เหตุ 8 ประการที่พระพุทธเจ้าแต่ละองค์มีพระวรกายไม่เท่ากันหรือไม่?

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ราศีสิงห์, 13 มกราคม 2010.

  1. ราศีสิงห์

    ราศีสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    815
    ค่าพลัง:
    +2,118
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=message align=left colSpan=2>
    [​IMG]





    เหตุ 8 ประการของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกัน
    "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบหลังรับพุทธพยากรณ์นับแต่พระพุทธเจ้าทีปังกร"
    "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบ"
    พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์นี้ ๒๔ พระองค์ คือ พระพุทธเจ้าที่ระโคดมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ได้ทรงพบและพระโคดมพุทธเจ้าทรงได้รับพยากรณ์ว่า จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า นิยมนับรวมพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเข้ารวมด้วยเรียกว่า "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์" นับแต่พระองค์แรกจนถึงพระโคดมพุทธเจ้า มีดังนี้
    1. พระทีปังกร
    2. พระโกณฑัญญะ
    3. พระสุมัคละ
    4. พระสุมนะ
    5. พระเรวตะ
    6. พระโสภิตะ
    7. พระอโนมทัสสี
    8. พระปทุมะ
    9. พระนารทะ
    10. พระปทุมุตตระ
    11. พระสุเมธะ
    12. พระสุชาตะ
    13. พระปิยทัสสี
    14. พระอัตถทัสสี
    15. พระธรรมทัสสี
    16. พระสิทธัตถะ
    17. พระติสสะ
    18. พระปุสสะ
    19. พระวิปัสสี
    20. พระสิขี
    21. พระเวสสภู
    22. พระกกุสันธะ
    23. พระโกนาคมนะ
    24. พระกัสสปะ
    25. พระโคตมะ (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
    1. อายุต่างแห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้า "พระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ ที่พระโคดมพุทธเจ้าทรงพบ" จากมากไปน้อย
    100,000 พรรษา มี พระทีปักร พระโกณฑัญญะ พระอโนมทัสสี พระปทุม พระปทุมุตตร พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี พระสิทธัตถ พระติสส
    90,000 พรรษา มี พระสุมังค พระสุมน พระโสภิต พระนารท พระสุเมธ พระสุชาต พระปิยทัสสี พระปุสส
    80,000 พรรษา มี พระวิปัสสี
    70,000 พรรษา มี พระสิขี
    60,000 พรรษา มี พระเรวต พระเวสสภู
    40,000 พรรษา มี พระกกุสันธ
    30,000 พรรษา มี พระโกนาคม
    20,000 พรรษา มี พระกัสสป
    80 พรรษา มี พระโคดม (พระศรีศากยมุนีโคดม องค์ปัจจุบัน ส่วนพระศรีอารย เมตตรัยที่จะบังเกิดในอนาคตเบื้องหน้ามี 80,000 พรรษา)
    2. ความต่างแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้า
    พระสรีระสูง 80 ศอก มี พระทีปังกร พระเรวต พระปียทัสสี พระอัตถทัสี พระธัมทัสสี พระวิปัสสี
    พระสรีระสูง 60 ศอก มี พระสิทธัตถะ พระเวสสภู พระดิสส
    พระสรีระสูง 40 ศอก มี พระกกุสันธ
    พระสรีระสูง 37 ศอก มี พระสิขี
    พระสรีระสูง 30 ศอก มี พระโกนาคม
    พระสรีระสูง 20 ศอก มี พระกัสสป
    พระสรีระสูง 4 ศอก มี พระโคดม (พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)
    หมายเหตุ เทียบกับศอกของมนุษย์ปัจจุบัน 1 ศอก = 50 เซนติเมตร
    3.ความต่างแห่ง เวลาบำเพ็ญทุกกิริยาในพระชาติสุดท้ายทีได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ใช้เวลา 6 ปี คือ พระโคดม(พระศรีศากยมุนีโคดมองค์ปัจจุบัน)
    ใช้เวลา 10 เดือน คือ พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ พระสุมน พระอโนมทัสสี พระสุชาต พระสิทธถ พระกกุสันธ
    ใช้เวลา 8 เดือน คือ พระสุเมธ พระสุมังคล พระติสส พระสิขี
    ใช้เวลา 7 เดือน คือ พระเรวต
    ใช้เวลา 4 เดือน คือ พระโสภิต
    ใช้เวลา 1 เดือน คือ พระปุสส พระปิยทัสสี พระโกนาคม พระเวสสภู
    ใช้เวลา ครึ่งเดือน คือ พระปทุม พระอัตถทัสสี พระวิปัสสี
    ใช้เวลา 7 วัน คือ พระปทุมุตตร พระนารท พระธัมมทัสสี พระกัสสป
    หมายเหตุ วันเดือนปีในที่นี้นั้นหมายถึงวันเดือนปี ของยุคนั้นๆ
    4. ความต่างแห่งพุทธรังสี (เทียบกับมนุษย์ปัจจุบัน หน่วยวัด 1 โยชน์ = 16 กิโลเมตร)
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 1,000 โยชน์ คือ พระสุมังคล
    คำนวณได้ รัศมี 16,000 กม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(16,000)**2 = 804,556,800 ตรกม.
    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 80 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 30 ศอก หรือ 15 ม. คือ 1 รูปต่อ 3.1428*15*15 = 707.13 ตรม.
    ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ 804,556,800*1000/707.13 = 1,137,777,777 รูป
    ----------
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 12 โยชน์ คือ พระปทุมุตตร
    คำนวณได้ รัศมี 192 กม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(192)**2 = 115,856.18 ตรกม
    ----------
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ คือ พระกกุสันธ (สรีระสูง 40 ศอก)
    คำนวณได้ รัศมี 160 กม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(160)**2 = 80,455.68 ตรกม.
    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 40 ศอก
    จะได้รัศมีการนั่ง 18 ศอก หรือ 9 ม.
    คือ 1 รูปต่อ 3.1428*9*9 = 254.57 ตรม.
    ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่ นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ ถึง 80,455.68*1000/254.57 = 316,046 รูป
    -----------
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 6 โยชน์ กับ 400 เส้น คือ พระวิปัสสี
    คำนวณได้ รัศมี 112 กม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(112)**2 = 39,423.28 ตรกม.
    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 80 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 30 ศอก
    หรือ 15 ม.คือ 1 รูปต่อ
    3.1428*15*15 = 707.13 ตรม.
    ดังนั้นรังสีของ พระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ ถึง 39,423.28*1000/707.13 = 55,751 รูป
    ----------
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 3 โยชน์ คือ พระสิขี
    คำนวณได้ รัศมี 48 กม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(48)**2 = 7,241 ตรกม.
    ถ้าพระภิกษุมีความสูง 37 ศอก จะได้รัศมีการนั่ง 16 ศอก หรือ 8 ม.คือ 1 รูปต่อ 3.1428*8*8 = 201.14 ตรม.
    ดังนั้นรังสีของพระองค์สามารถคลอบคลุมพระภิกษุที่นั่งรายล้อมพระองค์อย่างสบายๆ ถึง 7241*1000/201.14 = 36,000 รูป
    -----------
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 1 วา คือ พระศรีศากยมุนีโคดม
    คำนวณได้ รัศมี 2 ม.
    คลุมพื้นที่ 3.1428*(2)**2 = 12.57 ตรม.
    ----------
    พุทธรังสีสร้านไปไกล สุดแต่พระองค์ประสงค์ คือพระพุทธเจ้าที่เหลือ
    5.ความต่างแห่งตระกุล
    พระกกุสันธ พระโกนาคม พระกัปสสป เกิดในตระกุลพราหมณ์มหาศาล
    พระพุทธเจ้าที่เหลือ ในช่วง 4 อสงไขยเศษแสนมหากัปที่ผ่านมา เกิดในตระกุลกษัตริย์
    6. ความต่างแห่งยานออกมหาภิเนษกรม ยานมีความต่างกัน 5 อย่าง
    1.ทรงคชยาน(ช้าง)
    2.ทรงรถยาน
    3.ทรงอัสวยาน(ม้า)
    4.ทรงสีวิกามาศราชยาน
    5.ทรงมณเฑียรมหาปราสาท
    ในบางประการยานที่ทรงออกมหาภิเนษกรมนั้นขึ้นอยู่กับยุคสมัยนั้นๆด้วย
    7. ความต่างแห่งไม้ที่ตรัสรู้
    8. ความต่างแห่งอปราซิตบัลลังก์
    -----------
    ความแตกต่างของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้
    1.พระกกุสันธพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,027 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล 10 โยชน์ (160 กิโลเมตร)
    2. พระโกนาคมพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,028 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 30,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
    3. พระกัสสปพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อ สมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 37,029 พระองค์
    เป็นศรัทธาพุทธเจ้า อายุไขย 20,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์
    4. พระศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 4 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีก 24 พระองค์ ซึ่งน้อยมาก
    เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไขย 80 พรรษา
    พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 6 ปี
    พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ
    5. พระอริยเมตตรัยพุทธเจ้า
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าอีกประมาณ 477,032 พระองค์
    เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังสีสร้านไปไกล ยังกำหนดไม่ได้




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2010
  2. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603

    - ความต่างพระชนมายุ และความสูงของพระสรีระ พระทศพลแต่ละพระองค์มาอุบัติในอันตรกัปช่วงอายุของมนุษย์ไม่เท่ากันนะครับ ก็เลยต่างกัน
    -ความต่างการบำเพ็ญสมาธิในชาติสุดท้าย ของพระทศพลแต่ละพระองค์
    ที่พระทศพลองค์ปัจจุบันต้องบำเพ็ญทุกกิริยา 6 ปีเพราะมีกำหนักที่เคยลบหลู่พระทศพลพระองค์ก่อน ( พระกัสสปะพระพุทธเจ้า) เรื่องการสำเร็จโพธิญาณใต้ต้นโพธิ์ ส่วนพระทศพลพระองค์อื่นๆๆไม่มีกรรมมาขวางเลยไม่ต้องบำเพ็ญทุกกิริยาแค่ทำสมาธิอย่างเดียว
    -เรื่องพุทธรังสีมี 6 สีเหมือนกันนะครับ แล้วแต่พระองค์จะให้ออกมามากรึน้อย
    -เรื่องตระกูลพระทศพลจะอุบัติในตระกูลที่สูงที่สุดในยุดนั้นๆๆครับ
    -เรื่องยาน ก็แล้วแต่พระองค์จะทรงอะไรออกบวชนะครับ และสหชาติทั้ง 7 ด้วยครับ
    -เรื่องความต่างของพระทศพล 5 พระองค์ในภัทรกัปป์ ต่างกันแค่ประเภท
    1.พระปัญญาธิกะพระพุทธเจ้า = พระทศพลพระองค์ปัจจุบัน
    2.พระสัทธาธิกะพระพุทธเจ้า = พระทศพลกกุสันโธ พระทศพลโกนาคมน์ พระทศพลกัสสปะ
    3.พระวิริยาธิกะพระพุทธเจ้า = พระทศพลศรีอาริย์
    จากสีมากถา สมุดข่อยวัดสุทัศน์เทพวราราม
    พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะพระพุทธเจ้า ใช้ระยะเวลาบำเพ็ญบารมีทั้ง ๒๐ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,​๐๐๐ มหากัปป์ แบ่งดังนี้
    มโนปณิธาน ๗ อสงไขย พบพระพุทธเจ้า ๑๒๕,๐๐๐ พระองค์
    วจีปณิธาน ๙ อสงไขย พบพระพุทธเจ้า ๓๘๗,๐๐๐ พระองค์
    กายวจีปณิธาน ๔ อสงไขย พบพระพุทธเจ้า ๑๓ พระองค์
    ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์ พบพระพุทธเจ้า ๑๕ พระองค์
    รวมระยะเวลา ๒๐ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์ พระองค์ทรงได้บำเพ็ญบารมีในสำนักของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ๕๑๒,๐๒๘ พระองค์<!-- google_ad_section_end -->


    พระทศพลกกุสันโธ พระทศพลโกนาคมน์ พระทศพลกัสสปะ
    เป็นพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะพระพุทธเจ้า ใช้ระยะเวลาบำเพ็ญบารมีทั้ง ๔๐ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,​๐๐๐ มหากัปป์ แบ่งดังนี้
    มโนปณิธาน ๑๔ อสงไขย พบพระพุทธเจ้า ๒๕๐,๐๐๐ พระองค์
    วจีปณิธาน ๑๘ อสงไขย พบพระพุทธเจ้า ๗๗๔,๐๐๐ พระองค์
    กายวจีปณิธาน ๔ อสงไขย พบพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์
    ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์ พบพระพุทธเจ้า ๓๐ พระองค์
    รวมระยะเวลา ๔๐ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์ พระองค์ทรงได้บำเพ็ญบารมีในสำนักของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ๑,๐๒๔,๐๕๕ พระองค์<!-- google_ad_section_end -->


    พระทศพลศรีอาริย์
    เป็นพระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกะพระพุทธเจ้า ใช้ระยะเวลาบำเพ็ญบารมีทั้ง ๘๐ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,​๐๐๐ มหากัปป์ แบ่งดังนี้
    มโนปณิธาน ๒๘ อสงไขย พบพระพุทธเจ้า ๕๐๐,๐๐๐ พระองค์
    วจีปณิธาน ๓๖ อสงไขย พบพระพุทธเจ้า ๑,๕๔๘,๐๐๐ พระองค์
    กายวจีปณิธาน ๑๖ อสงไขย พบพระพุทธเจ้า ๔๙ พระองค์
    ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์ พบพระพุทธเจ้า ๖๐ พระองค์
    รวมระยะเวลา ๘๐ อสงไขยกับเศษอีก ๑๐๐,๐๐๐ มหากัปป์ พระองค์ทรงได้บำเพ็ญบารมีในสำนักของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ๒,๐๔๘,๑๐๙ พระองค์



    จะถูรึผิดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  3. ราศีสิงห์

    ราศีสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    815
    ค่าพลัง:
    +2,118
    ขอให้อ่านแบบนิทาน ๆ นะครับ
    คือความเข้าใจของผมมันเป็นอย่างนี้ จะผิดจะถูกก็เป็นเรื่องของนิทาน

    "ขออนุโมทนากับทุกท่านให้ถึงฝั่งนิพพาน ชีวิตคนเราเหมือนขึ้นบันไดลงบันได อยู่ที่เราจะขึ้นหรือเราจะลง เลือกเอาตามบุญกุศลของตน "

    คนมีปัญญามากเอาปากไว้ที่จิต คนปัญญาน้อยนิดเอาจิตไว้ที่ปาก

    สาธุเจริญธรรม

    ถ้าเปรียบเทียบพระวรกายของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์แล้ว อายุยืน-อายุน้อยแล้ว แสดงว่ามนุษย์ในสมัยนั้นก็ต้องมีร่างกายตามพระองค์นั้นๆ เช่นพรพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ความสูงแปดศอก (แต่บางตำรา ก็ว่า 16ศอก) พระชนม์มายุ 80 พรรษา (ถ้าเปรียบอายุมนุษย์+ความสูงของปัจจุบัน ก็อยู่ที่ อายุสูงสุดไม่เกิน 120 ปี ความสูง ไม่เกิน 2 เมตร โดยประมาณ และชีวิตมนุษย์ต่อ ๆ ไปไกล้ ๆ ถึง 5000 ปี ตามกำหนดพระพุทธศาสนา มนุษย์อาจจะมี อายุน้อย+ความสูงน้อยลงไปเรื่อย ๆ ("มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
    มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
    สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า “พระวิปัสสี” มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า “พระเรวะตะ” มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
    แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
    ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาด
    ต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า “ยุคทมิฬ” เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ “ชมพูทวีป” )

    จนถึงช่วงเวลาพระปัจเจกพระพุทธเจ้าอุบัติกาล (อาจมีหลายๆพระองค์ที่จะมาอุบัติในยุคนั้น) ล่วงเลยจนมุ่งสู่ยุคพระศรีอาริฯ เวลานั้นนั้นมนุษย์เริ่มมีวิวัฒนาการอีกครั้งหนึ่ง

    พระศรีอริยเมตไตรย พระศรีอาริยเมตไตรย หรือพระศรีอาริย์ เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์สุดท้ายของภัทรกัป*นี้ จะขอกล่าวถึงช่วงก่อนที่ท่านจะลงมาอุบัติก่อน<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#FF0000-->
    <!--/coloro-->"พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน 'พระศรีศากยมุนีโคดมบรมครูโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า' มีอายุเพียง 5,000 ปี (ถึง พ.ศ.5000) พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงวิบัติของพระพุทธศาสนาไว้ว่า หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพาน 500 ปี จะไม่มีภิกษุณีผู้มีศีลครบหรือถูกต้อง 1,000 ปี จะไม่มีพระอรหันต์หรือมนุษย์คนใดที่เหาะเหินเดินอากาศได้ (พระมาลัยเป็นองค์สุดท้าย) 3,000 ปี จะไม่มีพระสงฆ์ทำสังฆกรรมร่วมกัน ไม่มีศาสนสถาน เหลือเพียงพระพุทธและพระธรรม 4,000 ปี ผู้ที่เป็นพระสงฆ์จะทำเพียงแขวนผ้าสีฝาดบนใบหูเท่านั้น และ 5,000 ปี พระศาสนาก็จะอันตรธานไป ทุกๆ อย่าง รวมทั้งพระบรมสารีริกธาตุไม่ว่าจะมาจากที่ใดในมหาโกฏิแสนล้านจักรวาล ก็จะมารวมกันที่จุดที่เคยเป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์*แล้วอันตรธานไป<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->"มนุษย์จะมีอายุขัยลดลงทุกๆ 100 ปี ตั้งแต่พระพุทธปรินิพพานถึงตอนนี้ มนุษย์อายุขัยลดลงไป 2,500 หาร 100 = 25 ปีเหลือ 75 ปีแล้ว ความสูงของมนุษย์ก็เช่นกัน ในสมัยพุทธกาล มนุษย์มีความสูง 16-18 ศอก (8-9 เมตร) แต่ตอนนี้สูงเพียง 3 ศอกกว่าๆ เท่านั้น เมื่อมนุษย์อายุลดเหลือ 5 ปี 10 ปี (อีกประมาณ 5,500-6,000 ปี) มนุษย์ก็จะสูงเพียงครึ่งศอก ขนาดยังต้องสอยมะเขือกิน แต่งงานกันตั้งแต่ 3 ขวบ 5 ขวบ จิตใจเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ เห็นคนอื่นเป็นสัตว์ร้าย เข่นฆ่ากันเอง เพียงใบไม้ใบหญ้าก็ใช้ฆ่ากันได้ มีเพียงผู้ทรงศีลเท่านั้นที่จะอยู่รอด เมื่อมนุษย์เลวตายหมด โลกก็จะวิบัติ มนุษย์ดีๆ ก็จะหลบเข้าไปอยู่ในถ้ำ มีความรักใคร่ต่อกัน สัตว์ต่างๆ มากัดกินศพ ฝนตกประมาณ 7 วัน หรือนานกว่านั้น ชำระเอาศพอสุภะของมนุษย์เลวๆ เมื่อท้องฟ้าแจ่มใส มนุษย์ก็จะออกมาตั้งบ้านเรือน ทำความดีกันใหม่<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"เมื่อมนุษย์ทำความดี อายุก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 5 ปี 10 ปี เป็น 20 ปี 50 ปี 100 ปี 1,000 ปี 10,000 ปี 100,000 ปี ล้านปี โกฏิปี (10 ล้านปี) ปโกฏิปี (100 ล้านปี) จนถึงอายุ 1 อสงไขย (10^140 ปี) เมื่อมนุษย์อายุขัยเกินแสนปี จิตใจก็หลงระเริงประมาทในความตาย อายุขัยก็ลดลงจนมาถึง 84,000 ปี ซึ่งเป็นอายุขัยที่มนุษย์เจริญที่สุด ลดลงมาอีก จนถึง 80,000 ปี<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->"ในยุคนั้น แผ่นดินราบเรียบไม่มีภูเขา ไม่มีหลุมแอ่ง ฝนตกจะตกทุกๆ 15 วัน มักจะตกตอนใกล้รุ่ง ผืนแผ่นดินชมพูทวีปมีความอุดมสมบูรณ์ดี ต้นไม้ใบหญ้าผลิดอกออกผลบานสะพรั่ง ลูกดกเต็มต้น แม่น้ำลำคลองทั้งหลายไหลสม่ำเสมอ ไม่เชี่ยวไม่ช้า มีกระแสน้ำขึ้นลงสลับกัน สัตว์ทั้งหลายที่เป็นคู่กัดกันในปัจจุบัน เช่น แมวกับหนู งูกับพังพอน ในยุคพระศรีอาริย์จะเจริญไมตรีไม่มีบาดหมาง ไม่มียุง ปลวก แมลงสาบ สัตว์นำพาหะทั้งหลาย<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี มนุษย์มีความสูงประมาณ 80 ศอก ผิวพรรณดั่งทองคำ หล่อสวย คนแก่มีรูปร่างหน้าตาราวอายุ 20 ปี(ในสมัยนั้นก็เท่ากับ 4 หมื่นปี) ไม่มีผู้ใดพิกลพิการ เป็นยุคทอง เป็นสัตยุค* ไม่มีโจรขโมย ไม่ต้องมีตำรวจ ไม่มีการลงโทษ ไม่มีคุก การเมืองสงบสุขดี ไม่มีการคอรับชั่น ชาวบ้านอยู่เย็นเป็นสุข รักเดียวใจเดียว ไม่มีการทะเลาะกันในครอบครัว ในยุคนั้นไม่ต้องทำมาหากิน สามารถสอยเอาทรัพย์สินอาหารได้จากต้นกัลปพฤกษ์ทิพย์ ไม่มีรวยหรือจน ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกอย่างเป็นเครื่องทิพย์หมด ข้าวเมล็ดเดียวลงดินแล้วสามารถกลายเป็นพืชพันธุ์นานาชนิด มนุษย์สามารถเข้าใจธรรมได้เร็ว จะได้ไปสวรรค์ทุกคน ปราศจากโรคภัย ชาวชมพูทวีปมีเพียง 3 โรคเท่านั้น คือ ความแก่ ความอยากกิน และความไม่อยากกิน<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->"เมืองพาราณสีในปัจจุบันนี้ จะเปลี่ยนชื่อเป็นมัณฑารนคร ในยุคที่มนุษย์มีอายุขัยประมาณอสงไขย กว้างยาวด้านละ 12 โยชน์ แล้วต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นเกตุมดี(หรือเกตุมบดี) ในยุคที่มนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี กว้าง 1 โยชน์ยาว 16 โยชน์ เป็นราชธานีของชมพูทวีป เป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งและมีความอุดม สมบูรณ์ มีต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้นทั้ง 4 ประตูเมือง ประตูเมืองสร้างจากแก้ว 7 ประการล้อมรอบนคร 7 ชั้น เทพบุตรนาม 'มหานฬกาลเทวบุตร' จะจุติลงมาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ*พระนามว่า 'พระเจ้าสังขจักร์' ปกครอง เกตุมดี ยามที่พระองค์ทรงประสูติ ปราสาททองอันแล้วด้วยแก้ว 7 ประการ ก็ได้ผุดขึ้นมาจากแม่น้ำคงคา ซึ่งในสมัยพระกกุสันธะสัมมาสัมพุทธเจ้า(พระ พุทธเจ้าพระองค์แรกแห่งภัทรกัปนี้) เป็นของ 'พระเจ้ามหาปนาท' เมื่อพระองค์สิ้นบุญแล้ว ปราสาทก็จมลงไปในแม่น้ำ เมื่อผู้มีบุญมากอย่างพระเจ้าสังขจักร์มาอุบัติ ปราสาทนั้นก็ผุดขึ้นมา พระองค์ทรงปกครองภายในปราสาทนั้น<!--colorc--><!--/colorc-->
    <!--coloro:#FF0000-->
    <!--/coloro-->
    "ในยุคนั้น ชมพูทวีปมีนคร 84,000 นคร มีเกตุมดีเป็นราชธานี เจ้าเมือง 84,000 พระองค์ และจากชนบทประเทศทั้งหลายจะทำการบูชาพระเจ้าจักรพรรดิ"<!--colorc-->
    <!--/colorc-->

    ต่อไปจะกล่าวถึงพระศรีอาริย์

    <!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->"พระศรีอริยเมตไตรย เป็นพระราชบุตรของสุตพรามณ์ มหาพราหมณ์ผู้ประกอบด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก มีพระมารดาพระนามว่า นางพรหมวดี(เมตตา)พราหมณี <!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#FF0000-->
    <!--/coloro-->ความหมายของพระนาม "พระศรี+อารีย์+เมตตา พระพุทธเจ้าผู้อารีและเมตตา หรือผู้เป็นบุตรของนางเมตตา"

    " 'พระนาถเทวราชบรมโพธิสัตว์' ผู้ซึ่งประทับอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต จะลงมาจุติเป็นพระศรีอริยเมตไตรยในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 เวลาใกล้รุ่ง (ต้องลงวันนี้ทุกพระองค์ และ อยู่ในพระครรภ์ของพุทธมารดา 10 เดือน และจะประสูติตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 พอดี) โดยมีเทวดาพรหมทั้งหลายอัญเชิญลงมา พร้อมกับโปรยดอกไม้ของทิพย์ต่างๆ กล่าวสรรเสริญพระบรมโพธิสัตว์ ในช่วงเวลาที่พระองค์จุติลงสู่พระครรภ์ของมารดา เพียงชั่วดีดนิ้วเดียว จะเกิดเหตุอัศจรรย์ 32 ประการ ได้แก่<!--colorc-->
    <!--/colorc-->

    1.
    หมื่นโลกธาตุสั่นสะท้าน
    2.
    หมื่นโลกธาตุสว่างไสวไปทั่วด้วยแสงแห่งพระบารมี
    3.
    คนตาบอดกลับตา
    4.
    คนหูหนวกกลับหูดี
    5.
    คนเป็นใบ้สามารถพูดได้
    6.
    คนหลังค่อมกลับมีตัวตรง
    7.
    คนเป็นง่อยหลุดจากความเป็นง่อย
    8.
    สัตว์หลุดจากที่จองจำ
    9.
    ไฟนรกทั้งปวงดับสนิท (สัตว์โลกันตนรกมองเห็นซึ่งกันและกัน)
    10.
    สัตว์นรก เปรต อสุรกายมีความสุข อิ่มบุญ หายหิว หมดทุกข์
    11.
    สัตว์เดรัจฉานไม่มีภัย
    12.
    สัตว์ทั้งหลายปราศจากโรค หายจากโรคเป็นปลิดทิ้ง
    13.
    สรรพสัตว์สามารถพูดได้
    14.
    ช้างทั้งหลายร้องสรรเสริญ
    15.
    เครื่องดนตรีทุกอย่างส่งเสียงไปทั่วแม้จะไม่มีใครเล่น
    16.
    เครื่องประดับที่แม้ไม่มีมนุษย์มาสัมผัสก็เปิดรับ
    17.
    ทิศทั้งปวงแจ่มใส
    18.
    เกิดเสียงดนตรีประโคมเสียงดังสนั่นไปทั่วบรรณพิภพ
    19.
    ลมเย็นพัดโชยมามอบความร่มเย็นให้แก่สรรพสัตว์
    20.
    เกิดฝนตกให้ความชุ่มฉ่ำแก่สรรพสัตว์
    21.
    มีน้ำพุพุ่งทะยานมาจากพื้นดิน
    22.
    นกทั้งหลายพากินหยุดบิน
    23.
    แม่น้ำทุกสายหยุดไหล
    24.
    น้ำทะเลมีรสหวาน
    25.
    พื้นพิภพดาษดาไปด้วยดอกบัว 5 สี
    26.
    ดอกไม้ทั้งปวงบานสะพรั่ง ไม่ว่าจะอยู่บนบก สวรรค์ นรก หรือใต้น้ำ หรือที่ไหนๆ ในจักรวาล
    27.
    ดอกไม้บานตามต้นไม้ กิ่งไม้ เถาวัลย์ ปะการังต่างๆ
    28.
    มีดอกบัวผุดขึ้นมาจากก้อนหินก้อนละ 7 ดอก
    29.
    มีดอกบัวตกลงมาจากท้องฟ้า
    30.
    ดอกบุปผาชนิดอื่นๆ ตกมาจากนภากาศทั่วทุกแห่งหน
    31.
    มีเสียงทิพย์บรรเลงไปทั่วบรรณพิภพ
    32.
    ทุกจักรวาลหมื่นโลกธาตุหอมไปด้วยกลิ่นดอกไม้และเครื่องหอม
    <!--coloro:#0000FF-->
    <!--/coloro-->
    "เมื่อพระพุทธองค์ประสูติ ก็จะบังเกิดเหตุอัศจรรย์ทั้ง 32 ประการดังนี้เช่นกัน แล้วยังมีปราสาทแก้ว 3 หลังผุดขึ้นมาจากพื้นดินเนื่องด้วยผลบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมา นามว่า สิริวัฒนะ ปสิทธัตถะ และนันทกะ (บ้างก็ว่ามีอีกหลังหนึ่ง คือ วัฒนะ) ปราสาททั้งหมดนั้น ผุดขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่สำราญของพระโพธิสัตว์ ภายในปราสาทมีสนมนารีแวดล้อม 100,000 นางพร้อมกับปราสาทนั้น เพื่อมาเป็น 'บาทบริจาริกา' ปรนนิบัติรับใช้พระโพธิสัตว์ <!--colorc-->
    <!--/colorc-->

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"พระโพธิสัตว์มีพระนามว่า 'อชิตพรามหณ์' พระองค์มีพระชายาพระนามว่า 'พระนางจันทมุขี' มีพระราชบุตรพระนามว่า 'พราหมณ์วัฒนกุมาร' เมื่อพระองค์ครองฆราวาส 8,000 ปี ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่(แก่แบบคนในยุคเรานี้) คนเจ็บ(เจ็บปวดมากๆ เห็นแล้วน้ำตายังไหล) คนตาย(เน่าเหม็น น่ารังเกียจ) และพระองค์ก็ทรงเห็นนิมิตของสมณะ อันเป็นทางดับทุกข์ เมื่อพระองค์ทรงตัดสินพระทัยออกผนวชแล้ว ปราสาที่พระองค์ทรงประทับอยู่ก็จะลอยไปในนภากาศ เหล่านางสนมผู้คนอื่นๆ เสนาอำมาตย์ พราหมณ์รับใช้ก็จะไปกับปราสาทนั้นด้วย เปรียบประดุจพระยาสุวรรณหงส์โบยบิน<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->"ปราสาทลอยไปทั่วชมพูทวีป เทวดาทั้งหลายในแสนโกฎิจักรวาล ชวนกันถือเครื่องสักการะบูชาพระองค์เหาะมาในเวหา พื้นดินเต็มไปด้วยมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายทำการบูชาพระองค์ ทั้งพระมหากษัตริย์จาก 84,000 เมือง และชาวชนบททั้งหลาย เทวดา อินทร์ พรหม ยักษ์ นาค คนธรรพ์ ทำการบูชาและคุ้มครองพระองค์ ผู้ใดประสงค์จะออกบวชด้วยก็จะลอยไปตามปราสาท<!--colorc--><!--/colorc-->
    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->
    "เมื่อเสด็จถึงป่าอิสิตนมฤคทายวัน ซึ่งเป็นจุดที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ที่นี่(เชื่อกันว่าที่นี่ผืนดิน หนาที่สุด เป็นที่เดียวที่สามารถรองรับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าได้ หากไปตรัสรู้ที่อื่น โลกธาตุจะแตกสลาย) ยังร่มไม้ต้นนาคะ หรือต้นกากะทิง ปราสาทก็จะลอยหายไป ทิ้งเอาบุคคลที่ตามมาด้วยไว้ แล้วท้าวมหาพรหมก็นำเอาเครื่องอัฐบริขารทั้ง 8 มาให้พระองค์ พระองค์ทรงตัดพระเกศาด้วยพระขรรค์แก้ว พระอินทร์อัญเชิญพระเกศาไปประดิษฐานยังพระมหาเจดีย์จุฬามณี พระพรหมนำเครื่องทรงไปประดิษฐานในพรหมโลก แล้วคนอื่นๆ ก็ได้บวชตามๆ กันทุกคน (พระพุทธเจ้าบางพระองค์ก็มีผู้บวชตาม บางองค์ก็ไม่มี อย่างเช่นพระพุทธโคดม) ออกบิณฑบาตทุกวัน<!--colorc-->
    <!--/colorc-->

    <!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->"พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรประมาณ 7 วัน รับข้าวมธุปายาส และทรงบำเพ็ญเพียรใต้ต้นกากะทิง บรรดาเทวดาทั้งหลายมาเฝ้ารอการตรัสรู้และโบกพัดเล่นดนตรีบูชาของหอมแด่ พระองค์ ทรงตรัสรู้ปุพเพสันนิวาสญาณคือการรู้อดีตชาติต่างๆ ของพระองค์เองและของผู้อื่นในปฐมยาม ทรงตรัสรู้ทิพยจักษุญาณคือการรู้การเกิดดับของสัตว์ทั้งหลายในขณะนั้นใน มัชฌิมญาณ และทรงตรัสรู้พระโพธิญาณทรงเห็นอริยสัจสี่คือทุกข์ สมุทัย นิโรจ และมรรค ตรัสรู้และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในบันดล!<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้นั้น พระวรกายของพระองค์สูง 88 ศอก(44 เมตร) กว้าง 25 ศอก(12.5 เมตร) ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุ(เข่า) วัดได้ 22 ศอก(11 เมตร) ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระนาภี(สะดือ) วัดได้ 22 ศอกเช่นกัน ตั้งแต่พระนาภีถึงพระรากขวัญ(กระดูกไหปลาร้า)ทั้ง 2 ประมาณ 22 ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญจนถึงยอดพระเศียรที่สุดยอดพระอุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้นประมาณ 22 ศอกเสมอกันทั้ง 4 ส่วน พระรากขวัญแต่ละอันนั้นยาว 5 ศอก(2.5 เมตร) พระหัตถ์ทั้งสองยาวได้ 10 ศอก(5 เมตร) กว้าง 5 ศอก พระพาหา(แขน) ยาว 25 ศอก พระอังคุลี(นิ้วมือ) ยาวได้ 5 ศอก ฯ<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->"พระศอ(คอ)โดยกลมรอบยาวประมาณ 5 ศอก ยาวก็ 5 ศอก พระโอษฐ์(ปาก)เบื้องบนและเบื้องล่างยาวได้ 10 ศอกเสมอกัน พระชิวหา(ลิ้น) ยาว 10 ศอก พระนาสิก(จมูก) สูงยาวได้ 7 ศอก(3.5 เมตร) ดวงพระเนตรทั้งสองกว้าง 7 ศอก แววพระเนตรยาวประมาณ 5 ศอก พระขนง(คิ้ว)แต่ละข้างยาวได้ 5 ศอก พระกรรณ(หู)ทั้งสองข้างยาวได้ 7 ศอก ดวงพระกาฬเนตร(ตาดำ) กลมโดยรอบประมาณ 25 ศอก พระอุณหิตเวียนขวารอบๆ พระเศียรเป็นเปลวพระพุทธรัศมีนั้นโดยกลมรอบวัดได้ 25 ศอก ฯ<!--colorc--><!--/colorc-->

    <!--coloro:#FF0000--><!--/coloro-->"ส่วนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นมีปริมณฑล(อาณาเขตทรงพุ่มและราก)ไปได้ 120 ศอก(60 เมตร) มีกิ่งใหญ่ 5 กิ่งยื่นออกไปยาว 120 ศอก แต่ต้นขึ้นไปสุดปลายกิ่งยาวได้ 240 ศอก(120 เมตร) ใบเป็นสีเขียวทั้งหมด มีดอกขนาดเท่ากงจักรรถ แต่ละดอกมีเกสรทะนานหนึ่ง มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไปได้ไกล 500 โยชน์ (8,000 กิโลเมตร) ผลิบานหอมฟุ้งปานดอกของต้นปาริชาตทิพย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์"<!--colorc--><!--/colorc-->

    พระอัครสาวกเบื้องขวา มีนามว่า พระอโสกเถระ

    พระอัครสาวกเบื้องซ้าย มีนามว่า พระสุพรหมเถระ

    พระอัครสาวิกาเบื้องขวา มีนามว่า พระปทุมาเถรี

    พระอัครสาวิกาเบื้องซ้าย มีนามว่า พระสุมนาเถรี

    พระอุปัฏฐาก มีนามว่า พระสีหเถระ

    อุบาสกพุทธอุปัฏฐาก 2 คน มีนามว่า สุทัตตคหบดี และสังฆหบดี

    อุบาสิกาพุทธอุปัฏฐาก 2 คน มีนามว่า นางยสปวดี และนางสังฆอุบาสิกา

    <!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->"พระฉัพพรรณรังสีทั้ง 6 ของพระองค์สว่างไสวไปทั่วหมื่นโลกธาตุ ทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ จะบังเกิดต้นข้าวสาลีเลี้ยงชาวชมพูทวีปจนอยู่เย็นเป็นสุข<!--colorc--><!--/colorc-->
    <!--coloro:#FF0000-->
    <!--/coloro-->
    "ความเป็นพระพุทธเจ้าทรงประเสริฐกว่าความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิมาก ขนาดพระเจ้าสังขจักร์ยังทรงเลื่อมใส ทรงออกผนวชในพระพุทธศาสนาของพระองค์จนสำเร็จพระอรหันต์"<!--colorc-->
    <!--/colorc--> <!--sizec--><!--/sizec-->
     
  4. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ท่านครับ เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีที่ มนุษย์มีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ ๑.๘ ม. เองนะครับ แต่พระพุทธองค์ มีความสูงพระวรกาย ๔ ศอก = ๒ เมตร แต่ถ้าเกินนั้นไม่ใช่แล้วครับ
    ที่บ้านเชียง จ.อุดรธานีมีกระดูกของมนุษย์เมื่อ ๗,๐๐๐ ปี วัดได้แค่ ๘ ศอก = ๔ เมตร เอง
     
  5. ราศีสิงห์

    ราศีสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    815
    ค่าพลัง:
    +2,118

    อนุโมทนาบุญกับคุณต้นละครับ

    ท่านใดมีข้อมูลเพิ่มอีกไหมครับ ถ้านับถอยหลังไปอีกหลังจากพุทธกาลประมาณ กี่กัปป์ กี่หมื่นปี พระเวสสันดรโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีช่วงไหน????
    ช่วงนั้นอายุมนุษย์เท่าไหร่ ความสูงเท่าไหร่ (พระพุทธเจ้ายุคนั้นไม่น่ามี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มกราคม 2010
  6. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อันนี้ ไม่ทราบเหมือนกันนะครับ
    เพราะไม่จำเป็นที่ผมต้องรู้นะครับ รู้แค่ว่า พระโพธิสัตว์เวสสันดร ท่านบำเพ็ญทาานบารมี ในชาตินี้ท่านถวายสัตตดกมหาทาน และให้ลูกเมียเป็นทาน ในยุคนั้นไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ
     
  7. ราศีสิงห์

    ราศีสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    815
    ค่าพลัง:
    +2,118

    ไม่ต้องคิดดีกว่าเน๊อะ
    เป็นเรื่องของ อจินไตย ปุถุชนอย่างเราหมดสิทธิ์
     
  8. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    เกี่ยวกันไหมเนี่ย ครับ
     
  9. ราศีสิงห์

    ราศีสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    815
    ค่าพลัง:
    +2,118
    จะบอกว่าเกี่ยวก็ไม่ใช่ บอกว่าไม่เกี่ยวก็ไม่ใช่ครับท่าน
    แต่จนเพราะเหตุสุดวิสัยในการรู้เพิ่มเติม

    อจินไตย
    เหตุ 4 อย่างที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ไม่ควรคิด ใคร ๆ เมื่อคิดถึงเหตุเหล่านั้นเข้า ก็ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นคนบ้าเอาละสิ ท่านบอกว่า สิ่งที่เป็นอจินไตยไม่ควรคิด ถ้าคิดแล้วก็บ้าเปล่า ๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราว เหตุ 4 อย่างที่ไม่ควรคิด ที่พระพุทธเจ้ากล่าวก็คือ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>


    1. พุทธวิสัย วิสัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราคิดไม่ได้ ขืนคิดอยากจะรู้เท่าทันพระพุทธเจ้า เราก็บ้า เพราะว่าเรารู้ไม่ได้<o:p></o:p>


    2. ฌานวิสัย วิสัยของบุคคลผู้ทรงฌาน ถ้าเราไม่สามารถได้ฌานสมาบัติ เราอย่าไปคิดเรื่องฌานสมาบัติ ยิ่งคนสมัยปัจจุบันย่อมอยากจะพูดกันถึงเรื่องพระนิพพานบ้าง เรื่องวิสัยของอรหันต์บ้าง แต่ความจริงแค่ฌานโลกีย์เท่านี้ พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ถ้าเรายังเข้าไม่ถึงก็ไม่ควรจะคิด คิดเท่าไรมันก็ผิด<o:p></o:p>


    3. กรรมวิสัย คือกฎของกรรม เรื่องกฎของกรรมนี้ก็เหมือนกัน อย่าไปคิดมันคิดไม่ออกหรอก นอกจากว่าเราจะได้วิชชาสาม อภิญญาหก แล้วก็เป็นพระอริยเจ้าขั้นอรหันต์ จึงจะพอคิดถึงเรื่องกรรมได้ ถ้ายังไม่ถึงอย่าไปคิด คิดแล้วมันก็จบลงไม่ได้<o:p></o:p>


    4. โลกจินไตย เรื่องของโลก เรื่องของโลกนี้ เราจะคิดว่ามันจะไปจบลงตรงไหน อย่าไปคิด มันไม่มีทางจบ คือโลกหาที่สุดไม่ได้


    จาก เรื่องบุพกรรมของพระสีวลี ในหนังสือธรรมสัญจร เล่ม 4
     
  10. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ผมเข้าใจครับ เรื่อง อจินไตย นะครับ
    แต่ที่ว่าไม่เกี่ยวนะครับ คือ เรื่องพระโพธิสัตว์เวสสันดรกับอจินไตยนะครับ
     
  11. NikuSeed

    NikuSeed เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +724
    อนุโมทนา สาธุ

    ผมอ่านมา เห็นว่า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ บำเพ็ญทุกขกิริยา นะครับ
    แต่ว่าแต่ละองค์บำเพ็ญไม่เท่ากัน
    ส่วนเวลาในการบำเพ็ญเพียรจนบรรลุโพธิญาณพร้อมด้วยความเป็นสัพพัญญู ก็เกิดภายในคืนเดียว

    พระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้า จะทรงบำเพ็ญทุกขกิริยา 7 วัน...
     
  12. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    แบบนั้นเขาไม่เรียก ทุกรกิริยา หรอกครับ เขาเรียกว่าการทำสมาธิ (ทุกรกิริยา= ทรมานร่างกายให้เจ็บป่วยถึงขั้นตาย ซึ่งเป็นกรรมเก่าของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน กรรมของพระองค์มี ๑๒ อย่าง ) หลังจากนั้น พอพระองค์ได้หญ้า ๘ กำนายชายคนหนึ่ง (ช่ืืออะไรจำไม่ได้) พระองค์ก็นำไปปูใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้วอธิฐานจิตจะไม่ลุกขึ้น ถ้าไม่สำเร็จดังที่หวัง แล้วพระองค์ก็ทำสมาธิ
    ลองอ่านดูดีๆๆ นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กุมภาพันธ์ 2010
  13. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398

    วงศ์กษัตริย์ของพระเวสสันดรกับของเจ้าชายสิทธิตถะคือวงศ์เดียวกันครับ
    ในหนังสือ ปฐมสมโพธิกถา ระบุว่า พระบรมโพธิสัตว์ของเราบังเกิดเป็นพระเจ้ามหาสมมติเทวราช ปฐมกษัตริย์แห่งต้นกัปป์นี้ จากนั้นก็มีโอรสคือพระเจ้าโรชราช ถัดจากนั้นก็เป็นพระเจ้าวรโรชราช พระเจ้ากัลยาณราช พระเจ้าวรกัลยาณราช และพระเจ้ามันธาตุ (น่าจะเป็นพระบรมโพธสิตว์ของเรามาเกิด ซึ่งทรงมีอายุยืนยาวถึงอสงไขย และมีเดชานุภาพจนขึ้นไปปกครองสวรรค์ดาวดึงส์ร่วมกับท้าวสักกะถึง 16 พระองค์) ถัดจากนั้นก็เป็นพระเจ้าสกมันธาตุ พระเจ้าอุโบสถราช พระเจ้าวรราช พระเจ้าอุปวรราช และพระเจ้ามฆเทวราช รวมเป็น 11 พระองค์ จากนั้นมีกษัตริย์สืบต่อมาอีก 84,000 พระองค์ (ช่วงจากพระเจ้ามฆเทวราชและกษัตริย์อีก 84000 พระองค์ น่าจะเป็นเรื่องราวในตอนต้นของเนมิราชชาดก) จนมาสมัยพระเจ้าปฐมโอกกากราช พระเจ้าทุติยโอกกากราช และพระเจ้าตติโอกกากราชซึ่งมีพระมเหสี 5 องค์ ต่อมามเหสีเอกสิ้นพระชนม์ มเหสีใหม่ได้ใช้อุบายขอตำแหน่งกษัตรยิ์ให้กับลูกของตน พระเจ้าตติโอกการาชจึงจำต้องรักษาสัจจะโดยให้ราชบุตรคือ โอกกากมุขราชและน้องๆไปแสวงหาที่ตั้งเมืองใหม่ ตอนนี้พระโพธิสัตว์ได้ลงมาเกิดเป็นกบิลดาบส ซึ่งได้แนะให้สร้างเมืองที่อาศรมของท่านและตั้งชื่อว่ากรุงกบิลพัสดุ์ พระเจ้าโอกกากมุขราชและน้องๆชายหญิงได้จับคู่แต่งงานกันเอง เพราะเหตุนี้จึงบังเกิดเป็นสกุลศากยะวงศ์ ส่วนพี่สาวคนโตได้เป็นโรคเรื้อนจึงหนีไปสู่ป่าได้พบรักกับพระราชาองค์หนึ่งที่หลบมารักษาโรคเรื้อนเช่นกัน ทั้งสองพระองค์ได้สร้างนครเทวทหะขึ้น จึงกลายเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับนครกบิลพัสดุ์เรื่อยมา ต่อมานครกบิลพัสดุ์ก็มีกษัตริย์สืบเชื้อสายมาอีกหลายชั่วคน จนถึงพระเจ้าสีวีราช พระเจ้าสญชัย และพระเวสสันดร ตอนนี้ชื่อเมืองได้เปลี่ยนไปเป็น กรุงเชตุดร ดังปรากฏในเวสสันดรชาดก
    เมื่อพระเวสสันดรได้เสด็จสู่สวรรค์ พระชาลีได้ครองราชสมบัติต่อ และมีวงศ์กษัตริย์สืบต่อเนื่องมาอีก 1 แสน 6 หมื่น 1 พันพระองค์ จนถึงยุคของพระเจ้าชัยเสนราช และพระเจ้าสีหนุราช ซึ่งตอนนี้ชื่อเมืองได้เปลี่ยนกลับไปเป็นกรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้ง พระเจ้าสีหนุราชมีพระโอรสคือพระเจ้าศิริสุทโธนะ ซึ่งก็คือพุทธบิดานั่นเอง
    ส่วนที่ว่ายุคของพระเวสสันดร มนุษย์มีอายุเท่าใด ความสูงเท่าใด ก็คงต้องคะเนเอาว่าใน 161,002 รัชกาลที่แล้ว ล่วงไปกี่ปีแล้ว และมนุษย์ควรจะมีอายุเท่าใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2010
  14. Citi

    Citi Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +43


    สาธุ กราบอนุโมทนาด้วยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...