เหตุ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย รสมน, 22 มีนาคม 2010.

  1. รสมน

    รสมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,451
    ค่าพลัง:
    +2,047
    เป็นเรื่องของ"ความไม่รู้" ทั้งหมดเลย ใช่ไหม.?
    สติ หรือ ไม่ใช่สติ....ยังไม่ใช่ ความรู้ชัด.?

    เพราะฉะนั้น จริง ๆ แล้ว ก็คือว่า สภาพธรรม "เป็นปกติ" ถูกหรือเปล่า?

    ขณะนี้...เป็นสภาพธรรม (ที่กำลังปรากฏ)
    เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างในขณะนี้-ที่ "เป็นปกติ" หรือยัง.?

    ไม่ใช่ไปมุ่งที่สติปัฏฐาน...ไม่ใช่ไปมุ่งที่ชื่อ
    แล้วเกิดความสงสัยว่า อย่างนี้ เป็นสติ หรือเปล่า.!

    แต่ว่า ลักษณะของสภาพธรรม มีจริง
    เพราะฉะนั้น จากการที่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมะ เป็นความรู้เพียงขั้นฟังเท่านั้น.?

    จริง ๆ แล้ว จิต เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น-รู้
    จิต จะเกิดขึ้น โดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้จิตรู้ ไม่ได้.

    ฉะนั้น ในขณะนี้ อะไรก็ตามที่ปรากฏให้จิตรู้
    ท่านผู้ฟัง ลืม...หรือ รู้ ว่าขณะนั้นมี "ธาตุรู้" ที่กำลังทำกิจรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ
    เป็นเหตุปัจจัยให้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ปรากฏได้.

    เช่น ในขณะที่เห็น มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เพราะมีจิตเห็นเกิดขึ้น
    ถ้าจิตเห็นไม่เกิดขึ้น-เห็น
    สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ปรากฏให้เห็น ไม่ได้.

    เพราะฉะนั้น
    ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ว่า ขณะนี้เป็นธรรมะ
    และ การศึกษาธรรมะ คือ ศึกษาให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
    โดยที่ยังไม่ต้องไปคำนึงถึงคำว่า "สติ" ไม่ต้องไปคิดว่า ใช่สติหรือเปล่า.!

    แต่เป็นผู้ที่เริ่มรู้ว่า....ความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ๆ จากการฟัง
    ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่มีจริง ๆ กำลังปรากฏอยู่..........
    ท่านผู้ฟังมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ
    เท่ากับความเข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังหรือเปล่า.?

    ขณะนี้ กำลังมีสภาพธรรมปรากฏ
    เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ-เท่ากับความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง
    หรือ เข้าใจเรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏ จากการฟังหรือยัง.?

    เพราะว่า มีสิ่งที่มีจริง ๆ โดยไม่ต้องเรียกชื่อใด ๆ ทั้งสิ้น
    สิ่งที่มีจริง คือ ความจริง และความจริง...ก็ต้องจริง.

    สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้น-มี แต่ยังไม่รู้ว่า สิ่งนั้นเป็นความจริง
    คือ เกิดแล้วดับ สั้นมาก เล็กน้อยมาก.?

    ตามความเป็นจริง
    สภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่ปรากฏ ไม่ได้ปรากฏพร้อมกันเลยสักอย่าง
    ไม่ว่าจะเป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส และ คิดนึก
    จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้น รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วดับไปอย่างรวดเร็วมาก.

    เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เท่ากับเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังหรือยัง.?
    ฉะนั้น ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องสติปัฏฐาน
    เพราะว่า ขณะใดก็ตามที่กำลังเข้าใจ...เป็นเราหรือเปล่า.?

    เห็นไหมคะ...ความละเอียดของพระธรรม
    ขณะที่กำลังฟังเรื่องการเห็น...แล้วก็มีการเห็น
    แล้วก็กำลังเข้าใจจริง ๆ ว่า การเห็น มีจริง คือเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น-เห็น
    ขณะที่เข้าใจอย่างนี้ ต้องมีสติเกิดร่วมด้วยแล้ว.!
    เพราะเหตุว่า ขณะที่เข้าใจ ไม่ใช่ขณะที่ไม่เข้าใจ
    แต่ถ้าขณะที่ฟัง แล้วยังไม่เข้าใจ จะกล่าวว่าขณะนั้นเข้าใจ ก็ไม่ได้.

    ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมจริง ๆ
    เป็นผู้ที่ตรงต่อคำที่ได้ฟัง.

    ฉะนั้น ขณะนี้ กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ ไม่ต้องคิดถึงคำว่า "สติ"
    แต่เริ่มรู้จัก ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏนี้ มีจริง ๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    แต่นื่องจากสภาพธรรมเกิด-ดับอย่างรวดเร็วมาก
    จึงทำให้ไม่รู้ตามความเป็นจริง
    ว่า ขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน ไม่ใช่ขณะที่กำลังคิด
    เพราะความรวดเร็วในการเกิด-ดับ-สืบต่อ-ของสภาพธรรมนั่นเอง.

    สภาพธรรมเกิด-ดับรวดเร็วมากสักแค่ไหน.?
    จนใครก็ไม่สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงได้
    และถ้าไม่มีการฟัง ก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง
    ว่า ความจริงของสภาพธรรม เป็นอย่างนี้จริง ๆ หรือเปล่า
    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ยังไม่ต้องไปคิดไกลถึง "สติปัฏฐาน"

    ในสมัยครั้งพุทธกาลพุทธบริษัทได้ทราบจากการพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า ท่าน
    ใด เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน การกระทำการ
    สักการะบูชา ถวายอาหารจตุปัจจัย กับพระอริยเจ้าเหล่านี้มีผลมีอานิสงส์มาก อนึ่ง
    การคบหา การสมาคม การประพฤติปฏิบัติตามท่านเหล่านี้ นำมาซึ่งความสุข ความ
    เจริญ ไม่มีความเสื่อม ย่อมถึงที่สุดทุกข์ตามท่านได้ แต่ในยุคนี้ ใครจะรู้ว่าใครเป็น
    พระอริยบุคคลขั้นไหน ผู้นั้นต้องบรรลุความเป็นพระอริยขั้นนั้นก่อนจึงรู้ได้ ถ้ายังไม่
    บรรลุย่อมรู้ไม่ได้ครับ แต่คนอื่นจะเป็นอริยะหรือไม่ใช่อริยะก็ตาม การสำรวมระวังกาย
    ระวังวาจา ระวังความคิดของเราเป็นการดี ไม่ควรเบียดเบียน ไม่ควรถือเอาทรัพย์ ไม่
    ควรก้าวล่วงบุตรภริยาบุคคลอื่น ไม่ควรโกหก ไม่ควรด่าว่า ไม่ควรพูดส่อเสียด ไม่ควร
    พูดคำหยาบคาย ไม่ควรพูดพ้อเจ้อ ไม่ควรมีอภิชฌา ไม่ควรมีพยาบาท ไม่ควรมีความ
    เห็นผิดจากความเป็นจริง..
    คำว่า เถยยสังวาสก์ หรือการลักเพศ โดยทั่วไปท่านอธิบายการปลอมบวช หรือ
    การสิ้นสุดของความเป็นพระภิกษุและสามเณรแล้วยังถือเพศ ยังนับพรรษา ถือ
    เอาลาภของสงฆ์ หลอกลวงภิกษุสงฆ์และบุคคลทั่วไปว่าตนเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
    ส่วนสามเณรในยุคนี้ที่ขาดการแนะนำฝึกฝนจากพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์
    มีความประพฤติล่วงละเมิดสิกขาบท แล้วไม่ทำให้ถูกต้องตามพระวินัย ก็มีค่า
    เท่ากับเป็นผู้ทุศีล เป็นอลัชชี ไม่มีคุณธรรม มีจิตเศร้าหมอง ถ้ามรณะในระหว่าง
    นั้นต้องมีอบายเป็นที่ไปแน่นอน ถ้าต้องการความถูกต้อง ตรงต่อพระธรรมวินัย
    ต้องเข้าไปหาพระอาจารย์ที่ท่านชำนาญในพระวินัย ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย
    อย่างถูกต้อง ให้ท่านวิสัชชนาและแก้ไขให้ครับ

    เอาบุญมาฝากได้ถวายสังฆทานชุดใหญ่กับแม่และหลาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน
    ให้อภัยทาน อนุโมทนากับผูใส่บาตรตามถนนหนทาง
    อาราธนาศีล รักษาศีล ศึกษษการรักษาโรค
    ช่วมพ่อแม่ทำงานบ้าน กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธรูป
    และตั้งใจว่าจะสร้างบารมี ให้ครบทั้ง 10 อย่าง
    สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ เจริญอาโปกสิน สักการะพะธาตุ
    เจริญอาโปกสิน เจริญอนุสติอีก 8 อย่าง ตั้งแต่ พุทธานุสติ ถึงมรณานุสติ
    เมื่อคืนได้เห็นนิมิตของอาโปกสินและก็เห็นอะไรก็ไม่รู้เปรตหรือเปล่าก็ไม่รู้
    ตัวดำๆ หน้าตาหน้ากลัว ก็เลยแผ่กุศลให้สัดพักก็หายไป และหลังจากนั้นก็เห็นแสง
    ปรากฏขึ้นและเหมือนกับว่าจะเป็นร่างของเทวดา เข้าใจว่าน่าจะมาอนุโมทนาบุญ
    และเดี๋ยวนี้เน้นวิปัสสนากรรมฐานไม่เน้นบัญญัติแล้ว ก็ทำอะไรก็มีสติเป็นวิปัสสนา
    และตั้งใจว่าจะปฏิบัติต่อไป แต่ว่าทำอย่างไรดีนะเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่านะที่
    เห็นเมื่อคืนที่ทำให้เราไม่สบายมาถึงทุกวันนี้ขณะนี้ก็มีอาการอยู่
    ซึ่งกำลังใช้กรรมอยู่ แต่ก็สู้และชดใช้เวรกรรมต่อไป ขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

    ขอเชิญร่วมเดินทางไหว้พระ-ปฏิบัติธรรม และร่วมงานพระราชทานเพลิงหลวงตาพวง
    26-28 มี.ค.2553 โทร 0846857001
    ขอให้สรรพสัตว์ทั้ง 31 ภพภูมิจงบรรลุมรรคผลนิพพานเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...