เอลโดราโด้ นครทองคำในตำนานเเละจักรวรรดิอินคา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย new159852357, 12 พฤศจิกายน 2010.

  1. new159852357

    new159852357 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +24
    เอลโดราโ้ด้ มีจริงหรือ ?


    [​IMG]

    เอลโดราโด้ ไม่เพียงแต่เป็นขุมความลับอันยิ่งใหญ่ แต่ยังเป็นขุมทองอันมหาศาลที่ยั่วน้ำลายนักแสวงโชคมา
    เนิ่น นาน แม้ว่าโลกเราในปัจจุบันจะเจริญรุดหน้าชนิดที่เดินทางค้นหาดินแดนใหม่ใน จักรวาลเป็นว่าเล่น แต่ก็น่าแปลกที่วิวัฒนาการดังกล่าวไม่ได้มีส่วนช่วยในการค้นหาดินแดนในตำนาน ที่ว่านี้เลย

    [​IMG]
    ก่อน อื่นก็ต้องเปิดฉากเล่ากันถึงตำนาน ของเอลโดราโด้กันก่อน บุคคลที่จะเรียกได้ว่าเป็นปฐมบุคคลที่ตามหานครแห่งตำนานที่ว่านี้และเป็นผู้ เรียกนครลับแลนี้ว่า El Dorado คือ เซบาสเตียน เดอ เบลาลกาซาร์ บุรุษผู้สามารถพิชิตชนอินคาแห่งอเมริกาใต้ แล้วก่อตั้งเมือง ควิโต้ที่ปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ นั่นแหล่ะ
    [​IMG]


    เบลา ลกาซาร์ ได้รับการบอกกล่าวเรื่องราวเกี่ยวกับนครทองคำนี้จากอินเดียนแดงชราผู้เป็น ปรมาจารย์ทางความรู้ในศาสตร์เก่าแก่ แกเล่าถึงนครที่ตั้งอยู่ ณ ดินแดนแห่งหุบเขาและป่าลึกอันไกลโพ้น นครแห่งราชะนิรนาม ผู้สถิตอยู่เหนือบัลลังก์ทอง ทั่วทั้งนครดารดาษไปด้วยทองคำและเพชรนิลจินดาอย่างมหาศาล มรกตขนาดเล็กที่สุดเท่าไข่ไก่เกลื่อนกลาดอยู่ตามท้องธารโดยมิมีผู้ใดจะสนใจ ด้วยว่าเห็นกันจนชินตา และทุกถ้วนขวบปี ราชาแห่งนครทองจะเสด็จไปยังริมท้องธารใหญ่เพื่อประกอบพิธีบัดพลีกรรมเพื่อ บูชาสุริยเทพ พระองค์จักประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์อันล้วนไปด้วยเครื่องทองแลเพชรนิล จินดา เมื่อถึงชายฝั่ง พระองค์จะเปลื้องเครื่องวราภรณ์ออกจนหมดสิ้น ชุบชโลมกายด้วยฝุ่นทองจนเอิบอาบทั่วทั้งองค์ แล้วจึงเสด็จประทับในแพทอง แล่นออกสู่ใจกลางท้องนทีแต่ลำพัง เมื่อถึงใจกลางท้องธารนั้น พระองค์จะทำพิธีบูชาสุริยเทพ แล้วโยนเครื่องใช้ในพิธีกรรมอันล้วนไปด้วยทองคำทั้งสิ้นลงสู่ก้นธารใหญ่นั่น (บรรยาย อย่างกับอพยพมาจากเอลโดราโด้แน่ะ ตาอินเดียนแดงคนนี้)

    เรื่อง ราวที่ฟังดูเหมือนกับนิทานหลอก เด็กนี้คงไม่ทำให้เบลาลกาซาร์สนใจจนถึงขนาดออกตามหาเอลโดราโด้หรอก แต่เบลาลกาซาร์ เอาเรื่องในตำนานมาผนวกกับข้อเท็จจริงบางประการที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะ พิชิตควิโต้ได้มาประมวลผล พร้อมการยืนยันจากอินเดียนแดงเจ้าถิ่นแถวเอกวาดอร์ ทำให้เบลาลกาซาร์ออกตามหาเอลโดราโด้ทันที

    ข้อเท็จจริงที่ทำ ให้เบลาลกาซาร์คิดว่าเอลโดราโด้มีอยู่จริง คือ ช่วงปี ค.ศ.1530 ตอนที่ ฟรังซิสโก้ ปิซาร์โร นำทหารเพียง 180 นายบุกยึดอาณาจักรอินคาแห่งเปรู และจับองค์จักรพรรดิอตาฮวลปาเป็นตัวประกัน ปิซาร์โรเรียกค่าไถ่จากชาวอินคาเป็นทองคำและเพชรพลอยจำนวนมหาศาล คือให้เอามากองให้เต็มห้องขังนั่นแหล่ะ จึงจะยอมปล่อยอตาฮวลปาไป อ้อ! ทำความเข้าใจกันนิด ปิซาร์โร และกองกำลัง 180 นายนั่น ไม่ใช่กองทหารที่เก่งกล้าสามารถขนาดถล่มชาวอินคาทั้งเมืองได้หรอก ที่สามารถพิชิตอินคาได้เพราะหน้าตาต่างหาก เพราะชาวอินคามีตำนานกล่าวถึงเทพเจ้าที่มาจากดวงดาวไกลโพ้นของตนว่า เป็นบุรุษผิวขาวมีเคราดำ ซึ่งบังเอิญไปตรงกับลักษณะของชาวสเปนทุกประการ อตาฮวลปาเข้าพระทัยว่า ปิซาร์โรคือเทพเจ้าต่างดาวเสด็จมาลงโทษ จึงยอมให้จับกุมโดยไม่คิดขัดขืน กลับ มาที่เรื่องค่าไถ่มหาศาลที่ปิซาร์โรเรียกร้องเหมือนคนบ้า แต่ผิดคาดชาวอินคากลับตอบตกลงโดยขอเวลาไปรวบรวมทองคำ ซึ่งปิซาร์โรก็ยอมให้เวลา 2 วัน เอาล่ะสิ!! เวลาเพียง 2 วัน รวบรวมทองคำทั้งอาณาจักรยังไม่รู้ว่าจะพอหรือเปล่า ชาวอินคาจึงรีบรุดไปยังดินแดนเร้นลับแห่งหนึ่ง ซึ่งตามตำนานของชนเผ่านี้บอกว่าเต็มไปด้วยทองคำทั้งเมือง แล้วขนเอาทองคำใส่รถลากมาตามขุนเขาและป่าทึบด้วยความยากลำบาก
    หน้ากากทองคำจากสมัยก่อนยุคโคลัมเบียนี้


    มีรัศมีพระอาทิตย์ เป็นรูปเปลวเพลิงอยู่โดยรอบ
    นักบวชอินคา อาจสวมหน้ากากนี้

    ระหว่างทำพิธีบูชาองค์สุริยเทพ อินติ
    ช่างทองชาวอินคานั้นมีฝีมือเชี่ยวชาญ

    ทำให้ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าของชาวอินคา

    เป็นที่เย้ายวนให้ผู้พิชิตชาวสเปน

    แผ่อิทธิพลมาสู่ ดินแดนนี้​

    อนิจจา.. หนทางอันทุรกันดารและห่างไกลทำให้ค่าไถ่จำนวนมหาศาลเดินทางมาไม่ทันกำหนด ผู้พิชิตชาวสเปนจึงปลงพระชนม์เชลยบรรดาศักดิ์เสีย เพราะคิดว่าชาวอินคาคงเบี้ยวแน่ ๆ แล้ว พอชาวอินคารู้ว่าจักรพรรดิของตนถูกสังหารเสียแล้ว จึงนำทองคำค่าไถ่ไปซุกซ่อนในที่เร้นลับในป่าดงดิบนั่นเอง ชาวสเปนที่ทราบเรื่องในภายหลังก็พยายามจะค้นหาทองค่าไถ่นี้อย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่เคยพบ (คนที่คลั่งมากกว่าใคร คงเป็นปิซาร์โร ผู้ไม่เคยได้ยินสำนวนไทย ๆ ว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม) ตำนานทองคำค่าไถ่ของชาวอินคาเป็นอันจบไปตรงนี้

    กลับมาเข้าเรื่อง ของตำนานนครทองเอลโดรา โด้กันต่อ เบลาลกาซาร์นำเอาข้อเท็จจริงมาผูกกับตำนานของชาวอินเดียนแดง แล้วก็สรุปว่า ดินแดนลึกลับที่ชาวอินคาไปขนทองมานั้น ต้องเป็นดินแดนเดียวกับที่อินเดียนแดงชราเล่าเป็นแน่แท้ แม้ค่าไถ่จำนวนมหาศาลนั้นจะยั่วน้ำลายน่าค้นหาเพียงใด แต่ตามวิสัยบุรุษผู้มองการณ์ไกล เบลาลกาซาร์ยอมทิ้งเศษทองข้างทาง เพื่อค้นหาต้นตอของทองคำมหาศาล นั่นก็คือ นครในตำนาน เอลโดราโด้ นั่นเอง
    [​IMG]
    แต่ เบลาลกาซาร์ยังไม่ทันได้ออกเดินทางไป ค้นหาก็มีเรื่องอื่นมาขัดขวางเสียก่อน คณะนักล่าทองคำคณะอื่นจึงออกค้นหาแทน คือในปี ค.ศ.1536 กอนซะโล เจเมเนส จากโคลอมเบีย บุกขึ้นทางเหนือ ในขณะที่เกวซาดาข้าราชการชาวสเปนนำทหารบุกลงใต้ และเกวซาดานี่เองไปได้หลักฐานเพิ่มเติมจากอินเดียนแดงเผ่าชิบช่า ที่มีฐานะความเป็นอยู่ร่ำรวยอย่างน่าพิศวง ในวิหารใจกลางเมืองชิบช่ามีมัมมี่ของกษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วนับสิบ ๆ องค์นอนเรียงรายอยู่ แล้วที่ไม่ธรรมดาคือ ทุกพระองค์ถูกประดับประดาด้วยเครื่องทองล้นหลามมากมาย ส่วนเทวรูปที่อยู่ในวิหารนั้นมีพระเนตรที่ฝังด้วยมรกตเม็ดเท่าไข่ไก่ทั้งสอง ข้าง

    ชาวชิบช่าบอกกับเกวซาดาว่า ทองและมรกตเหล่านี้ พวกเขาได้มากจากการค้าขายกับชนเผ่าลึกลับที่อยู่ลึกเข้าไปใจกลางป่าดิบ ซึ่งชาวเมืองนั้นจะมีแต่ทองคำกับเพชรพลอยเท่านั้นที่มาแลกเปลี่ยน แต่สิ่งที่เกวซาดาค้นพบตามข้อมูลของชาวอินเดียนแดงชิบช่า ก็มีแค่ทะเลสาบกัวตาวิตา ที่เป็นทะเลสาบในตำนานที่องค์ราชาแห่งนครทองเสด็จมาทำพิธีบูชาสุริยเทพเท่า นั้น ไม่ได้เห็นแม้แต่เศษทอง หรือชาวเมืองลับแลแม้แต่น้อย
    คณะสำรวจอื่น ๆ อีกมากมายที่ออกค้นหาขุมทองแห่งเอลโดราโด้ แต่ทุกคณะล้วนประสบแต่ความล้มเหลว แม้ว่าบางคณะจะได้พบเครื่องทองรูปร่างแปลก ๆ อายุเก่าแก่มากจากชาวอินเดียนเผ่าต่าง ๆ ของอเมริกาใต้ แต่ก็ไม่มากพอที่จะเชื่อว่าดินแดนที่พบนั้นเป็นขุมทองเอลโดราโด้จริง แต่สิ่งที่กระตุ้นความปรารถนาให้ลุกโชนขึ้นมาก็เพราะว่าชาวอินเดียนเจ้าของ เครื่องทองเหล่านั้นล้วนเอ่ยอ้างแบบเดียวกันว่า ปู่ย่าตายายได้มาจากเมืองลับแลที่เต็มไปด้วยทองนั่นเอง

    แต่การค้น หานครทองในตำนานก็ทำให้เรา ได้รู้จักกับนักรบสาวจอมโหดชนเผ่าอเมซอน ที่เข้าโจมตีคณะค้นหาของออเรลลาน่า จนถอยร่นแทบไม่ทัน ออเรลลาน่าเป็นคนมีความรู้ในวรรณคดีกรีก จึงตั้งชื่อแม่น้ำใหญ่ที่เขาเดินทางไปพบชนเผ่าที่น่าทึ่งนี้ว่า “เอมซอนน่า” (Amazonna) ตามชื่อของนักรบสตรีที่ปรากฎอยู่ในตำนานกรีกโบราณ ก็เป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ ที่แทรกขึ้นมาระหว่างการค้นหาเอลโดราโด้

    แม้ จะผ่านมานานกว่าร้อยปี เรื่องราวของขุมทองเอลโดราโด้ก็ยังคงเย้ายวนใจคนอยากรวยอยู่เสมอ เช่นในปี ค.ศ. 1912 คณะนักสำรวจชาวอังกฤษ ถูกว่าจ้างโดยบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ขนเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อใช้ในการค้นหาขุมทองนี้ แต่ทองที่พบนั้นกลับมีค่าน้อยกว่าเครื่องมือที่นำไปขุดหามันเสียอีก สรุปว่า รายการนี้เจ๊งไม่เป็นท่า ทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับตำนานนี้เสื่อมคลายลง

    แต่ ทว่า ในปี 1969 ความเชื่อเกี่ยวกับเมืองลับแลนี้ก็ทำท่าว่าจะเป็นจริงขึ้นมา เนื่องจากการขุดพบเครื่องทองอันลือชื่อริมฝั่งทะเลสาบเชียช่า ในโคลอมเบีย เครื่องทองนั้นทำด้วยทองคำธรรมชาติโซลิดโกลด์เป็นรูปสลักฝีมือประณีตของ บุรุษผู้ซึ่งคงเป็นกษัตริย์ ทรงประทับอยู่บนพระแท่นกลางแพใหญ่ แวดล้อมไปด้วยคณะนักบวชและเครื่องสักการะต่าง ๆ แน่นอนว่ามันต้องเป็นรูปสลักของกษัตริย์แห่งเอลโดราโด้ขณะประทับบนแพทองคำ เพื่อไปถวายเครื่องสักการะแด่สุริยเทพตามตำนานแน่นอน

    แต่ก็แค่นั้น การค้นพบนี้อาจจะยืนยันการมีอยู่จริงของนครเอลโดราโด้ในตำนาน แต่การค้นหาตำแหน่งที่แน่นอนของนครแห่งนี้ ก็ยังคงความลึกลับให้นักสำรวจได้มีงานทำกันต่อไป อย่างไรก็ดี การค้นหาของนักโบราณคดีและนักธรณีวิทยาในอเมริกาใต้ ก็พบสิ่งที่มีค่าไม่แพ้ทองคำเช่นกัน มันก็คือบ่อน้ำมันนั่นเอง ที่ขณะนี้มีค่าไม่ต่างจากทองเลยจริง ๆ
    [​IMG]


    ต่อด้วยเรื่องจักรวรรดิอินคา


    เป็นชนเผ่าที่อยู่ใน ทวีปอเมริกาใต้ เต็มไปด้วยทองคำ และน่าสงสาร เพราะต้องล่มสลาย เพราะชาติที่เจริญแล้ว นั้นคือสเปน ที่เข้ามายึดครอง​

    [​IMG]

    [​IMG]

    จักรวรรดิอินคา (อังกฤษ: Inca Empire) (ค.ศ. 1438-1533)
    เป็นจักรวรรดิโบราณที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ในยุคก่อนโคลัมบัส จักรวรรดิอินคามีอำนาจขึ้นบริเวณที่ราบสูงของประเทศเปรูในช่วงต้นคริสต์ ศตวรรษที่ 13 ช่วงปี ค.ศ. 1438 ถึง 1533 อินคาขยายอาณาจักรโดยทั้งสันติวิธีและวิธีทางการทหาร จนสามารถปกครองดินแดนส่วนใหญ่ทางด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ซึ่งใน ปัจจุบันคือประเทศเปรู ประเทศเอกวาดอร์ ตอนใต้ของประเทศโคลอมเบีย ภาคตะวันตกและภาคใต้ของประเทศโบลิเวีย ตอนเหนือของประเทศชิลี และบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอาร์เจนตินา ชาวอินคาเชื่อว่ากษัตริย์ของตนเป็น "บุตรของพระอาทิตย์" ภาษาราชการคือภาษาเกชัว

    ชื่อของจักรวรรดิอินคาในภาษาเกชัว คือ "ตาวันตินซูยู" ซึ่งมีความหมายว่าภูมิภาคทั้งสี่ จักรวรรดิอินคาถูกแบ่งออกเป็นสี่เขต โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองกุสโก ซึ่งเป็นทั้งศูนย์กลางการปกครอง การเมืองและการทหาร

    อารยธรรมอินคา
    ชาวอินคาไม่มีการประดิษฐ์ตัวอักษร แต่ชาวอินคามีการบันทึกโดยใช้การผูกเชือกหลากสีเป็นปมรูปแบบต่าง ๆ ที่เรียกว่ากีปู

    สังคมอินคาเป็นสังคมที่มีการแบ่งวรรณะ โดยชาวอินคาที่มีวรรณะต่ำจะต้องมีหน้าที่ทำเกษตรกรรม และต้องนำผลิตผลที่ได้ไปถวายกษัตริย์อินคา

    ชาวอินคาเลี้ยงลามา (llama) ซึ่งเป็นสัตว์ในตระกูลอูฐไว้เป็นสัตว์บรรทุกสัมภาระข้ามภูเขา

    ชาว อินคาเชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ของตน และยังนับถือ ดวงจันทร์ ดาว และโลกด้วย หรือแม้แต่ภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ ชาวอินคาก็เชื่อว่ามีเทพเจ้าประจำ

    ราชอาณาจักรกุสโก
    ชาวอินคา เริ่มอาศัยในบริเวณกุสโกในคริสต์ศตวรรษที่ 12 พวกเขาตั้งนครรัฐกุสโกภายใต้การนำของมันโก กาปัก ในปี 1438 พวกเขาเริ่มขยายดินแดน ตามคำสั่งของซาปา อินคา ปาชากูตี จนทำให้นครรัฐเล็ก ๆ มีอำนาจควบคุมบริเวณส่วนใหญ่ของเทือกเขาแอนดีส


    การเปลี่ยนระบบเป็นจักรวรรดิตาวันตินซูยู

    การขยายอาณาเขตของอินคา (1438–1527)ปาชากูตีจัดระบบราชอาณาจักรกุสโกใหม่ให้กลายเป็นจักรวรรดิตาวัน ตินซูยู ซึ่งใช้ระบบสหพันธรัฐ โดยมีรัฐบาลกลางที่มีกษัตริย์เป็นประมุข และรัฐบาลท้องถิ่นสี่เขต ได้แก่ชินไชย์ซูยู (เขตเหนือ) อันตีซูยู (เขตตะวันออก) กุนตีซูยู (เขตตะวันตก) และกูยาซูยู (เขตใต้) สันนิษฐานกันว่าปาชากูตีเป็นผู้สร้างมาชูปิกชูขึ้นเป็นบ้านพักในหน้าร้อน

    ปา ชากูตีมักส่งสายสืบไปหาข้อมูลเกี่ยวกับระบบการปกครอง อำนาจทางการทหารและความร่ำรวยของพื้นที่ที่พระองค์ต้องการจะขยายอาณาเขต แล้วจึงส่งสารอธิบายถึงประโยชน์ของการอยู่ใต้การปกครองของจักรวรรดิไปยังหัว หน้าของดินแดนนั้น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ตอบรับและถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโดยสันติ บุตรของผู้นำจะถูกนำตัวเข้ามายังกุสโกเพื่อให้ศึกษาระบบบริหารของอินคาแล้ว จึงส่งกลับดินแดนของตน ซึ่งระบบนี้ทำให้ดินแดนใหม่รับแนวคิดของอินคาเข้าไป


    การขยายอาณาเขต
    ตู ปัก ยูปันกี พระราชโอรสของปาชากูตีเริ่มบุกขึ้นทางเหนือใน 1463 และขยายอำนาจต่อเมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งกษัตริย์หลังปาชากูตี ชัยชนะที่สำคัญที่สุดของพระองค์คือการเอาชนะราชอาณาจักรชีมอร์ ซึ่งเป็นศัตรูที่สำคัญของอินคาในเขตชายฝั่งเปรู ในสมัยของตูปัก จักรวรรดิขยายไปทางเหนือถึงบริเวณที่ในปัจจุบันคือประเทศเอกวาดอร์และ โคลอมเบีย อวยนา กาปักซึ่งเป็นพระราชโอรสของตูปักสามารถขยายดินแดนส่วนเล็ก ๆ บริเวณเอกวาดอร์และบางส่วนของเปรู

    ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด จักรวรรดิตาวันตินซูยูครอบคลุมบริเวณเปรูและโบลิเวีย เกือบทั้งหมดของประเทศเอกวาดอร์ และดินแดนของชิลีจนถึงตอนเหนือของแม่น้ำเมาเล ซึ่งพวกอินคาโดนต่อต้านจากเผ่ามาปูเช นอกจากนี้ยังกินบริเวณไปถึงอาร์เจนตินาและโคลอมเบียอีกด้วย แต่เขตกูยาซูยูทางใต้พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้


    การเข้ายึดครองของสเปน

    [​IMG]

    กลุ่ม นักสำรวจดินแดนชาวสเปนนำโดย ฟรันซิสโก ปีซาร์โร ได้เดินทางจากปานามาเพื่อสำรวจดินแดนทางใต้และค้นพบจักรวรรดิอินคาในปี ค.ศ. 1526 พวกเขาเห็นโอกาสที่จะได้ค้นพบมหาสมบัติในดินแดนแห่งนี้ จึงกลับมาสำรวจอีกครั้งในปี ค.ศ. 1529 และเดินทางกลับไปสเปนเพื่อขอพระราชานุญาตและกำลังสนับสนุนเพื่อยึดครองดิน แดนอินคา เมื่อพวกเขากลับมายังเปรูในปี ค.ศ. 1532 บ้านเมืองอินคากำลังวุ่นวายและอ่อนแอเนื่องจากสงครามแย่งชิงบัลลังก์ระหว่า งอวสการ์กับอาตาอวลปาเพิ่งจบลง และเกิดโรคฝีดาษที่แพร่ระบาดมาจากอเมริกากลาง นับเป็นโชคร้ายของชาวอินคาที่มีข้าศึกบุกมาในช่วงเวลานี้

    ปีซาร์โรมี กำลังทหารเพียง 168 คน ปืนใหญ่ 1 กระบอก และม้า 27 ตัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับชาวพื้นเมืองแล้ว นับว่าเขามีอาวุธและยุทธวิธีในการรบที่เหนือกว่ามาก กองทัพสเปนปะทะกับพวกอินคาที่เมืองกาคามาร์กา ในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1532 และสามารถจับตัวอาตาอวลปาไว้เป็นตัวประกัน อาตาอวลปาเห็นว่าชาวสเปนสนใจทองคำและเงินมาก จึงเสนอค่าไถ่เป็นทองปริมาณมากพอที่จะเติมห้องขนาดกว้าง 4.8 เมตร ยาว 6.2 เมตร ให้สูงถึง 2.5 เมตร และเงินปริมาณสองเท่าของห้องนั้น แต่เมื่อชาวอินคาสามารถหาค่าไถ่มาได้ ปีซาร์โรกลับไม่ยอมปล่อยตัวประกันตามสัญญา ระหว่างที่อาตาอวลปาถูกกักขัง อวสการ์ถูกลอบสังหารโดยที่ชาวสเปนอ้างว่าเป็นคำสั่งของอาตาอวลปา และพวกสเปนก็ใช้เหตุนี้มาเป็นข้อกล่าวหาในการประหารอาตาอวลปาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1533


    อวสานอินคา

    คราวก่อนพูดถึงชาวสเปน ชื่อฟรานซิสโกปิซาร์โร ก็คนนี้นี่แหละที่นำทัพสเปนเข้ามาบุกอาณาจักรอินคา หลังจากที่เขาได้ยินชาวอินเดียนพื้นเมืองในปานามา พูดถึงอาณาจักรแห่งหนึ่งที่มั่งคั่งไปด้วยทองคำ ทอดตัวอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของทวีปอเมริกาใต้

    นี่คือโฉมหน้าของฟรานซิสโก ปิซาร์โร

    [​IMG]

    สำหรับชาวสเปน เขาคือวีรบุรุษผู้พิชิตจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกาใต้ แต่สำหรับชาวอินคา เขาก็ไม่ต่างจากโจรสลัดที่แล่นเรือเข้ามาปล้นอิสรภาพ

    ไม่ รอช้าชาวสเปนผู้นี้ก็พกสายตานักล่าและหัวใจอันหิวกระหายทองคำ พากองกำลังทหารของเขาเกือบสองร้อยชีวิต แล่นเรือจากปานามามุ่งหน้าลงไปทางใต้เลียบมหาสมุทรแปซิฟิก เป้าหมายของเขาคือค้นหาอาณาจักรอันมั่งคั่งที่ถูกกล่าวถึง

    การค้น หาไม่ใช่แค่วันสองวันหรือเดือนสองเดือน แต่ปิซาร์โรยอมทุ่มกายเทใจ เสียเวลาค้นหาอาณาจักรแห่งนั้นนานถึง 3 ปี ในที่สุดความพยายามของเขาก็ถึงฝั่งฝัน อาณาจักรอินคาอันอุดมสมบูรณ์คลี่โฉมออกให้นักล่าเห็น

    ต้องบอกว่า สเปนเข้ามาถูกจังหวะ เพราะอาณาจักรอินคากำลังเกิดสงครามกลางเมืองจนชุลมุนไปหมด โอรสกำลังเข่นฆ่าเพื่อแย่งชิงบัลลังก์กันจ้าละหวั่น

    ฝ่ายชาวอิน คาเองก็มีตำนานความเชื่อกันว่าในโลกแห่งเทพ มีเทพเจ้าผิวขาวสูงใหญ่สถิตอยู่ ตอนที่สเปนบุกเข้ามา พวกเขาซึ่งไม่เคยเจอคนรูปพรรณสัณฐานแบบนี้มาก่อน ก็เลยคิดว่านี่แหละ ใช่เลย เทพเจ้าที่ตำนานว่าไว้

    ส่วนปิซาร์โรคนนี้เจ้าเล่ห์เพทุบายและไม่มีสัจจะเมื่อบุกอาณาจักรอินคา แต่ยังหาที่ซ่อนทองไม่ได้ เพราะตอนบุกมาเจอ คุซโก มีแต่ทุ่งข้าวโพด เลยออกอุบายเชิญกษัตริย์อะตาตวลปาไปพบที่เมืองกาฮามาร์กา

    เพราะ คิดว่าพวกสเปนเป็นเทพเจ้า พอปิซาร์โรส่งเทียบเชิญ เขาก็ตกลงทันที หารู้ไม่ ว่านี่เป็นหลุมพรางที่สเปนดักไว้ พอเข้าไปก็ถูกโจมตีทันที องครักษ์ของกษัตริย์นับพันต้องถูกฆ่า ส่วนกษัตริย์อะตาตวลปาก็ถูกจับเป็นเชลยอยู่นานถึง 9 เดือน

    ถ้าอยากได้กษัตริย์คืนไปจงเอาเงินและทองมากองให้เต็มท้องพระโรง นั่นเป็นการยื่นคำขาดของปิซาร์โร


    เล่นเอาชาวอินคานั่งไม่ติดหลังจากใคร่ครวญดูแล้ว ยอมเสียทองท่วมหัวดีกว่าเสียเหนือหัวของอาณาจักร ในที่สุดต้องยอมแลกกษัตริย์ของพวกเขากับทองคำที่ไม่ใช่แค่ร้อยสองร้อยบาท แต่เป็นทองที่บรรจุอยู่เต็มท้องพระโรง

    มีคนประเคนทองเต็มท้องพระ คลังมาให้แบบนี้มีหรือปิซาร์โรจะปฏิเสธ ก็ในเมื่อนี่เป็นจุดประสงค์ของการดั้นด้นมาตามหาอาณาจักรอินคา เขาตอบรับข้อเสนอของชาวอินคาแต่โดยดี แต่สัจจะไม่มีในหมู่โจรเมื่อเขาได้ทองไปครอบครองแล้ว แทนที่จะปล่อยกษัตริย์อินคาให้เป็นอิสระ เขากลับลงมือปลิดชีวิตกษัตริย์เย้ยชาวอินคาอย่างหน้าตาเฉย เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจยังให้กองกำลังทหารออกโจมตีและปล้นสะดมชาวอินคา จนในที่สุดก็ครอบครองอาณาจักรอินคาไว้ได้ทั้งหมด

    ปิซาร์โรนำกอง ทัพของเขาโจมตีอาณาจักรอินคาอย่างไม่ยั้งมือไม่นานนักก็กำชัยชนะได้ในที่สุด อาณาจักรอินคาถูกปล้นอิสรภาพตรงจัตุรัสกลางเมืองคุซโกแห่งนี้

    อาณาจักร อินคาพินาศย่อยยับไม่มีชิ้นดีว่ากันว่า บรรดาโบราณสถาน ศิลปกรรม ศิลปวัตถุอันล้ำค่า วิหาร และสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญและงดงามของชาวอินคา ถูกเผาทำลายวอดวายซะราบเป็นหน้ากลอง

    พวกข้าวของมีค่าที่ทำจากเงิน และทอง ก็ถูกปล้นและนำมาหลอมให้เป็นแท่งเพื่อขนขึ้นเรือส่งกลับไปยังสเปนแล้วทองของ ชาวอินคาก็ไม่ใช่น้อยซะด้วยสิ เยอะแค่ไหน คิดดูละกัน ว่าทหารของสเปนต้องผลัดเปลี่ยนเวรยาม หลอมกันทั้งวันทั้งคืน ไม่มีหยุด ทำแบบนี้อยู่นานนับเดือนถึงจะหลอมหมด

    มีการพูดกันปากต่อปากว่าส่วนหนึ่งของทองที่ปิซาร์โรขนกลับมาสเปนนั้น เอาไปโปะไว้ในมหาวิหารแห่งเมืองโทเลโด

    ถึง ไม่ใช่ลูกหลานชาวอินคา แต่ความที่อินจัด กลับจากเปรูได้แค่เดือนเศษ ฉันบินลัดฟ้าไปหาสเปน จับรถไฟจากมาดริดไปโทเลโด ดูให้เห็นกับตาว่าใช่ทองของพี่น้องชาวอินคารึเปล่า

    เอาเข้าจริงๆ แล้ว แยกไม่ออกว่าอันไหนทองสเปนอันไหนทองเปรู ก็เหมือนตอนไปแหงนคอมองเจดีย์ชเวดากอง ใครๆ ก็บอกทองสยาม แต่พอไปแปะบนนั้น อย่าว่าแต่ทองไทยทองพม่าเลย ทองจริงหรือทองปลอมยังแยกไม่ออก

    กลับ มาที่อาณาจักรอินคาหลังจากกองกำลังของสเปนเข้าครอบครองอาณาจักรอินคา ชาวอินคาบางส่วนถูกจับไปเป็นทาสและบีบบังคับขืนใจให้ชาวอินคาเปลี่ยนไป นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

    ส่วนหน่อเนื้อเชื้อกษัตรย์ ของชาวอินคาที่ยังมีชีวิตอยู่ก็พยายามรวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราชหลายต่อหลาย ครั้ง แต่ก็ไม่เคยเอาชนะชาวสเปนได้ เพราะชาวอินคายังใช้กระบองขวาน ท่อนไม้ แต่กองทัพสเปนมีปืน

    ไม่นานนักจักรวรรดิอินคาอันยิ่งใหญ่เดินทางมาถึงกาลอวสาน ​

    credit:Newdevilgod
    (naruto_newkung@hotmail.com)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2010
  2. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,354
    ขอบคุณครับที่นำมาเล่นสู่กันฟัง

    เคยดูเป็นการ์ตูน นานแล้ว และเปิดเจอในสารคดี ว่าเป็นเรื่องจริง

    มีจริงมิใช่ตำนานสะด้วย มีหลักฐานยืนยังแน่นอน

    เล่นเอาทึ่งไปเลยครับ
     
  3. new159852357

    new159852357 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +24
    อ่าวไม่ใช่ตำนานเเล้วหรอกหรอหนิ :boo:
     
  4. MA-A-U

    MA-A-U Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +82
    ใช่ครับ ดูสารคดีช่องไทยพีบีเอสมีหลักฐานสนับสนุนด้วย
     
  5. new159852357

    new159852357 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +24
    อืมๆ อยากลองไปสำรวจบุกป่าดูจังเลยมีใครจะไปกับผมไหม ?
     
  6. ยอดยาหยี

    ยอดยาหยี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    576
    ค่าพลัง:
    +2,697
    เมืองลับแลมีอยู่ทุกที่ในโลก และมีตำนานต่าง ๆ อยู่ทั่วโลกด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...