เรื่องเล่าเรื่องแปลก เมื่อครั้งโจโฉ ฝึกพลังกายทิพย์(คุณย่าเยาวเรศ)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย โจโฉ คร้าบบบ, 27 พฤศจิกายน 2006.

  1. โจโฉ คร้าบบบ

    โจโฉ คร้าบบบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +1,550
    พอดี เห็นกระทู้ เกี่ยวกับคุณย่าเยาวเรศ ก็เลย ว่าจะลากลิงก์ไปให้เพื่อนๆ อ่านกัน แต่เวปที่โพสต์ไว้ เดี้ยงไปหล่ะ เลย เอามารื้อฟื้น เล่ากันสนุกๆนะ อย่าไปคิดอะไร ภาษาของผมก็อาจจะไม่สละสลวย แต่ก็เหมือนเล่าสู่กันฟัง ดิบๆ นี่หล่ะ ยังไม่ได้อ่านทวน เพราะเขียนทิ้งไว้หลายปีแล้ว

    ตอนนี้โตขึ้นมาก ความเข้าใจในธรรม และการอธิบาย อาจจะดีกว่าที่เขียนไว้มีหลายครั้งนะ ที่หลายคนคงเข้าใจดีว่า เราเข้าใจแต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่เนื่องจากขณะนี้ ข้าพเจ้า งานเยอะโคดๆ เลยไม่มีเวลามาแก้ไข หรือทวนอีกรอบ

    เอาเป็นว่า คิดซะว่าอ่านนิยายเรื่องนึงนะ.. อย่าไปหาสาระเลย
    เห็นว่า ศิษย์เก่าพลังกายทิพย์ ที่นี่มีเยอะพอสมควร ถือซะว่า เล่าประสบการณ์แบ่งกันละกานนนน หุๆ

    ทุกอย่าง เป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าศึกษากันจริงๆ

    อย่าลืมว่างๆ แวะไปเจิมบล๊อกด้วยนะคร้าบบบบ..​

    บล๊อกโฉ คร้าบบบ
    ไปนะๆ พลีสสสสสสสสสส .. (พร้อมทำตาอ้อนวอน)​

    [​IMG]

    ************
    [MUSIC]http://www.palungjit.org/club/uploads/jochokrub_change_jozho.mp3[/MUSIC]​

    ตอนที่ 13 .. ฝึกวิชากายทิพย์
    -
    โจโฉ

    หลังจากเลิกเหล้า และอบายมุขต่างได้ไม่นาน ก็ ให้บังเอิญเปิดทีวีไปเจอเขาบรรยายเรื่อง พลังจักรวาล ซึ่งทำให้ผมสนใจมาก รู้มาว่า เป็นวิชา ของอียิปโบราณ ที่นักโบราณคดีชาวศรีลังกาท่านหนึ่งไปถอดคำจารึก มาจากปิรามิด แล้วมาลองฝึกดู ปรากฏว่าท่านฝึกสำเร็จ ทำให้มีหูทิพย์ ตาทิพย์ และสามารถนำพลังจากการฝึกนั้นมารักษาโรคได้ ภายหลังท่านจึงมาบวชในพระพุทธศาสนา นามของท่านคือ หลวงปู่ดาสิรา นาราดา

    วิชานี้ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก โดยเฉพาะอเมริกาดูจะหนักกว่าใครเลย ขนาดมีตราสัญลักษณ์ ของ พลังจักรวาล หรือ Astrara ในแบงค์ดอลล่าของตัวเอง เชื่อกันว่าด้วยเหตุนี้เอง ค่าเงินของอเมริกาจึงมั่นคง และเป็นหนึ่งในโลก แต่ก็เป็นแค่ความเชื่อ ผมก็ขำนะ ที่ใครๆก็มักจะมองคนไทย คนเอเชียว่าล้าหลัง งมงาย เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่เขากลับเชื่อและบางทีก็ดูจะยึดถือยิ่งกว่าเราซะอีก เคยเห็นบางคน เขาโจมตีว่าคนพุทธโง่ นั่งไหว้ ดิน ไหว้ปูน ซึ่งเขาเหมาเอาว่า พระพุทธรูป ที่เราไหว้เป็นแค่วัตถุ หาว่าเราโง่เอาดินมาคล้องคอ หลงงมงาย

    เรื่องนี้ ผมเคยได้ยินพระรูปหนึ่งท่านแก้ต่างให้ น่าฟังมาก ท่านว่า ถ้าไหว้พระพุทธรูปหรือการไหว้พระเครื่อง เป็นการงมงาย โง่ไปไหว้ดิน อย่างนั้น เวลาเราไหว้ คน หรือทำความเคารพ บุคคลชั้นสูง หรือแม้แต่ พ่อแม่เรา ก็ถือว่ายิ่งโง่ใหญ่ซิ เพราะถ้ามองกันจริง ๆ ก็ในตัวคน มีทั้ง ขี้ ทั้งเยี่ยว ของเสียสารพัด ไม่เท่ากับว่าเรากำลังไหว้ กำลังเคารพ ขี้เยี่ยว และของเสียเหล่านั้นหรือ
    เขาไหว้ เขาเคารพที่ความดีต่างหาก เราใช้พระเครื่อง พระพุทธรูปเป็นเสมือนสิ่งแทนพระพุทธองค์ ให้ได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้อยู่ในพุทธคุณให้ระลึกถึง พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เป็นพุทธานุสติ บางคนเคยบอกผมว่า พุทธแท้ ต้องไม่ห้อยพระไม่สนใจพระเครื่อง เพราะใช้แค่จิตที่ยึดเหนี่ยว มันก็ถูกนะแต่ไม่ใช่ทั้งหมด

    เราต้องไม่ลืมว่า คนเราไม่เหมือนกัน บางคนก็อาจจะจำเป็นต้องมีพระอยู่กับตัว เพื่อเตือนสติ เพื่อระลึกถึง ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาและศรัทธายังไม่มั่นคงพอ เราก็ควรมีสิ่งเคารพเหล่านี้ไว้เพื่อระลึกถึงพระพุทธองค์อยู่ดีแหละ อย่างน้อยการได้กราบไหว้ พระพุทธรูปหรือพระเครื่องก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้กราบไม่ใช่หรือ แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่ที่ใจทั้งนั้น ถ้าเข้าใจจริง มีปัญญาจริง มีวัตถุให้กราบหรือไม่ ก็ไม่สำคัญสำคัญที่ว่าได้เห็นได้กราบถึงพระองค์จริงแล้วหรือยัง หมายถึงเข้าใจธรรมะมีดวงตาเห็นธรรม มีสติ เห็นความทุกข์แล้วหรือยัง เพราะทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นทุกข์ ขึ้นชื่อว่าผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นก็เท่ากับได้เห็นตถาคต

    วันนั้นหลังจากที่ได้ดูทีวีเรื่องพลังจักรวาลก็สนใจมาก เห็นเขาจะจัดอบรมก็เลยไปมันคนเดียวเลย ไปนั่งฟังกับเขาก็เหมือนตัวประหลาดยังไงไม่รู้ซิ ทั้งบุคลิกการแต่งตัว ทรงผม ฟังบรรยายจนจบ แล้วก็ตามไปสมัครอบรมที่ รร.สันติราษฎร์ มีการจัดสอนเป็นเวลาประมาณสิบวันในระดับแรก วิชานี้โดยทั่วไปก็จะเรียกว่าพลังจักรวาล แต่ที่ผมไปฝึกเขาจะเรียกว่า พลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ
    ยอมรับเลยว่ามีความสุขมากที่ได้มาอบรม ถึงแม้จะต้องอดนอน เสียเวลามาก็ตาม แรก ๆ ก็ไม่เชื่อหรอกว่าพลังพวกนี้จะมีจริง เพียงแค่อยากพิสูจน์ และที่รู้สึกดีมากคือ บรรยากาศภายใน รู้สึกมีแต่คนดี มีกระแสเมตตาอบอวล จากที่เคยอยู่กับบรรยากาศอันมืดมน อยู่ในสังคมอบายมุข พอมาเจอแบบนี้เลยรู้สึกเป็นสุขอย่างประหลาด เหมือนเข้าร้านน้ำหอม เข้าร้านดอกไม้ ก็อดที่จะรู้สึกหอมไปด้วยไม่ได้

    ตอนแรกก็กลัวจะเป็นเรื่องไสยศาสตร์ หรือนอกลู่นอกทาง แต่พอมาอบรม ผมก็เริ่มสนใจเพราะสิ่งที่ได้รับนอกจาก วิชากายทิพย์แล้ว ส่วนใหญ่อาจารย์ผู้สอน (อ.ชวลิต ฯ การบินไทย) ท่านก็จะเน้นที่การอบรมธรรมในทางพระพุทธศาสนาเป็นหลัก และวิชานี้ อาจารย์เขาบอกว่า ผู้ที่ฝึกจำเป็นที่จะต้องรักษาศีลห้าด้วย ถึงจะได้ผลดี ผมเลยยิ่งชอบใหญ่ และคิดว่าน่ามีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อยก็เป็นการบังคับให้ทุกคนถือศีลห้าทางอ้อม

    หลักของวิชานี้ จะอธิบายเป็นกึ่งวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่ไสยศาสตร์อย่างที่เข้าใจ ก็เป็นเรื่องของ รังสี ความร้อน ลมปราณ และเรื่องของ ระบบภายในที่ตรงกับทางโยคะส่วนหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไง แต่เพราะผมเรียนวิชานี้ ผมเหมือนจะเข้าใจถึงความเกี่ยวข้องกันในหลายๆเรื่อง เช่น ระบบร่างกายในชีวิตที่เรามองไม่เห็น เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของวิชาต่าง ๆ ว่าจริง ๆแล้วก็มีพื้นฐานใกล้เคียงกัน เพียงแต่อธิบายและดึงจุดเด่น ในแต่ละพลังออกมาต่างกัน

    หลายๆวิชาก็คงเป็นใบไม้นอกกำมือที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั่นเอง วิชาหลายอย่างนั้นมันล้ำลึกพิสดาร ทำได้มากกว่าที่เราคิดและคาดถึง แต่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรไปเสียเวลา หรือไปยึดมั่นกับมัน เพราะว่าถึงแม้เราจะฝึกวิชาเหล่านี้สำเร็จ แต่ถ้ายังมีกิเลส ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั่นเอง แต่เมื่อรู้หรือเคยฝึกมาแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยให้เราเข้าใจคนในสังคมบางกลุ่มและความแตกต่างในแต่ละอย่าง มีประโยชน์ในแง่เปรียบเทียบและเอาไว้บอกต่อคนอื่นได้เหมือนกัน วิชาหลายๆอย่าง ต้องอาศัยสมาธิเป็นหลัก หรือฝึกไปแล้วจะไปเสริมฐานของสมาธิให้มั่นคงได้ ถ้านำมาพัฒนาต่อนำมาใช้ให้ถูกทางก็มีประโยชน์มาก กลับกันถ้าผิดทางก็มีโทษมากเช่นกัน

    เรื่องแปลกๆ หลังจากฝึกกายทิพย์ฯ

    มีอยู่หลายเรื่องที่ผมอธิบายไม่ถูกว่าบังเอิญหรือว่าเป็นเรื่องจริง อย่างครั้งแรกตอนไปฟังบรรยาย ก่อนจะจบรายการ คุณย่าเยวเรศ บุญนาค ซึ่งเป็นประธานหัวใจหลักในการเผยแพร่สายนี้ในประเทศไทย ท่านก็แผ่พลังมาให้กับทุกคน ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าคืออะไร เขาให้ทำอย่างไรก็ทำตามคนอื่นไป แต่ท่านก็บอกว่าคนที่มีพลังอันนี้อยู่จะพบกับสิ่งประหลาด เหมือนกับมีสัมผัสพิเศษ
    ยิ่งคนที่ฝึกได้ซักระยะแล้ว เขาบอกไม่ให้คิดอะไรกับคนอื่นในแง่ไม่ดี เพราะเมื่อมีพลังถึงขั้น เหมือนกับจิตเรานิ่งมีพลัง สามารถใช้พลังจิตช่วยคนอื่นได้บ้างตามกำลังบุญ หรือ พลังนี้อาจไปทำร้ายใครได้ ถ้าเขาเป็นคนที่มีกรรมไม่ดีให้ผลอยู่ อย่างเช่นหลังฝึกสมาธิ หรือฝึกพลังนี้คงที่แล้ว มันจะคล้ายกับเรามีฤทธิ์ ถ้าเราอวยพร ให้ใคร ก็เหมือนกับไปเสริมให้เขา หรือถ้าเราแช่งใคร ถ้าเขาไม่มีบุญปกป้องก็จะทำร้ายเขาได้


    อธิฐานให้คนอื่นถูกหวย

    พูดถึงพลังอธิฐานทางจิต ก็เคยลองบางครั้งโดยเฉพาะช่วงที่จริงจังกับการฝึกสมาธิ ผมอวยพร ขอแผ่บุญไปให้ใคร ก็มักจะได้เป็นรูปธรรม ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่ทำดี หรือมีบุญคุณกับผมก่อนจะได้ง่ายมาก อย่างเช่นผมเคยลองอธิษฐานให้ แม่ถูกหวย แม่ก็ถูก ขอให้พ่อ พ่อก็ถูก แต่ขอให้พี่สาว กลับเฉียดไปนิดเดียแฮะ รวมบางคนและบางเรื่องด้วย ก็ไม่ได้ลบหลู่ หรือจะเชื่อมั่นหรอกนะว่าจริง แต่ลองมาก็สำเร็จมาหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ทุกครั้งจะสำเร็จได้ คนๆ นั้น ต้องเคยให้อะไรกับผมบ้าง หรือมีบุญเก่าอยู่พอสมควร ยิ่งคนที่มีบุญคุณกับผมด้วยยิ่งได้ไวใหญ่ แต่ก็ไม่มากหรอกนะ

    อย่างพ่อแม่ผม ตอนผมลอง ท่านก็ไม่ได้ถูกหวยเยอะหรอก แต่ผมก็เข้าใจเอาเองว่า น่าจะเป็นเพราะ เขาไม่เคยทำบุญใหญ่ๆด้วยใจบริสุทธิ์หรือด้วยศรัทธาหมดหัวใจจริงๆ หรือไม่โดนเนื้อนาบุญของจริง จึงส่งผลไม่มาก ทุกอย่างต้องมีเหตุและผล อย่างน้อยต้องมีบุญเก่ามาก่อนทั้งนั้น ถ้าทุกคนเชื่อเรื่องกรรมจริงๆ จะรู้ว่า ไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ ที่จะได้มาฟรี ๆ

    สุข หรือทุกข์ที่ได้รับ เกิดจากการกระทำของเราทั้งนั้น ที่ไม่รู้ว่าทำไว้แต่ตอนไหน แต่ก็ส่งผลข้ามภพข้ามชาติเสมอมา ตัวอย่างในสมัยพุทธกาลก็มี พระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานการบวชให้ มักจะมีจีวร ผ้าไตรทิพย์เกิดขึ้นเอง แต่กับบางท่านที่ไม่เคยทำบุญในศาสนาพุทธมาเลย ก็ปรากฏว่า แม้จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว แม้จะอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์ที่มีฤทธิ์จะบันดาลผ้ากี่ผืนก็ได้ ก็ยังไม่สามารถเนรมิตผ้าไตรมาให้พระอรหันต์องค์นั้นได้เลย เพราะไม่เคยทำบุญไว้ในพุทธศาสนา


    เป็นตัวอย่างให้ทุกท่านได้คิด ก่อนที่จะไปบนบานศาลกล่าวที่ไหน ขอให้คิดเสมอว่า เราต้องเป็นคนดี ทำดีด้วย เทวดาถึงจะช่วยได้ หรือแม้แต่ช่วยแล้ว ก็เท่ากับเป็นการเบิกบุญเก่ามาใช้ เอากรรมดีที่เคยสร้างไว้เมื่อชาติก่อนมาใช้หมด ถ้าไม่ทำเพิ่ม ตานี้หละ กรรมชั่วที่เคยทำก็จะได้โอกาสส่งผล ล้วนๆ แล้วจะร้องไม่ออก ก่อนจะขออะไร คิดให้ดีก่อนดีกว่า ว่าจำเป็นจริงๆ หรือเปล่า ไม่งั้นตอนจำเป็นจริงๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ เบิกเงินในธนาคารมาใช้หมดแล้วนั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลยเมื่อถึงคราวจำเป็น



    ความโกรธหนอความโกรธ

    เรื่อง ลองอธิษฐาน ใช่ว่าจะลองแต่เรื่อง ดี ๆ เท่านั้น เมื่อก่อนเป็นคนโกรธง่าย แล้วก็อาฆาต ฝังใจ แต่เดี๋ยวนี้ ก็เหลือแต่ความโกรธบ้างเวลาที่ขาดสติแต่ก็หายในเวลาไม่นาน เรื่องความโกรธนั้น ตอนแรกเคยนึกว่าหมดไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองหมดโกรธแล้ว ก็จะมีอะไรมาทดสอบเสมอ ไม่ว่าครั้งไหน ถ้าใจคิดว่าเราแน่แล้ว ไม่โกรธแล้ว ก็มักจะมีคนมาหาเรื่องในวันนั้นเลย ไม่ได้รู้จักกัน ไม่มีเหตุต้องมีเรื่องกัน ก็มีจนได้ ทั้ง ๆ ที่เราก็อยู่เฉย ๆ

    แล้วพอความโกรธเกิดขึ้น เราก็ได้รู้ว่า อ๋อ ที่แท้มันนอนก้นอยู่นี่เอง โถ หลงคิดว่าแน่ ทำให้ต้องอับอาย ผู้คนมาเยอะ โดยเฉพาะคนที่มองเราดีมาตลอด หรือเห็นแต่ด้านดีๆ บางทีนะ สติขาดนิดเดียว ความดีที่สะสมมามันก็แทบไม่เหลือเลย บางที ฝึกเจริญเมตตา จนคิดว่าแน่ ก็คิดในใจว่า เอาหละ วันนี้ขออีกทีซิ รับรองไม่พลาดเราจะต้องสู้ได้ วันนั้นก็เจออีก แล้วก็แพ้มันอีก ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด

    พูดถึงเรื่องโกรธแล้วขอ พูดแบบวิทยาศาสตร์หน่อยละกัน เขาว่ากันว่า เวลาเราโกรธทุกครั้ง ร่างกายจะหลั่งสารตัวหนึ่งออกมา แล้วก็จะฝังไปตามกล้ามเนื้อและกระดูก สารเหล่านี้จะทำอันตรายต่อร่างกายอย่างมากแต่จะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นโบราณจึงมีคำกล่าวที่ว่า เกลียดเข้ากระดูกดำ เพราะสารตัวนี้จะไปเกาะที่กระดูกหรือแพร่ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้คนที่มักโกรธ ขี้โมโห เจ็บป่วยง่ายกว่าคนอื่น แล้วตอนตาย เขาให้สังเกตเลยว่า คนใจเป็นอย่างไรให้ดูคร่าว ๆ ที่กระดูก ถ้าขี้โกรธ ส่วนใหญ่ จะกระดูกดำปี๋เลย
    ส่วนพระอรหันต์ หรือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้น เราเข้าใจกันว่าร่างกายและกระดูกของท่านจะบริสุทธิ์จริง ๆ เพราะคนที่จิตใจดี มีความเมตตา เจริญสมาธิ วิปัสสนาอยู่เป็นประจำ จะมีสารเอ็นโดรฟิน หลั่งออกมาจากสมอง เป็นสารแห่งความสุข บวกกับลมหายใจที่ละเอียดซึ่งเป็นผลจากการภาวนา ก็จะฟอกเลือดให้สะอาด ดังนั้นเมื่อร่างกายสะอาด กระดูกก็ มักจะขาวสะอาด หรือไม่ก็แปรสภาพไปเป็นพระธาตุยังไงละ เชื่อว่าหลายคนก็คงจะเคยเห็นมาบ้างแล้ว แต่ก็มีบางแห่งเชื่อว่าอยู่ที่การอธิฐานจิตด้วย ถ้าพระอริยะบางองค์ไม่ประสงค์จะให้เป็นพระธาตุก็ไม่เป็น (มั้ง)


    แช่งเครื่องบิน ดันตกจริงๆ

    ความรู้สึกที่ผม ภาวนาว่าขออย่าให้เป็นจริงเลย ก็คือเมื่อตอนเริ่มจริงจังกับการฝึกสมาธิ สวดมนต์ แถวที่พักผมจะมีเครื่องบิน ๆ ผ่านบ่อยมากตอนกลางคืน แรก ๆ ก็ทนได้ แต่พอนาน ๆไป ก็เริ่มหงุดหงิดจนทนไม่ได้ เพราะเสียงดัง และมาบ่อยมาก

    วันหนึ่งก็นั่งสมาธิตามปกติ ทำไปซักพัก จิตเริ่มจะเข้าที่ เครื่องบินเจ้ากรรม ก็บินวนกันบ่อยมาก จนทนไม่ไหว คงเป็นเพราะบารมียังอ่อนอยู่ด้วย ก็เลยเผลอแช่งออกไป ด้วยอารมณ์ที่ผมเคยบอกไว้แต่แรกว่าถ้าอารมณ์ผมเป็นอย่างนี้ได้เรื่องทุกที สุดโต่งแล้วมันจะจี๊ดขึ้นสมองเลย พูดไม่ถูกเหมือนกัน ก็เผลอแช่ง ขอให้มันตก รู้สึกรำคาญ รบกวนเราอยู่ได้ทุกวัน ตอนนั้นก็อารมณ์ชั่ววูบแหละ แต่พอมันผ่านไป เราก็ไม่ได้ติดใจอะไร ก็ทำสมาธิต่อ แล้วก็สวดมนต์ เข้านอน
    แต่อีกวันนะซิ ข่าวออกว่าเครื่องบินตก ซึ่งก็ตกในประเทศเรา แล้วระยะเวลาก็ไม่ห่างจากตอนที่แช่งมันไม่เท่าไหร่ พอได้ฟังข่าว คิดอย่างเดียวว่า ซวยแล้ว หวังว่าเมื่อคืนเราคงไม่ได้เกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาพอดีหรอกนะ แต่อีกใจก็คิดว่า มันคงบังเอิญหรอกน่า ถ้าจะฟลุคจริงๆ ก็คงเป็นเพราะ ไอ้คนบนเครื่องมันอาจจะทำชั่วมาจวนเจียนจะถึงเวลา แต่ยังขาดอีกนิดหน่อย พอเราไปเสริม มันเลยได้โอกาสให้ผลเลยไง ก็ได้แต่ภาวนา ว่าอย่าให้เป็นจริงเลย เพราะถ้าเป็นจริง ผมต้องไปรับกรรมอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ฟังแล้วเหมือนผมเพี้ยนๆมะเนี่ย


    ไปหาเพื่อนไม่ถูก แต่ขับรถไปจอดหน้าร้านโดยบังเอิญ

    หลังจากที่ผมรับพลังครั้งแรก ผมก็กลับบ้าน แต่ก่อนกลับ ก็คิดถึงเพื่อนที่ไม่เจอกันหลายปี ได้ข่าวว่าเขาเปิดร้านอาหาร พอรู้คร่าวๆว่าอยู่แถวไหน ก็เสี่ยงไป ในใจยังคิดเลยว่า คงเจอกันยากหรืออาจไม่เจอเลย ถือซะว่าขับรถเล่นแก้เซ็ง แต่ก็ให้บังเอิญแบบไม่น่าเชื่อ ผมขับไปมั่วๆ ตั้งไกล เลี้ยวไปเลี้ยวมาแบบไม่ตั้งใจ ซอยที่ไปค่อนข้างลึก และมีทางตัดไปมาค่อนข้างมาก สุดท้ายก็มีเหตุให้ขับเข้าไปในซอยแยกเล็กๆ ซอยหนึ่ง แล้วผมก็จอดเยื้อง ๆ เลยหน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง ไปหน่อย ก็ไม่ได้เอะใจ คิดว่าคงไม่ใช่

    มองเห็นคนกินเหล้าอยู่อีกฝั่งของหน้าร้าน เป็นโต๊ะไม้เล็ก ๆ แต่ด้วยความเป็นคนขี้อาย ก็ไม่กล้าเข้าไปถาม เพราะคนเยอะ ก็ขับเลยไปอีกหน่อย เห็นคนกำลังเดินผ่านมา ก็ถามว่าร้านอาหารชื่อนี้อยู่ไหน เขาก็บอกว่าซอยนี้แหละ ผมก็เลยหันไปมอง ว่าสงสัยร้านที่เราไปจอดเมื่อกี้นี้แหละ แต่ตอนแรกไม่ได้สังเกตป้ายชื่อร้าน

    ขับย้อนไปที่หน้าร้าน มองใกล้ๆ ก็ถึงได้เห็นเพื่อนผม นั่งกินเหล้าอยู่ตรงที่ผมเห็นตอนแรกนั่นแหละ ผมถึงกับงงว่า ตกลงนี่มันบังเอิญหรือว่าอะไร ผมขับรถมาตั้งไกล โดยไม่รู้ละเอียดว่าร้านอยู่ที่ไหน แต่ทำไมผมเลี้ยวไปเลี้ยวมา แล้วมาจอดตรงหน้าร้านเพื่อนผมได้พอดีเป๊ะ ตอนนั้น นึกถึงแต่คำพูดของคุณย่า ที่ว่า ถ้าเราได้รับพลังนี้แล้ว จะมีสัมผัสพิเศษ ซึ่งผมก็ค้านในใจในตอนแรก ว่าจะเป็นไปได้ยังไง เพราะผมไม่ได้ฝึกอะไรมาเลย แค่มายืนรับพลังเนี่ยนะ ก็ได้แต่คิดโต้แย้งอยู่ในใจเท่านั้น

    แต่เหตุการณ์ ที่ผมขับรถไปเจอเพื่อน จอดหน้าร้านมันพอดี จะว่าผมบังเอิญมาเอง มันก็ไม่น่าจะใช่ วันนั้นงงมากไม่รู้จะหาเหตุผลได้อย่างไร ว่าทำไมขับมาไม่ได้ถามทางใครเลย แต่มาจอดหน้าร้านมันเลย มันก็แปลกที่ ทุกครั้งที่ผม สงสัยหรือไม่เชื่อในเรื่องพวกนี้ก็จะมีเหตุการณ์ ที่หาเหตุผลไม่ได้อย่างนี้กับผมมาตลอด เหมือนกับมีอะไรดลใจให้ผมได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่อยากจะงมงายหรอกนะ แต่บางครั้งมันก็อดคิดไม่ได้


    รอยยิ้มกับการอ่านใจ ของคุณย่าฯ

    อีกเรื่องหนึ่งที่จะว่าคิดไปเองก็คงไม่ใช่ เพราะมันไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้น ตอนที่เรียนจบขั้นแรก ก็จะมีขั้นที่สอง ที่จะสามารถฝึกจนรักษาคนอื่นได้ ผมก็ไปฝึกรวมกับคนซึ่งเยอะมาก โดยครั้งนี้คุณย่าเยาวเรศฯ มาสอนเองเลย ก็เรียนไปตามปกติ

    ผมก็สังเกตุว่าคุณย่ามักจะยิ้มให้กับคนทั่วไปและดูว่าเขาจะดีกับพวกผู้ใหญ่เป็นพิเศษ ก็เป็นคนขี้น้อยใจอยู่แล้ว ก็เลยคิดไปเอง ก็คิดเอาเองว่า เป็นเพราะคนอื่นเขาดูเหมือนเราเป็นคนไม่ดี เป็นเด็กเกเรหรือเปล่า เขาถึงไม่ค่อยสนใจเรา ดูคุณย่าซิ ไม่เห็นยิ้มให้เราเลย เห็นเขายิ้มให้คนอื่นตั้งมากมาย พอหันหน้ามาทางเราก็หน้าบึ้งตลอด ผมก็ได้แต่คิดน้อยใจไป อีกใจหนึ่งก็คิดเอาว่า เออ ไม่เป็นไร ใครจะมองว่าเราไม่ดี ไม่สนใจเรา ก็เรื่องของเขา เราก็ทำดีที่สุดแล้ว
    ก็คิดเรื่อยเปื่อยไป และมันก็ไม่น่าเชื่อ หลังจากที่จิตผมเฝ้าแต่น้อยใจ ทันใดนั้นเอง คุณย่าฯ ก็หันมายิ้มให้ผม และจ้องหน้าผมยิ้มนานมาก โดยไม่หันไปทางอื่น ทั้ง ๆที่ตอนนั้นท่านสอนรวมกับอาจารย์ท่านอื่น สอนโยคะอยู่ ซึ่งก็ต้องหันหน้าไปตามท่าทาง แต่คุณย่าฯ กลับหันมายิ้มให้ผมอย่างเดียว ซึ่งผมก็ได้แต่งง ว่าทำไม อีกใจหนึ่งก็คิดเลยว่า เอาแล้ว เจออีกแล้ว สงสัยคุณย่าอ่านใจผมออกแน่ๆ เลย ถึงได้หยุดยิ้มให้ผมคนเดียว


    ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้ผมละอายใจ ยิ้มแห้ง ๆ ตอบท่านไป แล้วก็คิดด่าตัวเองอยู่ในใจว่า เป็นไงละ ขี้น้อยใจดีนัก คิดเองเออเองไปหมด คนตั้งเยอะแยะ เขาจะดูแลได้ทั่วถึงได้ยังไง มันก็ต้องมีหลงหูหลงตาไปบ้าง ใครจะว่าผมคิดไปเองก็ช่าง ผมก็เชื่อของผม แล้วตั้งแต่นั้นมาเวลาผมคุยกับใคร ผมก็จะคอยระแวง กลัวว่าเขาจะอ่านใจผมออก จริงๆถ้าเป็นคนดีตลอดก็ไม่น่ากลัวนะ แต่นี่ดีผลุบๆโผล่ๆ ก็เลยยังไม่พร้อมที่จะให้ใครอ่านใจ


    เสียงรบกวนจากสิ่งที่มองไม่เห็น......
    ในครั้งฝึกสมาธิครั้งแรกในแนวกำหนดจักระ

    มีเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับการฝึกสมาธิหลังจากที่ไปเรียนกลับมา ถือเป็นการหัดทำสมาธิแบบจริงจังครั้งแรกก็ว่าได้ ก่อนจะนอนก็ฝึกตามที่อาจารย์สอน หายใจเข้าออกทางปากลึกๆ ยาวๆ 3 ครั้งแล้วหลับตา พอปิดเปลือกตาเท่านั้น ปรากฏว่า มีเสียงดังมากคล้ายมีอะไรตกลงจากถาดตู้เย็น แล้วกระแทกอย่างแรง ..ปั้ง
     
  2. kook1519

    kook1519 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +3,159
    อยากไปบ้าง ค่ะ
    แต่ไม่รู้ทาง
    ไม่รู้ว่าระเบียบการเขาเป็นงัยบ้างค่ะ
    อยากลองดู บ้าง
    ไม่ได้หลบลู่นะค่ะ แต่คิดว่าถ้าทำแล้วได้ผล คงช่วยอะไรใครๆ ได้
     
  3. BeerNP

    BeerNP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +338
    โมทนาครับพี่โฉ แต่ตัวเล็กไปนิดนึงฮะ แต่ก้อขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆครับ
     
  4. Aspn

    Aspn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +5,303
    http://www.khunya.in.th ขอให้ตั้งใจจริง และนำไปใช้ในทางที่ดี ช่วยเหลือผู้อื่น จะเป็นประโยชน์อย่างมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2006
  5. โจโฉ คร้าบบบ

    โจโฉ คร้าบบบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +1,550
    ตัวเล็กเหรอ.. เอ.. สงสัยคอมฯ ผมเพี้ยนแฮะ
    เพราะ มาน ตัวเบ้อเริ่มเลย. หุๆ

    เอาเพลงมาแปะ ไม่เกี่ยวไร กับเนื้อเรื่องหล่ะ. หุๆ

    ใส่ผิดเพลงซะงั้น .
     
  6. kook1519

    kook1519 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +3,159
    ขอบคุณค่ะ คุณ Aspn

    จะพยายามที่ละเล็กละน้อย ค่ะ
     
  7. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,329
    ตอนที่ 13 .. ฝึกวิชากายทิพย์

    -
    โจโฉ

    หลังจากเลิกเหล้า และอบายมุขต่างได้ไม่นาน ก็ ให้บังเอิญเปิดทีวีไปเจอเขาบรรยายเรื่อง พลังจักรวาล ซึ่งทำให้ผมสนใจมาก รู้มาว่า เป็นวิชา ของอียิปโบราณ ที่นักโบราณคดีชาวศรีลังกาท่านหนึ่งไปถอดคำจารึก มาจากปิรามิด แล้วมาลองฝึกดู ปรากฏว่าท่านฝึกสำเร็จ ทำให้มีหูทิพย์ ตาทิพย์ และสามารถนำพลังจากการฝึกนั้นมารักษาโรคได้ ภายหลังท่านจึงมาบวชในพระพุทธศาสนา นามของท่านคือ หลวงปู่ดาสิรา นาราดา

    วิชานี้ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก โดยเฉพาะอเมริกาดูจะหนักกว่าใครเลย ขนาดมีตราสัญลักษณ์ ของ พลังจักรวาล หรือ Astrara ในแบงค์ดอลล่าของตัวเอง เชื่อกันว่าด้วยเหตุนี้เอง ค่าเงินของอเมริกาจึงมั่นคง และเป็นหนึ่งในโลก แต่ก็เป็นแค่ความเชื่อ ผมก็ขำนะ ที่ใครๆก็มักจะมองคนไทย คนเอเชียว่าล้าหลัง งมงาย เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่เขากลับเชื่อและบางทีก็ดูจะยึดถือยิ่งกว่าเราซะอีก เคยเห็นบางคน เขาโจมตีว่าคนพุทธโง่ นั่งไหว้ ดิน ไหว้ปูน ซึ่งเขาเหมาเอาว่า พระพุทธรูป ที่เราไหว้เป็นแค่วัตถุ หาว่าเราโง่เอาดินมาคล้องคอ หลงงมงาย

    เรื่องนี้ ผมเคยได้ยินพระรูปหนึ่งท่านแก้ต่างให้ น่าฟังมาก ท่านว่า ถ้าไหว้พระพุทธรูปหรือการไหว้พระเครื่อง เป็นการงมงาย โง่ไปไหว้ดิน อย่างนั้น เวลาเราไหว้ คน หรือทำความเคารพ บุคคลชั้นสูง หรือแม้แต่ พ่อแม่เรา ก็ถือว่ายิ่งโง่ใหญ่ซิ เพราะถ้ามองกันจริง ๆ ก็ในตัวคน มีทั้ง ขี้ ทั้งเยี่ยว ของเสียสารพัด ไม่เท่ากับว่าเรากำลังไหว้ กำลังเคารพ ขี้เยี่ยว และของเสียเหล่านั้นหรือ
    เขาไหว้ เขาเคารพที่ความดีต่างหาก เราใช้พระเครื่อง พระพุทธรูปเป็นเสมือนสิ่งแทนพระพุทธองค์ ให้ได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้อยู่ในพุทธคุณให้ระลึกถึง พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เป็นพุทธานุสติ บางคนเคยบอกผมว่า พุทธแท้ ต้องไม่ห้อยพระไม่สนใจพระเครื่อง เพราะใช้แค่จิตที่ยึดเหนี่ยว มันก็ถูกนะแต่ไม่ใช่ทั้งหมด

    เราต้องไม่ลืมว่า คนเราไม่เหมือนกัน บางคนก็อาจจะจำเป็นต้องมีพระอยู่กับตัว เพื่อเตือนสติ เพื่อระลึกถึง ตราบใดที่ยังไม่มีปัญญาและศรัทธายังไม่มั่นคงพอ เราก็ควรมีสิ่งเคารพเหล่านี้ไว้เพื่อระลึกถึงพระพุทธองค์อยู่ดีแหละ อย่างน้อยการได้กราบไหว้ พระพุทธรูปหรือพระเครื่องก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรให้กราบไม่ใช่หรือ แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่ที่ใจทั้งนั้น ถ้าเข้าใจจริง มีปัญญาจริง มีวัตถุให้กราบหรือไม่ ก็ไม่สำคัญสำคัญที่ว่าได้เห็นได้กราบถึงพระองค์จริงแล้วหรือยัง หมายถึงเข้าใจธรรมะมีดวงตาเห็นธรรม มีสติ เห็นความทุกข์แล้วหรือยัง เพราะทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นทุกข์ ขึ้นชื่อว่าผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นก็เท่ากับได้เห็นตถาคต

    วันนั้นหลังจากที่ได้ดูทีวีเรื่องพลังจักรวาลก็สนใจมาก เห็นเขาจะจัดอบรมก็เลยไปมันคนเดียวเลย ไปนั่งฟังกับเขาก็เหมือนตัวประหลาดยังไงไม่รู้ซิ ทั้งบุคลิกการแต่งตัว ทรงผม ฟังบรรยายจนจบ แล้วก็ตามไปสมัครอบรมที่ รร.สันติราษฎร์ มีการจัดสอนเป็นเวลาประมาณสิบวันในระดับแรก วิชานี้โดยทั่วไปก็จะเรียกว่าพลังจักรวาล แต่ที่ผมไปฝึกเขาจะเรียกว่า พลังกายทิพย์เพื่อสุขภาพ
    ยอมรับเลยว่ามีความสุขมากที่ได้มาอบรม ถึงแม้จะต้องอดนอน เสียเวลามาก็ตาม แรก ๆ ก็ไม่เชื่อหรอกว่าพลังพวกนี้จะมีจริง เพียงแค่อยากพิสูจน์ และที่รู้สึกดีมากคือ บรรยากาศภายใน รู้สึกมีแต่คนดี มีกระแสเมตตาอบอวล จากที่เคยอยู่กับบรรยากาศอันมืดมน อยู่ในสังคมอบายมุข พอมาเจอแบบนี้เลยรู้สึกเป็นสุขอย่างประหลาด เหมือนเข้าร้านน้ำหอม เข้าร้านดอกไม้ ก็อดที่จะรู้สึกหอมไปด้วยไม่ได้

    ตอนแรกก็กลัวจะเป็นเรื่องไสยศาสตร์ หรือนอกลู่นอกทาง แต่พอมาอบรม ผมก็เริ่มสนใจเพราะสิ่งที่ได้รับนอกจาก วิชากายทิพย์แล้ว ส่วนใหญ่อาจารย์ผู้สอน (อ.ชวลิต ฯ การบินไทย) ท่านก็จะเน้นที่การอบรมธรรมในทางพระพุทธศาสนาเป็นหลัก และวิชานี้ อาจารย์เขาบอกว่า ผู้ที่ฝึกจำเป็นที่จะต้องรักษาศีลห้าด้วย ถึงจะได้ผลดี ผมเลยยิ่งชอบใหญ่ และคิดว่าน่ามีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อยก็เป็นการบังคับให้ทุกคนถือศีลห้าทางอ้อม

    หลักของวิชานี้ จะอธิบายเป็นกึ่งวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่ไสยศาสตร์อย่างที่เข้าใจ ก็เป็นเรื่องของ รังสี ความร้อน ลมปราณ และเรื่องของ ระบบภายในที่ตรงกับทางโยคะส่วนหนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไง แต่เพราะผมเรียนวิชานี้ ผมเหมือนจะเข้าใจถึงความเกี่ยวข้องกันในหลายๆเรื่อง เช่น ระบบร่างกายในชีวิตที่เรามองไม่เห็น เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของวิชาต่าง ๆ ว่าจริง ๆแล้วก็มีพื้นฐานใกล้เคียงกัน เพียงแต่อธิบายและดึงจุดเด่น ในแต่ละพลังออกมาต่างกัน

    หลายๆวิชาก็คงเป็นใบไม้นอกกำมือที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั่นเอง วิชาหลายอย่างนั้นมันล้ำลึกพิสดาร ทำได้มากกว่าที่เราคิดและคาดถึง แต่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรไปเสียเวลา หรือไปยึดมั่นกับมัน เพราะว่าถึงแม้เราจะฝึกวิชาเหล่านี้สำเร็จ แต่ถ้ายังมีกิเลส ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั่นเอง แต่เมื่อรู้หรือเคยฝึกมาแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยให้เราเข้าใจคนในสังคมบางกลุ่มและความแตกต่างในแต่ละอย่าง มีประโยชน์ในแง่เปรียบเทียบและเอาไว้บอกต่อคนอื่นได้เหมือนกัน วิชาหลายๆอย่าง ต้องอาศัยสมาธิเป็นหลัก หรือฝึกไปแล้วจะไปเสริมฐานของสมาธิให้มั่นคงได้ ถ้านำมาพัฒนาต่อนำมาใช้ให้ถูกทางก็มีประโยชน์มาก กลับกันถ้าผิดทางก็มีโทษมากเช่นกัน

    เรื่องแปลกๆ หลังจากฝึกกายทิพย์ฯ

    มีอยู่หลายเรื่องที่ผมอธิบายไม่ถูกว่าบังเอิญหรือว่าเป็นเรื่องจริง อย่างครั้งแรกตอนไปฟังบรรยาย ก่อนจะจบรายการ คุณย่าเยวเรศ บุญนาค ซึ่งเป็นประธานหัวใจหลักในการเผยแพร่สายนี้ในประเทศไทย ท่านก็แผ่พลังมาให้กับทุกคน ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าคืออะไร เขาให้ทำอย่างไรก็ทำตามคนอื่นไป แต่ท่านก็บอกว่าคนที่มีพลังอันนี้อยู่จะพบกับสิ่งประหลาด เหมือนกับมีสัมผัสพิเศษ
    ยิ่งคนที่ฝึกได้ซักระยะแล้ว เขาบอกไม่ให้คิดอะไรกับคนอื่นในแง่ไม่ดี เพราะเมื่อมีพลังถึงขั้น เหมือนกับจิตเรานิ่งมีพลัง สามารถใช้พลังจิตช่วยคนอื่นได้บ้างตามกำลังบุญ หรือ พลังนี้อาจไปทำร้ายใครได้ ถ้าเขาเป็นคนที่มีกรรมไม่ดีให้ผลอยู่ อย่างเช่นหลังฝึกสมาธิ หรือฝึกพลังนี้คงที่แล้ว มันจะคล้ายกับเรามีฤทธิ์ ถ้าเราอวยพร ให้ใคร ก็เหมือนกับไปเสริมให้เขา หรือถ้าเราแช่งใคร ถ้าเขาไม่มีบุญปกป้องก็จะทำร้ายเขาได้


    อธิฐานให้คนอื่นถูกหวย

    พูดถึงพลังอธิฐานทางจิต ก็เคยลองบางครั้งโดยเฉพาะช่วงที่จริงจังกับการฝึกสมาธิ ผมอวยพร ขอแผ่บุญไปให้ใคร ก็มักจะได้เป็นรูปธรรม ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่ทำดี หรือมีบุญคุณกับผมก่อนจะได้ง่ายมาก อย่างเช่นผมเคยลองอธิษฐานให้ แม่ถูกหวย แม่ก็ถูก ขอให้พ่อ พ่อก็ถูก แต่ขอให้พี่สาว กลับเฉียดไปนิดเดียแฮะ รวมบางคนและบางเรื่องด้วย ก็ไม่ได้ลบหลู่ หรือจะเชื่อมั่นหรอกนะว่าจริง แต่ลองมาก็สำเร็จมาหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ทุกครั้งจะสำเร็จได้ คนๆ นั้น ต้องเคยให้อะไรกับผมบ้าง หรือมีบุญเก่าอยู่พอสมควร ยิ่งคนที่มีบุญคุณกับผมด้วยยิ่งได้ไวใหญ่ แต่ก็ไม่มากหรอกนะ

    อย่างพ่อแม่ผม ตอนผมลอง ท่านก็ไม่ได้ถูกหวยเยอะหรอก แต่ผมก็เข้าใจเอาเองว่า น่าจะเป็นเพราะ เขาไม่เคยทำบุญใหญ่ๆด้วยใจบริสุทธิ์หรือด้วยศรัทธาหมดหัวใจจริงๆ หรือไม่โดนเนื้อนาบุญของจริง จึงส่งผลไม่มาก ทุกอย่างต้องมีเหตุและผล อย่างน้อยต้องมีบุญเก่ามาก่อนทั้งนั้น ถ้าทุกคนเชื่อเรื่องกรรมจริงๆ จะรู้ว่า ไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ ที่จะได้มาฟรี ๆ

    สุข หรือทุกข์ที่ได้รับ เกิดจากการกระทำของเราทั้งนั้น ที่ไม่รู้ว่าทำไว้แต่ตอนไหน แต่ก็ส่งผลข้ามภพข้ามชาติเสมอมา ตัวอย่างในสมัยพุทธกาลก็มี พระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานการบวชให้ มักจะมีจีวร ผ้าไตรทิพย์เกิดขึ้นเอง แต่กับบางท่านที่ไม่เคยทำบุญในศาสนาพุทธมาเลย ก็ปรากฏว่า แม้จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว แม้จะอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์ที่มีฤทธิ์จะบันดาลผ้ากี่ผืนก็ได้ ก็ยังไม่สามารถเนรมิตผ้าไตรมาให้พระอรหันต์องค์นั้นได้เลย เพราะไม่เคยทำบุญไว้ในพุทธศาสนา


    เป็นตัวอย่างให้ทุกท่านได้คิด ก่อนที่จะไปบนบานศาลกล่าวที่ไหน ขอให้คิดเสมอว่า เราต้องเป็นคนดี ทำดีด้วย เทวดาถึงจะช่วยได้ หรือแม้แต่ช่วยแล้ว ก็เท่ากับเป็นการเบิกบุญเก่ามาใช้ เอากรรมดีที่เคยสร้างไว้เมื่อชาติก่อนมาใช้หมด ถ้าไม่ทำเพิ่ม ตานี้หละ กรรมชั่วที่เคยทำก็จะได้โอกาสส่งผล ล้วนๆ แล้วจะร้องไม่ออก ก่อนจะขออะไร คิดให้ดีก่อนดีกว่า ว่าจำเป็นจริงๆ หรือเปล่า ไม่งั้นตอนจำเป็นจริงๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ เบิกเงินในธนาคารมาใช้หมดแล้วนั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลยเมื่อถึงคราวจำเป็น



    ความโกรธหนอความโกรธ

    เรื่อง ลองอธิษฐาน ใช่ว่าจะลองแต่เรื่อง ดี ๆ เท่านั้น เมื่อก่อนเป็นคนโกรธง่าย แล้วก็อาฆาต ฝังใจ แต่เดี๋ยวนี้ ก็เหลือแต่ความโกรธบ้างเวลาที่ขาดสติแต่ก็หายในเวลาไม่นาน เรื่องความโกรธนั้น ตอนแรกเคยนึกว่าหมดไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดว่าตัวเองหมดโกรธแล้ว ก็จะมีอะไรมาทดสอบเสมอ ไม่ว่าครั้งไหน ถ้าใจคิดว่าเราแน่แล้ว ไม่โกรธแล้ว ก็มักจะมีคนมาหาเรื่องในวันนั้นเลย ไม่ได้รู้จักกัน ไม่มีเหตุต้องมีเรื่องกัน ก็มีจนได้ ทั้ง ๆ ที่เราก็อยู่เฉย ๆ

    แล้วพอความโกรธเกิดขึ้น เราก็ได้รู้ว่า อ๋อ ที่แท้มันนอนก้นอยู่นี่เอง โถ หลงคิดว่าแน่ ทำให้ต้องอับอาย ผู้คนมาเยอะ โดยเฉพาะคนที่มองเราดีมาตลอด หรือเห็นแต่ด้านดีๆ บางทีนะ สติขาดนิดเดียว ความดีที่สะสมมามันก็แทบไม่เหลือเลย บางที ฝึกเจริญเมตตา จนคิดว่าแน่ ก็คิดในใจว่า เอาหละ วันนี้ขออีกทีซิ รับรองไม่พลาดเราจะต้องสู้ได้ วันนั้นก็เจออีก แล้วก็แพ้มันอีก ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด

    พูดถึงเรื่องโกรธแล้วขอ พูดแบบวิทยาศาสตร์หน่อยละกัน เขาว่ากันว่า เวลาเราโกรธทุกครั้ง ร่างกายจะหลั่งสารตัวหนึ่งออกมา แล้วก็จะฝังไปตามกล้ามเนื้อและกระดูก สารเหล่านี้จะทำอันตรายต่อร่างกายอย่างมากแต่จะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นโบราณจึงมีคำกล่าวที่ว่า เกลียดเข้ากระดูกดำ เพราะสารตัวนี้จะไปเกาะที่กระดูกหรือแพร่ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้คนที่มักโกรธ ขี้โมโห เจ็บป่วยง่ายกว่าคนอื่น แล้วตอนตาย เขาให้สังเกตเลยว่า คนใจเป็นอย่างไรให้ดูคร่าว ๆ ที่กระดูก ถ้าขี้โกรธ ส่วนใหญ่ จะกระดูกดำปี๋เลย
    ส่วนพระอรหันต์ หรือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้น เราเข้าใจกันว่าร่างกายและกระดูกของท่านจะบริสุทธิ์จริง ๆ เพราะคนที่จิตใจดี มีความเมตตา เจริญสมาธิ วิปัสสนาอยู่เป็นประจำ จะมีสารเอ็นโดรฟิน หลั่งออกมาจากสมอง เป็นสารแห่งความสุข บวกกับลมหายใจที่ละเอียดซึ่งเป็นผลจากการภาวนา ก็จะฟอกเลือดให้สะอาด ดังนั้นเมื่อร่างกายสะอาด กระดูกก็ มักจะขาวสะอาด หรือไม่ก็แปรสภาพไปเป็นพระธาตุยังไงละ เชื่อว่าหลายคนก็คงจะเคยเห็นมาบ้างแล้ว แต่ก็มีบางแห่งเชื่อว่าอยู่ที่การอธิฐานจิตด้วย ถ้าพระอริยะบางองค์ไม่ประสงค์จะให้เป็นพระธาตุก็ไม่เป็น (มั้ง)


    แช่งเครื่องบิน ดันตกจริงๆ

    ความรู้สึกที่ผม ภาวนาว่าขออย่าให้เป็นจริงเลย ก็คือเมื่อตอนเริ่มจริงจังกับการฝึกสมาธิ สวดมนต์ แถวที่พักผมจะมีเครื่องบิน ๆ ผ่านบ่อยมากตอนกลางคืน แรก ๆ ก็ทนได้ แต่พอนาน ๆไป ก็เริ่มหงุดหงิดจนทนไม่ได้ เพราะเสียงดัง และมาบ่อยมาก

    วันหนึ่งก็นั่งสมาธิตามปกติ ทำไปซักพัก จิตเริ่มจะเข้าที่ เครื่องบินเจ้ากรรม ก็บินวนกันบ่อยมาก จนทนไม่ไหว คงเป็นเพราะบารมียังอ่อนอยู่ด้วย ก็เลยเผลอแช่งออกไป ด้วยอารมณ์ที่ผมเคยบอกไว้แต่แรกว่าถ้าอารมณ์ผมเป็นอย่างนี้ได้เรื่องทุกที สุดโต่งแล้วมันจะจี๊ดขึ้นสมองเลย พูดไม่ถูกเหมือนกัน ก็เผลอแช่ง ขอให้มันตก รู้สึกรำคาญ รบกวนเราอยู่ได้ทุกวัน ตอนนั้นก็อารมณ์ชั่ววูบแหละ แต่พอมันผ่านไป เราก็ไม่ได้ติดใจอะไร ก็ทำสมาธิต่อ แล้วก็สวดมนต์ เข้านอน
    แต่อีกวันนะซิ ข่าวออกว่าเครื่องบินตก ซึ่งก็ตกในประเทศเรา แล้วระยะเวลาก็ไม่ห่างจากตอนที่แช่งมันไม่เท่าไหร่ พอได้ฟังข่าว คิดอย่างเดียวว่า ซวยแล้ว หวังว่าเมื่อคืนเราคงไม่ได้เกิดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาพอดีหรอกนะ แต่อีกใจก็คิดว่า มันคงบังเอิญหรอกน่า ถ้าจะฟลุคจริงๆ ก็คงเป็นเพราะ ไอ้คนบนเครื่องมันอาจจะทำชั่วมาจวนเจียนจะถึงเวลา แต่ยังขาดอีกนิดหน่อย พอเราไปเสริม มันเลยได้โอกาสให้ผลเลยไง ก็ได้แต่ภาวนา ว่าอย่าให้เป็นจริงเลย เพราะถ้าเป็นจริง ผมต้องไปรับกรรมอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ฟังแล้วเหมือนผมเพี้ยนๆมะเนี่ย


    ไปหาเพื่อนไม่ถูก แต่ขับรถไปจอดหน้าร้านโดยบังเอิญ

    หลังจากที่ผมรับพลังครั้งแรก ผมก็กลับบ้าน แต่ก่อนกลับ ก็คิดถึงเพื่อนที่ไม่เจอกันหลายปี ได้ข่าวว่าเขาเปิดร้านอาหาร พอรู้คร่าวๆว่าอยู่แถวไหน ก็เสี่ยงไป ในใจยังคิดเลยว่า คงเจอกันยากหรืออาจไม่เจอเลย ถือซะว่าขับรถเล่นแก้เซ็ง แต่ก็ให้บังเอิญแบบไม่น่าเชื่อ ผมขับไปมั่วๆ ตั้งไกล เลี้ยวไปเลี้ยวมาแบบไม่ตั้งใจ ซอยที่ไปค่อนข้างลึก และมีทางตัดไปมาค่อนข้างมาก สุดท้ายก็มีเหตุให้ขับเข้าไปในซอยแยกเล็กๆ ซอยหนึ่ง แล้วผมก็จอดเยื้อง ๆ เลยหน้าร้านอาหารร้านหนึ่ง ไปหน่อย ก็ไม่ได้เอะใจ คิดว่าคงไม่ใช่

    มองเห็นคนกินเหล้าอยู่อีกฝั่งของหน้าร้าน เป็นโต๊ะไม้เล็ก ๆ แต่ด้วยความเป็นคนขี้อาย ก็ไม่กล้าเข้าไปถาม เพราะคนเยอะ ก็ขับเลยไปอีกหน่อย เห็นคนกำลังเดินผ่านมา ก็ถามว่าร้านอาหารชื่อนี้อยู่ไหน เขาก็บอกว่าซอยนี้แหละ ผมก็เลยหันไปมอง ว่าสงสัยร้านที่เราไปจอดเมื่อกี้นี้แหละ แต่ตอนแรกไม่ได้สังเกตป้ายชื่อร้าน

    ขับย้อนไปที่หน้าร้าน มองใกล้ๆ ก็ถึงได้เห็นเพื่อนผม นั่งกินเหล้าอยู่ตรงที่ผมเห็นตอนแรกนั่นแหละ ผมถึงกับงงว่า ตกลงนี่มันบังเอิญหรือว่าอะไร ผมขับรถมาตั้งไกล โดยไม่รู้ละเอียดว่าร้านอยู่ที่ไหน แต่ทำไมผมเลี้ยวไปเลี้ยวมา แล้วมาจอดตรงหน้าร้านเพื่อนผมได้พอดีเป๊ะ ตอนนั้น นึกถึงแต่คำพูดของคุณย่า ที่ว่า ถ้าเราได้รับพลังนี้แล้ว จะมีสัมผัสพิเศษ ซึ่งผมก็ค้านในใจในตอนแรก ว่าจะเป็นไปได้ยังไง เพราะผมไม่ได้ฝึกอะไรมาเลย แค่มายืนรับพลังเนี่ยนะ ก็ได้แต่คิดโต้แย้งอยู่ในใจเท่านั้น

    แต่เหตุการณ์ ที่ผมขับรถไปเจอเพื่อน จอดหน้าร้านมันพอดี จะว่าผมบังเอิญมาเอง มันก็ไม่น่าจะใช่ วันนั้นงงมากไม่รู้จะหาเหตุผลได้อย่างไร ว่าทำไมขับมาไม่ได้ถามทางใครเลย แต่มาจอดหน้าร้านมันเลย มันก็แปลกที่ ทุกครั้งที่ผม สงสัยหรือไม่เชื่อในเรื่องพวกนี้ก็จะมีเหตุการณ์ ที่หาเหตุผลไม่ได้อย่างนี้กับผมมาตลอด เหมือนกับมีอะไรดลใจให้ผมได้รับรู้สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่อยากจะงมงายหรอกนะ แต่บางครั้งมันก็อดคิดไม่ได้


    รอยยิ้มกับการอ่านใจ ของคุณย่าฯ

    อีกเรื่องหนึ่งที่จะว่าคิดไปเองก็คงไม่ใช่ เพราะมันไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้น ตอนที่เรียนจบขั้นแรก ก็จะมีขั้นที่สอง ที่จะสามารถฝึกจนรักษาคนอื่นได้ ผมก็ไปฝึกรวมกับคนซึ่งเยอะมาก โดยครั้งนี้คุณย่าเยาวเรศฯ มาสอนเองเลย ก็เรียนไปตามปกติ

    ผมก็สังเกตุว่าคุณย่ามักจะยิ้มให้กับคนทั่วไปและดูว่าเขาจะดีกับพวกผู้ใหญ่เป็นพิเศษ ก็เป็นคนขี้น้อยใจอยู่แล้ว ก็เลยคิดไปเอง ก็คิดเอาเองว่า เป็นเพราะคนอื่นเขาดูเหมือนเราเป็นคนไม่ดี เป็นเด็กเกเรหรือเปล่า เขาถึงไม่ค่อยสนใจเรา ดูคุณย่าซิ ไม่เห็นยิ้มให้เราเลย เห็นเขายิ้มให้คนอื่นตั้งมากมาย พอหันหน้ามาทางเราก็หน้าบึ้งตลอด ผมก็ได้แต่คิดน้อยใจไป อีกใจหนึ่งก็คิดเอาว่า เออ ไม่เป็นไร ใครจะมองว่าเราไม่ดี ไม่สนใจเรา ก็เรื่องของเขา เราก็ทำดีที่สุดแล้ว
    ก็คิดเรื่อยเปื่อยไป และมันก็ไม่น่าเชื่อ หลังจากที่จิตผมเฝ้าแต่น้อยใจ ทันใดนั้นเอง คุณย่าฯ ก็หันมายิ้มให้ผม และจ้องหน้าผมยิ้มนานมาก โดยไม่หันไปทางอื่น ทั้ง ๆที่ตอนนั้นท่านสอนรวมกับอาจารย์ท่านอื่น สอนโยคะอยู่ ซึ่งก็ต้องหันหน้าไปตามท่าทาง แต่คุณย่าฯ กลับหันมายิ้มให้ผมอย่างเดียว ซึ่งผมก็ได้แต่งง ว่าทำไม อีกใจหนึ่งก็คิดเลยว่า เอาแล้ว เจออีกแล้ว สงสัยคุณย่าอ่านใจผมออกแน่ๆ เลย ถึงได้หยุดยิ้มให้ผมคนเดียว


    ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้ผมละอายใจ ยิ้มแห้ง ๆ ตอบท่านไป แล้วก็คิดด่าตัวเองอยู่ในใจว่า เป็นไงละ ขี้น้อยใจดีนัก คิดเองเออเองไปหมด คนตั้งเยอะแยะ เขาจะดูแลได้ทั่วถึงได้ยังไง มันก็ต้องมีหลงหูหลงตาไปบ้าง ใครจะว่าผมคิดไปเองก็ช่าง ผมก็เชื่อของผม แล้วตั้งแต่นั้นมาเวลาผมคุยกับใคร ผมก็จะคอยระแวง กลัวว่าเขาจะอ่านใจผมออก จริงๆถ้าเป็นคนดีตลอดก็ไม่น่ากลัวนะ แต่นี่ดีผลุบๆโผล่ๆ ก็เลยยังไม่พร้อมที่จะให้ใครอ่านใจ


    เสียงรบกวนจากสิ่งที่มองไม่เห็น......
    ในครั้งฝึกสมาธิครั้งแรกในแนวกำหนดจักระ

    มีเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับการฝึกสมาธิหลังจากที่ไปเรียนกลับมา ถือเป็นการหัดทำสมาธิแบบจริงจังครั้งแรกก็ว่าได้ ก่อนจะนอนก็ฝึกตามที่อาจารย์สอน หายใจเข้าออกทางปากลึกๆ ยาวๆ 3 ครั้งแล้วหลับตา พอปิดเปลือกตาเท่านั้น ปรากฏว่า มีเสียงดังมากคล้ายมีอะไรตกลงจากถาดตู้เย็น แล้วกระแทกอย่างแรง ..ปั้ง​
     

แชร์หน้านี้

Loading...