เว็บพลังจิต โทษของการคบอสัตบุรุษ เรื่องของพระเจ้าอชาตศัตรู

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 11 กันยายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    152
    ค่าพลัง:
    +147,907
    [​IMG]
    ภาพประกอบ พระเทวทัตสำแดงฤทธิ์ให้อชาตศัตรูราชกุมารเลื่อมใส
    เพื่อให้รับเป็นโยมอุปัฏฐาก

    ในสมัยพุทธกาลมีแว่นแคว้นใหญ่ๆอยู่ ๑๖ แคว้น แคว้นที่ชาวพุทธเราคุ้นเคยกันดีเพราะถูกกล่าวถึงบ่อยในพระไตรปิฎกก็ได้แก่ มคธ โกศล วัชชี

    ในสมัยนั้นแคว้นมคธกับแคว้นวัชชีแข่งอำนาจกันมาก แคว้นโกศลก็รบกับแคว้นมคธแต่เพียงนิดหน่อยเท่านั้น แคว้นมคธปกครองแบบราชาธิปไตย อยู่ติดกับแคว้นวัชชีซึ่งปกครองแบบสามัคคีธรรม ฝรั่งเรียกการปกครองแบบนี้ว่า republic หรือที่คนไทยเรียกกันว่า สาธารณรัฐ นั่นเอง อย่างไรก็ตามคำว่า “การปกครองแบบสามัคคีธรรม” เป็นการจับเอาสาระมาเรียกในภายหลัง เพราะในพระไตรปิฎก ท่านเรียกราชาที่ปกครองแบบนี้ว่า “คณราช” (เช่น วินย.อ.๑/๒๔๗; สํ.อ.๓/๑๐๒)

    ในการปกครองแบบสามัคคีธรรมนั้น มิได้มีผู้ปกครองที่มีอำนาจเด็ดขาดสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว แต่ใช้วิธีที่ว่ามีชนชั้นปกครองจำนวนหนึ่งซึ่งมากถึง ๗,๗๐๗ องค์ หมุนเวียนกันขึ้นมาปกครอง เวลาจะบริหารราชการแผ่นดินก็ต้องมีการประชุมในสภา ซึ่งมีหอประชุมที่เรียกกันว่า สัณฐาคาร เมื่อมีเรื่องที่จะต้องตัดสินใจหรือวินิจฉัยกัน เช่นจะรบหรือไม่รบกับต่างแคว้น เหล่าผู้ปกครองก็จะมาประชุมหารือกันเพื่อตัดสินใจในสัณฐาคาร

    ในแคว้นวัชชี มีกษัตริย์หลายเหล่าที่อยู่ร่วมกันภายใต้ชื่อแคว้นวัชชี ได้แก่กษัตริย์มัลละ กษัตริย์วิเทหะ และกษัตริย์ลิจฉวี (ใครเป็นนักเรียนยุคก่อนโน้นก็จะจดจำเจ้าลิจฉวี ใน สามัคคีเภทคำฉันท์ ได้) เหล่าเจ้าลิจฉวีเป็นพวกที่เข้มแข็งกว่าเหล่าอื่น

    การรบพุ่งครั้งสำคัญของแคว้นมคธกับแคว้นวัชชีเกิดขึ้นในปลายสมัยพุทธกาล ซึ่งในขณะนั้นแคว้นมคธปกครองโดยพระเจ้าอชาตศัตรูพระโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร เรื่องราวของพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นเรื่องที่ถูกกล่าวถึงมากเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนา จะขอยกมาเล่าให้พอระลึกกันได้บ้าง ดังนี้

    พระเจ้าอชาตศัตรู

    เมื่อครั้งที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงประสูตร พราหมณ์ทั้งหลายได้ทำนายทายทักว่าพระโอรสผู้นี้จะทำปิตุฆาต ขอให้พระองค์ตัดสินพระทัยกำจัดพระโอรสนี้เสีย แต่พระเจ้าพิมพิสารก็ไม่อาจหักใจกำจัดพระโอรสผู้บริสุทธิ์ ไร้เดียงสาได้ลง พระองค์ทรงเมตตาเอ็นดู ต่อพระโอรสทุกอย่าง กาลเวลาก็ล่วงเลยไป จากพระราชโอรสเยาว์วัยก็เติบใหญ่เป็นพระราชกุมาร วี่แววของการจะทำปิตุฆาตพระราชบิดาของตนเองก็ไม่ปรากฏ จนกระทั่งวันหนึ่ง

    พระราชกุมารเสด็จประพาสอยู่ในพระราชอุทยาน ทรงนั่งพักผ่อนอยู่ ก็ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผู้มีงูใหญ่พันอยู่รอบกาย ลอยอยู่บนนภากาศ ร่างนั้นลอยมาลงตรงพระพักตร์พระราชกุมาร เด็กหนุ่มผู้นั้นได้เอ่ยปากว่า อย่ากลัวไปเลยพระกุมาร พระราชกุมารทรงอัศจรรย์ใจในอภินิหารนั้น และทรงเลื่อมใสยิ่งขึ้น เมื่อเด็กหนุ่มผู้นั้นหายร่างไปกลายเป็นพระเทวทัตปรากฏขึ้นแทน พระเทวทัตเมื่อยังจิตของอชาตศัตรูกุมารให้เลื่อมใสนับถือในปาฏิหาริย์แล้ว ก็ได้สอนสั่งและน้อมนำจิตใจพระกุมารให้คิดเห็นคล้อยตามตนตั้งแต่นั้นมา


    ความริษยาของพระเทวทัต

    การที่พระเทวทัตผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยปวารณาตนเป็นพุทธสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มากระทำการให้พระราชกุมารอชาตศัตรูยอมรับนับถือหมดจิตหมดใจอย่างนี้ ก็หาได้เป็นเพราะต้องการจะให้พระโอรส เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาแต่อย่างใดไม่ แท้จริงแล้วพระเทวทัตต้องการจะสร้างตนเองให้ยิ่งใหญ่เทียบเสมอกับพระพุทธองค์ ด้วยว่าพระเทวทัตมีนิสัยอิจฉา ริษยา พระผู้มีพระภาคตั้งแต่เมื่อยังเป็นเจ้าชายด้วยกัน เพราะสิทธัตถะกุมารทรงเหนือกว่าเทวทัตกุมารทุกทาง ไฟแห่งความเคียดแค้นริษยา ในใจเจ้าชายเทวทัตได้บังเกิดขึ้นตั้งแต่นั้น

    กาลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งภิกษุหลายหมื่นรูปแวดล้อม เสด็จกลับมาโปรดเจ้าศากยะทั้งหลายตามคำทูลเชิญของพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดา พระพุทธองค์ได้แสดงธรรมโปรดหมู่พระญาติเป็นอันมาก เหล่าพระประยูรญาติใดผู้มีพระโอรส ก็ให้พระโอรสของตนบวชติดตามพระผู้มีพระภาค หากผู้ใดไม่ให้พระโอรสออกบวชก็จะเป็นที่เสียหน้าอย่างมากในหมู่ศากยะด้วยกัน ดังนี้แล้วเจ้าชายเทวทัตจึงออกบวชตามเจ้าชายทั้งหลายทั้งหลายมีเจ้าชายอานนท์และเจ้าชายอนุรุทธะเป็นต้น

    กาลเวลาผ่านไปเมื่อเจ้าชายทั้งหลายบวชได้ไม่นาน เจ้าชายศากยะเหล่านั้นบัดนี้ได้เป็นพระอริยะขั้นต่างๆ เช่น ท่านพระอนุรุทธะได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมอภิญญา ๖ เป็นเอตทัคคะด้านผู้มีจักษุทิพย์ ส่วนท่านพระอานนท์ได้บรรลพระโสดาบัน เป็นต้น แต่พระเทวทัตไม่ได้บรรลุความเป็นพระอริยะใดๆเลย ได้แต่เพียงอภิญญา ๕ ทำอิทธิฤทธิได้ต่างๆ และด้วยอิทธิฤทธินี่เองที่ทำให้เจ้าชายอชาตศัตรูผู้อ่อนต่อเล่ห์เหลี่ยม อันชั่วร้ายลึกซึ้ง ได้ยอมรับนับถือ และคิดเห็นคล้อยตาม ตามแต่จะถูกพระเทวทัตชักจูง

    เมื่อคราวภิกษุทั้งหลายไปบิณฑบาตรตามหลังพระผู้มีพระภาคเจ้าในคราวที่พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงอารธนาเพื่อให้ชาวเมืองราชคฤห์ได้ร่วมใจกันถวายทาน เป็นสามัคคีทาน เหล่าพุทธบริษัททั้งคหบดีและชาวบ้านทั้งหลายเมื่อได้ถวายภัตรแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ต่างก็ถามกันว่า ท่านธรรมเสนาบดีสารีบุตรของพวกเรานั่งที่ไหน ท่านพระโมคคัลนะของพวกเรานั่งที่ไหน ฯลฯ แต่ไม่มีใครถามว่าพระเทวทัตของพวกเรานั่งที่ไหน ดังนี้

    ความเลื่อมใสนับถือในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระเถระผู้อริยเจ้าทั้งหลายก็สร้างความอิจฉา ริษยา ให้แก่พระเทวทัต จึงคิดขึ้นว่า “พระสมณโคดมได้ลาภมาก ได้โภคะมาก ชื่อเสียงขจรขยายไป ได้การยอมรับนับถือจากประชาชน ก็เพราะมีพระราชาสนับสนุนนี่เอง หากตัวเรามีพระราชาสนับสนุนบ้างแล้วละก็ ความยิ่งใหญ่ สักการะใหญ่ ชื่อเสียง ทั้งหลายทั้งปวงก็จะไหลมาสู่เราเป็นแม่นมั่น ก็แต่ว่าพระเจ้าพิมพิสารทรงเป็นโสดาบันบุคคล มีความเสื่อมใสในพระพุทธเจ้าไม่คลอนแคลนเสียแล้ว เราจักหาพระราชาที่ไหนมาสนับสนุนให้เรายิ่งใหญ่ได้เล่า”

    แต่นั้นพระเทวทัตก็นึกได้ถึงพระกุมารอชาตศัตรูว่า “เจ้าชายพระองค์นี้จะจะต้องได้ขึ้นครองราชสมบัติสักวันหนึ่งเป็นแน่แท้ แต่ก็ยังอีกหลายสิบปี เห็นทีจะรอไม่ไหว จำเราจะต้องสร้างการยอมรับนับถือให้เกิดแก่เจ้าชายและเราค่อยวางแผนการให้เจ้าชายโค่นบัลลังก์พระเจ้าพิมพิสาร ต่อเมื่อเจ้าชายได้เสวยราชสมบัติเป็นพระราชาแล้ว ทีนี้แล้วเราก็จะได้ครองความยิ่งใหญ่ยิ่งไปกว่าพระสมณโคมแน่แท้”


    ปลุกปั่นโน้มน้าว

    จากวันที่เจ้าชายอชาตศัตรูได้รับการสอนสั่งจากพระเทวทัต จนเรียกหาเป็นพระราชครู พระเทวทัตก็ได้เสี้ยมสอนให้เจ้าชายปรารถนาในราชสมบัติ แรกๆเจ้าชายก็ทักท้วงว่า พระองค์มีครบในทุกสิ่งที่ทรงพระสงค์แล้ว พระเทวทัตก็หาอุบายวิธีที่จะกล่าวให้เห็นว่าพระองค์นั้นเติบใหญ่แล้ว หากจะรอให้พระราชบิดาสละพระราชสมบัติซึ่งก็อีกหลายสิบปี ดูท่าว่าเจ้าชายก็จะทรงล่วงเข้าวัยกลางคน หมดโอกาสจะได้ทำสิ่งต่างๆ ดังคำที่ว่า หยดน้ำทีละหยด ก็ทลายหินผาได้ ในที่สุดเจ้าชายก็ถูกโลภะความต้องการในกามคุณทั้งหลายครอบงำ ทรงหาทางยึดอำนาจทางทหารทีละน้อย จนในที่สุดก็สามารถสั่งการให้ทหารจับพระเจ้าพิมพิสารไปกักขังไว้ในคุกหอคอยสูง แล้วพระองค์ก็ยึดเอาอำนาจมาจากพระราชบิดา แต่กระนั่นพระเทวทัตก็กล่าวแก่เจ้าชายว่า พระองค์ได้อำนาจมายังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะอาจจะมีพวกราชบุรุษบางกลุ่มนำกำลังเข้าต่อสู้แล้วชิงราชบัลลังก์ถวายคืนแก่พระเจ้าพิมพิสาร พระองค์ต้องกำจัดพระราชบิดาเสีย

    เจ้าชายอชาตศัตรู ผู้บัดนี้เหมือนคนขี่บนหลังเสือ ไม่มีทางลงหรือทางถอยกลับได้เสียแล้ว แต่พระองค์ก็ไม่อาจหักใจสั่งประหารพระราชบิดาผู้ไม่มีความผิดใดๆได้ จึงสั่งให้ลดการส่งอาหารแก่พระเจ้าพิมพิสาร แต่พระเจ้าพิมพิสารก็ยังทรงอยู่ได้ด้วยอาหารแม้เพียงเล็กน้อย เพราะจำเดิมแต่เมื่อครั้งพระองค์ทรงได้บรรลุพระโสดาบัน อันว่าความกลัวตายนั้นเป็นไม่มี เพราะพระอริยะได้ปิดประตูอบายคือจะไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกเลย มีแต่สุคติเป็นที่ไป ไม่ว่าจะต้องอดพระกระยาหารหรือทุกข์ทรมานกายอย่างไร พระองค์ก็มั่นคงในกรรมและผลของกรรมอย่างไม่คืนคลาย นี่เป็นปัญญาที่ละความเห็นผิดอย่างเป็นสมุจเฉทแล้ว ดังนั้นไม่ว่าพระองค์จะถูกนำไปประหารชีวิตหรือถูกให้อดอาหารจนตาย พระองค์ก็ไม่ครั่นคร้าม

    อีกประการหนึ่ง ก็ผู้ที่กระทำต่อพระองค์นั้นคือ เลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์เอง พระองค์ไม่มีความโกรธ เคียดแค้นพระโอรสแต่อย่างใดเลย พระองค์มีแต่ความเมตตาในพระโอรส ที่กระทำลงไปด้วยความเห็นผิด หลงผิด เพราะคบหา อสัตบุรุษ เป็นอกัลยาณมิตร จึงเดินในหนทางที่ผิด และจักมีสัมปรายภพคือทุคติเป็นที่ไป พระองค์รู้ว่าพระโอรสจะต้องเสียพระทัยในวันข้างหน้า ซึ่งวันนั้นก็มาถึง

    อนันตริยกรรม

    เมื่ออาหารที่ส่งไปลดลงๆ แต่พระราชบิดาก็ยังทรงพระชนม์อยู่ได้ เจ้าชายจึงสั่งงดอาหารและน้ำ แต่กระนั้น พระราชมารดาของเจ้าชายก็ลอบนำน้ำและอาหารเข้าไปขณะไปเยี่ยมพระสวามี จนเวลาผ่านไปพระราราชบิดาก็ยังไม่สวรรคตเสียที เจ้าชายเมื่อทรงทราบว่าพระราชบิดาอยู่ได้ด้วยอาหารที่พระมารดาแอบนำเข้าไป จึงสั่งห้ามพระราชมารดาเข้าไปเยี่ยมอย่างเด็ดขาด

    เวลาผ่านไป พระเจ้าพิมพิสารแม้ไม่ได้เสวยพระกระยาอาหารใดๆเลย พระองค์ก็ไม่เสียพระทัย ทรงเดินจงกรม เจริญกุศลอยู่ในห้องขังนั้น และเมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรออกไปนอกห้องขัง ทรงแลเห็นเขาคิชกูฏและพระเวฬุวันที่พระองค์ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเมื่อครั้งพระองค์ได้สดับพระธรรมและบรรลุพระโสดาบัน พระองค์จึงทรงยังพระหฤทัยให้เป็นไปในกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว พระทัยของพระองค์ก็แช่มชื่น แม้ไม่ได้เสวยพระกระยาหาร แต่พระองค์ก็ยังทรงพระชมม์อยู่ได้

    ใจที่ร้อนเร่าของเจ้าชายผู้บัดนี้ความมืดบอด โง่เขลาได้ครอบงำอย่างสิ้นเชิงแล้ว พระองค์ทรงทราบว่าพระราชบิดาทรงพระชนม์อยู่ได้ด้วยสมณธรรมคือการเดินจงกรม พระองค์จึงสั่งให้ราชบุรุษใช้มีดกรีดฝ่าพระบาทของพระราชบิดา ให้ได้รับความเจ็บปวด ให้เดินจงกรมไม่ได้ และให้ย้ายห้องขังไม่ให้ได้แลเห็นเวฬุวันเสีย

    วันหนึ่ง พระมเหสีของเจ้าชายอชาตศัตรูทรงประสูติกาลพระโอรส เจ้าชายทรงปิติยินดี เมื่อทรงอุ้มชูพระทารกน้อยนั้น ก็ตรัสว่า “ทารกน้อยนี้ช่างน่ารัก น่าเอ็นดู ไร้เดียงสา เสียจริง มือน้อยๆ เท้าน้อยๆของเจ้านี้ช่างน่าทะนุถนอมเหลือเกิน โอ้ ..ข้าจะดูแลเจ้าให้เติบใหญ่ ให้ได้รับความสวัสดีทั้งปวง” เมื่อตรัสดังนี้พระองค์จึงระลึกขึ้นได้ว่า อันความรักที่พระองค์มีต่อทารกน้อย ก็เป็นเช่นกับความรักที่พระราชบิดามีต่อพระองค์เมื่อยังทรงพระเยาว์ ความรู้สึกรักในพระราชบิดาก็ เอ่อล้น ท่วมท้นพระทัยของเจ้าชายผู้หลงผิด

    พระองค์ทรงรีบดำเนินไปยังห้องคุมขัง ในระหว่างทางทรงหวังพระทัยลึกๆว่า “คงจะยังไม่สายเกินไป บัดนี้ข้าได้สำนึกผิดแล้ว ขออย่าให้การณ์สายเกินไปเลย เสด็จพ่อบัดนี้ลูกรู้คุณของพ่อแล้ว ขอพระองค์ทรงพระชนม์ชีพอยู่เถิด ขอพระพรหมจงรักษาชีวิตพ่อของข้าไว้ก่อน”

    .........

    ในปลายพุทธกาล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายหลังจากที่พระเจ้าอชาตศัตรูได้มาเฝ้าและพระผู้มีพระภาคได้แสดงสามัญญผล แก่พระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปพระราชนิเวศน์แล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า “พระราชาพระองค์นี้ถูกขจัดเสียแล้ว หากเธอมิได้ปลงพระชนม์ชีพพระราชบิดาผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมแล้ว ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักเกิดแก่พระองค์ ณ ที่ประทับทีเดียว”

    ด้วยผลของกรรมหนักอันหากรรมอื่นมาลบล้างไม่ได้ พระเจ้าอชาตศัตรูต้องไปบังเกิดในโลหกุมภีนรก อันยืดยาวนานหลายหมื่นปี นี่เป็นผลของการคบอสัตบุรุษ ไม่คบสัตบุรุษ ไม่คบหากัลยาณมิตร เรื่องราวของเจ้าชายอชาตศัตรูได้เป็นอุทาหรณ์แก่ชาวพุทธให้เห็นโทษภัยของการคบมิตรชั่ว มาจนถึงทุกวันนี้


    http://www.serichon.com/board/index.php?topic=4651.0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 เมษายน 2010
  2. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,678
    ความริษยาอาฆาต ช่างน่ากลัวจริง ๆ ควรหมั่นเจริญพรหมวิหาร ๔ ฝึกมุทิตาจิตอยู่เสมอ ๆ

    ขออนุโมทนาในธรรมทานกับคุณ VANCO ด้วยค่ะ
    sleeping_rb
     
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,606
    มงคล 38 ประการ ข้อที่ 1 อย่าคบคนพาล

    <TABLE border=0 width="100%"><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 bgColor=#ff9900 align=center height=70><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffef background=../../pics/banner350_.gif>๑ การไม่คบคนพาล

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD background=../../pics/6x1gray.gif>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    <TABLE border=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE border=0><TBODY><TR class=hang><TD class=thai_orange>อย่าคบมิตร ที่พาล สันดานชั่ว
    จะพาตัว เน่าดิบ จนฉิบหาย
    แม้ความคิด ชั่วช้า อย่ากล้ำกราย
    เป็นมิตรร้าย ภายใน ทุกข์ใจครัน.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD vAlign=top>ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ


    ๑. คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และมิจฉาทิฏฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ
    ๒. พูดชั่ว คือคำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
    ๓. ทำชั่ว คือทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริตเช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม

    รูปแบบของคนพาล มีข้อควรสังเกตุคือ

    ๑. ชอบแนะนำไปในทางที่ผิด หรือที่ไม่ควรแนะนำ อาทิเช่น แนะนำให้ไปเล่นการพนัน ให้ไปลักขโมย ให้กินยาบ้า ให้เสพยา ชวนไปฉุดคร่าอนาจาร เป็นต้น เหล่านี้ถือว่าเป็นพาล

    ๒. ชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ อาทิเช่น ไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนให้เรียบร้อย แต่กลับชอบจะไปก้าวก่ายยุ่งกับหน้าที่การงานของผู้อื่น หรือไปจับผิดเพื่อนร่วมงาน แกล้ง ยุยง นินทาว่าร้ายกันและกัน เป็นต้น

    ๓. ชอบทำผิดโดยเห็นสิ่งผิดเป็นของดี อาทิเช่น การสูบยาได้เป็นฮีโร่ เห็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นคนโง่ไม่กินตามน้ำ ชอบรับสินบน ทุจริตในหน้าที่ หรือช่วยพวกพ้องให้พ้นจากความผิด เป็นต้น

    ๔. จะโกรธเคืองเมื่อพูดเตือน อาทิเช่น การเตือนเรื่องการเที่ยวเตร่ เตือนเรื่องการดื่มเหล้า กลับบ้านดึก เตือนเรื่องการคบเพื่อนเป็นต้น คนพวกนี้จะโกรธเมื่อได้รับการตักเตือน และไม่รับฟัง

    ๕. ไม่มีระเบียบวินัย อาทิเช่น ไม่เข้าคิวตามลำดับก่อนหลัง แต่ชอบแซงคิวอย่างหน้าด้านๆ ทิ้งขยะลงคลอง หรือข้างทาง ไม่เคารพกฏหมายของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่น เป็นต้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ที่มา : www.dhammathai.org/treatment/poem/poem01.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2009
  4. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,610
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,606
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><HR>[​IMG]

    ภาพที่ ๕๕
    พระเทวทัตสำแดงฤทธิ์ให้อชาตศัตรูราชกุมารเลื่อมใส
    เพื่อให้รับเป็นโยมอุปัฏฐาก


    การเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ของพระพุทธเจ้าครั้งแรก ดังได้บรรยายมาแล้วนั้น เป็นเหตุให้เจ้าชายศากยะเสด็จออกบวชกันมาก ในจำนวนนั้น ที่มีชื่อเสียงและมีคนรู้จักกันดีจนถึงทุกวันนี้คือ เจ้าชายอานนท์ หรือพระอานนท์ในเวลาต่อมา นายภูษามาลา ชื่อ อุบาลี หรือพระอุบาลี และเจ้าชายเทวทัต

    เทวทัตเป็นพระเชษฐาหรือพี่ชายของพระนางพิมพายโสธรา ทุกคนที่ออกบวชพร้อมกันกับเทวทัต ต่างได้บรรลุมรรคผลในเวลาต่อมาทั้งนั้น แต่เทวทัตได้สำเร็จเพียงฌานชั้นโลกีย์ ฌานชั้นนี้ทำให้ผู้ได้สำเร็จ แสดงฤทธิ์ได้ เหาะก็ได้

    ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์จำนวนมากรวมทั้งพระเทวทัต เสด็จไปถึงกรุงโกสัมพี ชาวเมืองได้พากันออกมารับเสด็จ และนำของมาถวายเป็นอันมาก ถวายของแด่พระพุทธเจ้าแล้วก็ถวายพระสงฆ์ แต่ละคนเที่ยวถามไถ่กันว่า "พระสารีบุตรของข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน พระโมคคัลลานะของข้าพเจ้าอยู่ไหน" ฯลฯ เมื่อทราบแล้วก็นำของไปถวาย แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่จะเอ่ยชื่อของพระเทวทัตว่า "พระเทวทัตของข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน"

    นั่นคือความไม่พอใจของพระเทวทัตที่เป็นสาเหตุให้พระเทวทัตก่อกรรม หรือกระทำการรุนแรง ในเวลาต่อมา

    พระเทวทัตเข้าฌานโลกีย์ เนรมิตเป็นกุมารหนุ่มน้อยใช้งูมีพิษร้าย ๗ ตัว พันเป็นสังวาลตามตัว ตัวหนึ่งพันหัวต่างผ้าโพก อีกสี่ตัวพันข้อมือข้อเท้า อีกตัวหนึ่งพันคอ และอีกตัวหนึ่งทำเป็นสังวาลเฉวียงบ่า เหาะเข้าไปในวัง ลงนั่งบนพระเพลาของอชาตศัตรูผู้เป็นมกุฎราชกุมาร และพระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งแคว้นมคธ เทวทัตแนะนำให้อชาตศัตรูปลงพระชนม์พระราชบิดา แล้วเสด็จขึ้นครองราชย์เสีย ส่วนตัวเองจะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า แล้วจะตั้งตัวเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ประกาศศาสนาใหม่

    เวลาไปเฝ้าเจ้าชายอชาตศัตรู พระเทวทัตเหาะไป แต่ขากลับพระเทวทัตเหาะไม่ไหว ต้องเดินกลับ เพราะใจอกุศลเกิดขึ้น ฌานโลกีย์เลยเสื่อมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณwww.dhammajak.net/board/viewtopic.php?start=40&t=7914
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,732
    บุคคลที่น่ากลัวที่สุดคือตัวเราเอง
    จึงควรหมั่นพิจารณาตนอยู่เนืองๆ
     
  6. NikuSeed

    NikuSeed เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +724
    ภายหลังจากที่พระเจ้าอชาตศัตรูถูกพลงพระชนม์
    ท่านไปเกิดในโลหกุมภีนรก เสวยทุกขเวทนาเป็นเวลาถึง 6 หมื่นปี
    จากนั้นจักเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่า "ชีวิตวิเสสพุทธเจ้า"

    ก็ถือว่า พระเจ้าอชาตศัตรูมีบารมีพอที่จะได้ตรัสรู้ปัจเจกโพธิญาณ ล่ะนะครับ ^^
     
  7. natspdo

    natspdo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,041
    ค่าพลัง:
    +1,505
    การไม่รู้บาปบุญคุณโทษ หากไม่ทำกรรมหนักคงได้บรรลุธรรมไปแล้วครับ น่ากลัวมากครับสำหรับความไม่รู้ ในขณะนั้นหากไม่พิจารณาดี ๆ ก็เดินหลงทางได้ หากพระเจ้าอชาตศัตรูได้พบพระพุทธเจ้าเสียก่อนคงจะไม่เป็นอย่างนี้
     
  8. amorthem

    amorthem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +130
    อนุโฒทนาครับ _/|\_
     
  9. 1redstar

    1redstar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +1,366
    การที่พวกแกนนำทางการเมืองปลุกปั่นทำให้สังคมแตกแยกไปทุกบ้าน ถือว่าเป็น อนันตริยกรรม หรือไม่ครับ?
     
  10. zetsubo

    zetsubo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +751
    อนุโมทนาสาธุค่ะ
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...