แหล่งเรียนรู้สุวรรณภูมิศึกษา บ่อพันขัน บ่อเกลือดึกดำบรรพ์ 2,500 ปีมาแล้ว ที่ทุ่งกุลาร

ในห้อง 'ท่องเที่ยว - อาหารการกิน' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 8 ธันวาคม 2006.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,175
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    บ่อพันขันในมุมมองด้านหลัง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>บ่อพันขัน แหล่งโบราณสถานพื้นที่ร้อยจิตใจของคนในชุมชนทุ่งกุลาร้องไห้เป็นพื้นที่แหล่งอารยธรรมที่สำคัญ มีลักษณะเป็นบ่อน้ำขนาดเล็กบนหินทรายแดง กว้าง 6 นิ้ว ลึก 12 นิ้ว มีน้ำใสไหลออกมาตลอด รสชาติจืดสนิททั้งที่อยู่ท่ามกลางแหล่งหินเกลือใต้ดิน

    พื้นที่ดังกล่าวนอกจากจะเป็นสถานที่ร้อยรัดจิตใจของชุมชนแล้ว ยังเป็นศูนย์การค้าและแหล่งผลิตเกลือสินเธาว์ในอดีต ซึ่งถือเป็นศูนย์การค้าเกลือที่สำคัญของชุมชนไทย ลาว และเขมร

    การทำเกลือนับเป็นอาชีพที่สำคัญของคนทุ่งกุลาร้องไห้ในยุคแรกเริ่มเมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว และแหล่งต้มเกลือที่สำคัญที่สุดของพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้คือ บ่อพันขัน ตำบลเด่นราษฎร์ กิ่งอำเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด แล้วยังทำสืบเนื่องมาเท่าทุกวันนี้ด้วยเทคโนโลยีนับพันปีมาแล้วไม่เปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยแปลงช้ามาก

    นอกจากที่กล่าวแล้ว บ่อพันขันยังเหลือร่องรอยของการทำกิจกรรมร่วมมากมายของชุมชนในเขตหมู่บ้านตาเณร บ้านหนองมะเหียะ บ้านหนองจาน บ้านหนองมะดุม บ้านตำแย บ้านหญ้าหน่อง บ้านหนองคูณ บ้านม่วงหวาน บ้านเด่นราษฎร์ และบ้านดงเย็น เหลือให้ศึกษาโดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่อยู่ภายในกับความสัมพันธ์ภายนอกในเขตพื้นที่บ่อพันขัน ซึ่งหากไม่มีการปฏิสัมพันธ์แล้ว คงไม่มีการผลิตเกลือกันอย่างใหญ่โต จนนำไปสู่การผลิตเพื่อส่งขายและแลกเปลี่ยนกับชุมชนรอบๆ พื้นที่การผลิตเกลือแห่งนี้ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#f8b8cb><TD>[​IMG]
    บ่อพันขัน ตาน้ำศักดิ์สิทธิ์กลางแหล่งเกลือของทุ่งกุลา

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อีกด้านหนึ่งพื้นที่บ่อพันขันถือเป็นแหล่งหินตัดขนาดใหญ่ที่ชุมชนสมัยโบราณน่าจะตัดเพื่อนำไปก่อสร้างศาสนสถานที่อยู่เรียงรายลำเสียวพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ อาทิ กู่คันธนาม อำเภอโพนทราย กู่พระธาตุพันขัน กู่พระโกนา อำเภอสุวรรณภูมิ กู่กาสิงห์ กู่บ้านเมืองบัว อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด

    เมื่อครั้งที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเยี่ยมมณฑลอีสาน เคยดำรัสไว้ว่า หากใครมามณฑลร้อยเอ็ดแล้ว ไม่เคยเห็นบ่อพันขันก็เท่ากับว่ามาไม่ถึงร้อยเอ็ด

    หลักฐานที่สนับสนุนให้เห็นถึงความสำคัญบ่อพันขันอีกชิ้นหนึ่งคือการขุดพบฐานศิวลึงค์จารึกด้วยอักษรปัลลวะที่กล่าวนามพระเจ้าจิตรเสน ที่ดอนขุมเงิน บ้านหนองคูณ ตำบลเด่นราษฎร์ กิ่งอำเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด แสดงให้เห็นถึงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ

    ด้วยความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสภาพที่เป็นแหล่งเศรษฐกิจนี้เอง ทำให้กลุ่มชนได้อพยพเข้าสู่พื้นที่มากขึ้น และส่งผลต่อการผลิตเกลือมากขึ้นตามลำดับและผลิตกันอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีการสร้างชลประทานขนาดเล็กเพื่อกักเก็บน้ำไว้สำหรับอุปโภคบริโภคและการเกษตร หมู่บ้านท้ายอ่างเก็บน้ำบ่อพันขันเมื่อปี พ.ศ.2524 เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำบ่อพันขันขึ้น ซึ่งการสร้างชลประทานขึ้นนับเป็นการปิดฉากตำนานการทำเกลืออย่างถาวรของชุมชนแห่งนี้ และด้วยเหตุผลที่ว่าจะมีการกั้นเขื่อนเพื่อให้ราษฎรในพื้นที่ทำการเกษตร แต่ความจริงแล้วน้ำที่กั้นไว้กลับมีรสเค็มไม่สามารถนำน้ำไปทำการเกษตรได้ ส่งผลให้กลุ่มชนเกิดการเคลื่อนไหวแรงงานสู่ภูมิภาคต่างๆ มีการนำเข้าสิ่งของนานาชนิดกระทั่งระบบความเชื่อ หรือแม้แต่เรื่องการแต่งงานด้วยเป็นเหตุให้โครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเปลี่ยนไป

    ประเพณีและพิธีกรรมการเลี้ยงบ่อ หลังฤดูต้มเกลือ ได้ลดบทบาทและความสำคัญลง ยังคงเหลือเพียงผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบกว่าปี ที่ยังรักษาสืบสานประเพณีพิธีเลี้ยงบ่อไว้ ส่วนด้านความเชื่อของคนในชุมชน เคยมีการเลี้ยงเจ้าพ่อบ่อพันขัน เมื่อเริ่มลงทำเกลือและหลังฤดูการทำเกลือ เป็นประเพณีที่หลอมให้คนในสังคมเกิดตระหนักสำนึกรักในพื้นที่เกิดความรักสามัคคีกัน เมื่อถึงฤดูกาลออกพรรษาจะมีการแข่งเรือยาวที่ถือเป็นการบูชาเจ้าพ่อบ่อพันขัน ในสถานการณ์ปัจจุบันผู้คนต่างมองสินจ้างรางวัล ค่าชักลากเรือที่จะได้รับเป็นประการสำคัญ ความเคารพต่อเจ้าพ่อบ่อพันขันนับวันจะเปลี่ยนไป การมีส่วนร่วมของชุมชนมีน้อยลง

    จากการเปลี่ยนวิถีทำเกลือมาสู่พื้นที่กักเก็บน้ำและพัฒนามาสู่การกู้บ่อพันขันเพื่อพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัด และใช้เป็นพื้นที่แหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้



    ความก้าวหน้าโครงการฟื้นฟูบูรณะบ่อพันขัน

    บ่อพันขันมหัศจรรย์ของภูมิปัญญาบรรพชนคนทุ่งกุลา จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ผลักดันวัดเกาะบ่อพันขันรัตนโสภณ กิ่งอำเภอหนองฮี ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นศูนย์เรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พร้อมกิจกรรมการเผยแผ่ทางศาสนา

    นอกจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นแหล่งเสริมความรู้เป็นต้นแบบของการพัฒนาเชิงบูรณาการ ที่ผู้เข้าไปเรียนรู้ได้สัมผัสบรรยากาศที่บริสุทธิ์กับแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และยังเป็นการเติมเต็มสร้างเสริมรายได้ให้กับท้องถิ่นร้อยเอ็ดอย่างสมบูรณ์แบบ

    วัดเกาะบ่อพันขันรัตนโสภณ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคูณ หมู่ที่ 12 ตำบลเด่นราษฎร์ กิ่งอำเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2540 โดยได้รับงบประมาณการบริหารจังหวัดบูรณาการ ได้สนับสนุนพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมปี พ.ศ.2547 ในขณะนั้นโดยการกู้บ่อพันขันในต้นตำนานประวัติศาสตร์ขึ้น ด้วยงบประมาณลงทุน 700,000 บาท ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมทางหลวงดำเนินการกั้นเขตพื้นที่และมอบหมายให้ชลประทานสูบน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วม แหล่งโบราณสถานบ่อพันขัน

    นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการฝีมือและสร้างอาชีพให้ราษฎรในพื้นที่ให้มีรายได้ พร้อมผลักดันให้เป็นศูนย์เรียนรู้ทุ่งกุลาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    โบราณสถานบ่อพันขัน



    บ่อพันขัน ตั้งอยู่ในเขตตำบลเด่นราษฎร์ กิ่งอำเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด บริเวณทางด้านตะวันออกของห้วยน้ำเค็มประมาณ 100 เมตร ลักษณะทางกายภาพเป็นลานหินทรายแดงกว้างใหญ่ในพื้นที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่บริเวณห้วยน้ำเค็มทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก

    โดยทางฝั่งตะวันตกเป็นพื้นที่ของตำบลจำปาขัน อำเภอสุวรรณภูมิ ส่วนทางฝั่งตะวันออกเป็นพื้นที่ของตำบลเด่นราษฎร์ กิ่งอำเภอหนองฮี โดยพื้นที่ทั้งสองฝั่งยังมีแนวหินทรายต่อเนื่องขึ้นไปอีกบางส่วนจมอยู่ใต้ดิน

    แนวลำน้ำเค็มจากบ่อพันขันไปถึงลำน้ำเสียวประมาณ 2 กิโลเมตร ในฤดูน้ำหลากพื้นที่บริเวณบ่อพันขันบางส่วนมักจมอยู่ใต้พื้นดิน แต่ในฤดูแล้งพื้นที่บริเวณบ่อพันขันจะปรากฏแนวพื้นหินทรายกว้างใหญ่ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง โดยมักจะมีร่องรอยของความเค็มของดินปรากฏอยู่โดยทั่วไป ลักษณะเป็นสีขาวๆ ของเกลือ และราษฎรในบริเวณนี้มักจะใช้เป็นสถานที่ผลิตเกลือสินเธาว์ต่อเนื่องกันมาหลายชั่วอายุคน เป็นทั้งผลผลิตที่ใช้บริโภคในหมู่บ้านและบริเวณใกล้เคียง และเป็นสินค้าออกไปยังจังหวัดใกล้เคียง เช่น ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี เป็นต้น โดยมีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่ผลิตคือบ่อพันขันนั่นเอง

    ในบริเวณบ่อพันขันปรากฏพื้นที่ลักษณะพิเศษ คือ มีบ่อน้ำจืดธรรมชาติที่มีน้ำผุดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีวันหยุด มีขนาดกว้างประมาณ 6-8 นิ้ว ลึก 6-8 นิ้ว จึงเป็นที่มาของชื่อว่า บ่อพันขัน ชาวบ้านเรียกชื่ออีกอย่างว่า น้ำสร่างครก เพราะมีลักษณะคล้ายครกตำข้าว

    น้ำบริเวณบ่อพันขันไหลออกมาจากบ่อเล็กคล้ายขัน ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มไหลออกมาเมื่อไรและจะหยุดไหลเมื่อใด อาจจะเป็นเรื่องของระบบน้ำใต้ดินที่ไหลซึมออกมาตลอดเวลาตามหลักทางวิทยาศาสตร์ แต่ในความเชื่อของชาวบ้านเชื่อในเรื่องความอัศจรรย์และความศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นวิถีชีวิตของผู้คนในดินแดนแห่งทุ่งกุลาร้องไห้ ที่จริงๆ ไม่เคยร้องไห้เพราะความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ เพียงอยู่ที่เราจะจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนเท่านั้น

    แต่สิ่งที่ได้ปรากฏและยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนในบริเวณนี้ คือการเป็นพื้นที่แหล่งต้มเกลือสินเธาว์ ที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพื้นที่รอบๆ มีแต่ความเค็มของเกลือในฤดูแล้ง แต่มีพื้นที่เพียงจุดเล็กๆ ที่มีน้ำจืดไหลรินออกมาตลอดเวลา ตักเป็นพันขันก็ไม่หมด ท่ามกลางพื้นที่ที่มีแต่ความเค็มตลอดฤดูแล้งนับแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมของทุกปี ถ้าใครไม่ได้ดูหรือสัมผัสก็คงจะพลาดโอกาสสำคัญเช่นนี้ เพราะพื้นที่บริเวณนี้จมอยู่ใต้น้ำมากว่า 20 ปี นับตั้งแต่ พ.ศ.2524-2525

    ในปี พ.ศ.2547 คงจะเป็นปีที่มีนิมิตหมายที่ดีต่อชาวบ้านในพื้นที่และชาวจังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดใกล้เคียงที่เคยได้รับผลผลิตของแหล่งเกลือแห่งนี้ ที่จังหวัดร้อยเอ็ดและชาวบ้านในพื้นที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันฟื้นฟูสภาพบ่อพันขันให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง และคงอยู่คู่กับจังหวัดร้อยเอ็ดตลอดไป โดยเฉพาะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ ทั้งตำนานของการต้มเกลือสินเธาว์ที่ใช้ทำปลาร้าคุณภาพดี แหล่งเพราะปลูกข้าวหอมมะลิของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ส่งออกไปขายทั่วโลก และแหล่งโบราณสถานบ่อพันขันอันมีชื่อและแหล่งตัดหินทรายสีแดงคุ อำเภอสุวรรณภูมิ

    และนอกจากนี้ ยังมีโบราณสถานกู่กาสิงห์ กู่โพนวิท กู่โพนระฆัง กู่บ้านกระโดน อำเภอเกษตรวิสัย กู่คันธนาม อำเภอโพนทราย อันเป็นศูนย์รรวมอารยธรรมในทุ่งกุลาร้องไห้และตลอดลำน้ำเสียว
     

แชร์หน้านี้

Loading...