่ห้องศาสนา พลังจิต) โดยส่วนใหญ่ค่อนข้างจิตเบาไปนิด(หะ หะ วิจารณ์นิดๆ อย่าว่ากัน) จิตไม่หนักแน่นในหลักเหตุผลความจริงเท่าที่ควร มักอาศัยหลักความเชื่อเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจตามประสาปุถุชนมากกว่า และห้องศาสนา พันทิป บรรยากาศทะเลาะต่างศาสนา ต่างหลักปฏิบัติในศาสนาเดียวกัน ยังถือว่ามาก เรื่องที่ฮ็อตที่สุดก็คงเป็นแนวทะเลาะดังกล่าว
     
  3. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,131

    ไม่อยากพูดเลยมันร้อน และมันจะร้อนไปอีกนาน
    ถ้าไม่ทำความจริงให้ปรากฏ ผู้ใดจะกล้าทำความจริงให้ปรากฏ

    ปัจจุบัน ก็ ยังคง งง ว่าท่านปาราชิกไหม ?

    อยากพูดต่อ แต่รอฟังท่าน อื่นก่อนดีกว่า
     
  4. lucktist

    lucktist เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +159
    จุดสุดท้ายแล้วก็คือการพ้นทุกข์ จะทะเลาะทำไยกัน
     
  5. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    ปัจจุบัน ก็ ยังคง งง ว่าท่านปาราชิกไหม ?

    -ตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีพระวินิจฉัยว่า ปาราชิก
    - ถ้าปาราชิกจริง ทำไมไม่สึก
    - ท่านมีพระวินิจฉัยลงมา ระบุว่า เป็นพระวินิจฉัยส่วนพระองค์ ไม่ได้บังคับให้ทำตาม เป็นเพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมเด็จพระสังฆราชเท่านั้น
    - มหาเถระสมาคมในฝ่ายมหายานต้องพิจารณาเอง สมเด็จพระสังฆราชมิได้ไปก้าวก่าย
    - ปาราชิกแล้วจะขาดจากความเป็นพระทันที คืนทรัพย์แก่วัดแล้วก็ไม่สามารถคืน ปาราชิก ได้
    - ทางวัดพระธรรมกายเชื่อว่าเป็นพระลิขิตปลอม แต่ไม่มีหลักฐาน เป็นเพียงข่าวลือว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังกรณีนี้ แต่หาหลักฐานและข้อพิสูจน์ไม่ได้

    *** แล้วท่านล่ะจะเชื่อพระลิขิตขององค์สมเด็จพระสังฆราช หรือ เชื่อทางวัดพระธรรมกายที่อ้างมติเถระสมาคมและบอกว่าพระลิขิตเป็นของปลอม
     
  6. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    จุดสุดท้ายแล้วก็คือการพ้นทุกข์ จะทะเลาะทำไมกัน

    - เพราะธรรมของทางวัดพระธรรมกาย ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้จริง ไม่สามารถดับกิเลสได้หมด เพราะไม่ได้เจริญหลักสติปัฎฐาน4 ทางวัดพระธรรมกายเน้นแต่ความสุขในสมาธิ เมื่อไม่เห็นทุกข์ จึงไม่สามารถดับทุกข์ได้ ธัมมชโยมอมเมาสาวกด้วยสวรรค์สมบัติ คิดแต่จะหาความสุขในวัฏฏะสงสาร ไม่รู้จักทุกข์ ไม่ทำความเข้าใจทุกข์ ถึงสวรรค์ พรหม ก็ทุกข์เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง ไม่ควรนำมายึดเหนี่ยว แต่ธัมมชโยไม่เข้าใจ อริยสัจย์ และ หลักไตรลักษณ์ เมื่ออาจารย์นำมาผิดทางแล้วลูกศิษย์ก็พากันเข้ารกเข้าพงไป
    แม้แต่นิพพานของวัดพระธรรมกายก็คนละความหมาย คนละสถานะกับทางพุทธเรา(ไปศึกษาเองเถิด) เพราะฉนั้น ผู้ที่ปฏิบัติตามจึงไม่มีทางถึงพระนิพพานได้จริง (มีแต่นิพพานที่ธัมมชโยสมมุติขึ้น ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่จริง) ซ้ำยังอวดอ้างว่าจะรื้อวัฏฏะสงสารนี้ ซึ่งขัดกับหลักธรรมชาติ
    นี่ยังไม่รวมถึงการอวดอ้างตนว่าเป็นพระบรมพุทธเจ้า เป็นองค์อวตารของต้นธาตุต้นธรรมซึ่งให้กำเนิดสิ่งทั้งมวลในจักรวาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ มีหน้าที่เพียงเกณฑ์คนให้เข้ามาในพระศาสนาเพื่อรอการบังเกิดของพระบรมพุทธเจ้าคือธัมมชโย เพื่อ พระบรมพุทธเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ได้สะดวก
    ลองไปศึกษานะครับ จะได้รู้ว่า "เพี๊ยน มาก มาก" ไม่รู้สาวกเชื่อกันเข้าไปได้อย่างไร .... งง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  7. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,131
    สาธุ

    คุณ hoto อธิบายได้แจ่มชัดดีครับ ช่วยเปิดตาให้ผมได้สว่างอีกขั้นในเรื่อง วัดพระธธรรมกาย
     
  8. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    วิธีปฏิบัติให้ได้มรรคผล

    วัดพระธรรมกาย ยึดนิมิตรตั้งแต่กายละเอียดของสัตว์นรกไปจนถึงกายละเอียดของอรหันต์ โดยกำหนดจากขนาดหน้าตักขององค์พระ เป็นการได้อรหันต์มรรค อรหันตผล ของทางวัดพระธรรมกาย

    พุทธศาสนา การเจริญวิปัสสนา ให้รู้จักทุกข์ เมื่อละทุกข์ได้จึงสิ้นอวิชชา หมดจดจากตัณหาอุปทาน สิ้นอาสวะกิเลส ทั้งหลาย จึงเรียกว่า อรหันตมรรค อรหันตผล ของชาวพุทธเรา


    นิพพาน

    วัดพระธรรมกาย เมื่อเข้าสู่อายตนะนิพพานแล้ว ต้องช่วยพระพุทธเจ้าฝ่ายขาว ทำสงครามกับพระพุทธเจ้าฝ่ายดำ ระเบิดไส้กันไปมา อายตนะนิพพานเป็นอายตนะชั่วคราว เมื่อทำสงครามจนชนะพระพุทธเจ้าฝ่ายมารได้เมื่อไหร่ จะย้ายจากอายตนะนิพพานเข้าสู่อายตนะที่เป็นอมตะ เป็นอัตตาเที่ยงแท้ คือ อายตนะธรรมกาย

    พระพุทธศาสนา คือความบรมสุข คือความสันติ สงบเย็น สูญแล้วจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย ..
     
  9. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    "ผู้ถือศีลห้าได้บริสุทธิ์อีกทั้งสร้างบุญกุศลเสริมส่ง จะได้ไปเกิดในชั้นพรหมโลก" (อรหันต์จี้กง)

    ขออนุญาติแสดงความเห็นต่อประโยคนี้หน่อยนะครับ

    ศีลห้าเป็นเพียงปัจจัย ที่จะทำให้บังเกิดเป็นมนุษย์ ยิ่งรักษาศีลได้บริสุทธิ์เท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นปัจจัยแห่งความสมบูรณ์ในภพมนุษย์ทั้งปัจจุบัน และภพต่อไป เช่น ปาณาติฯ ถ้ารักษาได้บริสุทธิ์ จะทำให้เป็นผู้มีร่างกายสวยงาม ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน อายุมั่นขวัญยืน ข้ออทินาทานฯ ถ้ารักษาได้ดี จะทำให้เป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์ ไม่ถูกเบียดเบียนโดยภัยต่าง ๆ เป็นต้น
    ส่วน หิริและโอตัปปะ เป็นปัจจัยให้เกิดในภพของเทวดา
    ส่วนปัจจัยที่จะทำให้บังเกิดเป็นพรหมนั้นมิใช่ศีลห้า คือนอกจากต้องรักษาศีล5 ให้บริสุทธิ์เป็นนิจแล้ว ต้องเจริญพรหมวิหารสี่ซึ่งเป็นเหตุที่จะทำให้บังเกิดเป็นพรหมด้วยครับ การจะเกิดเป็นพรหมชั้นต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับฌาณสมาบัติด้วย คือในขณะจุติ(ตาย) หากเราสามารถเจริญสมถะสมาธิได้ขั้นไหนในขณะจุติ จะได้นิมิต แห่งภพภูมิต่อไป เอาไปลองปฏิบัตินะครับ ไม่ใช่ง่าย ๆ คุณลองเจริญสมาธิในขณะก่อนนอนก็ได้ ว่าสามารถเจริญถึงขั้นหลับในฌาณได้หรือเปล่า ส่วนใหญ่ก่อนหลับจะหลงด้วยอำนาจโมหะ จิตมันจะไหลไปเรื่อย คิดนู่นคิดนี่ สมาธิหลุดได้ง่าย ๆ ไม่เชื่อลองดู หรือลองจับลมหายใจแบบเพื่อน ๆ ในพันทิปดูก็ได้ว่า ก่อนหลับขณะวูบสุดท้ายที่คุณยังรู้สึกตัว คุณกำลังหายใจเข้า หรือ ออกอยู่ ที่ผมพูดแบบนี้ เพียงแต่อยากจะบอกว่า ถ้าคนเราจะไปหวังช่วงสุดท้ายของลมหายใจคือในขณะกำลังจะตาย รับรอง ไม่ว่าคุณจะนึกถึงพระ ภาวนาพุทโธ สัมมาอรหัง หรือนึกถึงพระนามของพระพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถจะทำได้หรอกครับ สุดท้ายก่อนตายจิตคุณจะไหลไปเหมือนกับเวลาที่คุณจะหลับนั่นแหละ บังคับไม่ได้หรอก แต่ขอให้เราหมั่นทำความดี หรือ เจริญสมาธิ เป็นอาจิณกรรม ก่อนตายจิตของเรามันจะไหลไปในทางดีเอง(ไม่ได้บังคับ เพราะบังคับไม่ได้) และจะได้ไปบังเกิดในภพภูมิที่ดี ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการอบรมจิต อย่าคิดว่าทำแต่ความชั่วแล้วก่อนตายจะนึกถึงแต่อะไรดี ๆ แล้วจะรอดอบายซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระ ทำไม่ได้ตามความเป็นจริง
    ปล. เรื่องจับลมหายใจก่อนนอนนั้นถ้าฝึกฝนได้คือการฝึกดูลมหายใจเข้าออก อยู่บ่อย ๆ แล้วก่อนนอนก็ตั้งจิตขอดู พอถึงตอนนั้นสติจะเกิดขึ้นอัตโนมัติ สามารถรู้ได้ว่าก่อนนอนนั้นหายใจเข้าหรือออกอยู่ ผมเคยทำได้ครั้งนึง ต้องฝึกฝนต่อไป

    <!-- / sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  10. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    วัดพระธรรมกายได้ออกเอกสารชื่อ มนต์เสน่ห์แห่งสวรรค์ พูดถึงการทำบุญต่าง ๆ แล้วจะได้สมบัติต่าง ๆ บนสวรรค์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ว่าผู้แต่งมีทิพยจักษุ ไปดูบนสวรรค์ได้จริงหรือไม่ ศิษย์วัดพระธรรมกายบอกได้เพียงว่า ตายแล้วก็รู้เอง
    ถ้าต้องการดูความอลังการ ซึ่งไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไหร่ เช่นถวายไก่ย่าง แล้วตายไปจะได้แหวนไก่ผงาดบนสวรรค์ แทนที่จะบอกว่า ต่อไปจะมิต้องเดือดร้อนเรื่องกิน เพราะถวายของกิน อยากดูดีไซด์ความอลังการดูได้จากกระทู้นี้ครับ จะมี แหวนไก่ย่าง สร้อยส้มตำปู สร้อยบะหมี่ จี้ข้าวต้มมัด

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5758325/Y5758325.html

    ชาววัดพระธรรมกายเชื่อว่าเป็นการเปลี่ยนจากโลกียทรัพย์ เป็นอริทรัพย์ ซึ่งก็กลายเป็นประเด็นเกี่ยวกับ "อริยทรัพย์" ขึ้น เพราะ สมบัติสวรรค์พวกนี้ก็เป็นโลกียทรัพย์เหมือนกัน ไม่ใช่อริยทรัพย์แต่อย่างใด ดูความหมายของ"อริยทรัพย์" ได้จากกระทู้นี้ครับ

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5772182/Y5772182.html

    ซ้ำร้ายทางวัดพระธรรมกายยังเขียนทำนองให้เอาสมบัติไปขายเอาเงินมาทำบุญเสียอีก ดูดทรัพย์ทุกรูปแบบ

    ใครอยากรู้เรื่องวัดพระธรรมกายลองไปเที่ยวที่ห้องศาสนาในพันทิพย์ดูซักวันนะครับ ที่นั่นมีกระทู้ให้ศึกษามากมาย เดี๋ยวคงมีสาวกวัดพระธรรมกายมาแก้ตัวกันในพลังจิตนี้ให้วุ่นไปหมดแหละครับ เพราะวัดนี้อิทธิฤทธิ์เยอะเหลือเกิน..
     
  11. surapar

    surapar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    345
    ค่าพลัง:
    +2,408
    เราไม่ได้รู้จักวัดธรรมกายโดยตรงค่ะ แต่คุณแม่ของเพื่อนนับถือ เพื่อนเล่าให้ฟังว่าทรัพย์สินมรดกตอนนนี้ยกให้วัดเกือบหมดทั้งเงิน ทั้งที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ลูกหลานต่างทุกข์ใจกลัวมรดกไม่เหลือถึงตัวเองถึงลูกถึงหลานสืบๆ ไป แต่จะไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ไม่ชัดเจน ไม่รู้จะเอาไปบำรุงพระศาสนาจริงหรือเปล่า เงิยก็หมดเป็นแสนๆ ค่ะ ก็ไม่รู้ว่าการทำบุญที่ต้องทุ่มทำกันหมดตัวขนาดนี้เลยหรอคะ ฟังดูน่ากลัวพิลึก คนทำคงอิ่มบุญค่ะ แต่ลูกหลานคงขมวดคิ้ว ^^
     
  12. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    ธรรมวาทะ.......พระพยอม
    หวังดูดทรัพย์
    อย่างที่เกริ่นไว้ไง...ท่านรักคนอยากให้ฉลาดคิด คิดถูกคิดรอบคอบ กระทั่งไม่กลัวบาปกรรมจะกินเอา เห็นใครชุ่ย เตือนไม่ฟังก็ซัดซะ มาดูเรื่องโง่ ๆ นี่ไง
    ชาวพุทธเดี๋ยวนี้...คิดอะไรแปลก ๆ ชอบคิดสวนทางกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้ทำทุก อย่างด้วยปัญญา คนเดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยใช้ปัญญา ข้างวัดอาตมานี่มีคนโง่อยู่คนหนึ่ง ชื่อโยมกนกวรรณ ไปเสียท่าโยมนิภา ซึ่งเป็นเซลล์แมนขายบุญของธรรมกาย โยมนิภาบอกว่าปีนี้เขาจะรวยใหญ่เพราะเช่าเหรียญ "รุ่นดูดทรัพย์"ไว้เยอะ โยมกนกวรรณพอได้ยินว่าเหรียญรุ่นดูดทรัพย์จะทำให้ร่ำรวยใหญ่ก็ตาโต ...งี่เง่าสิ้นคิด... ไปขอเช่าต่อเขามา 2 องค์ องค์ละ 3 หมื่น สององค์หกหมื่น
    เช่ามาได้ 2-3 เดือนยังไม่รวยสักที ก็ไปต่อว่ายายนิภา ทำไมฉันถึงไม่รวยตามที่เธอบอก ยายนิภาได้ทีก็หลอกต่อเลย ก็เธอเช่าน้อยไป...พลังดูดไม่พอ... ยายกนกวรรณนี่ยังโง่ไม่จบ "เออ ท่าจะจริงแรงดูดไม่พอ" งั้นเช่าเพิ่มอีก 7 องค์ กะว่าจะให้ดูดเงินค่อนประเทศมาไว้ที่กูคนเดียว รวมเบ็ดเสร็จจ่ายไป 2 แสนเจ็ด....
    หลังจากจ่ายเงินเสร็จโยมนิภาก็หายสาปสูญไปจากสายตาของโยมกนกวรรณ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย ตอนนี้โยมกนกวรรณขยันขันแข็งขึ้นผิดตา ทำงานหามรุ่งหามค่ำตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำงานหาเงินมาใช้หนี้ค่าพระรุ่นดูดทรัพย์ ...ตอนซื้อบอกว่าขอรุ่นดูดทรัพย์ แต่สงสัยคนขายจะหยิบพระผิดให้ ตอนนี้มันดูดหนี้ดูดสินมาให้ท่วมหัวเลย เลยจนถาวร...จนนิรันดร...จนตลอดกาล...เพราะอยากรวยแต่เสือกโง่
    ... นี่ท่านล่อเองด้วยฝีมือท่านนะ...ไม่มีใส่ไข่...

    " รุ่นล่าสุดมันออกมาใหม่อีกรุ่นหนึ่งแล้ว รุ่น...เชื่อแล้วรวย..." มันเที่ยวหลอกขายไปเรื่อย ไปถึงเจอใครขายเลย มันไม่ให้สงสัย..ไม่ให้ถาม..ให้เชื่อเลยจะได้รวย...ไม่รู้ใครรวย.....ถ้าเชื่อแล้วไม่ทำมาหากินจะรวยไหมโยม..?
    ธรรมกายนี่มันลวงโลก ทำให้คนหลงงมงายได้เป็นล้าน ๆ คน เรื่องทำบุญมันก็สอนส่งเดช...บุญบ้าบออะไร..ทำสุดฤทธิ์สุดเดช แล้วเทคนิคมันเยอะนะ เป็นเทคนิคการหลอกคนโง่ มันบอกว่า...ถ้ายังไม่มีเงิน...เงิน ไม่พอ ให้วางดาวน์ไว้ก่อนแล้วผ่อนทีหลัง ความคิดมันทันสมัย...มีดาวน์บุญด้วย ผ่อนบ้านผ่อนรถก็จะอดตายอยู่แล้วนี่เสือกต้องมาผ่อนบุญอีก

    โม้..อมตะ...
    แล้วมันอุตริสอน มันบอกว่ามันเข้าถึงพระพุทธเจ้าได้ นำข้าวปลาอาหารไปถวายพระพุทธเจ้าในเมืองอายัตนนิพพานได้ พระพุทธเจ้ามารับด้วยมือตนเองเลย มันโม้ต่อว่าประเทศไทยทั้งประเทศเนี่ยมีคนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้แค่ 2 คน ...กูจะได้รวยกันแค่ 2 คน... คือตัวเจ้าอาวาสและยายชีจันทร์ แล้วยายชีนี่ก็โม้เกินเหตุ เคยอวดวิเศษว่าปัดระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ มันคุยว่าตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จริง เขาทิ้งระเบิดปรมาณูลงที่ประเทศไทย ยายชีจันทร์เห็นเข้าก็เลยใช้พลังวิเศษปัดระเบิดไปให้พ้นประเทศไทย ไปลงที่ญี่ปุ่นแทน ประเทศไทยเลยพ้นหายนะ
    ดีนะที่คนญี่ปุ่นฟังภาษาไทยไม่เข้าใจ ถ้ามันเข้าใจภาษาไทย...ยายชีคนนี้ถูกญี่ปุ่นกระทืบตายไปแล้ว ก็เวลาปัดระเบิดปรมณู มันปัดส่งเดชไม่กะระยะให้ดี ดันปัดจากเมืองไทยไปลงญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นตายเกือบหมดเกาะ
    อาตมาฟังแล้ว ยายชีคนนี้ทำไมมันถึงโง่นัก ถ้ามันฉลาดปัดลงทะเลซะก็หมดเรื่อง เรื่องก็จบแล้ว นี่เสือกปัดไปลงที่ญี่ปุ่น มันฟังภาษาไทยไม่เข้าใจไม่งั้นยายชีถูกญี่ปุ่นกระทืบอ่วมแน่
    อาตมาอยากจะเตือนว่า...คราวหลัง ถ้าจะหัดหลอกคน...คิดให้มันรอบคอบหน่อย

    บุญเน่า...
    มันพูดเพ้อเจ้อขนาดนี้คนยังไปเชื่อ อาตมาแปลกใจจริง ๆ พระเองก็งง ทำไมคนไทยเดี๋ยวนี้มันถึงงมงายไร้สติได้ขนาดนี้ เมื่อ 2-3 วันนี้ โยมผู้หญิงคนหนึ่งมาหาอาตมาที่วัด ร้องห่มร้องไห้มาเลย พี่น้องทะเลาะกันแบบเอาเป็นเอาตาย พี่สาวไม่รู้ไปหลงคารมเซลล์บุญอีท่าไหน มาขอยืมเงินน้องสาวไปสิบล้านบาท น้องสาวนึกว่าเอาไปลงทุน เบิกเงินสด ๆ ให้พี่ 10 ล้านบาท ที่ไหนได้ เอาไปให้ธรรมกาย เอาไปทำบุญหมดเลยตอนฉลองเจดีย์ใหญ่ น้องสาวรู้เรื่องเข้า...เป็นลม...เงินสะสมมาทั้งชีวิตเอาไปทำบุญสร้างเจดีย์เกลี้ยงเลย ตอนนี้ไม่มีอะไรจะกินพากันเดือดร้อนทั้งตระกูล
    มันไร้สติ...งมงาย...และโง่สิ้นดี ทำบุญจนหมดเนื้อหมดตัว ทำบุญเสร็จแทนที่จะได้บุญมีความสุข...พี่น้องทะเลาะกัน เกือบจะฆ่ากันตาย
    โยม...โยมที่มาฟังเทศน์วันนี้เนี่ย มีลูกศิษย์ธรรมกายมาฟังบ้างไหม..?..ไม่มีเหรอ...เออ ค่อยเทศน์ง่ายหน่อย อาตมาอยากเตือนพวกเราชาวพุทธว่า เวลาทำบุญให้มีสติ ให้พิจารณาให้ดีว่าอะไรควรอะไรไม่ควร เวลาทำบุญ อย่าหลงบุญ ทำบุญผิดมันจะเดือดร้อนและไม่ได้บุญ กลายเป็นบุญเน่า..เป็นบุญ NPL คือบุญที่ไม่เกิดประโยชน์
    ธรรมกายนี่ถือเป็นบุญเน่านะ มันสร้างเจดีย์ใหญ่ที่สุดในโลก วางแผนหล่อพระพุทธรูปตั้งล้านองค์ จะเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลก ตั้งโรงหล่อในวัดเลย หล่อได้ 3 แสนองค์ น้ำเน่าออกไปนอกวัด น้ำข้างวัดเน่าปลาตายเน่า ลอยเกลื่อนไปหมด...บุญบ้าอะไรเน่าทั้งวัด ไหลเน่าออกไปนอกวัด ยังไม่ทันได้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลกเลย ดันเน่าซะก่อน...เวรกรรม...

    ปราสาทยอดด้วน...
    ที่นี่ก็เหมือนกัน เลยวัดอาตมาไปหน่อย..."วัดไผ่โรงวัว" ...หลวงพ่อขอมคิดการใหญ่สร้างปราสาท 300 ยอด ไว้ให้คนชื่นชมความงาม สร้างไปได้ 200 ยอด...มรณภาพ..ตาย...ความซวยมาตกอยู่ที่เจ้าอาวาสองค์ใหม่..หาเงินมาสร้างต่อไม่ได้ปล่อยทิ้งอยู่ยังงั้น จนนั่งร้านเน่าไม่มีปัญญาสร้างต่อ หลวงพ่อขอมสร้างพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างไม่ทันเสร็จ...ตาย...เจ้าอาวาสองค์ใหม่ไม่มีเงินสร้างต่อ ปล่อยทิ้งไว้ เศียรพระหัก หัวกับตัวแยกกันอยู่...เห็นแล้วสังเวชใจ

    คนใจบุญ...
    วันหนึ่งอาตมาไปเทศน์ที่ภาคอิสาน ไปเจอเรื่องหนึ่งน่าคิดมาก อาตมาไปเทศน์ที่ขอนแก่น เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง คนที่นี่เขาร่ำลือกันทั้งจังหวัดว่า เจ้าของมหาวิทยาลัยเป็นคนใจบุญมาก เวลาพระมาเรี่ยไรสร้างเจดีย์ใหญ่ที่สุดในโลก แกถวายทีละล้าน แต่มีนักศึกษาคนหนึ่งพ่อเกิดตกงานเพราะพิษ IMF ไม่มีเงินมาจ่ายค่าเทอม แกไม่ยอมให้เข้าสอบแล้วไล่ออก...ฟังแล้วสะเทือนใจจริง ๆ...ถ้าเป็นอาตมานะ จะเอาเงินครึ่งล้านที่สร้างเจดีย์น่ะมาให้เป็นทุนแก่นักศึกษาที่มันเรียนดีแต่ยากจน เอามาเป็นค่าเทอมให้กับนักศึกษาสัก 100 คนที่พ่อแม่มันตกงานแล้วไม่มีเงินเรียน...มันได้บุญ ได้ประโยชน์มากกว่าเอาไปสร้างเจดีย์บ้า ๆ บอ ๆ นั่นอีก

    อานิสงส์...ของการสร้างเจดีย์
    ข้างวัดอาตมานี่...มีอยู่คนหนึ่ง ขายที่ได้ 10 กว่าล้าน ลูกหลานมาขอยืมหมื่นสองหมื่นเอาไปทำทุนค้าขายส่งลูกเรียน...แกไม่ให้ เอาเงินไปสร้างเจดีย์หมดเกลี้ยงเลยไม่มีเก็บติดตัวไว้ซะด้วย พอหมดตัวไม่มีกินมาขออาศัยลูกหลานอยู่...ลูกหลานมันไล่ออกจากบ้าน มันบอกว่า...ให้ไปมุดหัวอยู่ในเจดีย์ที่สร้างไว้โน่น....
     
  13. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    ข้อความด้านล่างผมไปตัดแปะมา อ่านไว้ประดับความรู้ ข้อมูลที่ได้ไม่ใช่ผมเป็นคนให้ ผู้อ่านต้องพิจารณากันเอง
    *************************************************

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700><TBODY><TR><TD>[SIZE=+2]ข้อมูลที่ผมเคยให้ท่านอ่านเมื่อประมาณ ธ.ค. 41 ปัจจุบันนี้เป็นหลักฐานจริงที่ตำรวจตรวจพบทั้งสิ้น[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width="22%">เนื้อความ :</TD><TD>วัดธรรมกาย :
    องค์กรอาชญากรรม หรือสถานปฏิบัติธรรม (เรื่องนี้ผมไม่มีเวลาเขียนต่อครับ รออีกสักหน่อยนะครับท่านพุทธบริษัทที่รักของผม)

    “ทะเลไม่รักษาซากศพ ย่อมซัดเข้าหาฝั่งหรือเป็นอาหารของปลาและเต่า ฉันใด พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ก็ไม่รักษาภิกษุอลัชชีไว้ ฉันนั้น”
    พระพุทธพจน์บทนี้ ช่างเสียดแทงใจดำของ “พระภิกษุผู้นิยมผัดเผ็ดปลาช่อนขี้เมา” เสียจนอดหวาดเสียวแทนมิได้
    ข่าวคราวความอื้อฉาวของ “สำนักวัดพระธรรมกาย” ซึ่งมี พระชัยบูลย์ ธัมมชโย และ พระเผด็จ ทัตตชีโว เป็นผู้ปกครองกุมอำนาจทั้งการบริหาร การเงิน พาณิชยกรรม กิจการอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ เป็นที่โจษขานอึ่งมี่ในสังคม จากสื่อมวลชน ทั้งหน้าหนังสือพิมพ์ สื่อวิทยุ-โทรทัศน์ สภานิติบัญญัติ สภากาแฟ และแม้กระทั่งวงดื่มเบียร์สดหน้า เวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ (ไม่ทราบว่า มีวาณิชธนกิจ ปริวรรตเงินตรา หรือโจมตีเงินสกุลในประเทศด้อยพัฒนาด้วยหรือไม่ ยังไม่มีใครกล่าวถึง แต่มีคนแพลมๆ ถึงแชร์ชม้อยในอดีต รวมกระทั่งเกี่ยวพันกับการปั่นหุ้นของเสี่ยสอง วัชรศรีโรจน์ ซึ่งมีน้องชายชื่อ สมชาย วัชรศรีโรจน์ บวชเป็นสาวกเอกของวัดธรรมกายด้วย)
    ทั้งการดำเนินงาน กิจกรรม วัตรกรรมของผู้กุมอำนาจ ณ สำนักแห่งนี้ ก็ยิ่งกระเดื่องกิตติศักดิ์ลือนามติดหูติดตาน่าครหาของชาวบ้าน ทั้งอุปนิสัยและวิธีการประกอบกรรมาชีพเพื่อให้ได้มาทั้งเงินและทอง ช่างประสบสำเร็จเสร็จสมสุดฤทธิ์สุดเดชเสียกระไร ยากที่จะมีนักธุรกิจเก่งๆ คนใดทำได้ในยุค IMF ถ้าจะเรียกว่าเป็น “High Profile High Profit” คงจะน้อยไปด้วยซ้ำกระมัง
    ข้อกล่าวหาอันรุนแรงจากพุทธศาสนิกชน ที่มีต่อท่าน “พระศาสดาต้นธาตุต้นธรรม” หลายข้อหาเป็น “โทษประหารชีวิตในทางศาสนจักร” ได้แก่
    1. มีความใกล้ชิดสนิทแนบแน่นกับบริษัทสี่ที่เป็นมาตุคาม คือ อุบาสิกา (สีกา) หลายคน เช่น
    จิรวัฒน์ ศรีสัตนา (อี๊ด) อดีตภรรยารองผู้ว่าฯ อยุธยา ผู้กุมอำนาจการจัดการธุรกิจในเครือข่ายธรรมกายนับสิบบริษัท ข่าวว่าปัจจุบันได้หย่าขาดกับสามีอดีตรองผู้ว่าฯ สุนทร ศรีสัตนา (ซึ่งมีบ้านอยู่ติดแม่น้ำ ใกล้ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร)
    เพียงนิล ศิริเกษม (ปุ๊) อดีตเมียน้อยเสียพะ สุวิทย์ มหาแถลง ได้รับมรดกจากสามีเป็นทรัพย์สินมหาศาล มีคฤหาสน์ใหญ่โตอยู่ซอยอินทามระ 22 เหมือนฮาเร็มของคนใหญ่โตในอดีต (ไม่ทราบจะเป็นฮาเร็มของธัมมชโยด้วยหรือไม่ ยังไม่มีใครยืนยัน) แต่มีข่าวลือว่า วันที่พระธัมมชโยกลับจากเชียงใหม่ มักบอกลูกศิษย์ให้มารับที่ดอนเมืองตอนบ่าย ความเป็นจริงกลับมาถึงดอนเมืองตอนเช้ามืด แล้วแว่บไปเยี่ยมสีกาปุ๊ที่อินทามระ 22 ก่อน ตกบ่ายก็ย้อนกลับไปดอนเมืองตรงเวลาที่ลูกศิษย์มารับพอดี
    วิชยา ไตรวิเชียร (นัส) อดีตสาวน้อยผู้สดใส แห่งรั้วเกษตรศาสตร์บางเขน ผู้ที่ธัมมชโยฟูมฟักทะนุถนอม ส่งเสียให้เรียนหนังสือจนจบกระบวนการ ปัจจุบันเป็นผู้ที่เข้านอกออกในกุฏิอันลึกลับชั้นในของวัดธรรมกาย ซึ่งเป็นที่พำนักของศาสดาธัมมชโย น้องนัสจะเป็นผู้จัดโปรแกรมการเข้าพบของเศรษฐีมหาเศรษฐี เป็นผู้ที่ธัมมชโยโปรดปรานและไว้วางใจเป็นที่สุด ที่สำคัญยิ่งคือ น้องนัสย้ายเคหสถานไปพำนักอยู่ในวัดธรรมกายมานับสิบปีแล้ว
    กรกมล ไทยอยู่ หรือสีกาตุ๊ ปัจจุบันต้องร้างลาจากวงการ เพราะได้ข่าวว่าสามี คุณชาติชาย ไทยอยู่ ไม่พอใจอย่างรุนแรง จนถึงขั้นต้องบ้านแตกสาแหรกขาด หย่ากันในทางนิติกรรมเรียบร้อยโรงเรียนธรรมกายแล้ว
    สงบ ปัญญาตรง ภรรยานายแพทย์บัญชา ปัญญาตรง แห่งจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งดินแดนทางภาคเหนือล้านนาไทย เป็นที่ชื่นชอบอภิรมย์ของ “ศาสดา” เป็นที่ยิ่ง ความสดชื่นตามธรรมชาติผสมกับความน่ารักของอิสตรี ช่างเป็นที่โปรดปรานจนแทบจะไม่อยากร้างลาจากถิ่นไทยงามแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
    รายนามสีกาดังกล่าวข้างต้น ยังไม่รวมถึงเด็กสาว “โครงการพรหมจรรย์อภิญญา” ที่พ่อแม่ผู้ปกครองยกให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่พระธัมมชโย ด้วยความเชื่องมงายว่าเด็กมีวิญญาณบริสุทธิ์ที่หลวงพ่อจะนำพาขึ้นสู่สรวงสวรรค์ชั้นยามา-ดุสิต ไม่ทราบจะมีเด็กพรหมจรรย์เหล่านี้อีกจำนวนเท่าไหรที่แวดล้อมเป็นบริวารอยู่
    รายนามสีกาและเหล่าดรุณีน้อยพรหมจรรย์ข้างต้น จะมีความสัมพันธ์กับ “ศาสดา” ถึงขั้น “ประกอบเมถุนกรรมทำสังวาส” กันหรือไม่ ไม่มีใครทราบความจริง นอกจากผู้เสพและผู้ให้เสพเพียง 2 คนเท่านั้น (ดูแล้วน่าสงสัยว่า เพราะสีกาแต่ละคน “อื๋มทรงเครื่อง” ตรงสเป๊กศาสดา
    ทั้งนั้น)

    2. อวดอ้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยมี (ไม่เคยเชื่อว่ามี) เช่น
    อ้างว่าเป็นผู้ติดต่อสื่อสารกับพระพุทธเจ้าในอดีตชาตินับอสงไขยไม่ถ้วน, อ้างว่าถ้าทำบุญอาทิตย์ต้นเดือน (เงินเดือนกำลังออกหมาดๆ) จะได้ถวายกับพระอรหันต์สมณโคดมโดยตรง, อ้างว่าเคยแว่บขึ้นสวรรค์เจอะโยมมารดาเสวยสุขเป็นเทพธิดา เอ่ยปากขออาศัยอยู่กับโยมมารดา แต่โยมมารดาบอกว่าลูกมีภารกิจที่จะต้องพามนุษย์ข้ามวัฏสงสาร จึงต้องเหาะตัวเขียวๆ ย้อนกลับมาสู่โลกมนุษย์ดังเดิม, อวดอ้างว่าตนเป็นต้นธาตุต้นธรรม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ล้วนอุบัติมาจากต้นธาตุต้นธรรม “ชัยบูลย์” ทั้งสิ้น, อวดอ้างว่าอภินิหารหลวงพ่อสดลอยอยู่กลางดวงอาทิตย์ (ซึ่งร้อนแรงนับล้านองศา ไม่ทราบคิดวิปัลลาสอะไร ทำไมไม่อยู่ที่เย็นๆ กว่านี้) ซูมเข้าซูมออก วงกลางท้องเป็นธรรมกายดั่งอายตนนิพพานโน่น เป็นต้น
    หากเพียงข้อกล่าวหา 2 ข้อนี้เป็นจริงขึ้นมา ท่านผู้มีอาชีพ “ศาสดา” ย่อมต้องโทษประหารทางพระพุทธศาสนา เป็นปาราชิกบุคคล ขาดจากความเป็นพระสงฆ์สาวกโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีสิทธิห่มผ้ากาสาวพัตร ไม่มีสิทธิรับบริจาค ไม่มีสิทธิเป็นเนื้อหาบุญ ไม่มีสิทธิบอกบุญ ไม่มีสิทธิแต่งกายแบบพระสงฆ์ และไม่มีสิทธิทำสังฆกรรมใดๆ อีกต่อไป
    ข้อกล่าวหาอันหนักหน่วงถึงขั้น “ประหารชีวิต” เช่นนี้ ท่านศาสดาแห่งการตลาดหลายชั้น ยังเงียบหง่าวเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่กล้าปรากฏทั้งภาพและเสียงต่อสาธารณชน แม้เสียงปลิวสยายประกายรัศมีของจีวรป่านสวิส ก็ไม่เคยกล้ำกรายต่อสายตากัลยาณมิตรผู้หิวโหยคำตอบ!!
    ยังมีข้อกล่าวหาแยกย่อยอีกนานัปการ เช่น มีข้อสงสัยเรื่อง พระชิดชัย มหาชิโต (วิญญู
    นันทกุล) เสียชีวิตภายในวัดโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2532 ญาติพี่น้องขอรับศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีนิยม แต่ทางวัดกลับจัดการฌาปนกิจเสร็จสรรพทั้งที่ไม่เคยมีเมรุเผาศพในวัด, ยักย้ายถ่ายโอนเงินทองไปแอบซื้อทรัพย์สินที่ดินหลายจังหวัดในนามส่วนตัว เช่น พิจิตร เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เลย (ภูเรือ) เชียงราย เลย โคราช ตราด ฯลฯ หากไม่เป็นสมบัติในนามส่วนตัว ก็ปรากฏเป็นชื่อของสีกาอี๊ดคนสนิท หรือลิ่วล้อบริวารเข้าไปเอี่ยวมีผลประโยชน์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมกันบานเบอะ, การบังคับซื้อบังคับขายที่ดินหลายบริเวณ มีการแต่งเติมหรืออาจใช้เอกสารปลอมเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง เป็นต้น
    มีข้อน่าสงสัยเรื่อง โฆษณาชักชวนประชาชนให้บริจาคเงินทองเพื่อหล่อรูปหลวงพ่อสดทองคำบริสุทธิ์ 1,000 กิโลกรัม หรือ 1 ตัน แต่พอหล่อจริงเข้ากลับเหลือแค่ 420 กิโลกรัมเท่านั้น
    มีข้อน่าสงสัยในอุปนิสัยหรือพฤติกรรมไม่เหมาะสมแก่สมณเพศ เช่น ผิดปาริสุทธิศีล 4 อาชีวปาริสุทธิศีล เป็นการเลี้ยงชีพโดยมิชอบ หลอกลวงประชาชนเลี้ยงชีพ, ปัจจัยสันนิสิตศีล บริโภคปัจจัย 4 ที่ประชาชนถวายด้วยอารมณ์แห่งตัณหา พิจารณาเสพด้วยความไม่รู้จักประมาณ ให้เหมาะสมแก่สมณเพศ เช่น สั่งอาหารเมนูเด็ดจากภัตตาคารชั้นเยี่ยม, อบผิวด้วยสมุนไพรหรือใช้สบู่ยี่ห้อแพงหูฉี่จากต่างประเทศ, ใช้ชีวิตหรูหราในคฤหาสนถ์ห้องหับอันหรูหรา ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ผู้กล่าวหาบางรายเคยย้ำว่า มีเครื่องเล่น CD.-ROM และมีแผ่น Movies – CD ระดับเกรด X, R ฉายพิจารณารูปทรงสังขารหลากลีลา เป็นต้น
    และมีข้อกล่าวหาอีกมากมาย ยากจะบรรยายให้จบในวันเวลา และข้อจำกัด ณ วันนี้ได้
    ถ้าจะเปรียบเทียบกับโทษอาญาบ้านเมืองแล้วละก็ “พระธัมมชโย ก็คือจำเลยข้อหาข่มขืนแล้วฆ่า มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต แถมยังติดยาเสพย์ติด ติดเอดส์ มีกลากเกลื้อนเต็มร่างกาย จนสังคมรังเกียจไม่อาจคบค้าสมาคมด้วยอีกแล้ว”
    การดำเนินงานของ “สำนักพระธรรมกาย” ในวันนี้ ดำเนินไปท่ามกลางข้อกล่าวหาและข้อสงสัยมากมาย แต่ “ศาสดาต้นธาตุต้นธรรม” หรือ “ท่านรอง” ก็หาได้ออกมาย่างกรายเอ่ยปากใดๆ เพื่อคลายความสงสัยของประชาชนไม่ กลับปล่อยความอึมครึมครอบคลุมไปทุ่งหัวระแหง ทำให้ประชาชนชาวพุทธเสื่อมศรัทธาต่อระบบองค์กรในศาสนาพุทธนับวันยิ่งมากขึ้นๆ “ท่านรอง” เคยออกมาตอบคำถามสื่อมวลชนครั้งหนึ่งก็แสดงออกด้วยผรุสวาจาหยาบคาย อารมณ์โกรธขึ้งเคียดแค้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผู้บรรลุอายตนนิพพานธรรมกายดังที่เอ่ยอ้างเลย
    การปิดปาก ไม่เปิดเผย ไม่ตอบโต้ ไม่ชี้แจงแถลงไข ปกปิดความจริง รายงานเท็จของมูลนิธิ ยักยอก ถ่ายโอนทรัพย์สินจากส่วนรวมเป็นของตน และพฤติกรรมรุนแรงและบุคลากรหรือนิติบุคคลวัดธรรมกายดังกล่าวข้างต้น เป็นการดำเนินการดั่ง ”องค์กรอาชญากรรม (Crime Organization)” อันลี้ลับซับซ้อน ประหนึ่งขบวนการค้าโคเคนยาเสพติดของมาเฟียโคลัมเบีย ที่มีกลไกสั่งการตัดตอนจนยากจะสาวไปหาผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังอันแท้จริงได้
    เหตุไฉนจึงต้องกล่าวหาว่ารุนแรงว่าเป็น “องค์กรอาชญากรรม” จะไม่กล่าวหากันรุนแรงหรือมีอคติเกินไปหรือ?, จะไม่เป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นเกินไปหรือ ?

    (ยังมีต่อ ยังเขียนไม่จบ รอเวลาอีกสักนิด - ประหยัด)

    ข้อสังเกตก่อนอ่าน นางจิรวัฒน์ ศรีสัตนา หรือ สีกาอี๊ด มีสามีชื่อ สุนทร ศรีรัตนา อดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดอยุธยา ปัจจุบันมีบ้านพักติดกับศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ติดกับที่ดินของ ธัมมชโย ข่าวบอกว่า ธัมมชโย ได้เสพสังวาสกับสีกาคนนี้ จนคุณสุนทรไม่พอใจ ขอหย่าขาด แต่ตอนหลังคุณสุนทรก็ได้รับการอุปถัมภ์จากสีกาอี๊ดให้เจริญก้าวหน้าทางราชการ และทางสีกาอี๊ดเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในวัด ธมก. ร่วมกับ เพียงนิล ศิริเกษม หรือสีกาปุ๊ ผู้มีบ้านอยู่อินทาระ 22 หลังใหญ่โต และเป็นฮาเร็มของธัมมชโย อดีตภรรยาน้อยของเสี่ยพะ สุวิทย์ มหาแถลง เสี่ยพะตายแล้ว สีกาปุ๊ได้รับมรดกมหาศาล สีกาอี๊ดกับสีกาปุ๊เคยทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องแย่งธัมมชโย แต่ปัจจุบันตกลงกันในเรื่องผลประโยชน์ได้ จึงอยู่ร่วมกันอย่างหวานอมขมกลืนต่อไปได้ (สักวันเธอก็คงรู้สึก สักวันเธอนั้นคงร้องไห้)

    เรื่องสีกา ก็มีอีก เช่น น้องนัส วิชญา ไตรวิเชียร (ขาว หมวย สวย เอ็กซ์), กรกมล ไทยอยู่ (ตุ๊ก) อดีตผู้ร้างลาไปแล้ว, สงบ ปัญญาตรง สาวเจียงใหม่ เป็นต้น รออีกสักนิดจะขยายรายละเอียดให้อ่านกันเจ๋งๆ ครับ

    ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าขอแถลงไขเรื่องบริษัท ในเครือของวัด ธมก. ดังต่อไปนี้

    บริษัท ซันดาแลนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
    จดทะเบียนเมื่อ 23 มิถุนายน 2532 เลขทะเบียนนิติบุคคล 5730/2532
    ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท
    ประเภทธุรกิจ ขายเครื่องใช้และเครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษและสตรี (รวมทั้งเครื่องประดับ)
    บริษัทนี้ นำเข้าผ้าห่ม ผ้าขาว ผ้าเหลือง กาสาวพัสตร์ มาขายให้วัดธรรมกาย
    (รวมทั้งนำพญาเหล็กเพชรดำจากแอฟริกามาขายว่าเป็นธาตุ 200 ล้านปี เป็นต้น)
    ที่ตั้ง 205/163 หมู่ที่ 6 แขวงประเวศ เขตพระโขนง กทม.
    กรรมการผู้มีอำนาจ นางจีรวัฒน์ ศรีสัตนา ลงลายมือชื่อร่วมกับ นายมานิต รัตนสุวรรณ รวมเป็นสองคน
    ผู้มีอำนาจลงนาม นางจีรวัฒน์ ศรีสัตนา ลงลายมือชื่อร่วมกับ นายมานิต รัตนสุวรรณ รวมเป็นสองคน
    กรรมการมี 2 คน คือ จิรวัฒน์ ศรีสัตนา , มานิต รัตนสุวรรณ

    (ข้อสังเกต โปรดพิจารณาว่า อาจารย์มานิต รัตนสุวรรณ เคยให้สัมภาษณ์รายการ 97 MHz ของอาจารย์เจิมศักดิ์ว่า
    เข้าไปเมื่อ 2 ปีก่อน เพราะไปส่งคุณแม่ แต่ว่า ในทะเบียนบริษัทฉบับนี้ จดทะเบียนเมื่อ 2532 ก็ลองคิดดูซิว่า ใครพูดจริง พูดปลอม ใครโกหก)

    บริษัท สวนสนบ้านบ่อหลวง จำกัด จดทะเบียนเมือ 3 สิงหาคม 2533 เลขทะเบียนนิติบุคคลที่ บอจ.ชม.1358 ทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท ธุรกิจขายที่ดินสวนเกษตร ตั้งอยู่ที่ 244 ถนนแก้วนวรัฐ ตำบลวัดเกตุ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ผู้มีอำนาจลงนาม นางจิรวัฒน์ ศรีสัตนา (สีกาอี๊ด) กรรมการคือ สุนทร ศรีสัตนา และจิรวัฒน์ ศรีสัตนา

    บริษัท ไวแซค จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 3 มกราคม 2527 เลขทะเบียนนิติบุคคล 19/2527 ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ธุรกิจขายที่ดินสวนเกษตร ตั้งอยู่ที่ 44 ซอยศุภราช ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ผู้มีอำนาจลงนาม นางจิรวัฒน์ ศรีสัตนา (สีกาอี๊ด) กรรมการคือ สุนทร ศรีสัตนา และจิรวัฒน์ ศรีสัตนา

    บริษัท บัวบานการเกษตร จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 26 มิถุนายน 2530 เลขทะเบียนที่ 3025/2530 ทุนจดทะเบียน
    20 ล้านบาท ขายที่ดินสวนเกษตร ตั้งอยู่ที่ 44 ซอยศุภราช ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ ผู้มีอำนาจลงนาม นางจิรวัฒน์ ศรีสัตนา (สีกาอี๊ด) กรรมการคือ สุนทร ศรีสัตนา และจิรวัฒน์ ศรีสัตนา

    บริษัท ดูแวค จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 26 เมษายน 2527 เลขทะเบียนนิติบุคคล 1633/2527 ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ธุรกิจขายที่สวนเกษตร ตั้งอยู่ที่ 36/9 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ผู้มีอำนาจลงนาม จิรวัฒน์ ศรีสัตนา (สีกาอี๊ด) กรรมการคือ สุนทร ศรีสัตนา และจิรวัฒน์ ศรีสัตนา

    บริษัท ซันกรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 13 มีนาคม 2532 เลขทะเบียนนิติบุคคล 2256/2532 ทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท ธุรกิจขายที่ดินสวนเกษตร ตั้งอยู่ที่ 44 ซอยศุภราช ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ ผู้มีอำนาจลงนาม จิรวัฒน์ ศรีสัตนา (สีกาอี๊ด) กรรมการคือ สุนทร ศรีสัตนา และจิรวัฒน์ ศรีสัตนา

    (ต่อจากตอนเย็น)

    บริษัท หมอกมุงเมือง จำกัด
    จดทะเบียนเมื่อ 28 ตุลาคม 2530
    เลขทะเบียนนิติบุคคลื 5527/2530
    ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท
    ประเภทธุรกิจ ขายที่ดินสวนเกษตร
    ที่ตั้ง 44 ซอยศุภราช ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
    กรรมการผู้มีอำนาจ นางจีรวัฒน์ ศรีสัตนา
    ผู้มีอำนาจลงนาม จีรวัฒน์ ศรีสัตนา
    กรรมการมีคนเดียว คือ จีรวัฒน์ ศรีสัตนา


    บริษัท ดีเวิล์ด จำกัด D. World Co., Ltd. (D ย่อมาจาก Dhammachayo ธัมมชโย)
    จดทะเบียนเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2529
    เลขทะเบียนนิติบุคคล 4113/2529
    ทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท
    ประเภทธุรกิจ ขายที่ดินสวนเกษตร
    ที่ตั้ง 44 ซอยศุภราช ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
    กรรมการผู้มีอำนาจ นางจีรวัฒน์ ศรีสัตนา
    ผู้มีอำนาจลงนาม จีรวัฒน์ ศรีสัตนา
    กรรมการมีคนเดียว คือ จีรวัฒน์ ศรีสัตนา

    บริษัท ไดเทรด 1992 จำกัด
    จดทะเบียนเมื่อ 12 พฤษภาคม 2535
    เลขทะเบียนนิติบุคคล 7740/2535
    ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท
    ประเภทธุรกิจ จำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์
    ที่ตั้ง 444-450 ซอยศุภราช ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
    กรรมการผู้มีอำนาจ นางจีรวัฒน์ ศรีสัตนา
    ผู้มีอำนาจลงนาม จีรวัฒน์ ศรีสัตนา
    กรรมการมีคนเดียว คือ จีรวัฒน์ ศรีสัตนา

    บริษัท โซวิท จำกัด
    จดทะเบียนเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2929
    เลขทะเบียนนิติบุคคล 384/2529
    ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท
    ประเภทธุรกิจ จำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ (โปรดสังเกตว่า ลูกศิษย์ธรรมกายมีหมอเยอะ)
    ที่ตั้ง 448-450 ซอยศุภราช ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.
    กรรมการผู้มีอำนาจ นางจีรวัฒน์ ศรีสัตนา
    ผู้มีอำนาจลงนาม จีรวัฒน์ ศรีสัตนา
    กรรมการมี 2 คน คือ จีรวัฒน์ ศรีสัตนา, สุนทร ศรีสัตนา




    ข้อมูลที่ดินล่าสุดของ “ธัมมชโย” เจ้าลัทธิอุบาทว์

    โปรดติดตามและตรวจสอบที่ดิน ของพระ ธัมมชโย
    • จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    1. ติดกับศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ริมแม่น้ำ ติดกับบ้านหลังใหญ่ๆ
    ซึ่งบ้านหลังใหญ่นั้น เป็นบ้านของสีกาอี๊ด – จิรวัตร ศรีสัตนา
    • จังหวัดเชียงใหม่
    1. บริเวณดอยสุเทพ – ปุย ไม่ทราบพิกัด (เขตป่าสงวน)
    2. เขต อ.ฮอด ชื่อ ไร่จิรพนา, พนาวัตร (ใช้นาม จิร และ วัตร ของสีกาอี๊ด)
    3. อ. แม่ริม หรือแม่แจ่ม ไม่ทราบพิกัด
    • จังหวัดเชียงราย
    1. ถ้ำปุ่มถ้ำป่ำ ไม่ทราบอำเภอและพิกัด
    • จังหวัดเลย
    1. ใกล้กับ “ภูเรือชาร์เล่ต์” ของ หมอชัยยุทธ กรรณสูต ซื้อเวลาใกล้เคียงกัน
    • จังหวัดนครราชสีมา
    1. เขาใหญ่ เส้นมิตรภาพ–ปากช่อง
    • จังหวัดตราด
    1. หาดทรายขาว
    2. เกาะช้าง
    • กทม. และปริมณฑล
    1. ใกล้ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ตั้งแต่ กม. 51 เป็นต้นไป


    ส่วน Safe house ของ พระธัมมชโย และคุณสีกาปุ๊ หรือเพียงนิล ศิริเกษม (อาจเป็นฮาเร็มด้วย)
    อยู่ซอยอินทามระ 22 หรือซอยที่ออกห้วยขวางได้ เป็นบ้านใหญ่โต กำแพงสูงมากๆ จำบ้านเลขที่ไม่ได้
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
     
  15. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD>[SIZE=+2]ตัวอย่างวิธีการหลอกลวง สร้างสถานการณ์ สร้างฉาก ของนายไชยบูลย์ เพื่อดูดทรัพย์จากประชาชน[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="22%">เนื้อความ :</TD><TD>ทั้งหมดจะปรากฏในเรื่องที่ 10 ของหนังสือ "แฟ้มคดีธรรมกาย" เล่มที่ 1
    ท่านไม่ซื้ออ่านก็ไม่เป็นไร ผมได้นำมาให้ท่านได้อ่านแล้วครับ สำหรับท่านที่ยังไม่ได้ซื้อ
    สำหรับท่านที่ซื้อแล้วอย่าเสียใจนะครับ เพราะผมได้ให้วิทยาทานข้อมูลอีกหลายอย่างในห้องแห่งนี้สมนาคุณชาวพุทธทุกท่านนะครับ และยังจะทำต่อไปจนกว่าขบวนการอาชญากรรมแห่งนี้จะล้มหายตายจากไปจากมนุษยโลก

    บันทึกคำให้การพยานบุคคล
    อดีตแกนนำผู้นำบุญปี 2526-2531
    [กลุ่มแขนข้างขวาทางธุรกิจของ “ธัมมชโย”]

    คณะทำงาน : เข้าวัดธรรมกายตั้งแต่เมื่อไหร่
    พยาน 1 : 1 มกราคม 2526
    คณะทำงาน : มีจุดประสงค์อะไรครับ
    พยาน 1 : ไม่มีจุดประสงค์อะไร เราเป็นพนักงานหญิงแบงก์กรุงเทพฯ 5-6 คน เราต้องการแสวงหาธรรมะ ตามประสาคนหนุ่มสาว ได้ข่าวว่าวัดพระธรรมกายมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ขับรถผ่านก็เลยแวะเข้าไป
    คณะทำงาน : เข้าไปครั้งแรกรู้สึกเป็นยังไงครับ
    พยาน 1 : รู้สึกปลาบปลื้ม ชอบใจ ไม่เคยเห็นวัดไหนเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างนี้มาก่อน
    คณะทำงาน : ไปที่วัดพระธรรมกายครั้งแรก พบใครบ้างครับ
    พยาน 1 : คุณวัลลภ–เพ็ญศรี เคียงศิริ, จิรวัฒน์ หรืออี๊ด ก็คุยกัน เขาให้ความสนใจกลุ่มของเรามาก สอบถามหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับตัวเราและพรรคพวก ถามทำงานที่ไหน อย่างไร เรียนจบที่ไหน ทำงานแผนกไหน ขอ Address ที่ติดต่อ ลงทะเบียนเรียบร้อยหมด
    คณะทำงาน : ขณะนั้นสีกาอี๊ดเป็นคนลักษณะไหนครับ
    พยาน 1 : เป็นคนหน้าตาดี มาดดี พยายามปั้นบุคลิกเหมือนสตรีนักธุรกิจ
    คณะทำงาน : คุณวัลลภ-เพ็ญศรี เคียงศิริ เป็นใครครับ
    พยาน 1 : เจ้าของธุรกิจบ้านจัดสรร ฐานะดีมาก
    คณะทำงาน : วันแรกรู้จักธัมมชโยหรือยัง มีใครแนะนำให้รู้จักธัมมชโยครับ
    พยาน 1 : ได้พบธัมมชโยเทศน์ พานั่งสมาธิ เพื่อให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย เหมือนเทปที่คณะทำงานได้ฟังนั่นแหละ เทปปี 2526, 27, 28 เทศน์เหมือนกัน หลังจากกลับจากวัดพระธรรมกายในเย็นวันนั้น ประมาณ 2 ทุ่ม สีกาอี๊ดก็โทร. มาหา บอกว่าหลวงพ่อธัมมชโยอยากพบพวกเรา เห็นว่าพวกเราเป็นคนมีบุญ บอกว่าพวกเราเกิดมาเป็นคู่บารมีของศาสนา ของหลวงพ่อ ว่ายังงั้นเลย พอประมาณ 4 ทุ่ม หลวงพ่อธัมมชโยโทรมาเองเลย เราตกใจมาก ไม่คิดว่าจะได้รับเกียรติขนาดนี้ ธัมมชโยกล่าวเชิญชวนให้เราไปฟังเขาเทศน์ เขาบอกว่าเรามีบารมีสูงทั้งกลุ่มเลย
    คณะทำงาน : ให้ไปที่วัดพระธรรมกายทุกวันอาทิตย์
    พยาน 1 : ไปวันทำงาน วันธรรมดานี่แหละ ตอนเย็น ธัมมชโยมาที่ตึกนารายณ์สากลประกันภัย ทุกเย็นหลังเลิกงาน ใกล้ๆ AIA ถนนเดโช สุรวงศ์ ใกล้ๆ ที่ทำงานเรา กิจการของครอบครัววรรณา
    คณะทำงาน : วรรณาคือใครครับ
    พยาน 1 : วรรณา เบญจรงคกุล แฟน ดร.ประกอบ กีรจิตติ U-COM ไง เมื่อ
    ปี 28 ยูค่อมสมัยก่อนยังเล็กอยู่นะ เกือบถูกเล่ห์เหลี่ยมธัมมชโยฮุบแล้ว พอดีหลวงพี่ดอกเตอร์ชัยเจริญ (ธีรญาโณ) รู้ทันธัมมชโยก่อน เตือนให้วรรณากับบุญชัยรู้ตัวเลยไม่ถูกฮุบ นี่เราอยู่ในเหตุการณ์เอง ธัมมชโยสั่งให้คนเข้าไปศึกษา เข้าใจว่าช่วงนั้นยูคอมกำลังจะขอสัมปทานสื่อสาร เขาอยากมีกิจการสื่อสารด้วย อยากมีแบงก์ด้วย
    คณะทำงาน : ที่สากลประกันภัย พบคนเยอะมั้ย รูปแบบการเทศน์ของเขาเป็นยังไง
    พยาน 1 : พบจิรวัฒน์-สีกาอี๊ด, คุณจึ๊ก ประพันธ์ เหตระกูล ได้ข่าวว่าช่วงนั้นเป็นเพื่อนสนิทหรือ…. ของวรรณา
    คณะทำงาน : เอาละครับ เรื่องส่วนตัวปล่อยเขาไปเถอะ แต่อยากทราบรูปแบบครับ
    พยาน 1 : คือเรามารู้ทีหลังนะ ว่าธัมมชโยสั่งให้สีกาอี๊ดตามประกบพวกเรา เพราะเห็นว่าพวกเราทำงานแบงก์ รู้จักคนมีเงินเยอะ เรามารู้ว่าถูกหลอกก็ตอนออกจากวัดมาแล้ว
    คณะทำงาน : เอาเป็นว่า หลังจากไปที่สากลประกันภัยนั่นนะ ทางคุณและพรรคพวกเข้าไปเกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกายเต็มตัวหรือยัง
    พยาน 1 : ยังไม่เต็ม แต่ธัมมชโยจะชักชวนอยู่เสมอ โฆษณาตนเองตลอด คือไม่พูดตรงๆ นะ บางทีมีคนเล่าให้ฟังว่า พระธัมมชโยเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง รู้ล่วงหน้าหมดทุกอย่าง ทำนายทายทักคนได้หมดว่าใครคิดอะไร บางทีธัมมชโยก็พูดเป็นนัยๆ ว่า หลวงพ่อเกิดมาเพื่อพามนุษย์โลกข้ามวัฏสงสาร
    คณะทำงาน : คุณและพรรคพวกเชื่อไหม
    พยาน 1 : ตอนแรกไม่เชื่อ แต่หลังจากเราคลุกคลีมากๆ เข้า หลายคนพูด และหลายคนก็ร่ำรวย บางคนเขาบอกว่าตั้งแต่นับถือวัดพระธรรมกายฐานะเขาดีขึ้น โดยเฉพาะวรรณา สีกาอี๊ด บอกเราว่าบุญของหลวงพ่อและวิชชาธรรมกายทำให้พวกเขาประสบผลสำเร็จในชีวิตอย่างรวดเร็ว เขาพูดกันร่ำลือตลอดเวลาว่าหลวงพ่อเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง เหมือนพระยะโฮวา พระอัลเลาะห์ แต่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะมีคนมาเกณฑ์ไว้เป็นบริวารแล้ว คือพระสิทธัตถะกับหลวงพ่อสดเกิดมาเกณฑ์ชาวพุทธไว้รอ พระบรมพุทธเจ้าบังเกิดมาภายหลังคือธัมมชโย พระยะโฮวาส่งพระบุตรมาไม่มีใครเกณฑ์คนมานับถือ หลวงพ่อธัมมชโยจะยิ่งใหญ่กว่า
    คณะทำงาน : ตอนนั้นสีกาอี๊ด รวยใกล้เคียงปัจจุบันหรือเปล่า
    พยาน 1 : เขาพยายามบอกว่าเขาร่ำรวย แต่หลังจากนั้นเป็นปีเราพอจะทราบมาว่า บ้านสีกาอี๊ดไม่ร่ำรวยอะไร ยังยืมเงินวรรณาเลย สองหมื่นบาท สามีรับราชการกรมการปกครอง ช่วงนั้นรู้สึกจะเป็นหน้าห้องของเชาวน์วัศ
    สุดลาภา อะไรทำนองนี้
    คณะทำงาน : อ้อ! ผู้ว่าเชาวน์วัศ อดีตผู้ว่า กทม. นะครับ ผู้ว่าลพบุรี เพชรบุรี หลายจังหวัด เรารู้จักครับ แล้วหลังจากนั้นคุณเข้าวัดตลอดเลยไหม
    พยาน 1 : เราถูกอบรมทุกเย็นหลังเลิกงาน จากแบงก์กรุงเทพฯ ก็เดินมาที่ตึกสากลประกันภัย
    คณะทำงาน : อบรมเรื่องอะไรบ้างครับ
    พยาน 1 : อบรมให้เราออกบอกบุญกับคนที่รู้จัก ธัมมชโยเทศน์ว่า การชักนำให้คนบริจาคเงินเป็นการช่วยกำจัดความตระหนี่ของเขาให้เป็นคนรู้จักเสียสละ เป็นการบำเพ็ญวิริยบารมี ให้ทุกคนมาช่วยหลวงพ่อ เราจะร่วมกันสร้างศูนย์กลางของวิชชาธรรมกาย เราจะมีมหาวิทยาลัยศาสนาที่ดีที่สุดในโลก เราจะอยู่กันกับกลุ่มกัลยาณมิตรที่นี่ ที่วัดพระธรรมกาย
    คณะทำงาน : แล้วไปขอให้เขาทำบุญ ถ้าทำต้องจ่ายมาก ถ้าเขาไม่ทำ เพราะทำบุญที่วัดนี้ร้อยสองร้อยไม่ค่อยจะรับอยู่แล้ว มีเหตุผลอะไรกว่านั้นอีกละถึงจะทำให้คนจ่ายเชื่อ ยอมควักกระเป๋ากันเป็นล้านๆ ครับ
    พยาน 1 : เราตามตื้อ ไปหาบ่อยๆ ไปเยี่ยมบ่อยๆ เหมือนพวกขายประกัน วันเกิด วันปีใหม่ วันสำคัญ เราไปอวยพร ธัมมชโยฝากการ์ดอวยพรไปให้ด้วย แล้วเราพยายามชวนเข้าวัด พยายามพูดให้เขาฟังตลอดเวลาว่าหลวงพ่อเรารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าทุกอย่าง แต่จริงๆ เรามีประวัติคนที่เราไปหาเรียบร้อยแล้ว เราถูกสอนให้ชักชวนคนทำบุญว่า ธัมมชโยคือ
    ต้นธาตุต้นธรรม คืออุบัติมาเพื่อต้องการขนคนทั้งหมดไปสู่ฝั่งพระนิพพาน ถ้าใครไม่เชื่อ เราบอกบุญไม่ได้ผล เราก็ถูกสุธรรม1 กับสีกาอี๊ดย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องทำให้ได้ เพื่อช่วยหลวงพ่อ ช่วยกันสร้างยานพาหนะพาสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร เราต้องทำให้ได้ เราจะได้บุญ หลวงพ่อจะช่วยให้เราบรรลุวิชชาธรรมกาย ไปสู่อายตนะนิพพานเป็นบรมสุข
    คณะทำงาน : แล้วประสบผลสำเร็จอีกนานไหมครับ
    พยาน 1 : ไม่ถึงเดือน เราก็สามารถพาคนเข้าวัด ส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานแบงก์ของเรา เพื่อนๆ ญาติพี่น้องเราด้วย ต่อมาก็ขยายไปสู่ลูกค้าที่มาติดต่อแบงก์ เรารู้ประวัติ รู้หน้าที่การงานของลูกค้าเป็นอย่างดี เราเข้าถึงตัวกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายในฐานะพนักงานแบงก์ เราทำเป้าได้มากเดือนหนึ่งเป็นล้านๆ บาท
    คณะทำงาน : พาคนไปทำบุญนะเหรอครับ ต่อคนหรือต่อกลุ่มที่ว่าเป็นล้านๆ นั่นนะ
    พยาน 1 : บางเดือนเราพาคนไปทำบุญ เราคนเดียวนะ ได้นับสิบล้าน
    คณะทำงาน : ไม่เข้าใจจริงๆ นะครับว่า ทำไมคุณและพรรคพวกก็เป็นคนมีการศึกษาดี จบกฎหมายด้วยซ้ำไป จบบัญชี ทำไมถึงเชื่อว่าวิชชาธรรมกายจะพาเข้าสู่พระนิพพาน มีอะไรให้เชื่อ และเข้าถึงวิชชาธรรมกายยังไงครับ
    พยาน 1 : เรารู้สึกว่าเราเป็นคนพิเศษ มีกำลังใจ หลังจากที่เราทำเป้าการเงินได้มาก เรากลายเป็นคนพิเศษ สนิทสนมกับสีกาอี๊ดมาก เข้านอกออกในที่วัดได้สบาย ทุกคืนประมาณสี่ห้าทุ่มเราจะเข้าไปในวัดรายงานให้ธัมมชโยทราบว่าทำรายได้เท่าไหร่ เราเป็นที่โปรดปราน ธัมมชโยก็บอกว่าหลวงพ่อจะให้วิชชาธรรมกาย ให้นั่งสมาธิและสอนให้เห็นลูกแก้ว
    คณะทำงาน : เห็นลูกแก้วเหรอ เห็นจริงหรือเปล่า สอนกันยังไงถึงได้หลงเชื่อกัน
    พยาน 1 : มันเป็นนิมิตทางพุทธศาสนา คุณเคยเรียนเรื่องนิมิตหรือเปล่า นิมิตหรือ Sign เราถูกพูดกรอกหูว่า เห็นไหม ๆ ๆ เหมือนในเทปตลับปี 26, 28 ที่เคยมอบให้คุณไปรายงานกรรมาธิการฯ ด้วยความศรัทธาและเคารพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เราก็มีความรู้สึกว่าเราเห็นลูกแก้ว แต่ตอนหลังมาเราศึกษาศาสนามากขึ้น เรารู้ว่าเป็นนิมิตชนิดหนึ่งเท่านั้น ธัมมชโยถามครั้งสุดท้ายว่าเห็นไหม เราบอกว่าเห็น เขาก็บอกให้นึกคิดขยายใหญ่ขึ้นๆ สว่างขึ้นมากๆ เราตั้งใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วว่าอยากได้ธรรมกาย ก็ทำตามหมด ธัมมชโยก็สรุปให้เห็นว่าเราได้ธรรมกายแล้ว เราภูมิใจมาก เหมือนเราบรรลุนิพพานเหมือนเขาพูด เราเข้าใจว่าบรรลุนิพพานคือยังงั้นแหละ เหมือนธัมมชโยสอนนะ
    คณะทำงาน : มีใครได้ธรรมกายกี่คนในวันนั้น ได้แล้วมันมีอะไรนะ ทำไมถึงอยากได้
    พยาน 1 : มีเป็นสิบ ทั้งคนช่วยหาเงินบริจาค–บริจาครายใหญ่ เราได้ธรรมกายแล้ว เราจะได้รับเกียรติจากคนภายในวัดว่าเป็นคนพิเศษ เดินผ่านใครบางคนที่ทำความดีหรือหาเงินไม่ถึงเป้า ยังไม่ได้ธรรมกาย พวกที่ไม่ได้ก็ก้มหัวคารวะคนที่ได้ แบ่งกันเป็นชั้นๆ เพราะจะมีการบอกประกาศให้สานุศิษย์ทราบว่าใครได้ธรรมกายบ้าง ใครยังไม่ได้ธรรมกายก็ต้องเคารพนบนอบ มันมีการแบ่งเป็นชนชั้น มีการแบ่งกันเป็นชั้นๆ ชั้นพิเศษกว่าเราก็มีอีก พวกที่บริจาคเยอะก็เป็นชั้นสูงกว่าเรา
    คณะทำงาน : ก็หมายความว่า ได้ธรรมกาย ก็ได้เลื่อนระดับด้วยใช่ไหมครับ เหมือนการจัดการปกครองในองค์กรของรัฐ หรือระบบการจัดชนชั้นใช่ไหม
    พยาน 1 : ก็ทำนองนั้น เรากลายเป็นคนสำคัญ เพราะเราได้ธรรมกายแล้ว เรา
    ภูมิใจมาก ธัมมชโยเคยพูดว่า เราเกิดมาเป็นแขนข้างขวาของเขา เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่เป็นบริวารของพระบรมพุทธเจ้าคือตัวธัมมชโย เราเป็น Sub Buddha เกิดมาสนับสนุนให้เขาต้นธาตุต้นธรรมพาสัตว์ข้ามวัฏสงสารไปสู่พระนิพพานจนเป็นผลสำเร็จ
    คณะทำงาน : เท่าที่สังเกตนะครับ คนที่เข้าวัดพระธรรมกายนานๆ หรือบางคนอาจไม่นาน มักจะเป็นคนไม่มีสัมมาคารวะ กระด้างกระเดื่อง เช่น ลูกก็ดูถูกพ่อแม่ นักศึกษาบางกลุ่มก็แปลกแยกจากเพื่อน ไม่ไหว้พระ ไม่ไหว้ในหลวงด้วยนะ ตอนที่อยู่คุณเป็นแบบนี้กับเขาไหม ลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ
    พยาน 1 : เป็น… เป็นเอามากๆ เลย เราได้ธรรมกายแล้วนี่ เราได้เป็นแขนขาของบรมพุทธเจ้าด้วย เราถูกกล่อม ถูกเป่ากระหม่อมตลอดเวลาว่าเราบรรลุแล้ว เป็น Sub Buddha เราปฏิบัติถูกแนวทางแล้ว ส่วนคนอื่นที่บอกว่าดังๆ นะ เราถูกสอนว่าปฏิบัติผิดทั้งนั้น กระจอกกว่าเราทั้งนั้น
    ธัมมชโยเคยบอกว่านั่งสมาธิบริกรรมลูกแก้วของเราดู เราเห็นของเราสว่างไสวใหญ่เป็นวาตามที่เขาพูดกรอกหูตลอดเวลา มันเหมือนเห็นจริงๆ เขาบอกให้เราดูของหลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น สว่างนิดเดียว เท่าหัวแม่มือ เราอยู่ที่นั่นไม่ไหว้พระที่อื่นเลย เพราะเราบรรลุมากกว่าสูงกว่า หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่มั่น กระจอกไปเลย
    คณะทำงาน : คุณเรียนจบกฎหมาย มหา’ลัยชั้นดีของเมืองไทย คุณเชื่อเรื่องนี้เหรอครับ คุณไม่เคยเฉลียวใจบ้างเลยเหรอ
    พยาน 1 : มันเชื่อไปแล้วนี่ “ศรัทธานำหน้า ปัญญาตามหลัง” ปัญญาตามไปห่างๆ ห่างมากๆด้วย แล้วไม่ค่อยมีเวลาคิดด้วย วันๆ มีแต่ทำงาน ตอนเย็นก็ถูกใช้งาน มีจุดมุ่งหมายเพื่อแข่งขันกับกลุ่มอื่นๆ เพื่อให้ได้ใกล้ชิด
    ธัมมชโยมากที่สุด เพื่อเป็นบริวารคนสำคัญของพระบรมพุทธเจ้า มันเป็นความเชื่อ เชื่อสุดขีด เรามาวิเคราะห์กันภายหลังว่าเราโง่ไหม เราบอกว่าเราไม่โง่ เราไม่รู้ต่างหาก เรามีอวิชชาครอบงำต่างหาก ถ้าเราได้เรียนได้ศึกษาธรรมะอย่างเป็นธรรมชาติ อย่างของหลวงพ่อพุทธทาส ท่านประยุทธ เราคงไม่มืดบอดขนาดนั้นแน่ๆ เราก็มาวิเคราะห์กันต่ออีกว่า ชาติพันธุ์ฝรั่งเป็นต้นกำเนิดของวิชาวิทยาศาสตร์ เขาบัญญัติว่า “สิ่งมีชีวิตย่อมเกิดจากสิ่งมีชีวิต” เขายังเชื่อว่าพระเยซูเกิดจากพระแม่มารีโดยไม่มีการเสพกามกับผู้ชายเลย คุณว่าไหมล่ะ
    คณะทำงาน : ทราบว่ามีกลุ่มผู้นำบุญหลายกลุ่ม ทำไมธัมมชโยถึงให้ความสำคัญกับกลุ่มคุณกลุ่มเดียว
    พยาน 1 : สำคัญทุกกลุ่ม เขาสลับกลุ่มให้เข้าหา คืนที่เขาประกาศยกย่องเรา กลุ่มอื่นจะไม่มา เรารู้ทีหลัง เขาพูดกับทุกกลุ่มว่าเป็นแขนขาของเขาหมดเหมือนพูดกับเรา เรารู้ก่อนออกจากวัดปี 31 นะ ว่าทุกคนแข่งขันกันหาเงินให้เขา เพราะอยากเป็นคนสำคัญ เพราะอยากใกล้ชิดธัมมชโย ทุกคนจะทรนงตัวเองว่าตัวเป็นคนสำคัญของธัมมชโย จะไม่บอกใคร อมพะนำไว้กลัวคนอื่นรู้ว่าใกล้ชิดธัมมชโย แต่ละคนแต่ละกลุ่มจะสร้างกลุ่มให้มีผลงานมากๆ เพื่อความสำคัญของตนเองเหมือนที่ธัมมชโยบอก
    คณะทำงาน : ได้ข่าวว่าการเข้าหาคนร่ำรวยมากๆ เป้าหมายสำคัญๆ จะสืบประวัติก่อนใช่หรือเปล่า
    พยาน 1 : ใช่ สมมติว่าคุณเป็นเพื่อนเรา เรารู้ว่าคุณเป็นคนมีเงิน มีฐานะดี แต่ไม่เคยทำบุญ เราก็นำประวัติเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของคุณ แม้แต่โรคประจำตัว ความชอบและไม่ชอบ วันเดือนปีเกิด เวลาตกฟาก เขียนเป็น paper ส่งไปให้ธัมมชโยก่อน ให้ศึกษาก่อน เขาจะให้สีกาอี๊ดนำไปให้หมอดูเพื่อผูกดวงและทำนายทายทัก “เหยื่อ” แล้วธัมมชโยจะนำมาท่องจำไว้ พอเราล็อบบี้ “เหยื่อ” ไปหาเขาแล้ว เขาจะทำท่านั่งสมาธิเหมือนมองเห็นทางในงั้นแหละ ทำนายทายทักได้เกือบหมด แล้วก็บอกว่ามีกรรมบางประการบดบังไว้อยู่ ทำให้มีความทุกข์ถึงแม้จะมีเงิน แล้วพูดหว่านล้อมให้ช่วยกันสร้างศาสนสถานของเขาเหมือนเล่าให้ฟังตอนแรก บางคนครั้งแรกก็ไม่บริจาค ไม่กล้าควัก เราก็หาวิธีการใหม่อีก พาเขามาอีกครั้งหนึ่ง มานั่งสมาธิในห้อง มีพระธัมมชโยนำนั่งสมาธิ พอนั่งเสร็จเราก็จะมีหน้าม้าทำเป็นซาบซึ้งอยากช่วยหลวงพ่อ บางคนน้ำตาไหลซาบซึ้งในเจตนาของหลวงพ่อ ถวายเงินสองสามแสน บางคนถวายเป็นล้าน หน้าม้าบางคนก็ทำทีจะจ่ายเช็ค แต่ไม่ได้นำเช็คมาด้วย ทำเป็นขอยืมเช็คเพื่อนเขียนถวายหลวงพ่อก่อน แล้วจะเอาเงินเข้าให้ แต่จริงๆ หน้าม้าไม่ได้เอาเข้าหรอกนะ คนที่เป็นเหยื่อ เห็นคนถวายก็รู้สึกว่าจะน้อยหน้า ต้องถวายกะเขาไปด้วย แม้แต่คนป่วยที่ร่ำรวย ธัมมชโยจะบอกให้ไปสืบประวัติก่อนว่าเป็นโรคอะไร นอนอยู่โรงพยาบาลไหน เราก็ไปสืบทำรายงานให้ธัมมชโยอ่านก่อน เสร็จแล้วธัมมชโยเข้าไปเยี่ยมถึงโรงพยาบาลเลย ไปบอกว่าเขาป่วยแบบนี้เพราะทำกรรมชนิดนั้นไว้ พูดจนเข้าเชื่อว่าบาปกรรมไถ่ถอนได้ด้วยการทำทานบารมี มีอยู่รายหนึ่งก่อนตายบริจาค 30 ล้าน ทุกวันนี้เรายังได้ข่าวว่ามีการส่งพระไปตามโรงพยาบาลเอกชนสำคัญๆ เพื่อไปสืบหาคนป่วยที่ใกล้ตายแต่ร่ำรวย เขาจะทำพิธีพาขึ้นสวรรค์ให้ด้วยการทำบุญหลักล้านขึ้นไป
    คณะทำงาน : ทราบว่า มีคน Hi-So หลายคนโดนแบบนี้ด้วย มีหรือเปล่าที่รู้จัก
    พยาน 1 : คุณอวยชัย วีรวรรณ ไง วันนิวัติ ศรีไกรวินด้วย
    คณะทำงาน : คุณอวยชัย ญาติรองนายกฯ อำนวยใช่หรือเปล่า
    พยาน 1 : นั่นแหละ แต่ไม่ได้ “ตบทรัพย์” ที่วัดพระธรรมกาย ถูกตบทรัพย์ที่ดอยสุเทพ-ปุย เชียงใหม่ ที่นั่นเขาจะพาคนขึ้นดอยไปอัดธรรมกายนะ คุณอวยชัยรู้สึกจะไปประมาณปี 30 นี่แหละ เขาจะมีประเพณีขึ้นดอยอัดธรรมกายสำหรับคนที่เป็นเป้าหมาย คนที่บริจาคมากๆ คนที่ทำเป้าให้วัดได้มากๆ
    คณะทำงาน : รู้จักกลุ่มคนเหล่านี้ไหมครับ นี่ในเอกสารนี่ ระบุว่าขึ้นดอยที่สุเทพ-ปุย 19-26 เมษายน 2530 ในวงเล็บมีคำว่า V.I.P. ด้วย

    1. คุณผ่อง เล่งอี้ 2. คุณพวง (เรณู) โชคอนันตระกูล
    3. คุณปิติ (วันทนา) บุญสูง 4. พ.ต.อ.เกรียงไกร กรรณสูต
    5. คุณทนงศักดิ์ กีรติพานิช 6. คุณวรชัย ชูชัยศรี
    7. คุณสมศักดิ์ กีรติพานิช 8. คุณอภิชัย จันทรโคลิกา
    9. คุณวัลลภ เคียงศิริ 10. คุณวิจิตร วิศณุมล
    11. คุณบุญลือ ลิ้มสกุล 12. คุณประทีป เตียวตรานนท์
    13. คุณศักดิ์ชัย ริมตระกูล 14. น.พ.สุนทร ฮ้อเผ่าพันธุ์
    15. คุณยงยุทธ ดิลกเจริญ 16. คุณทนง ธำรงราชภัฏ
    17. อาจารย์มีชัย ไชยสระแก้ว 18. คุณศานิต มีพันธุ์
    19. คุณดิสกร กุลธร 20. คุณสมชาย อรรถสิษฐ์
    21. คุณทวีป เทพสุธรรมรัตน์ 22. คุณวีระชัย ไชยสระแก้ว
    23. คุณประเสริฐ ครองศักดิ์ศรี 24. คุณสุรศักดิ์ กุลวงศ์
    25. คุณกำธร ธีระเกาสัยยานันท์ 26. คุณพีระ บุณยประสพ
    27. น.พ.ไมตรี สุขสราญจิต 28. คุณชาดา บุญสูง
    29. คุณประวาท บุนนาค 30. คุณหญิงอุไรวรรณ หงสประภาส
    31. พญ.ภุมรา ตาละลักษณ์ 32. คุณแน่งน้อย เล่งอี้
    33. คุณเรณู โชคอนันตระกูล 34. คุณศรีสะอาด โชคอนันตระกูล
    35. คุณนันทกา รัตนสุวรรณ 36. คุณวันทนา บุญสูง
    37. คุณสุกัญญา กรรณสูต 38. อาจารย์พิศมัย แสงหิรัญ
    39. คุณพวงเพ็ญ ทิสยากร 40. คุณศิริธร เต็มศิริ
    41. คุณน้อย เพียรสุภาพ 42. พ.ญ.ศิวาลัย ธนภัทร
    43. ดร.สุวัลลีย์ เปี่ยมปิติ 44. พ.ญ.วาสุณี เตียวตรานนท์
    45. คุณกรองแก้ว หุตานุวัตร 46. คุณเพ็ญศรี สุขุมพานิช
    47. คุณสุพัตรา จันทรโคลิกา 48. คุณสุนีย์ เคียงศิริ
    49. คุณพัทยา เคียงศิริ 50. คุณทยา เคียงศิริ
    51. คุณเสาวณีย์ สิริพงศ์บุญสิทธิ์ 52. คุณศุภร สุวรรณมณีแดง
    53. คุณปราณี วณวิสุทธิ์ 54. คุณชมสุข โชคบรรยง
    55. คุณกัณฑิมา ฉมามหัทธนา 56. คุณเพียงนิล ศิริเกษม
    57. คุณสายพิณ บูรณะศิริ 58. คุณสังเวียน แก้วกูล
    59. คุณอำภา กฤษกลิน 60. คุณเพ็ญพรรณ นิธิการพิศิษฐ์
    61. คุณเพ็ญจันทร์ คณะฤกษ์ 62. คุณยมโดย รูปปัทม์
    63. คุณลัดดา อุ่นจิตติกุล 64. คุณจงจิตต์ วรพจน์ธนพงศ์
    65 คุณวรรณภา ฉบับตรง 66. คุณผกามาศ อาจารย์
    67. คุณศรีพัชรินทร์ ธำรงราชภัฏ 68. คุณวรรณา เบญจรงคกุล
    69. พ.ญ.สดใส เวชชาชีวะ

    พยาน 1 : รู้จักหมดทุกคน ในจำนวนนี้บางคนก็เป็นหน้าม้า บางคนก็เป็นเหยื่อ เดี๋ยวนี้บางคนเขารู้ว่าถูกหลอก แต่ด้วยความเป็น Hi-So ไม่กล้าโวยวาย บางคนรู้ว่าถูกหลอก แต่ตัวเองมีธุรกิจเกี่ยวพัน ก็เลยร่วมขบวนการหลอกคนอื่นต่อ โดยตัวเองก็ได้ผลประโยชน์ทางธุรกิจ-การเงินกับ
    ธัมมชโย ในนี้มีหลายคน (พยาน 1 ระบุชื่อคนที่มีผลประโยชน์) แต่ละคนคุณคิดไม่ถึงก็แล้วกันว่าทำไมเขาทำกันได้
    คณะทำงาน : เอาล่ะ เข้าใจแล้วครับ กลับมาที่คุณอวยชัยอีกที ใครเป็นผู้นำบุญคุณ
    อวยชัยครับ
    พยาน 1 : เสี่ย ส. รู้จักใช่ไหม พี่ชายของพระในวัด (ระบุชื่อพระรูปนั้น) คงรู้จักแล้ว (ช่วงนี้มีการพูดถึงพฤติกรรมของคนนี้ชัดเจนมาก คณะทำงานขอเก็บไว้ก่อน) มี เสธ. ม. ขึ้นดอยไปด้วย บ้าน เสธ.คนนี้อยู่เชียงใหม่
    คณะทำงาน : คุณใช้คำว่า “ตบทรัพย์” เขาตบทรัพย์คุณอวยชัยยังไง คนระดับนั้นถึงเชื่อและบริจาคเงินจนได้
    พยาน 1 : เรามีกำหนดการขึ้นดอย 7 วัน ตื่นเช้ามาก็นั่งสมาธิ 8-9 โมงก็กินข้าวเช้า กินข้าวเสร็จจะมีหน้าม้าเข้าไปหา “เหยื่อ” แบบนอบน้อม อ่อนโยน ให้เกียรติ พอได้โอกาสก็พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ ความเป็นต้นธาตุต้นธรรม พูดถึงโครงการต่างๆ ของหลวงพ่อ เช่น สร้างศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างธรรมกายเวิล์ด สร้างมหาวิทยาลัย สร้างเมืองของคนดีๆ อยู่ด้วยกัน แบบกัลยาณมิตร กินข้าวกลางวันเสร็จ เราก็มีสนทนา สันทนาการ เช่นนั่งคุยกันตบท้ายด้วยความดีของหลวงพ่อ สำหรับผู้ใหญ่อย่างคุณอวยชัย เราก็จะมี “เสี่ย ส.” คอยประกบตลอดเวลา ตอนเย็น-กลางคืนก็นั่งสมาธิต่อ มีธัมมชโยคอยสอนให้นั่งสมาธิ พูดถึงสัตว์โลกที่ตายไปตกนรก พูดถึงอานิสงส์การสร้างมหาทานบารมี ยกตัวอย่างคนที่มีเงินแล้วลำบากลำบน พูดทุกอย่างเพื่อให้ “เหยื่อ” เชื่อว่างั้นเหอะ จุด Climax อยู่ที่บ่ายวันที่ 7 ปกติคน Hi-So จะจองตั๋วเครื่องบินกลับเย็นวันนั้นแน่นอนแล้ว ฐานะปานกลางอย่างน้อยก็รถไฟตู้นอน จองกันไว้หมดแล้ว วันสุดท้ายตอนบ่าย จะถึงเวลากราบลา “อาจารย์” กราบลาธัมมชโยนะแหละ เพราะจะเสร็จสิ้นการอัดธรรมกายขึ้นดอยแล้ว พวกหน้าม้าก็จะนำพานดอกไม้ธูปเทียนเข้ามาหาเหยื่อบอกว่า เราจะไปขอขมาและกราบลาท่านอาจารย์ที่ได้ให้วิชชาธรรมกาย ให้เหยื่อถือพานดอกไม้เข้าไปหาธัมมชโย ส่วนใหญ่ธัมมชโยจะนั่งอยู่ในเรือนซูการ์โน พวกหน้าม้าเรียกว่า “ห้องอัดบุญ” หรือ “ห้องตบทรัพย์” ธัมมชโยจะนั่งนิ่งทำสมาธิให้เห็นเป็นผู้มีสมาธิจิตแน่วแน่ พวกเราหน้าม้าก็จะพาเหยื่อคลานเข่าเข้าไปหา จะมีความสงัดมาก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงแอมไอ ขั้นตอนต่อไปก็เหมือนกับการตบทรัพย์ในวัด มีการทำนายทายทัก มีพวกหน้าม้าคอยบริจาคเงิน ใครไม่มีเช็คก็ทำเป็นยืมเช็คกัน หน้าม้าบางคนถอดสร้อยถอดแหวนให้เห็นเป็นตัวอย่างเลย พอบริจาคเสร็จธัมมชโยก็ยถาสัพพี เสร็จแล้วเดินออกไป หน้าม้าก็เตือนว่าเสร็จพิธี ผู้บริจาคไม่มีโอกาสได้กลับใจว่าถูกหลอกหรือเปล่า อีกไม่กี่นาทีก็ต้องลงจากดอยกลับกรุงเทพฯ เรียกว่าเขาทำตอนเครื่องบินใกล้จะบิน รถไฟใกล้จะออก ไม่มีสิทธิเปลี่ยนใจได้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    คณะทำงาน : คุณอวยชัยบริจาคเท่าไหร่ครับ
    พยาน 1 : เสี่ย ส. เขาบริจาคนำร่องก่อนนะ ไม่แน่ใจนะว่าเท่าไหร่ เพราะไม่เห็นกับตาตนเอง ได้ข่าวมานะ เสี่ย ส. ประมาณ 10 ล้าน คุณอวยชัยก็บริจาคตาม หนึ่งหรือสองล้านก็ไม่ทราบนะ ได้ข่าวว่ายังงั้น
      

    คณะทำงาน : อยากทราบเรื่องธุรกิจของวัดนะ เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ เอกสารระบุว่าคุณเป็นกรรมการคนหนึ่งในบริษัทดูแวคนะ
    พยาน 1 : ไม่รู้เรื่องจริงๆ สีกาอี๊ดเอาเอกสารมาให้เซ็น บอกว่าหลวงพ่อขอให้ช่วย เราก็เซ็น เรารู้ว่าจะมีการตั้งบริษัทชื่อดูแวคขึ้นมา แต่ไม่เฉลียวใจเลย เพราะเราเชื่อว่าเขาเป็นพระบรมพุทธเจ้า มีความบริสุทธิ์ เขาทำไปก็เพื่อจุดมุ่งหมายพาคนข้ามวัฏสงสารไปสู่พระนิพพานเท่านั้น เราไม่เคยคิดในเรื่องที่ไม่ดีของเขา คิดว่าเขาทำทุกอย่างถูกต้องและบริสุทธิ์ผุดผ่องที่สุด เราเชื่อยังงั้นจริงๆ
    คณะทำงาน : ถามวัตถุประสงค์การทำธุรกิจของวัดหรือเปล่าครับ
    พยาน 1 : ไม่ถาม เราไม่สงสัยเลย อย่างที่บอกว่า เราเชื่อเขาบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นบรมพุทธเจ้า ย่อมไม่ทำอะไรผิดๆ
    คณะทำงาน : แรกๆ ทำธุรกิจอะไรหรือครับ
    พยาน 1 : จัดสรรที่ดิน “บัณฑิตนคร” ตอนนี้มี 2 แห่งนะ ตอนนั้นยังไม่มี
    บัณฑิตนคร 2 เนื้อที่ 2000 ไร่ อยู่ใกล้ๆ รังสิต ติดไปถึงอยุธยา
    เชียงราก
    คณะทำงาน : ใครเป็นผู้มีอำนาจของบริษัทครับ
    พยาน 1 : คุณหญิงอุไรวรรณ เป็นประธานบริษัท คนมีอำนาจจัดการทุกอย่าง สีกาอี๊ด เป็นคนทำ เพราะธัมมชโยมอบหมายมา
    คณะทำงาน : ขายหมดไหมครับ ขายกันตารางวาละเท่าไหร่
    พยาน 1 : ต่ำสุดตารางวาละ 750 บาท สูงสุดก็ 1,000 บาท นี่ในปี 29 ยอดขายเกือบหมดนะ เพราะพวกเราขายได้วันหนึ่งหลายแปลง ทีมงานอื่นอีกเขาก็ออกขายเช่นเดียวกัน แต่ได้ข่าวว่ากลุ่มเราขายได้มากที่สุด พวกเราจะรายงานผลการทำงานจนถึงดึกประมาณตีหนึ่งตีสอง ที่สโมสรนิสิตเกษตร เป็นสำนักงานกัลยาณมิตร บางทีก็เข้าไปรายงานที่บ้านสีกาอี๊ด ใกล้ๆ ซอยสายลม บางทีก็เข้าไปรายงานธัมมชโยโดยตรงที่วัด โดยเฉพาะคืนวันศุกร์ เสาร์-อาทิตย์เราหยุดกลับดึกได้
    คณะทำงาน : มีการทำสัญญาซื้อขายเหมือนโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปไหม
    พยาน 1 : มีใบสัญญา แต่ไม่มีอากรแสตมป์ เป็นตัวพิมพ์ดีดถ่ายเอกสารธรรมดา ส่วนใหญ่ทำสัญญากันที่บ้านคุณหญิงอุไรวรรณ
    คณะทำงาน : แล้วคนซื้อไม่โวยวายหรือครับ เรื่องไม่ติดอากรแสตมป์ เขาไม่กลัวถูกหลอกหรือครับ
    พยาน 1 : มันเชื่อใจกัน เพราะคนที่เราพามาซื้อก็คนรู้จัก สนิทกัน ลูกค้าเรา เพื่อนเรา แม่พี่น้องเรายังชวนให้ซื้อเลย เราทำการต่อเนื่องเหมือนการขาย
    ไดเรกต์เซลส์ แนะนำต่อๆ กันไป ด้วยความเชื่อใจกัน
    คณะทำงาน : มีสัญญาสร้างสาธารณูปโภคไหม เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา
    พยาน 1 : ในสัญญามี สัญญาถ่ายเอกสารนั้นระบุไว้ทุกอย่าง ตรงนี้แหละที่ทำให้ผู้นำกลุ่มเรามีปากเสียงกับธัมมชโย ต้นปี 31 คนที่เราพามาซื้อเขาถามว่าสร้างถนนไฟฟ้าเข้าหรือยัง เราก็ไปถามธัมมชโย เขาบอกว่าจะไม่สร้างสาธารณูปโภคอะไรทั้งนั้น เราก็น้อยใจถามว่า ไม่กลัวคนซื้อเขาว่าเอาหรือ เรากลัวคนอื่นมาด่าเรา ธัมมชโยตอบเราว่าไงรู้ไหม? เขาพูดว่า “จะเห็นแก่หลวงพ่อ หรือจะเห็นแก่คนอื่น ให้เลือกเอา” เราหน้าชาเลย เราไม่เชื่อว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากของเขา ตั้งแต่นั้นมาเราก็เสื่อมศรัทธาลงมาก ประจวบกับทางวัดพยายามบีบหลวงพ่อวิริยะ2 หลวงพี่ธีระ (พระ ดร.ชัยเจริญ ธีรญาณโณ) มีปัญหาระหองระแหงกัน เลยๆ กลางปี 31 เราก็ออกจากวัดมาทั้งกลุ่มเลย
    คณะทำงาน : ไม่มีคนฟ้องเรื่องไม่มีสาธารณูปโภคเลยหรือ
    พยาน 1 : มีคนคิดจะฟ้อง แต่ฟ้องไม่ได้ ก็อย่างที่บอกไง ใบสัญญาเพียงถ่ายเอกสาร ไม่ติดอากร และตอนนั้นช่วงปี 29-31-32 วัดยิ่งใหญ่มาก มีคนเข้ามาก ระดับใหญ่โต ระดับประเทศมาเข้ากันใหญ่เลย ไม่มีใครกล้าฟ้องจริงจัง แค่คิดเท่านั้น
    คณะทำงาน : คนส่วนใหญ่ซื้อดาวน์แล้วผ่อนใช้ไหมครับ แล้วทำ Finance Leasing กันที่ไหนครับ
    พยาน 1 : ที่ดินผ่อนกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอทีซี แถวถนนอโศกต้นซอย ด้านเพชรบุรี กับธนาคารกรุงเทพฯ สาขาวิสุทธิกษัตริย์มั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ
    คณะทำงาน : พอจะหาหลักฐานเรื่องขายที่ดินบัณฑิตนครให้เราบ้างได้ไหม ทิ้งไปหรือยังครับ อยากนำมาเผยแพร่ให้ประชาชนทราบนะ
    พยาน 1 : เราเก็บไว้ที่สำนักทนายความเพื่อน ตอนที่เราออกจากวัดปี 31 เราถูก
    รังควาน ถูกตาม ญาติพี่น้องเราเดือดร้อนมาก เราต้องย้ายบ้านหนีระหกระเหิน บางเดือนต้องไปอยู่ต่างประเทศ เราไปให้การกับหน่วยงานข่าวราชการไว้ เสร็จแล้วก็นำหลักฐานทั้งหมดไปฝากไว้ที่สำนักงานทนายความของเพื่อน สั่งให้ไว้ว่าถ้าฉันเป็นอะไรไปให้ใช้หลักฐานนี่เล่นงานเลย ต้องเป็นที่นี่แน่ๆ เพราะไม่เคยมีศัตรูที่อื่น
    คณะทำงาน : พอจะนำหลักฐานส่วนนั้นมาให้ได้ไหมครับ เราจะนำมาขยายผล เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนนะครับ
    พยาน 1 : ต้องขอโทษด้วยที่ให้ไม่ได้ แต่ถ้าถึงคราวจำเป็น ที่จะต้องช่วยกันถอนรากถอนโคนพวกหลอกลวงประชาชน ถึงตอนนั้นคุณติดต่อไปอีกที เราจะมาพบพร้อมหลักฐานส่วนนั้นแน่ๆ

      

    คณะทำงาน : ขอบคุณมากครับ แล้วเรื่องต้นกัลปพฤษ์ละครับ มันเป็นยังไง เราศึกษาจากเอกสารต่างๆ วารสารกัลยาณมิตร โอวาทธัมมชโย แผนผังที่ตั้งหมด แล้ว แต่อยากฟังจากปากคุณอีกทีได้ไหม
    พยาน 1 : โครงการนี้มีขึ้นเพื่อหาเงินสร้าง Dhammakaya World, Dhammakay University ต้องหาเงินให้ได้มากที่สุด
    คณะทำงาน : Concept เป็นยังไง ทำไมถึงขายต้นไม้ได้ขนาดนั้น
    พยาน 1 : จะสร้างเป็นธุดงคสถาน มี 2 แห่ง ที่วัดพระธรรมกาย ที่เป็นที่ตั้งธรรมกายเจดีย์นี่แหละ กับที่เชียงใหม่บนดอยสุเทพ-ปุย ธุงคสถาน
    ล้านนา อีก 20,000 ต้น เป็นที่สำหรับปักกลดใต้ต้นไม้นี้ เป็นต้นไม้แห่งความสมปรารถนา ในสมัยพระพุทธเจ้าผู้มีศีลมีบุญมาเกิดจะมีต้นนี้ขึ้นโดยอัตโนมัติ ใครอยากได้อะไรก็ไปที่ใต้ต้นไม้นี้แล้วอธิษฐานก็จะสมหวัง อยากกินอะไรก็จะอิ่ม แต่เราสังเกตนะว่าต้นไม้นี้เกิดเองกับคนมีศีล แต่ตัวธัมมชโยที่บอกว่าเป็นต้นธาตุต้นธรรมกลับไม่มีต้นไม้นี้ขึ้น ตอนนั้นเราก็สงสัยในใจเหมือนกัน ธัมมชโยบอกว่าสมัยนี้คนบาปมาก จึงต้องอาศัยการปักกลดบำเพ็ญธุดงค์ เราต้องไปนั่งที่ใต้ต้นไม้ของเรา ต้นไม้ที่สลักชื่อเราเป็นเจ้าของนำไปปลูก จะใช้ปักกลดนั่งสมาธิเหลืองอร่ามถ้าออกดอกออกผล ทุกคนจะมีต้นไม้นี้เป็นของตนเอง เวลาไม่ได้ไปใช้ก็จะมีคนมาดูแลให้ตลอดชีวิต เจ้าของก็จะยังได้บุญตลอดไป
    คณะทำงาน : ต้นไม้นี้มาจากไหน
    พยาน 1 : เพาะต้นกล้าจากกรมป่าไม้ ของนายผ่อง ได้ข่าวว่าต้นละ 6 สลึงเอง เขาเพาะที่ปากช่องโน้น
    คณะทำงาน : ราคาต้นละเท่าไหร่ครับ
    พยาน 1 : หนึ่งหมื่น ต้นละหนึ่งหมื่นบาท โดยปลูกที่ธรรมกายที่มีพื้นที่ 2000 ไร่ ที่ดอยสุเทพ-ปุยด้วย ประมาณ 300-400 ไร่ แต่เป้าหมายในการขายให้ ธัมมชโยบอกให้ขายได้แสนต้น ธัมมชโยถามว่า “พวกเรากัลยาณมิตรทำได้ไหม” ทุกคนตอบว่า “ได้” และถามย้ำว่า “ทำได้ไหม” “ได้” … ทุกคนตอบพร้อมกันหมด เขาสอนย้ำว่า “ไม่มีไม่ได้ ไม่ได้ไม่มี ไม่ได้ไม่ได้ ไม่ได้ต้องได้” เป็นสูตรของหัวหน้าผู้นำบุญทุกคน
    คณะทำงาน : พื้นที่ตรงนี้ใช่ไหมครับ (ให้ดูแผนที่วัดพระธรรมกายปี 29-32 ประกอบ) ตรงที่เป็นธรรมกายเจดีย์ใช่ไหม ในเอกสารภาษาอังกฤษเล่มนี้เรียกว่า Kalapapruek Woodland ตรงนี้ใช่ไหมครับ
    พยาน 1 : ถูกต้อง แต่ไม่ใช่เฉพาะตรงนี้นะ เขาจะทำล้อมรอบวัดด้วย จะจินตนาการให้เหลืองอร่ามกระจายไป 2,000 ไร่เลย
    คณะทำงาน : แล้วตกลงว่าขายถึงแสนต้นไหม
    พยาน 1 : ขายทะลุเลย เรากำลังขายโครงการบัณฑิตนครรุ่งเลย อยู่ดีๆ ธัมมชโยบอกว่า มาช่วยกัลปพฤกษ์ดีกว่า เพราะเราขายได้มาก ขายต้นไม้นี้ทุกคืนจะนำเช็ค เงินสด ไปถวายธัมมชโยทุกวัน เออนี่… ตอนนั้นไม่สังเกตเลย พอเราเอาเช็คเงินจากกระเป๋าออกมา จะมีนัส ตอนนั้นนัส
    อยู่ที่นั่น เอาซองมาให้ จ่าหน้าซองว่าถวายส่วนตัว ให้เรายัดใส่ซองนั้นมอบให้กับมือธัมมชโย เราไม่เฉลียวใจเลย เพราะเชื่อสุดขีด
    คณะทำงาน : แล้วปลูกกันไหมครับ กัลปพฤกษ์นี่นะ
    พยาน 1 : ปลูกนิดเดียว ปลูกที่วัดซัก 500 ต้น และที่เชียงใหม่ไม่ทราบ แต่น้อยมาก แต่หลังจากที่เราออกมาแล้วก็ไม่ได้ข่าวว่าปลูกอีกเลย
    คณะทำงาน : คิดว่าวัดโกง ธัมมชโยโกงไหม
    พยาน 1 : ถ้าตอนเราอยู่นั่น เราก็ว่าไม่โกง แต่ตอนนี้เราก็ต้องว่าโกง ทั้งบัณฑิตนคร กัลปพฤกษ์ โกงนับพันล้าน

      

    คณะทำงาน : ขอถามเรื่องสีกาหน่อยนะครับ ตอบได้ก็ตอบ อยากทราบว่าเรื่องสีกา ได้ข่าวว่ามีสีกาหลายคน คุณเคยเห็นสีกาคนไหนมีพฤติกรรมทางชู้สาวกับธัมมชโยบ้าง
    พยาน 1 : เคยเห็นกับเบอร์ 1 ไง เบอร์ 1 ที่อยู่ย่านซอยสายลม พหลโยธิน
    คณะทำงาน : ทำไมเรียกเบอร์ 1 เบอร์ 2 ใครเบอร์ 1 ใครเบอร์ 2 มันหมายความว่ายังไง
    พยาน 1 : มันมีประวัติ ตอนนี้มีสาวครีเอทีฟ สวย เปรี้ยว เข้าวัด ธัมมชโยพูด
    แซว เกี้ยวพาราสีทุกวัน เราเคยได้ยินมาบ่อย หลายคนรู้เห็น เวลาธัมมชโยคุยกับคนนี้นะจะทำเสียงอ่อนเสียงหวาน เหมือนหนุ่มๆ สาวๆ คุยกัน มีครั้งหนึ่งธัมมชโยบอกให้สีกาคนนี้เลิกบุหรี่ ในปี 30 เราได้ยินคำพูดทางโทรศัพท์ว่า “เนี่ยถ้าไม่เชื่อนะ จะไม่เตือนแล้วนะจ๊ะ” บางทีก็พูดว่า “ถ้าตัวเองไม่กล้าเลิกบุหรี่ เค้าจะไม่พูดกับตัวเองอีกแล้วนะ” ตั้งแต่วันนั้นสีกาคนเก่า เราสมมติให้เป็นเบอร์ 1 เพราะเขามีบทบาทที่สุด เราแซวว่าระวังจะเป็นเบอร์ 2 นะ มีคนแซงหน้าแล้วนะ สีกาเบอร์ 1 อายมาก เขาไปดึงหน้าตาใหม่ให้ตึง นี่ปี 30 นะ
    คณะทำงาน : แล้วความสัมพันธ์แบบเห็นกันจะๆ ชัดๆ นะ มีไหมครับ
    พยาน 1 : ก็ในบ้านเลย บ้านใกล้ๆ ซอยสายลม เข้าไปในซอยมีโค้งซ้าย บ้านอยู่ขวามือ ภายในรั้วมีบ้าน 3 หลัง หลังแรกเป็นออฟฟิศบริษัททำแขนขาเทียมและขายอุปกรณ์ให้กับทหารพิการในกองทัพ จากประตูใหญ่เข้าไปซ้ายมือเป็นออฟฟิศบริษัท ขวามือเป็นบ้านน้าที่พวกเราเรียกว่า “อี๊” เดินลึกเข้าไปข้างในเป็นบ้านสีกา วันนั้นเราเดินทางไปหาสีกาที่บ้านประมาณ 3 ทุ่ม เราสนิทกันมากนะ บางทีเราไปหาไม่ต้องนัดล่วงหน้าก็ได้ ไปกดออดหน้าบ้านไม่เกิน 5 นาที ถ้าสีกาอยู่ก็จะเดินมาเปิดเอง วันนั้นเรากดเกือบ 20 นาทียังไม่ใครมาเปิด จึงชะโงกดูเขย่งดูเห็นรถสีกาอยู่จึงกดออดอีกที มีเด็กมาเปิดประตู เดินเข้าในบ้านเงียบมาก พอถึงตัวบ้านสีกาหลังในเขามาเปิดประตูหน้าตายุ่งเหยิง สีกาใส่ชุดนอนไม่ใส่ยกทรง สีกาหน้าซีดมาก หน้าเสียมาก หน้าซีดๆ คือเราไม่เคยแต่งงานนะ เราไม่เคยเห็นคนหน้าเสีย ที่อายมากๆ มาก่อนเลย วันนั้นเราเพิ่งเข้าใจว่าคนหน้าเหลือ 2 นิ้ว เป็นยังไง เราเห็นวันนั้นแหละ คุณ “ส.” ไม่อยู่บ้าน รับราชการต่างจังหวัด วันนั้นสีกาหงุดหงิดมาก มันผิดปกติเพราะเราไปหากันเกือบทุกวัน เขาหงุดหงิดมากถามว่ามาทำไม เราก็งงจริงๆ สีกาบอกว่าธัมมชโยอยู่ด้วยนะ เรายิ่งงกหนักเข้าไปใหญ่ อะไรกัน ธัมมชโยอยู่ด้วย แต่สีกาแต่งตัวไม่เรียบร้อย พอเราเข้าไปในบ้านแบบวิสาสะเราพบธัมมชโยหน้าซีดมาก ธัมมชโยมีเหงื่อออกเม็ดเท่า “ถั่วเขียว” บนหัว ทั้งๆ ที่อยู่ในห้องแอร์ที่เย็นมาก เออนี่ … ตั้งแต่นั้นมานะ พวกเรากลุ่มนี่นะเราเรียกธัมมชโยว่า “เจ้าถั่วเขียว” หลังจากออกจากวัดมาแล้ว ธัมมชโยห่มคลุม บอกว่าไม่สบาย ซับเหงื่อถั่วเขียวตลอดเวลาเลย ไม่น่าเป็นไปได้ เราเห็นเหตุการณ์แบบนี้ 2 ครั้ง รวมทั้งคุณ…. ก็เห็นกับเรา คุณ… คนที่ทำบัญชีทรัสต์นวธนกิจที่คุณเคยโทรไปหาก็เห็น
    คณะทำงาน : แล้วคนอื่นๆ ละครับ ข่าวว่ามีสีกาหลายคน
    พยาน 1 : เราเป็นคนไม่พูดเรื่องที่เราไม่เห็น ไม่พบเจอด้วยตนเอง ขอโทษด้วย แต่ได้แค่ข่าวว่ายังงั้นยังงี้ ไม่พูดได้ไหม
    คณะทำงาน : ตั้งแต่นั้นหมดศรัทธาเลยมั้ย
    พยาน 1 : หมดเลย หมดทุกอย่าง รู้สึกถูกหลอกให้ทำงานหาเงินให้ แต่หลังจากที่เจอเขาที่บ้านสีกาตอนเหงื่อเม็ดถั่วเขียวนะ ธัมมชโยเรียกเราเข้าไปบอกว่าจะตั้งเงินเดือนให้ 4 หมื่นบาทเลย จะมีรถให้อีกหนึ่งคัน แต่เราไม่เอา พยายามหาทางออกจากวัดตลอดเวลาจนสำเร็จ
      
    คณะทำงาน : อยากถามเรื่องพระเรื่องเจ้ามั่ง สมัยที่อยู่ มีพระรูปไหนที่รู้จัก พระรูปไหนที่มีผลประโยชน์กับวัดครับ
    พยาน 1 : ตอนนี้มีวัดปากน้ำ พระธรรมปัญญาบดี (สมเด็จช่วง) กับเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ท่านเกี่ยว
    คณะทำงาน : เจ้าอาวาสวัดเบญจฯ ละครับ มีความสัมพันธ์กันไหม
    พยาน 1 : ไม่ค่อยจะเจอที่วัดธรรมกาย ที่เขาบวชธรรมทายาทที่วัดเบญจฯ เจ้าอาวาสวัดเบญจฯ เขาเป็นอุปัชฌาย์ผูกขาดอยู่แล้ว
    คณะทำงาน : แล้ววัดราชโอรส รู้จักไหมครับ
    พยาน 1 : รูปร่างเล็กๆ หลังค่อมๆ นิดหน่อยใช่ไหม ไป..เหมือนกัน เคยเจอ แต่ตอนนั้นตามไปกับสมเด็จช่วง เป็นพระราชอะไรไม่รู้นะ เราจำไม่ได้

      

    คณะทำงาน : เรื่องเสี่ยคนหนึ่งที่เข้าไปพัวพัน เรื่องปั่นหุ้นนะครับ พอทราบเรื่องไหม
    พยาน 1 : เรื่องปั่นหุ้นเกิดขึ้น เพราะธัมมชโยต้องการให้เสี่ย… เล่นหุ้นให้ตัวเอง เพราะธัมมชโยฝันว่าอยากมีธนาคารเป็นของตัวเอง ให้เสี่ย… ไปเล่นหุ้นแทน ลงทุนอาศัยคนอื่น ใช้ชื่อคนอื่น เอ้อ.. ตอนแรกธัมมชโยทาบทามผู้หญิงที่เล่นหุ้นอยู่ก่อนแล้ว ชื่อ อรุณี วัชระภูษิต มีร้านเพชรที่สีลมเล่นหุ้นให้ แต่คนๆ นี้เขาไม่เอา เขาเห็นว่าไม่เหมาะสม และเขาหายจากวัดไปเลย ธัมมชโยก็เลยติดต่อเสี่ย… ซึ่งตอนนั้นตกงาน เป็นหมอนวดให้ธัมมชโย
    คณะทำงาน : พบเสี่ยคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ
    พยาน 1 : ปี 26-27 น้องเขาที่เป็นพระอยู่ตอนนี้นะยังเป็นนักเรียนอยู่ เสี่ย…ยังอาศัยบ้านคนอื่นอยู่ ทำงานระบบซื้อขายล่วงหน้าคอมโมดิตี้ส์ หาสมาชิก เขามีเป้าหมายเข้าหาและประกบคนรวยภายในวัด
    คณะทำงาน : เรื่องแชร์น้ำมันพอรู้เรื่องไหม เราพอจะทราบบางส่วน แต่อยากฟังจากปากบ้าง ได้ไหมครับ
    พยาน 1 : มีแชร์น้ำมัน ค้าน้ำมันด้วย เอาอะไรก่อนล่ะ… เราเรียงลำดับให้นะ แชร์ชม้อย ทิพย์โส ธัมมชโยรู้ตัวว่าจะเจ๊งก่อน ได้เงินกลับมาพร้อมฟาดกำไรเกือบ 30 ล้านมั้ง สานุศิษย์ที่หลงเชื่อเจ๊งหมด คุณประวาทก็เจ๊งประมาณ 16 ล้าน นั่งร้องไห้ริมสระน้ำเลย เรายังเข้าไปปลอบเข้าคุณอาประวาทเลย
    คณะทำงาน : มีแชร์ลูกโซ่อีก 2-3 อัน รู้เรื่องไหม
    พยาน 1 : แชร์แม่นกแก้ว ใจยืน เป็นทหารนะ ชอบแต่งชุดทหารมาพบธัมมชโย บางทีมากับพันเอกเอารถตู้กองทัพอากาศมาเลย ธัมมชโยเล่นไปด้วย ช่วงนี้เราไม่รู้จำนวนเงินเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ธัมมชโยเจ๊ง เขาว่ากันยังงั้น
    คณะทำงาน : แชร์อื่นมีอีกไหม พวกเสมาฟ้าคราม ชาร์เตอร์ หรือเล่นคอมโมดิตี้ส์ไหม
    พยาน 1 : มีชาร์เตอร์เอกยุทธ แต่เล่นไม่มาก เจ็บตัวเหมือนกัน
    คณะทำงาน : ได้ข่าวว่าค้าน้ำมันจนกระทรวงพาณิชย์ถอนใบอนุญาต สีกา ว. ทำให้สูญเงินหลายสิบล้าน เรื่องค้าตั้งบริษัทน้ำมัน
    พยาน 1 : เราไม่รู้ละเอียดนัก แต่เราถูกส่งไปเรียนเรื่องค้าน้ำมัน พร้อมกับถวัลยศักดิ์+เลอศักดิ์ ไปเรียนที่บริษัทน้ำมันอีสาน กับพี่ชัช ไปเรียนที่บ้านคุณวาสนา เป็นสำนักงานในบ้าน ธัมมชโยกำชับถวัลย์ศักดิ์ว่า เราต้องมีบริษัทค้าน้ำมันของเรา ที่แน่ๆ ตอนหลังมารู้ว่าอยากฮุบบริษัทน้ำมันอีสานของพี่ชัชเขา
    คณะทำงาน : ที่ว่าดูดน้ำมัน ดูดไปทำไม ร่วมเหตุการณ์กับเขามั้ย
    พยาน 1 : เราไม่รู้เรื่องกฎหมายปิโตรเลียม รู้แต่ว่าถูกเพิกถอนใบอนุญาตค้าน้ำมัน ธัมมชโยสั่งให้ดูดน้ำมันสำรองจากแท็งก์ของบริษัท อีสานออยล์ น้ำมันอีสานอันเดียวกัน ไม่นานกระทรวงพาณิชย์ก็มาตรวจน้ำมันสำรอง แต่ไม่มี จึงถูกสั่งปิด
     
  17. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    ตามพระลิขิตซึ่งเป็นพระบรมราชวินิจฉัยของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชทั้ง ๕ ฉบับต่อกรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
    ฉบับที่ ๑

    "ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไปกลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้ามเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยกเป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการกระทำที่ถูกต้อง คือ ต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที

    ฉบับที่ ๒

    การไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาเป็นของตน แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ยังไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา "

    ฉบับที่ ๓

    "การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปคือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาราชิกฐานผิดพระธรรมวินัยพ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึกหรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยอัตโนมัติ

    ที่ประกาศเป็นลายลักษณ์อักษรก็เพื่อเตือนให้รู้ทั่วกันว่า ผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นไม่ใช่พระในพุทธศาสนา เป็นเพียงผู้นำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง เป็นพระปลอม ต่อจากนั้นย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รักษากฎหมาย หรือของผู้มีหน้าที่ในการพุทธศาสนา จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาไม่ให้มีพระปลอมมาทำลาย ทำให้เสื่อมเสีย เช่นที่ผู้รักษากฎหมายเคยทำมาแล้ว เคยบังคับให้เป็นผู้ปลอมเป็นพระ ถอดผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากตัว การปฏิบัติต่อพระปลอมต้องไม่มีแตกต่างกัน ต้องไม่มียกเว้นว่า คนนั้นปลอมได้คนนี้ปลอมไม่ได้ เป็นพระปลอมมีอยู่ในพุทธศาสนาไม่ได้ทั้งนั้น

    ประกาศนั้นเป็นคำบอกเล่าเป็นคำเตือนให้รู้ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับมหาเถรฯไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับใครให้ทำอะไร แสดงความถูกผิดให้ปรากฏอยู่เท่านั้น ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงต้องทำหน้าที่ส่วนตนให้เรียบร้อยถูกต้อง บอกความจริงด้วยความหวังดีมิได้บังคับ จงเข้าใจทั่วกัน"

    ฉบับที่ ๔

    " ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม "

    ฉบับที่ ๕

    " ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ ว่าในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริณายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ

    ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งฟังรับรู้ในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 " <!--MsgFile=1-->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  18. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    การทำบุญของวัดพระธรรมกาย
    วัดพระธรรมกาย มูลนิธิธรรมกายได้ชักชวนการบริจาคโดยอ้างเอาความศักดิ์สิทธิ์ของพระของขวัญเป็นรางวัล ซึ่งปรากฎตามหนังสือ "อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ" หน้า 35 กล่าวว่า " พระมหาสิริราชธาตุนี้ เป็นของหายาก บังเกิดขึ้นได้ยากในโลก เทวดาได้ดูแลรักษาเอาไว้ มีอายุ 200 ล้านปีขึ้นไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หายาก ศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพมากพระนิพพานได้ผลิตของขวัญนี้ขึ้นมามอบให้กับผู้สร้างพระธรรมกายประจำตัวเพื่อเป็นของศักดิ์สิทธิ์คู่บุญสำหรับผู้มีบุญ"

    อนึ่งการบริจาคสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัววัดพระธรรมกายได้ให้แนวงทางแก่ผู้ที่บริจาค
    องค์พระดูดทรัพย์ไว้ โดยการบริจาคหลายครั้งรวมกัน และได้มอบพระคะแนนสูงสุด แก่ผู้แทนของวัดที่สามารถชักชวนผู้อื่นมาบริจาคสร้างพระธรรมกายได้ 10 องค์
    มอบพระคะแนนสุดฤทธิ์ แก่ผู้แทนที่ชักชวนผู้อื่นมาบริจาคได้ 20 องค์
    มอบพระคะแนนสุดฤทธิ์พิเศษแก่ผู้แทนที่ชักชวนผู้อื่นมาบริจาคได้ 50 องค์
    และมอบพระคะแนนสุดเดช แก่ผู้แทนที่ชักชวนผู้อื่นมาบริจาคได้ 100 องค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2007
  19. hoto

    hoto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +720
    <CENTER>+++ เครียดมากทำไงดี ถูกผู้จัดการบังคับให้ซื้อพระธรรมกายประจำตัวของวัดพระธรรมกาย ++++ </CENTER>
    <!--detail--><!--images-->
    <CENTER>[​IMG]
    </CENTER>
    <!--images-->เราไม่อยากซื้อหน่ะ ถูกผู้จัดการบังคับให้ซื้อพระธรรมกายประจำตัวของวัดพระธรรมกายค่ะ องค์ละ 15,000 บาท ผู้จัดการอ้างว่า " ถูกแล้ว 15,000 คนอื่นเช่าแพงกว่านี้อีก บุญกุศลถ่วมท้นแรงจริง ๆ แล้วพวกเราจะได้ไปสวรรค์ระดับดุสิตบุรีย์พร้อม ๆ กัน ที่นั้นมีแต่พระโพธิสัตย์และพระอรหันตร์ เป็นแดนสุขสวดีที่เป็นอมตะ ฯลฯ " อะไรก็ไม่รู้ ชอบเพ้อแบบนี้ทุกวัน โดยหักจากเงินเดือน เดือนละ 1,000 บาท ซื้อแล้วเก็บใว้ในเจดีย์ ตอนนี้ทุกคนเดือดร้อนมากค่ะ เริ่มหักเงินเดือนสิ้นปีนี้ประเดิมคนละ 1000 บาท แต่พูดไม่ออก เดี๋ยวซวย ทำยังไงดีค่ะเดือนร้อนมากค่ะ

    http://webboard.mthai.com/10/2006-12-24/291464.html
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,900
    ชีวิตมันก้อเป็นของมันเช่นนั้นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...