เหรียญหลวงปู่ชู

ในห้อง 'วิธีดูพระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง' ตั้งกระทู้โดย kalatorn, 24 กรกฎาคม 2012.

  1. kalatorn

    kalatorn สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +6
    เหรียญหลวงปู่ชู พรหมโชโต วัดกลาง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ใครมีเหรียญนี้ อ่านประวัติได้ครับ (ไม่ถามแล้ว 10 กระทู้ หาผู้มีความรู้ไม่ ) แชร์ ดีกว่า ....



    [​IMG]
    เมื่อย้อนประวัติศาสตร์ ขึ้นไปจนถึง ปี พ.ศ. ๑๘๙๕ ภายหลังจากขุนหลวง-พระงั่ว ซึ่งต่อมาภายหลังได้เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ ได้ทรงมีชัยชำนะต่อขอมที่เป็นกบฏและแผ่ขยายอาณาเขตไทยขับไล่ขอมห้ออกไปจากดินแดนแว่นแคว้นต่าง ๆ ในเขตอิสานตอนใต้ และทรงตั้งเมืองนางรองให้ถือกำเนิดเกิดขึ้นอยู่ในขอบขัณฑสีมาแห่งราชอาณาจักรไทยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พร้อมทั้งได้ทรงก่อสร้างตั้งวัดให้เป็นวัดคู่เมืองนางรองขึ้นวัดหนึ่งให้ชื่อว่า “วัดอารามสามัคคี” ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า “วัดร่องมันเทศ” แต่ก่อสร้างยังไม่ทันเสร็จพระองค์ก็ต้องยกทัพกลับคืนกรุงศรีอยุธยา เพราะมีข้าศึก พม่ามอญมาประชิดติดเมืองทางด้านประจิมทิศ แต่เหล่าชาวประชาผู้คนชาวเมืองนางรอง ก็ได้สืบสานก่อสร้างและทะนุบำรุงกันต่อ ๆ มา แม้บางช่วงบางตอนจะถูกทอดทิ้งรกร้างไปบ้างอาจจะเป็นด้วยเหตุผลจากการบ้านการเมืองก็ตาม แต่ในปัจจุบันก็เป็นวัดที่สมบูรณ์ไปด้วยเสนาสนะต่าง ๆ และเป็นศูนย์รวมแห่งชาวพุทธที่อยู่ในบริเวณนั้น และยังเป็นความภาคภูมิใจและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์ขุนหลวงพระงั่ว พระผู้ให้กำเนิดบ้านเมืองนี้ให้อยู่ในจิตใจของผู้คนพลเมืองนางรองตลอดไป
    สำหรับวัดกลาง ถือได้ว่าเป็นวัดเก่าวัดหนึ่งของเมืองนางรอง จากการสืบสานและตรวจค้นตามหลักฐาน, เอกสารต่าง ๆ แล้วพบว่า วัดกลาง ได้ถือกำเนิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนกลางภายหลังวัดร่องมันเทศ ประมาณ ๒๕๐ ปี ไล่เลี่ยกับวัดต่าง ๆ ที่อยู่ในละแวกเดียวกัน คือ วัดขุนก้อง หรือ วัดตะวันออก วัดหัวสะพาน หรือวัดนอก วัดโจด หรือวัดป่าเรไร และวัดจอมปราสาท ที่บ้านเขว้า เป็นต้น ซึ่งอยู่ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๑๓๙ – พ.ศ. ๒๑๖๐ ในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ สองจอมกษัตริย์ ผู้มีคุณูปการแก่ปวงชนชาวไทยทั้งมวล
    สืบเนื่องจากการที่พระยาละแวกกษัตริย์แห่งกรุงกัมพูชา ได้กระทำตนเปรียบเสมือนหนึ่งโจรหรือหอกข้างแคร่ของไทย คอยลักลอบเข้ามาโจมตีซ้ำเติมและกวาดต้อนผู้คนชาวไทยตามหัวเมืองไปยังกัมพูชาอยู่เสมอในขณะที่ไทยมีภาระทำการศึกเพื่อกอบกู้เอกราชจากพม่า การกระทำของพระยาละแวกนี้ก่อให้เกิดความเคียดแค้นให้กับองค์พระประมุขแห่งราชอาณาจักรไทยโดยเฉพาะสมเด็จพระนเรศวร ถึงกับทรงลั่นพระโอษฐ์ ว่า จะจับพระยาละแวกมาตัดหัวเอาเลือดล้างพระบาทให้จงได้ ฉะนั้น จึงเมื่อเสร็จศึกสงครามมีชัยชนะต่อกัมพุกามประเทศ และเป็นอิสระเป็นไทแก่ตัว บ้านเมืองมีความมั่นคงพอสมควรแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๑๓๖ สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ ทั้งสองจอมกษัตริย์ จึงได้ยาตราทัพอกจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อไปปราบพระยาละแวกพร้อมด้วยขุนทัพคนสำคัญคู่ใจอันมี พระราชมนู ทหารเอก ประแดงแก้วหรืออาจารย์แก้ว จมื่นศรีณรงค์ ขุนกองสรรพกิจ ขุนจงโยธา หมื่นหาญอาษา หมื่นศรีวิชัย เป็นต้น พระองค์ทรงเดินทัพผ่านมาทางเมืองโคราชและโปรดให้เกณฑ์ไพร่พลจากเมืองโคราชไปในกองทัพด้วย ได้เดินทัพรอนแรมมาตามเส้นทางซึ่งบรรดาหน่วยล่วงหน้าได้มาตัดกรุยสร้างเป็นแนวทางไว้แล้ว คือ ถนนประแดงแก้ว ในปัจจุบันก็ยังมีร่อยงรอยเหลืออยู่บ้างในบางตอน ผ่านจักราช ทุ่งกระตาด ทุ่งกระเต็น มาพักรวมพลที่บริเวณบ้านไร่โคก แต่ก่อนเคยมีชื่อว่า บ้านชุมพล ต่อมาคำว่าชุมพลนี้ได้เอาไปตั้งเป็นชื่อวัดที่บ้านไร่โคก ว่า “วัดศรัทธาชุมพล” มาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองนางรอง ทั้งสองพระองค์กได้เสด็จไปพักที่พลับพลาซึ่งคณะกรรมการเมืองและหน่วยล่วงหน้าได้มาจัดสร้างเตรียมไว้ที่เนินกลางเมืองนางรองพร้อมกับได้ขุดสระน้ำขนาดใหญ่เพื่อเก็บน้ำไว้บริโภคใช้สอยและแช่หญ้าม้าสำหรับให้ม้าศึกกินอีกด้วย ส่วนบรรดาแม่ทัพนายกองก็ได้แยกย้ายกันไปตั้งค่ายพักอยู่โดยรอบพลับพลาที่ประทับไม่ห่างไกลมากนัก ทั้งนี้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่องค์พระมหากษัตริย์ ทั้ง ๒
    เมื่อได้พักไพร่พล อยู่ ณ เมืองนางรองพอสมควรและวางแผนการศึกเสร็จแล้วก่อนที่จะเดินทัพเข้าไปยังกัมพูชาประเทศ จอมกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้ทรงปลูกต้นโพธิ์ไว้เป็นอนุสรณ์ข้างพลับพลาที่ประทับองค์ละ ๑ ต้น พร้อมอธิษฐานให้ชำนะต่อการศึกสงครามครั้งนี้ และบรรดาแม่ทัพนายกองก็ร่วมกันปลูกต้นโพธิ์อธิษฐานรอบบริเวณพลับพลาที่ประทับด้วย เสร็จแล้วจึงเคลื่อนพลเดินทัพเข้าไปในเขตประเทศกัมพูชาเพื่อปราบพระยาละแวกตามเจตน์จำนงต่อไป
    ครั้นเมื่อเสร็จศึกปราบพระยาละแวกนักพระลัทถาเจ้ากรุงกัมพูชาได้ และกระทำพิธีปฐมกรรมตัดศีรษะเอาเลือดมาล้างพระบาทองค์สมเด็จพระนเรศวร สมความแค้นในพระราชหฤทัยแล้ว ทั้งสองพระองค์ก็ทรงยกกองทัพกลับคืนสู่กรุงศรีอยุธยาราชธานี โดยสวัสดิภาพ และทรงพระราชทานบำเน็จรางวัลเลื่อนยศเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้กับแม่ทัพนายกองขุนทหารและไพร่พลทั้งปวงตามโบราณราชประเพณี เป็นที่ชื่นชมยินดีแก่เหล่าทหาร ข้าราชบริพารและไพร่ฟ้าประชาชนโดยทั่วไปในขอบขัณฑสีมา

    เมื่อห้วงเวลาผ่านไปนับเดือนนับปีหากเวลาใดที่บ้านเมืองว่างเว้นต่อการศึก บรรดาขุนทหารทั้งหลายที่เคยมาพักไพร่พลที่เมืองนางรองเมื่อครั้ง ๒ กษัตริย์ ยกกองทัพมาปราบพระยาละแวกเจ้ากรุงกัมพูชา ก็จะทยอยกันขอพระราชทานบรม- ราชานุญาตจากจอมกษัตริย์ เพื่อมาเยี่ยมเยือนชาวเมืองนางรองและทดแทนบุญคุณที่ได้เกื้อกูลกองทัพเมื่อครั้งมาพักไพร่พล ณ เมืองนางรองนี้
    ในสมัยนั้น การสร้างวัดหรือการตั้งวัด ถือเป็นการทำบุญทำกุศลที่ยิ่งใหญ่ทั้งตัวผู้สร้างและผู้คนชาวเมืองที่จะได้ใช้บริการแห่งวัดนั้น ซึ่งเป็นทั้งแหล่งวิทยาการทุกสาขาในสมัยโบราณ แหล่งบำเพ็ญกุศล บำเพ็ญเพียร ทานบารมี และเป็นศูนย์รวมคนรวมน้ำใจของผู้คนพลเมืองทุกหมู่เหล่าอีกด้วย พระมหากษัตริย์ไทยแทบทุกพระองค์ทรงพอพระราชหฤทัยที่จะทำบุญบำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนาด้วยการสร้างวัด บูรณะวัดหรือปฏิสังขรณ์วัด ทั้งนี้แล้วแต่เวลาและโอกาสจะอำนวยให้
    ฉะนั้น ในการกลับคืนมาเยี่ยมเยือนเมืองนางรองของขุนทหารทั้งหลายในครั้งนี้ วัตถุประสงค์หลักก็ต้องการที่จะมาทดแทนบุญคุณของชาวเมืองด้วยการสร้างวัดอันจะเป็นประโยชน์แก่ทุกคนโดยทั่วถึงกัน จึงเมื่อแต่ละคนเดินทางมาถึงก็รวบรวมไพร่พลผู้คนไปทำการก่อสร้างวัดขึ้น ณ ที่ตนเองเคยพักไพร่พลกองทหารนั้น ๆ
    สำหรับ จมื่นศรีณรงค์ เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตจากองค์พระมหากษัตริย์แล้ว ก็รีบพาไพร่พลเดินทางมายังเมืองนางรองทันที และเมื่อมาถึงก็ได้รับการต้อนรับจากชาวเมืองด้วยความยินดีปรีดาโดยถ้วนหน้าและหลังจากนั้น จมื่นศรีณรงค์ ก็ได้แจ้งให้ชาวเมืองนางรองทราบว่าตนเองจะขอตอบแทนคุณงามความดีของชาวเมืองนางรองโดยการสร้างวัดให้ ณ ที่ตั้งพลับพลาที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ เมื่อครั้งยกทัพไปปราบพระยาละแวก ชาวเมืองยินดีขออนุโมทนาและขอร่วมในการก่อสร้างด้วย การก่อสร้างก็ได้ดำเนินด้วยดีจนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยจึงให้ชื่อว่า “วัดกลาง” เพราะตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของเมืองและยังเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับขององค์พระมหากษัตริย์อีกด้วย จึงนับเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง และโดยเฉพาะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็ทรงปลูกต้นโพธิ์อธิษฐานไว้ให้ชำนะศึก และการก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงอธิษฐานทุกประการ ฉะนั้น การสร้างวัด ณ สถานที่นี้จึงเป็นวัดมหามงคล เป็นวัดแห่งชัยชนะที่สองจอมกษัตริย์ได้จับจองที่ไว้เป็นอนุสรณ์สถานของพระองค์ท่านเพื่อมอบไว้ให้แก่ผู้คนชาวเมืองนางรองตลอดไป ยังความภาคภูมิใจอย่างใหญ่หลวงให้กับชาวเมืองนางรองสืบต่อกันมาจนถึงยุคปัจจุบัน “วัดกลาง” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา ณ ห้วงเวลานั้นเอง แต่จะเป็นวัน เดือน ปี ใดนั้น ไม่มีหนังสือเล่มใด เกร็ดประวัติศาสตร์ใด หรอคำบอกเล่าใดระบุหรือเขียนไว้ให้ชัดเจนเลยจึงประมาณการว่า “วัดกลาง” ได้ถือกำเนิดขึ้นระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๑๓๙ – พ.ศ. ๒๑๖๐ เท่านั้น ซึ่งอยู่ในยุคของกรุงศรีอยุธยาตอนกลางตามที่กล่าวไว้ตอนต้นเรื่อง เมื่อนับจนถึงบัดนี้ก็เป็นเวลา ถึง ๒๕๐ ปีเศษแล้ว
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] สิ่งที่ปรากฏอยู่ในวัดกลางและสิ่งที่ผูกพันกับวัดกลางมีดังนี้[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ๑. สระหญ้าม้า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวัดกลาง เป็นสระน้ำขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขุดขั้นเมื่อครั้งที่สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถยกกองทัพไปปราบพระยาละแวกและมาพักกองทัพอยู่ ณ เมืองนางรอง สระนี้ขุดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการเก็บกักน้ำไว้บริโภคใช้สอยของทหารไพร่พลและแช่หญ้าม้าไว้ให้ม้าศึกกิน เมื่อสองกษัตริย์เคลื่อนกองทัพออกไปแล้วสระน้ำนี้ก็คงยังคงอยู่ ประชาชนชาวเมืองนางรองก็ได้ใช้สอยตลอดมา และเนื่องจากเป็นสระน้ำที่ใช้สอยสำกรับแช่หญ้าม้า ประชาชนชาวเมืองนางรองจึงเรียกสระนี้ว่า “สระหญ้าม้า” เมื่อสร้างวัดกลางขึ้นครั้งแรกน้ำในสระนี้คงยังสะอาดและชาวเมืองดูแลดี ภิกษุสามเณรในวัดกลางที่ก่อตั้งระยะแรกก็คงใช้น้ำในสระนี้ไปบริโภคใช้สอย เพราะตั้งอยู่ติดกับอาณาเขตของวัด แต่ต่อมาในระยะหลังนี้ มีวัชพืชอื่นนอกจากหญ้าม้าขึ้นเต็มสระและน้ำก็ไม่สะอาดเพราะถ่ายเทไม่ได้ ก็ถูกทอดทิ้งไว้ไม่ใช้ประโยชน์อะไรมากนัก จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ทางราชการอำเภอนางรองซึ่ง นายสุเธียร นิรันดรเกียรติ เป็นนายอำเภอในขณะนั้น ได้ร่วมกับสุขาภิบาลนางรอง ทำการถมสระหญ้าม้าแล้วก่อสร้างเป็นตลาดให้ประชาชนทำมาค้าขายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน สระหญ้าม้าก็เลยหายสาบสูญไปกลายเป็นตลาดสระหญ้าม้าขึ้นมาแทนที่จึงต้องกล่าวไว้ ณ ที่นี้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ทราบ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ๒. สระน้ำหน้าอุโบสถวัดกลาง ที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้ เมื่อก่อนสระน้ำนี้เป็นคูเมืองนางรองชั้นที่ ๒ สันนิษฐานว่า ได้ขุดขึ้นเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐ [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เพราะขณะนั้นบ้านเมืองระส่ำระสาย แต่ละบ้านเมืองต้องหาความปลอดภัยให้ตัวเอง การขุดคูเมืองการสร้างเสริมกำแพงเมืองจึงต้องจัดทำปรับปรุงเพิ่มติดของเก่าที่มีอยู่เดิมเพียงชั้นเดียว คือ ชั้นในสุดซึ่งเป็นเนื้อที่ไม่มากนักและวัดกลางตอนตั้งขึ้นครั้งแรกก็อยู่นอกกำแพงเมืองเดิม ต่อเมื่อมีการขุดคูสร้างกำแพงเมืองชั้นที่ ๓ เป็นชั้นนอกสุด วัดกลางจึงได้อยู่ในเขตกำแพงเมืองนางรอง เช่นเดียวกับวัดขุนก้องก็มีคูน้ำอยู่หน้าอุโบสถเหมือนกัน และก็ขุดขึ้นในสมัยเดียวกันด้วย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ต่อมาเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ ปราศจากศัตรูหมู่มารบกวน การรบพุ่งก็เป็นไปในรูปแบบใหม่ ใช้อาวุธที่มีอานุภาพเพิ่มมากขึ้น ค่ายคูประตูหอรบก็ไม่สามารถป้องกันอาวุธเหล่านี้ได้ ประกอบกับมีการพัฒนาบ้านเมืองแผนใหม่ตามแบบอารยะประเทศ ค่ายคูกำแพงเมืองจึงเป็นสิ่งกีดขวาง หมดความจำเป็นที่จะใช้ประโยชน์ สิ่งเหล่านี้จึงถึงถมพังทลายให้กลายเป็นที่อยู่อาศัย ถนนหนทางและก่อสร้างสิ่งสำคัญต่าง ๆ ตามยุคสมัยขึ้นมาแทน ในปัจจุบันจึงยังคงเหลือคูเมืองให้เห็นอยู่เพียง ๓ แห่ง คือ สระน้ำวัดกลาง, สระน้ำวัดขุนก้อง, และสระใหญ่ (สระกำนันเหม่อยู่อยู่ใกล้ถนนทางออกไปบ้านเก่าในปัจจุบัน) [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ส่วนกำแพงเมืองในปัจจุบันเหลือเพียงรูปโนน ๆ ริมถนนสรรพกิจโกศลบางส่วนเท่านั้น เพราะฉะนั้นคูน้ำหรือสระน้ำในวัดกลางจะต้องอนุรักษ์ไว้ให้คนรุ่นหลังดู[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ๓. เขื่อนวัดกลาง [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ย้อนหลังขึ้นไปประมาณ ๓๐ ปีเศษ รอบบริเวณวัดกลางที่แสดงแนวเขตวัดจะเป็นเขื่อนไม้แก่นขนาดใหญ่วางบนไม้ง่ามแก่นเหมือนกัน เขื่อนนี้เป็นไม้ทั้งต้นใหญ่มากบางต้นเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ ๑ เมตร เล็กสุดก็ประมาณ ๗๐ เซนติเมตร เป็นเขื่อนอย่างนี้ทั้งสี่ด้าน เว้นช่องทางเข้าไว้เล็กน้อยบางที่ต้องเบี่ยงตัวจึงเข้าช่องทางนี้ได้ แล้วก็จะมีก้อนหินเป็นแผ่นหรือก้อนใหญ่ไว้เรียงเป็นทางเดินเข้าในแต่ลแะช่องด้วย ยกเว้นด้านทิศเหนือจะเป็นประตูทางเข้าที่มีซุ้มประตูมีหลังคา มีช่องทางเข้าใหญ่กว้างเกวียนเล่นใหญ่ ๆ เข้าได้สบายในสมัยนั้น ปัจจุบันเขื่อนไม้เหล่านั้นไม่มีเหลืออยู่แล้ว รั้งรอบวัดกลางเป็นกำแพงคอนกรีตไปหมดตามยุคตามสมัย[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ๔. โรงเรียนอำนวยวิทย์ประชากร เป็นโรงเรียนราษฎร์สอนชั้นมัธยมปีที่ ๑ ถึง มัธยมปีที่ ๓ (ม.๑-๓) ตั้งขึ้นและเปิดสอนที่วัดกลางโดยใช้ศาลาโรงธรรมวัดกลางเป็นสถานที่เรียน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา เพราะสมัยนั้น อำเภอนางรองยังไม่มีโรงเรียนมัธยมของรัฐบาล และทั้งจังหวัดบุรีรัมย์ก็มีเพียงโรงเรียนเดียว คือ โรงเรียนประจำจังหวัดเท่านั้นที่สอนถึงชั้นมัธยม จนกระทั่งถึง พ.ศ. ๒๔๙๒ อำเภอนางรองจึงได้ตั้งโรงเรียนมัธยมขึ้นเป็นครั้งแรกที่บริเวณป่าโจดข้างวัดป่าเรไร และได้เจริญรุ่งเรืองเป็นโรงเรียนใหญ่โตมาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับโรงเรียนอำนวยวิทย์ประชากร ก็ได้อาศัยศาลาโรงธรรมวัดกลางทำการสอนนักเรียนตลอดมา มีผู้ที่จบจากโรงเรียนนี้ไปเป็นใหญ่เป็นโตมากมาย แต่ปัจจุบันนี้ก็ล้มหายตายจากไปบ้างแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีอายุมากแล้วเกือบทั้งนั้น จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ จึงย้ายออกจากวัดกลางไปอาศัยชั้นล่างของอาคารโรงเรียนนางรองเป็นที่ทำการสอน และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “โรงเรียนอำนวยวิทย์” ต่อมาก็แยกออกไปตั้งเป็นเอกเทศอยู่ด้านหลังของโรงเรียนนางรอง ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เศษ จำไม่ได้ว่า พ.ศ.อะไร โรงเรียนอำนวยวิทย์ ก็ได้ยุบเลิกไป [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] ปัจจุบัน วัดกลางนางรอง ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปมากตามยุคตามสมัย ของเก่าที่เคยเป็นกุฏิไม้ทาสีเหลืองซีด ๆ ก็ผุพังถูกรื้อถอนไป ศาลาโรงธรรมที่เป็นไม้แผ่นกระดานที่ปูพื้นก็หนาเตอะไม่ได้ไสกบ ปูไม่แนบสนิทเป็นร่องเป็นรูโตบ้าง เล็กบ้าง แต่ก็ทนทานใช้การมาได้เป็นโรงเรียนก็ได้ตามที่กล่าวใน (ข้อ ๔ ) ตอนนี้ก็ถูกรื้อไปแล้ว บรรดาสิ่งที่ถูกรื้อถอนไปเพราะผุพังเก่าหรือไม่ปลอดภัยต่อการอยู่อาศัยใช้สอย ก็ได้ถูกก่อสร้างขึ้นใหม่ทดแทนกุฏิก็สร้างขึ้นใหม่มีทั้งสร้างด้วยไม้ ก่อด้วยอิฐหรือปูน คอนกรีตเสริมเหล็ก ทั้งหลังเล็กหลังใหญ่มากมายหลายหลัง ศาลาการเปรียญก็สร้างขึ้นใหม่เป็นอาคารไม้ ขณะนี้ก็กำลังก่อสร้างเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขึ้นมาอีกหลังหนึ่งใหญ่โตมาก ฌานปนสถานก็มีพร้อมมูล อุโบสถหลังเก่าที่ก่อสร้างขึ้นมานานนับร้อยปีมีรูปปั้นราหูอมจันทร์ อยู่ที่หน้าบรรณด้านทิศตะวันออก เป็นศิลปะปูนปั้นที่งดงามมาก แต่ปัจจุบันอุโบสถหลังนี้ชำรุดมากไม่ปลอดภัยต่อการใช้ปฏิบัติศาสนกิจ บรรดาพุทธศาสนิกชนได้ช่วยกันปลูกสร้างอุโบสถขึ้นมาใหม่นับสิบกว่าขวบปีมาแล้ว อยู่ข้างอุโบสถหลังเก่าด้านทิศเหนือเป็นอุโบสถหลังใหญ่สวยงามมาก สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ถูกรื้อถอนแต่ได้ปรับปรุงให้ดีขึ้น คือ คูน้ำหรือสระน้ำหน้าอุโบสถ และต้นโพธิ์ที่สองกษัตริย์และขุนทหารได้ปลูกไว้เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงยกทัพไปปราบพระยาละแวกเจ้ากรุง กัมพูชา ขณะนี้เหลืออยู่ ๒ ต้น อยู่ด้านทิศเหนือใกล้กับอุโบสถหลังใหม่ สิ่งที่เหลืออยู่เหล่านี้เป็นของสำคัญมากคงจะเรียกได้ว่า “อนุสรณ์แห่งอดีตของวัดกลางนางรอง”[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif] จากการถือกำเนิดของ วัดกลางนางรอง ความผูกพันกับประวัติของเมืองนางรอง ทำให้ทั้งสองอย่างนี้แยกกันไม่ออก แม้กระทั่งวัดอื่น ๆ ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นด้วยเหตุผลเฉกเช่นเดียวกันหรือคล้ายกันนี้ตามที่กล่าวไว้ ในตอนต้นก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะทุกวัดก็เป็นองค์ประกอบของพระพุทธศาสนา และเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนางรอง จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทั้งหลายที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาทะนุบำรุงให้เจริญก้าวหน้าเป็นสมบัติแก่ลูกหลานหรืออนุชนรุ่นหลังจักได้ทราบ ศึกษา และซึมซับความภาคภูมิใจ สืบต่อกันไปตราบนานเท่านาน ฯ
    [/FONT]

    อาณาเขตวัดปัจจุบัน
    วัดกลาง (นางรอง) เป็นวัดราษฎร์ ตั้งอยู่เลขที่ ๓๗๗ หมู่ ๕ ในเขตเทศบาลนางรอง ถนนโชคชัย - เดชอุดม บ้านนางรอง ตำบลนางรอง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
    บนพื้นที่ ๑๑ ไร่ ๑ งาน ๖๖/๑๐ ตารางวา
    ทิศเหนือ จดถนนโชคชัยเดช – เดชอุดม ยาว ๓ เส้น ๖ วา
    ทิศใต้ จดถนนภักดีบริรักษ์ ยาว ๓ เส้น ๒ วา
    ทิศตะวันออก จดซอยราษฎร์บำรุง ยาว ๔ เส้น ๙ วา
    อาณาเขตวัด ทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ เดิมเป็นทางเกวียนต่อมาได้รับการปรับปรุงเป็นถนนและตั้งชื่อขึ้นภายหลัง ส่วนทิศตะวันออกนั้นเดิมเป็นตรอกได้รับการปรับปรุง
    ให้เป็นซอยในภายหลังเช่นเดียวกันสอบถามจากผู้สูงอายุและจากทะเบียนวัดเท่าที่ปรากฏหลักฐานพอให้ค้นคว้า ทราบว่าสร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๒๔๙ – ๒๒๕๐
    โดยปลูกสร้างเป็นโรงอุโบสถและผูกพัทธสีมา ซึ่งเจ้าอาวาสในสมัยนั้นก็ไม่ปรากฏนามว่าเป็นใคร แต่จากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุที่ยังเหลืออยู่หลายท่านให้ถ้อยคำตรงกันว่า
    ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๓๖ ท่านพระครูเสือ (ไม่ทราบฉายา) ได้เดินทางมาจากจังหวัดปราจีนบุรีและได้รับนิมนต์จากอุบาสก – อุบาสิกาชาววัดกลางนางรอง ในขณะนั้นให้เป็นเจ้าอาวาส
    และต่อมาท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็น เจ้าคณะอำเภอนางรอง ท่านพระครูเสือ เป็นผู้มีความรู้ทางพระธรรมวินัยอย่างแตกฉาน ท่านได้ทำนุบำรุงพระศาสนาจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ
    และเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป จนเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๖ ท่านได้มรณภาพลง เจ้าอาวาสต่อจากท่านพระครูเสือมีหลายท่าน แต่มิได้ปกครองวัดอย่างต่อเนื่อง
    และเป็นกิจจะลักษณะ อยู่ปกครองวัดได้ ๓ เดือนบ้าง ๖ เดือนบ้างเป็นต้น ดังมีรายนามตามลำดับ ดังนี้
    ๑. พระอาจารย์ขาว
    ๒. พระอาจารย์ผึ้ง
    ๓. พระอาจารย์อู๊ต
    ๔. พระอาจารย์แย้ม
    ๕. พระอาจารย์เบิ้ม
    ประมาณ พ.ศ. ๒๔๔๐ อุบาสก – อุบาสิกา ชาววัดกลางนางรอง จึงได้ไปอาราธนา พระอาจารย์ ชู พฺรหฺมโชโต จากกรุงเทพมหานคร มาเป็นเจ้าอาวาส
    เพราะพระอาจารย์ชู พฺรหฺมโต ท่านเป็นชาวนางรองโดยกำเนิด เมื่อครบเกณฑ์อุปสมบทแล้วท่านได้เดินทางไปศึกษาธรรมะเพิ่มเติมที่กรุงเทพมหานคร จนมีความรู้ทางธรรมวินัย
    อย่างแตกฉาน เล่ากันว่าท่านยังมีความสามารถในการทำนายทายทักได้แม่นยำนัก ในช่วงที่ พระอธิการชู พฺรหฺมโชโต เป็นเจ้าอาวาสท่านได้ทำนุบำรุงวักลางเจริญขึ้นมาก
    ท่านได้ถึงแก่มรณภาพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๕ และหลังจากนั้นได้มี เจ้าอาวาสปกครองวัด สืบต่อมาตามลำดับ โดยได้เริ่มมีการบันทึกทำเนียบเจ้าอาวาสขึ้น แต่ยังไม่ค่อยละเอียด
    เท่าใดนัก นับจากหลวงปู่ชู เรียงตามลำดับ ดังนี้
    ๑. พระอธิการชู พฺรหฺมโชโต พ.ศ. ๒๔๔๐ –๒๔๙๕ (มรณภาพ)
    ๒. พระอธิการดำรง เขมงฺกโร พ.ศ. ๒๔๙๕ –๒๔๙๘ (ลาสิกขาบท)
    ๓. พระอาจารย์สุวรรณ (ไม่ทราบฉายา) พ.ศ. ๒๔๙๘ – ๒๔๙ (ลาสิกขาบท)
    ๔. พระอธิการน้อม (ไม่ทราบฉายา) พ.ศ. ๒๔๙๙ – ๒๕๐๑ (ลาสิกขาบท)
    ๕. พระอาจารย์เติม จนฺทปญฺโญ พ.ศ. ๒๕๐๑ – ๒๕๐๒ (ลาสิกขาบท)
    ๖. พระอธิการเทียน รกฺขิตธมฺโธ พ.ศ. ๒๕๐๔ – ๒๕๑๗ (ลาสิกขาบท)

    ๗. พระครูพิทักษ์ชินวงศ์ พ.ศ.๒๕๑๙ - ปัจจุบัน
    ความสำคัญของวัดที่เป็นศูนย์กลางของในท้องถิ่น คือ
    ๑. เป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม - บาลี ประจำอำเภอนางรอง
    . เป็นแหล่งบำเพ็ญบุญของพุทธศาสนิกชน
    ๓. เป็นแหล่งส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น เช่น วันสำคัญทาง พระพุทธศาสนา ต่างๆ
    ๔. เป็นแหล่งส่งเสริมอบรม ศีลธรรม จริยธรรม ให้กับเด็กและเยาวชน (เรียกว่าศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์) ประจำอำเภอนางรอง
    ๕. เป็นแหล่งอนุเคราะห์ ผู้ติดเชื้อเอดส์

    ๖. เป็นแหล่งพัฒนาสุขภาพจิต แก่ผู้สูงอายุ
    โบราณสถาน โบราณวัตถุในวัด

    ๑. มีอุโบสถหลังเก่าซึ่งก่อสร้างมากว่าร้อยปี ๑ หลัง ปัจจุบันจัดให้เป็นวิหาร
    . มีต้นโพธิ์ ๒ ต้น ซึ่งปลูกในสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระเอกาทศรถเสด็จศึกปราบพระยาละแวกประเทศเขมร (ตามประวัติข้างต้น)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_5330.JPG
      SAM_5330.JPG
      ขนาดไฟล์:
      46.8 KB
      เปิดดู:
      426
    • SAM_5332.JPG
      SAM_5332.JPG
      ขนาดไฟล์:
      43.6 KB
      เปิดดู:
      329

แชร์หน้านี้

Loading...