4178542 การบรรลุธรรมในปฏิจจสมุทบาท

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย คนโกหก, 26 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    480
    ค่าพลัง:
    +1,414
    วงจรปฏิจจสมุทบาท ก่อนจะเกิด "เวทนา (ทุกข์)", "ชาติ" และ "ภพ"
    ซึ่งสามสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิด ต้องการให้หยุดแล้วจบไป

    เราต้องตัด

    1. อุปทาน
    2. ตัณหา

    เรื่อง "อุปทาน" นี้ เราจะตัดได้ก่อน เช่น ฝึกดูรู้วางว่างสว่าง (สติปัฏฐานสี่)
    จนจิตเกิดการเคยชินเป็นการปล่อยวางเฉยไปหมด แต่เมื่อถึงจุดนั้น หากยัง
    มี "กายเนื้อ" มันต้องหล่อเลี้ยงด้วย "กิน, ขี้, ปี้ (อาจไม่มีก็ได้), นอน" จึง
    ต้องเข้าใจว่าความหิว และ "อยากกิน" มันยังมี แต่อะไรละ ที่เรียกว่าไม่ใช่
    "ตัณหา" คำตอบก็คือ "มัชฌิมา ปฏิปทา" ที่ไม่ใช่ชื่อพรรคใหม่

    คือ หาทางสายกลาง อยากอย่าง "พอเพียง" ก็สามารถอยากได้แบบไม่ใช่
    "ตัณหา" เช่น อยากขี้ ปวดแย่แล้ว (มันปฏิเสธกิจของร่างกายเนื้อไม่ได้)

    นั่นคือ ปล่อยวาง "ตัวกู ของกู" หมด "อุปทาน"
    จากนั้นหาความ "พอเพียง" ของการเลี้ยงกายเนื้อ คือ ละ "ตัณหา"
    เช่นนี้ ไม่ใช่ว่า "ไม่ยึดมั่น" ปล่อยวางแล้วจะบรรลุธรรมนา ยังมีอีกตัวเด้อ...



    ตัดสองตัวนี้ได้ ก็ถือว่า "จบ"... บรรลุธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 กุมภาพันธ์ 2007
  2. bb.boy

    bb.boy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +381
    กำลังศึกษาอยู่ครับ ทางนี้
    เลยไม่กล้าออกความเห็น เพราะผมยังเขลาทางธรรม
    แต่กำลังเพียรเพื่อรู้อยู่ครับ

    บุญรักษาครับ
     
  3. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    480
    ค่าพลัง:
    +1,414
    ขอให้เจริญในธรรม
    ทุกคนล้วนผ่าน

    "พลาด" ก่อน "พบ"
    "ยก" ก่อน "วาง"
    "เต็ม" ก่อน "ว่าง"
    และ "สว่าง" หลัง "มืดมน"


    เจริญในธรรมเถิดโยม...
     
  4. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ท่านทั้งหลายลองดูในเว็บข้างล่างนี้นะครับผมไปหามาให้

    ห่วงโซ่แห่งการเกิด 12 ข้อ เริ่มจากความไม่รู้ คือ อวิชชา ......ข้อที่ 12 ชรา มรณา สายการเกิด คือเหตุของการเกิด สายการดับ ก็ดับไปทีละข้อ โซ่นี้มันต่อกันเป็นปล้อง ๆ ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าต้องดับทุกปล้องเลยรึเปล่าถึงจะหยุดวงจรได้ หรือดับเพียงปล้องใดปล้องหนึ่งก็หยุดวงจรการเกิดได้ ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ เชิญท่านศึกษาเอาเองนะครับ


    http://www.nkgen.com/patitja.htm

    วงจรปฏิจจสมุปบาท
    [​IMG]
    ดังมีองค์ธรรม ที่ดำเนินเป็นเหตุปัจจัย สืบเนื่องสัมพันธ์กัน โดยย่อดังนี้
    ประกอบด้วย ๑๒ องค์ธรรม เป็น ๑๑ องค์แห่งเหตุปัจจัย
    ๑. อวิชชาร่วมกับอาสวะกิเลสเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
    อวิชชา ความไม่รู้ตามความเป็นจริงแห่งธรรม ร่วมด้วยอาสวะกิเลสที่สั่งสมจดจำ จึงเป็นปัจจัยแก่กันและกัน จึงมี สังขารกิเลสเกิดขึ้น​
    ๒. สังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
    สังขาร การกระทําทางกาย,วาจา,ใจ ตามที่ได้เคยสั่งสม,อบรม,ประพฤติ,ปฏิบัติไว้แต่อดีตหรืออาสวะกิเลส เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ
    ๓. วิญญาณ
    เป็นปัจจัย จึงมี
    นาม-รูป
    วิญญาณ กระบวนการรับรู้ของเหล่าอายตนะหรือทวารทั้ง ๖ ของชีวิต จึงรับรู้ในสังขารที่เกิดขึ้นนั้น เป็นปัจจัย จึงมี นาม-รูป
    ๔. นาม-รูป
    เป็นปัจจัย จึงมี
    สฬายตนะ
    นาม-รูป ทำให้รูปนามหรือขันธ์๕ที่มีอยู่แล้ว แต่นอนเนื่อง ครบองค์ของการทำงานตามหน้าที่ตนคือตื่นตัว เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
    ๕. สฬายตนะ
    เป็นปัจจัย จึงมี
    ผัสสะ
    สฬายตนะ ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ เข้าทำงานตามหน้าที่แห่งตน เนื่องเพราะนาม-รูปครบองค์ตื่นตัวแล้ว เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ
    ๖. ผัสสะ
    เป็นปัจจัย จึงมี
    เวทนา
    ผัสสะ การประจวบกันของสฬายตนะ(อายตนะภายใน) & สังขาร(อายตนะภายนอก) & วิญญาณ ทั้ง๓ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา
    ๗. เวทนา
    เป็นปัจจัย จึงมี
    ตัณหา
    เวทนา การเสวยอารมณ์หรือความรู้สึกรับรู้ที่เกิดจากการผัสสะ เป็นสุขเวทนาบ้าง, ทุกขเวทนาบ้าง, อทุกขมสุขบ้าง เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา
    ๘. ตัณหา
    เป็นปัจจัย จึงมี
    อุปาทาน
    ตัณหา กามตัณหาในรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส, ภวตัณหา-ความอยาก, วิภวตัณหา-ความไม่อยาก เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน
    ๙. อุปาทาน
    เป็นปัจจัย จึงมี
    ภพ
    อุปาทาน ความยึดมั่น,ความถือมั่นในกิเลสหรือความพึงพอใจในตน,ของตนเป็นหลักสำคัญ เป็นปัจจัย จึงมี ภพ
    ๑๐. ภพ
    เป็นปัจจัย จึงมี
    ชาติ
    ภพ สภาวะของจิต หรือบทบาทที่ตกลงใจ อันเป็นไปตามอิทธิพลที่ได้รับจากอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ
    ๑๑. ชาติ
    เป็นปัจจัย จึงมี
    ชรา-มรณะ พรั่งพร้อมด้วย อาสวะกิเลส
    ชาติ อันคือ ความเกิด จึงหมายถึง การเริ่มเกิดขึ้นของกองทุกข์หรืออุปาทานทุกข์ ตามภพหรือสภาวะ,บทบาทที่ตกลงใจเลือกนั้น เป็นปัจจัยจึงมี ชรา-มรณะพร้อมทั้งอาสวะกิเลส
    ๑๒. ชรา-มรณะ พร้อมทั้ง อาสวะกิเลส เมื่อมีการเกิด(ชาติ)ขึ้น ก็ย่อมมีการตั้งอยู่ระยะหนึ่งแต่อย่างแปรปรวน(ชรา) แล้วดับไป(มรณะ)เป็นธรรมดา ดังนี้
    ชรา - ความเสื่อม ความแปรปรวน จึงหมายถึง ความแปรปรวนความผันแปร วนเวียนอยู่ในกองทุกข์ อันคือการเกิดอุปาทานขันธ์ ๕ ขึ้นและเป็นไปอย่างวนเวียนซํ้าซ้อน และเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายอย่างต่อเนื่อง
    มรณะ - การดับ การตาย จึงหมายถึง การดับไปของทุกข์นั้นๆ อันพรั่งพร้อมกับการเกิดขึ้นเป็นอาสวะกิเลส - อันคือความจำ(สัญญา)ได้ในสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัวหรือกิเลส ที่เกิดขึ้น จึงเป็นความจำเจือกิเลสที่อยู่ในสภาพนอนเนื่อง แอบหมักหมมหรือสร้างรอยแผลเป็นอยู่ในจิตหรือความจำ อันจักยังผลให้เกิดเป็นทุกข์ขึ้นอีกในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน กล่าวคือ
    อาสวะกิเลส - ความจำเจือกิเลสที่ตกตะกอนนอนก้น นอนเนื่องอยู่ในจิต ซึ่งเมื่อผุดขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ หรือเกิดแต่เจตนาขึ้น หรือเกิดแต่การกระตุ้นเร้าของการกระทบสัมผัส(ผัสสะ)กับอารมณ์ใดก็ตามที ก็จะไหลไปซึมซาบย้อมจิต ซึ่งจะไปเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอวิชชาอีกครั้ง ดังเหตุปัจจัยแรก ดังนี้​
     
  5. คีตเสวี

    คีตเสวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2007
    โพสต์:
    980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +751
    อนุโมทนาท่านผู้เขียนบทความครับผมคิดว่าท่านคงได้ลิ้มรสธรรมบางประการแล้ว ขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจครับ
    โดยส่วนตัวเองก็พบว่าเมื่อสติเราไวพอ เราสามารถตัดได้ตั้งแต่สังขารคือการปรุงแต่ง ไม่มีวิตกวิจารณ์ เมื่อครองได้เป็นปกติ ตัวทุกข์แทบไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเยียนเลยแม้สถานการณ์จะหนักเพียงใดครับ อ้อ ถ้าครองได้ดีท่านจะตกกระแสธรรมในไม่ช้าครับ อนุโมทนาครับ
     
  6. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    480
    ค่าพลัง:
    +1,414
    ตัว "เวทนา" จะมี 5 ประการ

    1. ทุกขเวทนา คือ ทุกข์ทางกาย
    2. สุขเวทนา คือ สุขทางกาย
    3. โสมนัสเวทนา คือ สุขทางใจ
    4. โทมนัสเวทนา คือ ทุกข์ทางใจ
    5. อุเบกขาเวทนา คือ วางเฉย


    พระพุทธองค์ทรงตรัสครั้งหนึ่งโดยย่อว่า "เมื่อเธอบรรลุธรรม เธอย่อมรู้เวทนาในเวทนา
    คือ ทุกขเวทนาก็รู้ดังนั้น สุขเวทนาก็รู้ดังนั้น"

    อนึ่ง เมื่อครองสังขารขันต์ (ยังไม่ดับขันธ์ 5 ยังไม่ตาย) จะยังมีการเจ็บป่วยได้ธรรมดา
    จึงรับรู้ "ทุกขเวทนา" นี้ได้ อันเป็น "อนิจจัง" แปรเปลี่ยนไป แต่ผู้บรรลุธรรมจะมีสติรู้
    และปัญญาเข้าใจโดยตลอด

    จึงไม่ต้องดับ "เวทนาขันธ์" ตราบเมื่อจะละสังขาร ค่อยดับเวทนาขันธ์ คือ "ปรินิพพาน"
     
  7. คนโกหก

    คนโกหก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    480
    ค่าพลัง:
    +1,414
    อวิชชาจะดับลง เพราะ "รู้แจ้ง" ด้วย "ปัญญา" แล้ว
    ส่วน "นาม-รูป", "ผัสสะ", วิญญาณ, ก็ยังไม่ดับ
    เพราะร่างกายยังต้องมีการรับรู้สัมผัสเพื่อดำรงชีพ

    เป็นการรับรู้ แล้ว ต่อด้วย "รู้แจ้ง" จึงไม่เกิด "ตัณหา", "อุปทาน"



    สรุป ดับ ชาติ, ภพ ของการเกิดเป็นเวไนยสัตว์
    ดับ อวิชชา, ตัณหา, อุปทาน


    อื่นๆ ดำรงชีวิตได้ปกติ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...