NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ.. GRAND NATURE ..

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Little Duck, 25 กุมภาพันธ์ 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,353
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ภาพสวยงามมาก.. ให้เครดิต ทั้งภาพและเสียงจร๊าาา...
     
  2. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    Like...Like...Like
    :cool::cool::cool:
     
  3. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    ผลการออกรางวัลงวดประจำวันที่ 2 พฤษภาคม 2555
    2/5/2555 = 2+5+2+5+5+5 = 24 BEGINING DATA


    รางวัลที่ 1. 889501 เลขท้าย 2 ตัว 29

    889501 = 8+8+9+5+0+1 = 31 CONECTING AVAILABLE

    88 = 16 PLUS
    95 = 14 NATURE
    01= 01 AVAILABLE


    88 =
    88 HUMANITY + HUMANITY
    95 = 59 ENERGY INTELLEGENCE
    01= 10 JUSTIFY

    88+95+01 = 184 = ROTARY DATA
    1+84 = 85 HUMANITY ENERGY
    1+8+4 = 13 MEDITATION
    18+4 = 22 = VICTORY



    88+59+10 = 157 = OPENING GRAND
    1+57 = 58 ENERGY HUMANITY
    1+5+7 = 13 = MEDITATION
    15+7 = 22 = VICTORY



    เลขท้าย 2 ตัว 29
    29 = 92 = INTELLEGENCE BRAIN

    29 = 92 = 11 KEY

    หากดูผลลัพธ์ของวันที่ออกรางวัล
    2/5/2555 = 2+5+2+5+5+5 = 24 BEGINING DATA อันหมายถึงการเริ่มต้นข้อมูลใหม่ และเมื่อดูผลลัพธ์ของรางวัลที่1. 889501 = 8+8+9+5+0+1 = 31 CONECTING AVAILABLE และ 88 = 16 PLUS และ 95 = 14 NATURE และ 01= AVAILABLE ซึ่งแสดงให้เห้นถึง PLUS การเชื่อมต่อของมนุษยชาติ การรวบรวม ขยายให้เพิ่มขึ้น อันเป็นการปรับยกระดับดุลยภาพให้เกิดแก่จักรวาล
    และเมื่อดูความหมายของ
    88 = 88 HUMANITY + HUMANITY
    95 = 59 ENERGY INTELLEGENCE
    01= 10 JUSTIFY


    จะเห็นได้ว่ามนุษยชาติคือกุญแจสำคัญในการเพิ่มขยายให้มากขึ้น โดยการนำพลังงานของท้ั้งสองด้านมารวมกัน อัจฉริยภาพเกิดขึ้นได้ด้วยมนุษยเอง

    และเมื่อดูผลลัพธ์ของพลังงาน

    88+95+01 = 184 = ROTARY DATA
    1+84 = 85 HUMANITY ENERGY
    1+8+4 = 13 MEDITATION
    18+4 = 22 = VICTORY


    และผลลัพธฺของพลังงานอีกด้านหนึ่ง

    88+59+10 = 157 = OPENING GRAND
    1+57 = 58 ENERGY HUMANITY
    1+5+7 = 13 = MEDITATION
    15+7 = 22 = VICTORY


    จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์รวมของทั้งสองพลังงาน ยัง ไม่เท่ากัน หากสังเกตุดูความหมายอื่นจะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ของพลังงานทั้งสองด้านมีความเดียวกัน ซึ่งต่างยืนยันและสนับสนุนข้อมูลซึ่งกัน อันเป็นการเริ่มต้นขับเคลื่อนข้อมูลใหม่ ความเป็นคู่ ความเท่ากัน อันเกิดจาการรวบรวมทำสมาธิของมนุษยชาติ ดังนั้น MEDITATION จึงหมายถึงการปฏิบัติเอง และเห็นผลเอง มนุษยชาติจึงจำเป็นต้องรวบรวมเพิ่มขยายให้มากขึ้นโดยการขับเคลื่อนข้อมูลของทั้งสองด้านไปพร้อมกัน โดยมีผลลัพธ์เดียวกันคือ VICTORY ดังนั้น ผลลัพธฺของรางวัลลขท้าย 2 ตัว 29=BI อันหมายถึงการทำซ้ำ การมาเป็นคู่ จึงเป็นกุญแจสำคัญ อันหมายเป็นการยืนยันและสนับสนุนข้อมูลทั้งหมด ในการนำกลับมาทำใหม่ ทำซ้ำ อันเป็นการข้ามพ้นยุคใหม่ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ พลังงาน PLUS

    NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ ..
     
  4. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table class="tborder" style="border-bottom-width:0px" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1"> <tbody><tr> <td class="tcat">
    </td> </tr> </tbody></table> <table id="post" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> [​IMG] 19-04-2012, 10:26 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right">
    </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อาจีฟา
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Dec 2009
    ข้อความ: 201
    Groans: 3
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 109
    ได้รับอนุโมทนา 262 ครั้ง ใน 68 โพส
    พลังการให้คะแนน: 63 [​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> <center>ช่วยถอดรหัสด้วยครับ

    </center>
    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> วันนี้มีเบอร์โทร 0831822489 ผมเห็นเมื่อเวลา 16.16คาดว่าน่าจะเป็นรหัสข้อความบางอย่าง รบกวนคุณลิเติ้ลดั้กด้วยครับ
    </td></tr></tbody></table>
    19-04-2012, = 19+04+20+12 = 55 NEW AGE ..
    10:26 = 10+26 = 36 CONFIRM FUNCTION
    10:26 = JUSTIFY : BALANCE FORWARD


    TODAY = 9/5/2012 = 9+5+20+12 = 31 CONECTING AVAILABLE

    0831822489 = 0+8+3+1+8+2+2+4+8+9 = 45 DATA ENERGY

    831 = 83+1 = 84 HUMANITY DATA = 12

    822 = 82+2 = 84 HUMANITY DATA = 12
    489 = 48+9 = 57 ENERGY GRAND = 12


    16.16 = PLUS : PLUS



    จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ของวันนี้ อันหมายถึงวันที่โพสต์ คือ TODAY = 9/5/2012 = 9+5+20+12 = 31 CONECTING AVAILABLE แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมต่อข้อมูล ซึ่งมีผลลัพธ์เท่ากับรางวัลที่1.ข้อมูลด้านบน และเมื่อดูผลลัพํ์ของหมายเลขโทรศัพทฺ 0831822489 = 0+8+3+1+8+2+2+4+8+9 = 45 DATA ENERGY แสดงให้เห็นถึงข้อมูลสำคัญ และเมื่อดูความหมายอื่น จะเห้นได้ว่าผลลัพธ์ของ 831 = 83+1 = 84 HUMANITY DATA มีผลลัพธ์เท่ากับ 822 = 82+2 = 84 HUMANITY DATA แสดงให้เห็นถึงความเป็นคู่ ความเท่ากันของพลังงานทั้งสองด้าน โดยมีมนุษยชาติคือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนพลังงานทั้งสองด้าน และเมื่อดูผลลัพธ์ของ 489 = 48+9 = 57 ENERGY GRAND อันแสดงให้เห็นถึงพลังงานที่สำคัญที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นว่าหน้าที่อันพึงปฏิบัติของมนุษยชาติ ในการนำพลังงานทั้งสองด้านมารวบรวม ขยายให้มากขึ้น โดยการขับเคลื่อนพลังงานไปพร้อมกัน

    โปรดสังเกตุ ผลลัพธ์ 12 อันหมาย ผลลัพธ์สุดท้ายซึ่งเท่ากันทั้งสามผลลัพธ์ คือ 12 12 12 อันหมายถึง ความรักอันปราศจากเงื่อนไข และเมื่อนำมารวมกัน 12+12+12 = 36 CONFIRM FUNCTION อันยืนยันข้อมูลทั้งหมด และยังมีผลลัพธ์เท่ากับเวลาที่โพสต์ด้านบน

    และเมื่อดูผลลัพธ์ของเวลา 16.16 = PLUS : PLUS อันหมายถึงการยกระดับปรับพลังงาน การเพิ่มขยายให้มากขึ้น โดยการปรับยกระดับของทั้งสองพลังงานให้เท่ากัน อันหมายถึงการขับเคลื่อนพลังงาน PLUS
    หากนำข้อมูลทั้งหมดมารวมกัน จึงแปลความหมายได้ว่า วันนี้ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเชื่อมต่อพลังงานของมนุษยชาติ อันเป็นการข้ามพ้นยุคใหม่ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ พลังงาน PLUS หากดูวันที่ เวลา และทุกความหมาย ซึ่งต่างยืนยัน และสนับสนุนข้อมูลทั้งหมด ข้อมูลนี้จึงไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน ..

    NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ ..
     
  5. อาจีฟา

    อาจีฟา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +307
    สงสัยน่าจะเป็นรหัสบอกการทำสมาธิให้รับพลังงาน แผ่พลังงานให้สมดุลเท่าๆกันอ่าครับ
     
  6. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    ยินดีต้อนรับ คุณ Little Duck.
    คุณมาครั้งล่าสุดเมื่อ เมื่อวานนี้ เวลา 05:11 PM
    ข้อความส่วนตัว: ยังไม่ได้อ่าน 0, รวม 297.



    Little Duck = 12+9+20+20+12+5+4+21+3+11 = 117 KEY GRAND
    11+7 = 18 ROTARY
    1+17 = 18 ROTARY
    1+1+7 = 9 INTELLEGENCE


    เมื่อวานนี้ 9/5/2555 = 31 CONECTING AVAILABLE
    05:11 = ENERGY : KEY
    05:11 = 05+11= 16 PLUS


    297 = BI GRAND
    29+7 =36 CONFIRM FUNCTION
    2+97 = 99 INTELLEGENCE INFINITY
    2+9+7 = 18 ROTARY


    จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ของ Little Duck เท่ากับ 117 KEY GRAND อันหมายถึงกุญแจหลัก และยังมีผลลัพธ์เท่ากับ ROTARY และ ROTARY อันหมายถึงการขับเคลื่อน แสดงให้เห็นความเป้นคู่ ความเท่ากันของทั้งด้าน และยังหมายถึง INTELLEGENCE ความเป็นอัจฉริยะของพลังงานทั้งสองด้าน
    และเมื่อดูผลลัพธ์ของเมื่อวานนี้ 31 CONECTING AVAILABLE แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมต่อพลังงานของมนุษยชาติ และเมื่อผลลัพธ์ของเวลา 05:11 ENERGY : KEY และ PLUS แสดงให้เห็นถึงพลังงาน PLUS อันเป็นข้อมูลหลักในการเชื่อมต่อมายังมนุษยชาติ
    และเมื่อดูข้อมูลอื่น 297BI GRAND แสดงให้เห็นถึง การนำมากลับมาทำซ้า การทำใหม่อันเป็นข้อมูลหลัก และยังหมายถึง CONFIRM FUNCTION อันเป็นการยืนยันข้อมูล และยังหมายถึง 99 INTELLEGENCE INFINITY อัจฉริยอันไร้ขอบเขต และ ROTARY การขับเคลื่อน

    ดังนั้น เมื่อนำความหมายทั้งหมดมารวมกันแสดงให้เห็นถึง การยืนยันข้อมูล เมื่อวานนี้คือการเริ่มต้นขับเคลื่อน การเชื่อมต่อพลังงานทัั้งสองพลังงาน เพื่อปรับยกระดับพลังงานใหม่ พลังงาน PLUS ดังนั้น การทำซ้ำ ทำใหม่ จึงเป็นหน้าที่อันพึงปฏิบัติของมนุษยชาติ อันเป็นการปรับดุลยภาพให้เกิดขึ้นแก่จักรวาล อัจฉริยอันไร้ขอบเขตเกิดขึ้นได้ด้วยน้ำมือของมนุษย์ในการขับเคลื่อนพลังงานใหม่ พลังงาน PLUS เพิ่มขยายให้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าข้อมูลนี้ ยืนยันและสนับสนุนข้อมูลด้านบน ซึ่งไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน


    NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2012
  7. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    นำมาฝาก..ด้วยรัก และผูกพัน

    การวางตัวดี คือ ..

    1. ศีลธรรม คือ

    ธรรมะ ที่ควรประพฤติอย่างมั่นคงดังศิลาภูผา
    ได้แก่ การไม่ทำลาย หรือ ทำร้ายชีวิตอื่น
    การไม่ลักขโมย หรือ ฉ้อโกงทรัพย์ผู้อื่น
    การไม่ประพฤติผิดในบุตร ภรรยา หรือ สามี ของผู้อื่น
    การไม่พูดโกหก ส่อเสียด เพ้อเจ้อ หยาบคาย
    และ การไม่ดื่มสุรา ยาเมา หรือ ยาเสพย์ติด
    ทั้งนี้เพราะ พฤติกรรมดังกล่าว นั้น
    หากประพฤติแล้วจะนำมาซึ่งความเสื่อม
    ความเสียหายร้ายแรงนานาประการแก่ผู้กระทำนั้น เช่น
    การทำร้ายทำลายชีวิตอื่น นำมาซึ่งความเจ็บป่วยพิการ
    ความอ่อนแอ ความทรมาน ความตาย การพลัดพราก
    การจองจำ และ ความ เศร้าโศกเสียใจ
    การลักขโมยฉ้อโกงทรัพย์ผู้อื่น นำมาซึ่งความขัดสน
    มีอุปสรรคใน กิจการงาน การสูญเสียทรัพย์ที่หามาได้
    เพราะเหตุแห่งไฟโจร ความอยุติธรรม
    และการถูกรังเกียจจากผู้อื่น
    การประพฤติผิดในบุตร ภรรยา และ สามีของผู้อื่น
    นำมาซึ่งภัย คือ ความตาย การทะเลาะเบาะแว้ง
    การทุบตี ความคลางแคลงใจ ความไม่ซื่อสัตย์
    ไม่จงรักภักดีของบริวาร การไม่ให้เกียรติกัน
    และ ความแหนงใจในตนเอง
    การพูดโกหก นำมาซึ่งความเชื่อถือไม่ได้
    อันนำมาซึ่งการสูญเสีย เครดิต เสียสิทธิประโยชน์มากมาย
    การพูดส่อเสียด นำมาซึ่งภาวะจิตตึงตัว
    การมองโลกในแง่ร้าย ความไม่น่าไว้วางใจ ความเกลียดชัง
    การพูดเพ้อเจ้อ นำมาซึ่งการหลอกตัวเอง
    พาผู้เชื่อหลงทางสู่ หายนะ หรือ สูญเปล่า
    การพูดหยาบคาย นำมาซึ่งความไม่เป็นที่รัก
    การดื่มสุรา ยาเมา หรือ ยาเสพย์ติด
    นำมาซึ่งการเสียสติ ความ เสื่อมปัญญา การสูญเสียสมรรถภาพ
    ในการควบคุมตน เสียทรัพย์ เสียเพื่อนดีๆ เสียเวลา เสียสุขภาพ
    นำมา ซึ่งภัยพิบัติโรคร้าย และ ความตาย
    สิ่งเหล่านี้ จัดเป็นขยะโลก ที่ทำให้ชีวิตเปรอะเปื้อน
    เสื่อมเสีย แม้ข้อมูล หรือ สถานที่อันเอื้อให้เกิดสิ่งเหล่านี้
    ก็จัดเป็นแหล่งโสโครก เพาะเชื้อภัย ที่ควรหลีกให้ห่าง
    จำไว้ว่า ชีวิตของเรา เก็บข้อมูลไว้อย่างไร
    มีประสบการณ์อย่างไร โดยมากก็มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะเช่นนั้น
    เช่น หากนั่งฟังคนนินทากัน บ่อยๆ
    อีกหน่อยก็จะกลายเป็นคนชอบนินทา
    โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ
    ซึ่งเป็นการสะสมขยะข้อมูลให้เลอะเทอะอารมณ์
    และเปลืองเนื้อที่สมอง
    สมอง และ เซลล์ประสาท อ้นเป็นหน่วยความจำของมนุษย์นั้น
    มีความจำกัดอยู่ ถ้าเราใส่ข้อมูลเข้าไปมากเกินขีดจำกัด
    ข้อมูลใหม่จะเข้าไปเบียดข้อมูลเก่าให้หายไปจากความทรงจำ
    เพราะความจำของมนุษย์ นั้นไม่เที่ยง
    ดังนั้น จงอย่าบันทึกเรื่องเหลวไหลไร้สาระ
    หรือ เรื่องราว ชั่วร้ายเข้าไปในระบบ จนเบียดสิ่งที่ดี มีประโยชน์
    หากต้องประสบสิ่งเลวร้าย ก็สรุปเอาเฉพาะบทเรียนเป็นหลักธรรมสอนใจ
    ไม่ต้องจดจำรายละเอียดที่เลวร้ายเหล่านั้น
    หยุดอารมณ์ร้ายไว้ โดยไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ต่อเนื่อง
    ให้เป็นกรรมใหม่กันต่อไป
    เพราะสิ่งใดที่บันทึกไว้แล้ว จะหล่อหลอมเป็นลักษณะบุคลิกภาพ
    ทางอารมณ์ สติปัญญา และพฤติกรรมเฉพาะตน
    ดังนั้น คนที่มุ่งสู่ความสำเร็จทั้งหลาย
    จึงต้องหลีกเลี่ยงขยะโลก อัน ได้แก่ความเท็จ
    และ ความจริงที่เป็นโทษ ไม่เหมาะสม ไร้ประโยชน์
    อย่างเช่น วงนินทา วงเหล้า วงการพนัน
    ซ่องโจร ซ่องโสเภณี ซ่องมั่วสุม และแหล่งอบายมุขทั้งหลาย
    เพราะสถานที่เหล่านี้ ล้วนเป็นที่มาแห่งภัย
    แม้เมื่อ ยังไม่มีภัย แต่ชีวิตที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็เสื่อมทรามลงทุกวัน
    หากปรารถนาความสำเร็จในชีวิต
    จึงต้อง หลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ให้เด็ดขาด
    และ ถือเป็นมาตรฐานอันแข็งแกร่งอันมั่นคงดังภูผา
    จึงเรียกว่า ศีลธรรม

    2. คุณธรรม คือ

    ความจริงที่มีคุณ หรือ มีประโยชน์ต่อความสำเร็จสุขในชีวิต
    ซึ่งผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายล้วน เพียรสั่งสม
    การสร้างคุณประโยชน์ให้บังเกิดแก่ชีวิตนั้น ทำได้ 2 ขั้นตอน
    คือ การอยู่กับสารประโยชน์ และ การสร้างสารประโยชน์
    การอยู่กับสารประโยชน์
    คือ การดำเนินชีวิตอยู่กับความเป็นจริง
    สิ่งที่เป็นประโยชน์ นำมาใช้ได้ และ มีความเหมาะสม
    ไม่ว่าจะเป็นการคบเพื่อน การสมาคมในสังคม
    การเลือกอาหาร งาน ที่อยู่อาศัย และ พฤติกรรมประจำวัน
    การที่จะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ได้ นั้น
    ต้องอยู่กับสาระประโยชน์ก่อน
    หากจัดตัวเองให้อยู่กับสารประโยชน์ได้ในระดับใด
    ก็จะสามารถ สร้างสารประโยชน์ได้ใน ระดับนั้น หรือใกล้เคียง
    ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้า หรือแม้โสกราตีส นิวตัน กาลิเลโอ
    ไอน์สไตน์ ล้วนดำเนินชีวิตสะอาด เรียบง่าย
    มุ่งสู่สารคุณอันล้ำลึก ลด ละหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหลวไหล ไร้สาระ
    ที่พาตกต่ำ และไม่ยอมสร้าง ปัญหาเป็นภาระให้ผู้อื่น
    ไม่ยอมให้ใครชักจูง ไม่ไหลไปตามกระแส
    จึงสามารถก้าวเข้าสู่ความยิ่งใหญ่ได้ในที่สุด
    มีหลักง่ายๆ สำหรับการพิจารณาค่าสารคุณ
    คือ การพึ่งพาพลัง ภายนอก จะทำให้เราอ่อนแอลง
    เพราะเป็นสิ่งที่มีค่าสารคุณน้อย
    แต่หากหันมาใช้พลังจากภายในให้มาก
    จะทำให้เราเข้มแข็ง และอยู่เหนือ ธรรมชาติ
    อันเป็นสิ่งที่มีค่าสารคุณมาก
    หลักการนี้ สามารถนำไปวิเคราะห์และวัดค่าได้ทุกสิ่ง
    ไม่ว่าจะเป็น ความรัก ความสัมพันธ์ การบริโภควัตถุ
    ยศ อำนาจ ชื่อเสียง และ ความสุข
    แต่กระนั้น สิ่งหนึ่งซึ่งพึงระวังในการเลือกสารคุณ
    คือ อย่าสุดโต่ง จนกลายเป็นสมบูรณ์นิยม
    จนไม่มีความเป็นกลางวางเฉย
    เพราะตราบเท่าที่เรายังอยู่บนโลก ที่มีทั้งดี ทั้งชั่ว และเป็นกลาง
    ยังต้องสัมพันธ์กับ สิ่งที่มีทั้งคุณ และโทษ และความเป็นกลาง
    หน้าที่ของเรา ก็คือ ต้อง วินิจฉัยว่า
    เราสามารถควบ คุมโทษของมันมิให้กำเริบได้
    หรือไม่ต้องรู้จัก พิจารณาว่า ค่าสาระคุณนั้น
    เป็นสิ่งจำเป็นเอื้อประโยชน์ และเหมาะสม กับภาวะฐานะหรือไม่
    ตลอดจนต้องคำนึงถึงว่า เราจะยังคงความเป็นกลาง
    ในการสัมผัสสิ่งนั้นได้หรือไม่
    ถ้าเราสามารถบริหารการสัมพันธ์ได้ดังนี้
    เราก็จะได้บริโภคคุณ ควบคุมโทษ และ คงความเป็นกลางได้เสมอ
    เหมือนการใช้กระแสไฟฟ้า ซึ่งต้องระมัดระวังควบคุมโทษด้วย
    ฉนวนป้องกันภัย ใช้ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
    จึงจะได้ใช้คุณประโยชน์ของมันอย่างเต็มที่
    และสิ่งสำคัญอยู่ที่ ต้อง อยู่ในความเป็นกลางเสมอ
    คือ ไม่หลงใหลได้ปลื้ม และไม่ยินดียินร้าย ผลักไส
    เมื่ออยู่กับ สารประโยชน์เสมอ เสพสารประโยชน์โดยสมควร
    ในขั้น ต่อไปก็จะเข้าใจคุณค่า และเห็นโครงสร้างของสารประโยชน์
    เมื่อ ตระหนักในสารประโยชน์ ก็จะสามารถสร้างสารประโยชน์แก่ตนเอง
    และ ผู้อื่นได้โดยสมควร

    3. จริยธรรม คือ

    คุณสมบัติที่ทำให้งดงาม ได้แก่ ความละอายต่อบาป
    ความอดกลั้น ความสุภาพ ความอ่อนโยน และ ความสำรวม
    คุณสมบัติประการหนึ่งของผู้ประสบความสำเร็จ
    คือ มีความงดงาม ใน จิตใจ วาจา และ พฤติกรรม
    จึงเป็นที่ยอมรับนับถือ และ เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
    จึงได้รับความร่วมมือ ช่วยเหลือเกื้อกูลจากผู้อื่นโดยง่าย
    ด้วยความเต็มใจ เพราะความ สงบเสงี่ยม
    สุภาพ อ่อนโยน นั้นเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจ
    และ สามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นให้อ่อนเข้าหา
    แม้ใจอันกระด้างก็ยังพ่ายใจอันอ่อนโยน และมั่นคง
    เฉกเช่น ภูผาอันแข็งแกร่ง ยังถูกทะลุทะลวงด้วยสายน้ำ
    เป็นธารถ้ำต่างๆ หรือ แม้เหล็กแกร่งยังสามารถตัดได้
    ด้วยสายน้ำที่มีความเร็วสูง อันเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้
    ดังนั้น จริยธรรม จึงเป็นคุณสมบัติจำเป็นอีกประการหนึ่ง
    ของผู้ประสบความสำเร็จ

    4. คุณภาพ คือ

    ความสามารถเป็นยอด และ อดทนเป็นเยี่ยม
    คนที่เหลาะแหละ มักง่าย เอะอะ โวยวาย แสดงถึงคุณภาพที่ต่ำ
    แม้คนเก่งแต่ไม่มีความอดทน เปราะบาง ก็จัดอยู่ในคุณภาพที่ต่ำเช่นกัน
    หรือ คนที่อึด อดทน แต่ไร้ความสามารถ ก็ยังห่างไกลความสำเร็จ
    จำต้องปรับปรุงคุณภาพ ให้ครบก่อน
    การสร้างความสามารถ นั้น สร้างได้ด้วยการเรียนรู้ ฝึกฝน
    พัฒนา มี วินัยในตนเอง และนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง
    ซึ่งความรู้และทักษะ จนเป็นความชำนาญพิเศษ
    การสร้างความอดทนนั้น สร้างได้ด้วยการทำความเข้าใจ
    ต่อทุกเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ ไม่ให้พลังภายนอกเข้ามาในใจตน
    แผ่พลังใจออกไปรอบตัวอย่างต่อเนื่อง
    อภัยให้ตนเองและคนอื่นในทุกเรื่องโดยสมควร
    และพร้อมปล่อยวางทุกสิ่งตลอดเวลา

    5. ความเหมาะสม คือ

    การวางตัวอย่างเหมาะเจาะกับภาวะและฐานะของตน
    การวางตัวเหมาะสมกับภาวะ เช่น เป็นเด็ก
    ก็ต้องหมั่นเรียนรู้ ซักถาม เชื่อฟัง อ่อนน้อม
    หากอวดรู้ แข็ง กระด้าง ก็จะไม่ได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่
    หากเป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องวางตัวให้สมกับการหลักให้ผู้อื่น
    คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
    มีความยินดีสละ รู้จักให้อภัย
    หากเป็นคนแก่ ก็ไม่ทำ ตัวเหมือนเด็ก
    จะถูกค่อนแคะว่า เป็นเฒ่าทารก เป็นต้น
    การวางตัวเหมาะสมกับฐานะ คือ การวางตัวให้เหมาะสมกับหน้าที่
    เพราะในแต่ละฐานะนั่น เกิดมาเพราะหน้าที่
    เช่น ผู้ปกครองมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองคนในปกครอง
    หากผู้ปกครองปัดความรับผิดชอบและชอบกล่าวโทษ
    โยนความผิดให้ผู้อื่น ก็จะเสียคนในปกครองไป เป็นต้น
    ดังนั้น การวางตัวให้เหมาะสมกับภาวะ และ ฐานะ
    จึงเป็นนิสัยเบื้องต้น แห่งความสำเร็จของชีวิตประการหนึ่ง
    ซึ่งจะขาดเสียไม่ได้
    การวางตัวอยู่ในศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพ
    และ ความเหมาะสม เป็นการวางตัวดี
    เมื่อทำตัวดีมาโดยตลอดแล้ว
    จงอย่าติดดี เชิดชู ความดีของตนจนโดดเด่น
    เพราะ หากหลงตัวเอง ก็เท่ากับมีความชั่วมาพัวพันแล้ว
    เสมือนที่ใด ที่มีโปรตรอนอยู่เดี่ยวๆ ก็จะมีอิเล็กตรอนจากอะตอมอื่น
    มาเกาะ ดังนั้น หากทำตัวเด่นดังด้วยความดี
    ก็จะถูกริษยา นินทา ว่าร้าย กลั่นแกล้ง
    เพราะเป็นธรรมดาของสิ่งชั่วที่จะวิ่งเข้าหาความดี
    และ เป็นธรรมดาที่คนชั่วจะอาศัยคนดี
    ด้วยเหตนี้ เมื่อโจรจะปล้น ก็ปล้นคนดีนั่นเอง
    เมื่อ คนเจ้าเล่ห์จะโกง ก็โกงคนซื่อนั่นเอง
    ดังนั้น การทำความดีให้ปลอดภัย ต้อง ทำในความเป็นกลาง

    6. ความเป็นกลาง คือ

    การวางตัวที่ปลอดภัย และ ได้ประโยชน์สูงสุดเสมอ
    คือ การวางตัวเป็นกลางอย่างแท้จริง
    ซึ่งมิใช่การ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
    หรือ ทำเป็นไม่ รู้และไม่ชี้ขาดว่า สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด
    ความไม่รู้ นั้นเป็น โมหะ ความโง่
    ส่วนความไม่ชี้ นั้นเป็นเพราะ อคติ การทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
    เพราะกลัวชี้ถูกชี้ผิดแล้วจะทำให้มีการผิดใจกัน
    แต่หากรู้ แล้วไม่ชี้ถูกชี้ผิดลงไป
    ก็จะไม่สามารถรักษาสังคม หรือไม่สามารถแก้ปัญหาชี้ขาดได้
    ดังนั้น ความเป็นกลางที่แท้จริง นั้น
    มิได้หมายถึงการไม่เข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง
    หรือ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ ความเป็นกลางแท้จริงนั้น
    หมายถึง การชี้ขาดอย่างเที่ยงธรรมว่า ผิดคือผิด ถูกคือถูก
    อย่างตรงไปตรงมา โดย ไม่มี ความลำเอียง
    จงอย่าลืมว่า ความเป็นกลางไม่ใช่ความดีความชั่ว
    แต่ความดีจะอยู่ใน ความเป็นกลางเสมอ
    เช่น ในอะตอมของธาตุ จะมีอนุภาคหลัก
    คือ นิวตรอน เป็นกลาง มีโปรตรอน เป็น บวก
    และ อิเล็กตรอน เป็นลบ ซึ่งโปรตรอนนั้น จะอยู่ในนิวตรอนเสมอ
    โดยมีอิเล็กตรอนวิ่งวนอยู่ภายนอกรอบๆ
    ในจิตใจที่เป็นกลาง ก็เช่นกัน จะมีความดีสถิตอยู่เสมอ
    โดยความดี ก็มิ ใช่ความเป็นกลาง
    และ ความเป็นกลางก็มิใช่ความดี
    และมีความชั่ววิ่งวุ่นอยู่ ภายนอก
    ด้วยเหตุนี้ เมื่อจิตใจวุ่นวายเพราะสิ่งชั่วร้าย
    เพียงแค่สงบใจได้ กลับสู่ภายใน
    สำนึกอันดีงาม ก็จะปรากฏอารมณ์ชั่วร้ายก็จะหายไป
    เมื่อเป็นกลางดีแล้ว จึงสามารถ รักษาความดีได้
    โดยไม่ติดดี และ ปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย
    ดังนั้น คนที่เป็นกลางจะสามารถรักษาตน
    กิจการ องค์กร และ สังคมให้มั่นคงสืบไปได้

    .......>>>><<<<<<..............
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,672
    ค่าพลัง:
    +51,946
    *** สัจจะ สัญญาใจตนเอง สัจจะธรรม ****

    สิ่งที่จะรักษาความดีให้อยู่กับตนเองได้...คือ สัจจะ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    ดอกไม้ของน้ำใจ..

    [​IMG]

    ... ด้วยรัก และ ผูกพัน :cool:
     
  10. เมขต์

    เมขต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,537
    ค่าพลัง:
    +119
    รูปนี้มีอยู่ในอัลบัมรูปล้างด้วยครับ สดชื่นดีแท้ สวัสดีครับ ทุกท่าน (rose)
     
  11. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    ผลการออกรางวัลงวดประจำวันที่ 16พฤษถาคม 2555
    16/5/2555 = 38 CONECTING HUMANITY

    รางวัลที่ 1. 814418 เลขท้าย 2 ตัว 31

    814418 = 8+1+4+4+1+8 = 26 BALANCE FORWARD

    814 = 8+14 = 22 VICTORY
    418 = 4+18 = 22 VICTORY

    81 = 18 = ROTARY
    44 = 44 = DD = GRAND
    18 = 81 = HUMANITY AVAILABLE


    81+44+18 = 143 AVAILABLE CONFIRM
    14+3 = 17 QUALITY
    1+43 = 44 DD
    1+4+3 = 8 HUMANITY


    18+44+18 = 143 AVAILABLE CONFIRM
    14+3 = 17 QUALITY
    1+43 = 44 DD
    1+4+3 = 8 HUMANITY


    เลขท้าย 2 ตัว 31
    31 = CONECTING AVAILABLE
    31 = 4 DATA


    หากดูผลลัพธ์ของวันที่ออกรางวัล 16/5/2555 = 16+5+2+5+5+5 = 38 CONECTING HUMANITY อันหมายถึงการเชื่อมต่อของมนุษยชาติ และเมื่อดูผลลัพธ์ของรางวัลที่ 1.814418 = 8+1+4+4+1+8 = 26 BALANCE FORWARD อันแสดงให้เห็นถึงคงเหลือยกไป จะเห็นได้ว่าผลการออกรางวัลที่ 1. แสดงให้เห็นถึงความเป็นคู่ ความเท่ากันของทั้งสองด้่าน และเมื่อดูผลลัพธ์ของ 814 = 8+14 = 22 VICTORY และ 418 = 4+18 = 22 VICTORY แสดงให้เห็นถึงการข้ามพ้นของทั้งสองด้าน
    และเมื่อดูผลลัพธ์ของ 81+44+18 = 143 AVAILABLE CONFIRM
    14+3 = 17 QUALITY
    1+43 = 44 DD
    1+4+3 = 8 HUMANITY


    จะเห็นได้ว่ามีผลลัพธ์เท่า 18+44+18 = 143 AVAILABLE CONFIRM
    14+3 = 17 QUALITY
    1+43 = 44 DD
    1+4+3 = 8 HUMANITY


    จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์เท่ากัน อันเป็นการยืนยันความเป็นคู่ ความเท่ากันของทั้งสองด้าน และเมื่อดูผลลัพธ์ของรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 31 CONECTING AVAILABLE และ DATA ซึ่งมีผลลัพธ์เท่ากับผลลัพธ์ของรางวัลที่ 1. งวดที่ผ่านมา จะเห็นได้ ข้อมูลต่างมีการยืนยันที่มา และสนับสนุนซึ่งกันและกัน
    หากสังเกตุดู จะเห็นได้ว่า 44 Doctor of Divinity อยู่ตรงกลางระหว่าง 81 และ 18 อันแสดงให้เห้นถึงความสำคัญของ DD อันหมายถึง ปริญญาเอกทางศาสนศาสตร์ หรือ นักธรรมชั้นเอก นักปฏิบัติธรรม และยังแสดงให้เห็นถึง สัจจะ ของท่านหนุมาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่อันพึงปฏิบัติของมนุษยชาติ อันเป็นการปรับดุลยภาพให้เกิดขึ้นแก่จักรวาล การขับเคลื่อนพลังานของมนุญชาติอันเกิดจากการปฏิบัติ ทำสมาธิปรับพลังงานใหม่ จึงจำเป็นต้องขับเคลื่อนพลังงานไปพร้อมกันทั้งสองด้าน และเมื่อพลังงานทั้งสองด้านเท่ากันจะเห็นได้ว่า ผลลัพธ์ VICTORY และ VICTORY อันหมายถึงการข้ามพ้นยุคใหม่ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ ซึ่งยืนยันการเลื่อนขั้นยกระดับของมนุษยชาติ


    หากนำ ผลลัพธ์ 22+22 = 44 จะเห็นได้ว่าการข้ามพ้นของพลังงงานของทั้งด้านมีผลลัพธ์เท่า 44 อันหมายถึงการปฏิบัติเองและเห็นผลเอง ของมนุษยชาติ ซึ่งมีผลลัพํธ์อยู่ตรงกลางของรางวัลที่ 1. ข้อมูลทั้งหมดต่างยืนยันและสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างเห็นได้ชัด

    และเมื่อนำ ผลลัพธ์ของ 143 + 143 = 286 BEGINING HUMANITY FUNCTION อันหมายถึง การเริ่มต้นรุปแบบใหม่ของมนุษยชาติ และ 2+86 = 88 อันหมายถึง HUMANITY+HUMANITY แสดงให้เห็นการเชื่อมต่อพลังงานของมนุษยชาติ อันแผ่ขยายให้มากขึ้น อันเป็นผลลัพธ์ของ 88=16 PLUS และ 2+8+6 = PLUS ซึ่งยืนยันและสนับสนุนข้อมูลทั้งหมด พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ พลังงาน PLUS อันเป็นการเลื่อนขั้นยกระดับของมนุษยชาติ


    NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2012
  12. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    อั<table id="post" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">[​IMG] 11-05-2012, 10:54 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right">
    </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อาจีฟา
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Dec 2009
    ข้อความ: 203
    Groans: 3
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 139
    ได้รับอนุโมทนา 265 ครั้ง ใน 70 โพส
    พลังการให้คะแนน: 63 [​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> <center>รบกวนอีกสักนิดครับ

    </center>
    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> ช่วงนี้ผมสังเกตเห็นเลข 0212 0717 0818 ค่อนข้างบ่อย อยากให้ช่วยถอดรหัสหน่อยครับ ขอบคุณครับ
    </td></tr></tbody></table>

    11-05-2012 = 11+05+20+12= 48=12 =DHL
    10:54 = 10+54 = 64 DATA FREE
    10:54 = JUSTIFY : ENERGY DATA


    0212 = BEGINING LOVE
    0+2+1+2 = 5 ENERGY
    02 = 20
    12 = 21
    02+12 = 14 NATURE = 5
    20+21 = 41 CONCERN = 5



    0717= GRAND QUALITY
    0+7+1+7 = 15 OPENING
    07 = 70
    17 = 71
    07+17 = 24 BEGINING DATA = 6
    70+71 = 141 NEW AGE = 6



    0818
    = HUMANITY ROTARY
    0+8+1+8 = 17 QUALITY
    08 = 80
    18 = 81
    08+18 = 26 BALANCE FORWARD 8
    80+81 = 161 PLUS AVAILABLE 8

    หากดูผลลัพธ์ของ
    0212 = BEGINING LOVE และยังหมายถึง 5 ENERGY แสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นพลังงานรักอันปราศจากเงือนไขอันเป้นพลังงานใหม่ และเมื่อดูผลลัพธ์ 02+12 = 14 NATURE = 5 และ 20+21 = 41 CONCERN = 5 จะเห็นได้ว่า มีผลลัพธ์ อันแสดงให้เห็นถึงกฎแห่งธรรมชาติ กฎแห่งจักรวาล 14 และ 41 และผลลัพธ์สุดท้าย 5 และ 5 อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นคู่ ความเท่ากันของพลังงานทั้งสองด้าน และเมื่อนำ 5+5 = 10 JUSTIFY อันหมายถึงดุลยภาพแห่งจักรวาลเกิดขึ้นได้โดยผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการขับเคลื่อนพลังงานทั้งสองด้่านไปพร้อมกัน

    และเมื่อดูผลลัพธ์
    0717= GRAND QUALITY และ 15 OPENING แสดงให้เห็นถึงการเลื่อนชั้น ยกระดับ ครั้งสำคัญ และเมื่อดูผลลัพธ์ของทั้งสองด้าน 07+17 = 24 BEGINING DATA = 6 และ 70+71 = 141 NEW AGE = 6 จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ของทั้งสองด้านไม่เท่ากัน ผลลัพธ์นี้แสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นข้อมูลใหม่การข้ามพ้นยุคใหม่ อันเป็นการปรับดุลยภาพให้เกิดขึ้นแก่จักรวาล และยังหมายถึง X จุดตัด จุดสำคัญ และเมื่อดูผลลัพธฺสุดท้าย 6 และ 6 แสดงให้เห้นถึง FILL FREE คือการเติมเต็มพลังงานของทั้งสองด้าน อันเป้นการเริ่มต้นข้อมูลใหม่ 6+6 = 12 LOVE โดยการเติมเต็มพลังงานรักอันปราศจากเงื่อนไข อันเป้นพลังงานบริสุทธ์ พลังงานอิสระ ข้อมูลนี้จึงหมายถึงจุดสำคัญในการเริ่มต้นปรับยกระดับพลังงานใหม่ทั้งสองด้าน

    และเมื่อดูผลลัพธ์ของ
    0818 = HUMANITY ROTARY และ 0+8+1+8 = 17 QUALITY แสดงให้เห้นถึง การเลื่อนข้้นยกระดับของมนุษยชาติ และเมื่อดูผลลัพธ์ของทั้งสองด้าน 08+18 = 26 BALANCE FORWARD 8 และ 80+81 = 161 PLUS AVAILABLE 8 จะเห็นได้ว่าผลลัพธ์ของทั้งสองด้านไม่เท่ากัน แสดงให้ถึงการคงเหลือยกไป อันหมายถึงการยกระดับปรับพลังงาน PLUS AVAILABLE แสดงให้เห้นถึงการรวบรวมนำพลังงานทั้งสองด้านมารวมกัน แผ่ขยายให้มากขึ้น และเมื่อดูผลลัพธ์สุดท้าย 8 และ 8 แสดงให้นถึง HUMANITY + HUMANITY = 16 PLUS แสดงให้เห็นการเชื่อมต่อพลังงานของมนุษยชาติ อันแผ่ขยายให้มากขึ้น อันเป็นผลลัพธ์ของ 88=16 PLUS อันเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนปรับระดับพลังงานใหม่ของมนุษยชาติ

    หากนำ ผลลัพธฺสุดท้ายทั้งหมดมารวมกัน 55+66+88 = 209 TIME INTELLEGENCE อัจฉริยะแห่งช่วงเวลา อันหมายถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุด และ 209 ยังหมายถึง 29 BI การมาเป็นคู่ สอง ซ้ำ และเมือดูผลลัพธ์ 10+12+16 = 38 CONECTING HUMANITY และ 38 =11 KEY อันหมายถึง ข้อมูลสำคัญในการการเชื่อมต่อพลังงานทั้งสองด้านของมนุษยชาติ หากสังเกตุดู จะเห็นได้ว่ามีผลลัพธ์ เท่ากับวันที่ออกผลรางวัลของข้อมูลด้านบน ซึ่งทั้งสองข้อมูลนี้ ต่างให้ความหมายยืนยันและสนับสนุนข้อมูลซึ่งกันและกัน

    ดังนั้น เมื่อนำความหมายมารวมกันทั้งหมดนี้ จึงแปลความหมายได้ว่า อัจฉริยแห่งช่วงเวลา จึงหมายถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเชื่อมพลังงานงานของทั้งสองด้านของมนุษยชาติ เป็นการเริ่มต้นข้อมูลใหม่ การเลื่อนขั้นยกระดับของมนุษยชาติ

    โปรดสังเกตุ วันที่ เวลา โพสต์ จะเห็นได้ว่ามีผลลัพธ์
    11-05-2012 = 11+05+20+12= 48=12 = DHL ด่วนพิเศษ ส่งให้ทันเวลา ข้อมูลนี้ จึงเป็นข้อมูลสำคัญ ด่วนพิเศษ จัดส่งให้ตรงเวลา มายังผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน ..


    NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ ..
     
  13. อาจีฟา

    อาจีฟา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +307
    ขอขอบคุณอีกครั้งครับ วันที่21ก็เป็นวันสุริยุปราคาเหมาะในการทำสมาธิ
     
  14. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    BEGINING ..

    [​IMG]

    :boo::cool::cool:
     
  15. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    BEGINING ..

    [​IMG]
    ด้วยรัก และ ผูกพัน ..:boo:
     
  16. Little Mermaid

    Little Mermaid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    718
    ค่าพลัง:
    +1,768
    นำมาฝาก ด้วยรัก และ ผูกพัน ..

    อิสรภาพแห่งจิต


    “การเป็นคน นั้นเป็นได้ไม่ยากเข็ญ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เป็นนั้นยากหลาย คือผู้เป็นสักว่าพูดไม่ง่ายดาย จิตมุ่งหมายบรมธรรมล้ำเลิศคน ”


    การที่เราจะได้พบกับความลึกซึ้งกับธรรมชาติรู้ตัวนั้น ธรรมชาติได้แผ่ขยายแล้ว เราถึงจะเริ่มรู้จักมัน ทำให้เรารู้สึกปิติ เกิดความร่าเริง เบิกบาน มันก็มาจากการที่เราได้สังเกต แล้วใจมันว่างนานขึ้นจน เป็นอธิศีล อธิจิต เราเรียกว่าสัมมาสมาธิ ความสงบที่เป็นฐานของจิตใจทำให้เกิดปัญญาญาณ ทำให้เกิดปรีชาญาณ นำไปสู่การแสดงออกของปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณ เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม

    เป็นการแสดงออกของธรรมชาติรู้ ที่เกิดจากความว่างของจิตใจแสดงออกในทุกอริยบถในทุกกิจการงาน หากเราตระหนักรู้ถึงความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้ เราก็จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า อย่างมีชีวิต ชีวา การที่เราฝึกอย่างนี้มันจะทำให้ฌาณ ก็คือความสงบของจิตใจ ที่มีพุทธพจน์บทหนึ่งว่า นัตถิปัญญา อฌายิโน นัตถิฌานัง อปัญญัสสะ ไม่มีปัญญา ไม่มีฌาณ ไม่มีฌาณไม่มีปัญญา ฌาณตัวนี้คือความสงบของจิตใจ หรือ เจตโส เอโกทิภาวัง มันเป็นความสงบของสัมมาสมาธิ ไม่ใช่โลกิยะฌาณที่เราไปกำหนดรู้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วใจมันสงบนิ่ง ฌาณอย่างนั้นไม่มีปัญญา นั่นคือโลกิยะฌาณ

    แต่ฌาณที่เป็นฐานให้เกิดปัญญา คือฌาณที่เป็นสัมมาสมาธิ จึงทำให้เกิดปัญญาญาณได้ถ้าใครมีฌาณ และมีปัญญาด้วย ผู้นั้นก็เข้าใกล้พระนิพพาน การขจัดความคิดปรุงแต่งนี่เป็นสิ่งที่สำคัญ สติสามารถจะเป็นเครื่องกั้นขบวนการความคิดต่างๆ หรือจิตที่มันไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ เหมือนอย่างพราหมอชิตะ ไปถามพระพุทธองค์ว่า : อะไรจะเป็นเครื่องกั้นจิตใจที่ไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ และอะไรเป็นเครื่องละจิตใจที่มีความยินดี-พอใจกับอารมณ์ต่างๆ พระพุทธเจ้าก็ทรงตอบว่า " สติ จะเป็นเครื่องกั้น ปัญญาจะเป็นเครื่องละ "

    ขณะที่เราสังเกตจิตใจแล้วความคิดหายไปขณะนั้นเรามี สติ แปลว่า ระลึกได้ ปัญญาแปลว่า รู้ สติและปัญญาทำหน้าที่คู่กัน ปัญญามีหลายระดับ ระดับจิตสามัญสำนึก ก็รู้เฉพาะที่ใดที่หนึ่งอย่างมีขอบเขตจำกัด ถ้าเป็นปัญญาระดับปัญญาญาณก็จะรู้พร้อมในความเป็นทั้งหมด หรือความเป็นองค์รวม สติจะเป็นเครื่องกั้น จิตใจที่มันไหลไปตามอารมณ์ ก็คือปรุงแต่งไม่ได้ “ปัญญาจะเป็นตัวละ”
    พระพุทธเจ้าตอบ อชิตะว่า จิตที่ไหลไปตามอารมณ์ต่างๆ หรืออารมณ์ทั้งปวงที่มันเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นั้นเราสามารถจะหยุดยั้งได้ด้วยสติ เมื่อมีสติก็มีปัญญา การเข้าถึงตัวประสบการณ์ของการรู้แจ้งความจริง หรือสัจจะขั้นอัลติมะนั้นไว้ เมื่อเรารู้แจ้งความจริงอันนั้นได้ก็ จะมีการแสดงออก ควบคู่กับกิจกรรมต่างๆ กับการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันเรา ในการดำเนินชีวิตของเรา ต้องคิด ต้องพูด ต้องทำ ประกอบอาชีพ การงาน

    เมื่อใจของเรามั่นคงหรือที่เรียกว่าสัมมาสมาธิ เราจะเห็นธรรมชาติที่ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด หรือธรรมชาติที่แท้มันแสดงตัวมันออกมา ขณะที่เราเห็นมันความรู้สึกว่า “ตัวเรา” ก็ไม่มี ถ้าเราพูด เราคิด เราทำ ไม่เห็นความว่างตัวนี้ด้วย เราไม่มีตัวรู้ความว่าง หรือสัจจะตัวนี้ด้วย

    ทุกขบวนการความคิดจะมี”ตัวเรา” ถ้าเราเห็นสัจจะ ตัวสัจจะมันแสดงออกควบคู่กับการดำเนินชีวิตของเรา แสดงว่าจิตใจของเราเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะสมาธิมั่นคง เราจึงเห็นธรรมชาติที่แท้หรือสัจจะหรือความว่างแสดงตัวออก การปฏิบัติก็คือการทำให้ธรรมชาติที่แท้มันแสดงตัวออกมา ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน ทำกิจการงานต่างๆ นี่เราถือเป็นการภาวนาในทุกขณะ จิตใจก็เริ่มมั่นคงขึ้น แข็งแรงขึ้น ตั้งมั่นขึ้น ยิ่งตั้งมั่นมากเท่าใด ธรรมชาติรู้ก็ยิ่งแสดงตัวออกมากเท่านั้น

    ธรรมชาติรู้ตัวนี้มันเกิดจากความว่าง มันก็ยิ่งแสดงตัวของมันออกมาร่วมกับกิจการงานมากขึ้น ยิ่งเรามีความมั่นคงมากขึ้น มันก็สามารถแสดงตัวออกมาได้ยาวนานขึ้น จนกระทั่งถึงที่สุดนั่นก็คือตลอดเวลาที่เรียกว่าพระอรหันต์ พระอรหันต์ท่านเห็น รู้สัจจะขั้นอัลติมะอยู่ตลอดเวลา ธรรมชาติที่แท้แสดงออกร่วมกับขันธ์ห้าต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าแสดงออกได้ 75 % นี่คือพระอนาคามี ถ้า 50 % ละความโลภ ความโกรธได้บ้าง นี่คือพระสกิทาคามี หรือแสดงออกได้ 25 % นี่คือพระโสดาบัน

    แสดงออกบ้าง ไม่แสดงออกบ้างนี่ก็ถือว่าเราเริ่มเดินทางเข้าสู่กระแสของพระนิพพาน กระแสของอริยบุคคล เลื่อนระดับจากปุถุชนที่ไม่เคยเห็นความว่างของจิตใจเลย เมื่อใดก็ตามถ้าเรารู้จักวิธีการที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของเรา พัฒนาอย่างถูกหลักการณ์ ถูกวิธีการ ผลมันย่อมเกิดขึ้น ในขณะที่ปฏิบัติเราจะเห็น ขณะที่เราเห็นความว่างจิตใจของเรามันหยุดนิ่งนานขึ้น นั่นก็คือ ผลมันอยู่ตรงนั้นมรรคก็อยู่ตรงนั้น “ทาง” ก็คือสภาจิตที่เรากำลังดำเนินอยู่บนความรู้สึกที่ไม่มีตัวเรา ดำเนินอยู่บนความรู้สึกที่รับรู้ในความเป็นเอกภาพ หรือความเป็นทั้งหมด ผลมันก็อยู่ตรงนั้น

    เมื่อเราเริ่มจับประเด็นได้เข้าถึง”ทางสายกลาง” ผลมันเกิดแล้ว เมื่อเห็นทางสายกลาง แต่ก่อนเราไม่เห็นเลย เมื่อเราเริ่มปฏิบัติมาหรือปฏิบัติที่ไหนมา 5 ปี 10 ปี ยังไม่เห็น”ทางสายกลาง”เลย ผลก็ไม่เกิดเลย มรรคก็ไม่เกิด ผลก็ยังไม่เห็น เมื่อใดก็ตามถ้าเราเริ่มสัมผัสได้กับจิตใจที่บริสุทธิ์ หรือที่ปภัสสรของเราจากการที่เราได้หันเข้ามาสังเกตแล้วเราก็พบว่าขบวนการความคิดมันหยุดไปชั่วขณะ เราเห็นภาวะของจิตว่าง ขณะนั้นไม่มีของคู่ ไม่มีความรู้สึกว่ามี”ตัวเรา” ไปพ้นกาลเวลา ไม่มีอดีต ปัจจุบัน อนาคต มรรคเกิดแล้ว ผลก็เกิดตรงนั้นแหละ เมื่อเราเห็นทาง เราก็เริ่มเดินทาง พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทาง อักขา ตาโร ตถาคตา เราเป็นเพียงผู้ชี้ทาง “ทางสายกลาง " นี่แหละ

    หลังจากที่ท่านได้ตรัสรู้เมื่อวันวิสาขบูชา ทรงพักผ่อนอยู่ 7 สัปดาห์ และเดินทางไปพบปัญจวัคคีย์ที่ป่า อิสิปะตะนะมฤคทายวัน ทรงแสดงธรรมจักรกัปวรรตนสูตรใจความสำคัญก็คือ สมณทางสุดโต่งทั้งสองไม่ควรเดิน ให้เดินทางสายกลาง ถ้าเรายังไม่รู้จักทางสุดโต่งทั้งสอง เราก็จะไม่รู้จักทางสายกลาง ทางสุดโต่งทั้งสองก็คือทางของความคิดปรุงแต่งที่ไปทาง รักตรงข้ามกับชัง อัตตนิโยค กามสุขัลนิโยค คือความสุดโต่งทั้งสองก็คือปัญญาระดับเหตุผลนั่นเอง

    ปัญญาระดับเหตุผล ที่ใช้ความคิด ที่เราลงความเห็นที่ขัดแย้งกันเป็นคู่ๆ คือความสุดโต่งทั้งสอง การปฏิบัติถ้าเรายังใช้ปัญญาระดับเหตุผล เห็นมันเกิด-เห็นมันดับ,เห็นมันมีตัวตน-เห็นมันไม่มีตัวตน นี่มันเป็นความสุดโต่งทั้งสอง หลายคนไม่เข้าใจยังใช้ปัญญาระดับความสุดโต่งทั้งสองอยู่ ไม่ใช่ “ทางสายกลาง” ทางสายกลางเป็นภาวะที่อยู่เหนือความสุดโต่งทั้งสอง เป็นโลกุตระจิต ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเราและไม่มีตัวเรา ไปพ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก ไม่มีรูป- ไม่มีนาม, ไม่มีสิ่งที่ถูกรู้- ไม่มีผู้รับรู้, เมื่อมันไปพ้นรูป-พ้นนามแล้ว ปรีชาญาณก็เกิด ปรีชาญาณจะไปพิจารณาอะไรที่เป็นรูปเป็นนาม ปรีชาญาณเกิด ต่อเมื่อไปพ้นรูปพ้นนามแล้ว

    ปรีชาญาณก็จะตระหนักรู้ไปที่การรับรู้ของประสาทสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในความเป็นเช่นนั้นเอง ของปรากฏการณ์ต่างๆ นี่คือแนวทางการปฏิบัติที่เข้าถึง “ทางสายกลาง” และพัฒนาจนเกิด อธิศีล จะกำจัดกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง (นิวรณ์ต่างๆ ) จนเป็น อธิจิต เข้าถึงสัมมาสมาธิ ก็จะเป็นพื้นฐานให้เกิดปรีชาญาณ

    ทำลายความยึดถือต่างๆ และความสำคัญผิดต่างๆ จนเห็นความจริงจากจุดเริ่มต้นจนกระทั่งพัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้น นี่คือแนวทางการปฏิบัติ “ทางสายกลาง” ที่อาตมาพยายามนำเสนอ แม้อาตมาจะพูดอธิบายให้ละเอียดยังไง ถ้าเรายังไม่เห็นสภาวะทางสายกลาง หรือภาวะของจิตที่อยู่เหนือของคู่ได้ เราก็จะไม่มีความเข้าใจอย่างซาบซึ้ง จนกว่าเราจะหันเข้ามาสังเกตจิตใจ หรือความคิดของตนเองแล้วเราก็จะพบ “ทางสายกลาง” และเกิดความเข้าใจอย่างซาบซึ้ง

    ความเข้าใจด้วยเหตุผลนี่ไม่ซาบซึ้ง มันยังไม่เห็นสภาวะต่อเมื่อเราได้เห็นสภาวะ “ทางสายกลาง” อ๋ออย่างนี้เองสภาวะของจิตที่อยู่เหนือโลก อย่างนี้เองน้ะสภาวะจิตที่ไม่มีตัวเราที่อยู่เหนือของคู่ เหนือมี-เหนือไม่มี อย่างนี้เรียกว่าอนัตตา อย่างนี้เรียกว่าสูญญตา นี่คือการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เข้าถึงความจริงด้วยปัญญาญาณได้ด้วยตัวเองเราก็เกิดความมั่นใจ เกิดศรัทธาในคำสอนของพระศาสดา หรือองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงวางหลักการไว้ วางวิธีการไว้ พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้ทางเมื่อเห็นทางสายกลาง เราก็เดินทาง เราต้องสร้างแรงจูงใจ สร้างฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ใช้ความเพียร ความอดทนอย่างต่อเนื่องด้วยจึงจะเกิดมรรค เกิดผล

    แม้ความเพียร และความอดทน ก็จะต้องเป็นความเพียร เป็นความอดทน ที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกว่า มีตัวเราเป็นผู้อดทน เป็นผู้พากเพียร ด้วยสัมปทาสี่ มันเป็นความเพียรหรือสัมมาวายามะ เป็นความเพียรที่อยู่บนฐานของความว่าง อยู่บนฐานของสัจจะขั้นอัลติมะ อยู่บนฐานที่ไม่มีตัวเรา หรืออยู่บนฐานของ “ทางสายกลาง” แม้ขันติก็เหมือนกัน ขันติก็ต้องไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวเราเป็นผู้อดทน ขันติในมิติของจิตสามัญสำนึก มันมีตัวเรา เช่นใครว่า ใครด่า เจ้านายด่าเรา,พ่อแม่ว่าเรา มีตัวเราเป็นผู้อดทน ในมิติของจิตเหนือสำนึก หรือ “ทางสายกลาง” จะไม่มีตัวเราเป็นผู้อดทน

    เมื่อเราเข้าถึงได้แล้วมันไม่มีตัวเรา ต้องอดทน เราจะต้องมีความเพียรอยู่บนทางสายกลาง นี่แหละเป็นบารมี ไม่ว่าจะเป็น ทานบารมี,ศีลบารมี,ปัญญาบารมี,วิริยะบารมี,ขันติบารมี มันจะต้องอยู่บนพื้นฐานของจิตเหนือสำนึก จิตที่ไม่มีตัวเราจิตที่ไปพ้นของคู่ สิ่งต่างๆ ที่เป็นปัจจัยให้เกิดความสำเร็จนี่มันมีมากมายเมื่อเราเข้าถึงด้วยตัวเองแล้ว เราจะรู้ด้วยตัวเองจะใช้ขันติ ใช้ความเพียร ใช้ความต่อเนื่องของการปฏิบัติ ให้ความจริงจัง จริงใจ อย่างมุ่งมั่น นี่คือสิ่งที่ทำให้เราเกิดความสำเร็จ ในงานกรรมฐาน
    ซึ่งเป็นศิลปะอย่างยิ่ง การกระทำสิ่งต่างๆในทางโลกหรือวิชาต่างๆ เช่น วาดเขียน หรืองานศิลปะใดๆคง ไม่มีศิลปะใด ที่มีความงดงามเท่ากับศิลปะของการดำเนินชีวิตที่อยู่บนฐานของ “ทางสายกลาง “ที่เรียกว่าการปฏิบัติภาวนาซึ่งไม่มีศิลปะใดที่จะเทียบเท่า มันเป็นความวิเศษ เป็นความมหัศจรรย์มันเป็นความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ และก็ชี้ทางไว้แล้วเราจะเข้าใจความหมายของความเป็นมนุษย์จริงแท้
    เราจะเข้าใจความหมายของชีวิตที่แท้จริง เข้าใจเป้าหมายของชีวิต ถ้าเราพัฒนาจนจิตวิญาณของเราเข้าสู่ระดับจิตวิญญาณสากล หรือจิตเหนือสำนึกแล้ว เราจะเข้าใจชีวิต เข้าใจโลก เข้าใจจักรวาล เข้าใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ด้วยจิตใจที่เอื้ออาทร, เกื้อกูล, มีพราหมวิหาร ที่เป็นอัปมัญญา เราจะเข้าถึงสิ่งนี้ได้มันก็เนื่องมาจาก หรือเราได้พัฒนามาจากที่เราจับประเด็นเริ่มต้นได้ก็คือ "ทางสายกลาง" นั่นเอง
    หากใครยังไม่พบทางสายกลาง ใครยังไปไม่พ้นปัญญาระดับเหตุผล ใครยังไปไม่พ้นจิตสามัญสำนึก ก็ไม่สามารถจะพัฒนาจิตวิญญาณไปสู่โลกุตระจิต หรือจิตเหนือสำนึกได้การที่เราจะเข้าถึงความจริง สัมผัสได้กับสัจจะที่แท้ หรือความจริงที่แท้ ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งแยกหรือแยกย่อย ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งแยกจิตออกเป็นร้อยๆดวง ไม่ใช่เรื่องของการซอยสับให้ละเอียด รู้ลงไปถึงระดับปรมณู ระดับอนุภาค ชีวิตเราไม่ใช่เอาอนุภาค หรืออะตอม มากองรวมกัน แต่ความจริงชีวิตที่แท้จริง เราจะรู้ได้ในความเป็นองค์รวมด้วยปัญญาญาณ

    เราจะเข้าถึงความจริง หรือเข้าถึงสัจจะได้ด้วยปรีชาญาณ ปรีชาญาณหรือญาณทัศนะมันจะรู้อย่างไม่แบ่งแยก จะรู้ในความเป็นทั้งหมด หรือรู้ในความเป็นองค์รวม เราถึงจะเข้าถึงความจริงของชีวิต, ความจริงของโลก, ความจริงของจักรวาลได้ แต่ถ้าเราแบ่งแยก ซอยให้ละเอียดเป็นร้อยๆชิ้น พันๆชิ้น แยกลงไปจนเล็กที่สุด จนกระทั่งถึงปรมณูถึงอะตอม ถึงอนุภาคก็ตามเราก็ยังไม่สามารถเข้าใจชีวิต, หรือเข้าถึงความจริงได้

    วิทยาศาสตร์ทางกายภาพ จึงล้มเหลว ไม่สามารถค้นหาความจริงของชีวิตได้เดี๋ยวนี้ วิทยาศาสตร์ทางด้านกายภาพ เข้าถึงแควนตั้ม เข้าถึงสูญญตา เข้าถึงทฤษฎีสัมพันธภาพ วิทยาศาสตร์เริ่มเปลี่ยนไปเข้าถึงสูญญตา เข้ามาพบกับศาสนา นั่นก็คือสูญญตา หรือความว่าง วิทยาศาสตร์ทางด้าน ก็เริ่มเป็นที่ยอมรับกัน ไม่ใช่เพียงทางด้านร่างกายด้านเดียว

    จากการรับรู้อย่างแบ่งแยกด้วยปัญญาระดับความคิดหรือจินตมยปัญญาไม่สามารถจะเห็นความจริงได้ แต่เราจะเข้าถึงความจริงหรือเข้าถึงสัจจะเข้าใจชีวิตได้ เราจะต้องพัฒนาปรีชาญาณ หรือญาณทัศนะ หรือภาวนามยปัญญาให้เกิดขึ้น ปัญญาที่เกิดจากธรรมชาติที่แท้มันจะสัมผัสได้กับความจริงทำให้เราเข้าใจชีวิตได้ การปฏิบัติที่เริ่มต้นด้วย “ทางสายกลาง” มันจึงเป็นกุญแจที่สำคัญที่จะนำไปสู่ความเข้าใจชีวิต, เข้าใจโลก, เข้าใจจักรวาล ได้อย่างแท้จริง

    ทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้อง กลมกลืน เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ ไม่เอาชนะธรรมชาติ อยู่อย่างสันติสุข อยู่อย่างเกื้อกูล กับสรรพสิ่ง กับธรรมชาติ นี่คือแนวทางการปฏิบัติ ในหลักการ ในวิธีการที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ ในอริยะสัจข้อที่ 4 นั่นก็คือมรรค หรือ “ทางสายกลาง”

    หรือไตรสิกขา หรืออริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง หากเรามีความเข้าใจและจับประเด็นได้การพัฒนาย่อมเกิดขึ้น การพัฒนาจิตวิญญาณจากระดับจิตสามัญสำนึก ที่มีตัวเราเป็นศูยน์กลางเป็นจุดเริ่มต้นผ่านปัญญาระดับเหตุผล ผ่านกาล เวลา ผ่านความรู้สึกว่ามีตัวเรา ผ่านของคู่ต่างๆ ก็จะเข้าถึงปัญญาญาณหรือจิตเหนือสำนึก, จิตที่เข้าถึงโลกุตระจิต จิตที่อยู่เหนือโลก เข้าถึงภาวะที่ไม่ใช่ภาวะ, เข้าถึงมิติของจิตที่สัมผัสได้กับความจริงแท้, เราจึงจะเกิดความเข้าใจ การดำเนินชีวิตของเราจึงจะไม่มีความทุกข์ปัญหาต่างๆของมนุษย์ เพราะไม่รู้ความจริงอันนี้ เพราะไม่มีปัญญาญาณ ไม่มีปรีชาญาณ ที่จะเห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น, ตามความเป็นจริง

    ปัญหาต่างๆ ก็เลยเกิดขึ้นมากมาย การปฏิบัติเป้าหมายของพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณหรือพัฒนาปรีชาญาณให้มันเกิดขึ้นรับรู้สิ่งต่างๆตามความเป็นจริงเข้าใจชีวิตของเรา การเพ่งเพียรพิจารณายิ่งลึก ก็ยิ่งเป็นการปลุกธาตุรู้ให้ตื่นขึ้นการเพ่งพิจารณาไม่ได้หมายความไปเพ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไปกำหนดจดจ้องที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง แต่มันเป็นการตระหนักรู้ในความเป็นองค์รวมเป็นการตระหนักรู้ในความเป็นองค์รวม ในความเป็นอิสระของจิต ในขณะนั้นเราก็จะพบความเป็นอิสระภาพ ความเป็นเอกภาพ ความสัมพันธภาพระหว่างเรากับสรรพสิ่ง ที่เรารับรู้ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นองค์รวมของความเป็นทั้งหมด

    มันจะมีทั้งความเป็นอิสระ มันมีทั้งความเป็นหนึ่ง หรือไม่แบ่งแยก มีทั้งความสัมพันธ์ กับสรรพสิ่ง มีทั้งความเป็นเสรีภาพ รวมลงในภาวะจิตที่ไปพ้นสังสารวัฏ สมาธิภาวนาที่แท้จริงสามารถที่จะน้อมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ ในทุกกิจการงาน ถ้าเราพัฒนาที่เริ่มต้นด้วย ”ทางสายกลาง” นั่นคือเมื่อใดก็ตามที่เราหันเข้ามามองจิตใจ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน หรือในขณะที่ทำกิจการงาน ถ้าเราสังเกตจิตใจขบวนการความคิดมันจะหยุดลง ใหม่ๆก็หยุดชั่วครู่ ขณะที่ใจของเราว่างจากความคิด การรับรู้ทางทวารต่างๆ จะไปพ้นการรับรู้อย่างแบ่งแยก,พ้นรูป พ้นนาม

    สภาวะตรงนี้ คือจุดเริ่มต้นของจิตที่มันไปพ้นมิติของจิตสามัญสำนึก ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรา ไปพ้นปัญญาระดับเหตุผลหรือของคู่ไปพ้นกาลเวลา เราต้องเริ่มต้นด้วยสภาวะจิตอย่างนี้ด้วยการหันเข้ามามองจิตใจ ด้วยการหันเข้ามาสังเกต หันเข้ามาดูมันเฉยๆ สังเกตมัน เรียนรู้มันจนเข้าใจมันปัญญาที่จะทำให้เราเข้าใจที่แท้จริงก็คือปัญญาที่เกิดจากจิตใจที่มันว่าง ในขณะนั้นแหละเราเรียกว่าปัญญาณหรือปรีชาญาณ, อาตมาชอบใช้คำว่าปรีชาญาณ,ในพระไตรปิฎกใช้คำว่า ภาวนามยปัญญา มันยาวไปอาตมาก็เลยใช้ปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณจะทำให้เราเกิดความเข้าใจ, เข้าใจถึงความจริงขณะที่เรารับรู้ทางทวารต่างๆ ในขณะที่จิตมันว่าง, ของคู่ก็ไม่มี, ตัวเราก็ไม่มี, เวลาก็ไม่มีเราก็จะเห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น นี่แหละความจริง

    จุดเริ่มต้นเราต้องสัมผัสได้กับภาวะจิตที่มันว่าง หรือจิตที่ประภัสสร หรือสัมผัสได้กับสัจจะขั้นอัลติมะ ธรรมชาติที่แท้ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นธรรมชาติที่เป็นพื้นฐานของทุกสรรพสิ่ง โดยเฉพาะตัวเราจุดเริ่มต้นเราจะต้องเห็นสิ่งนี้ก่อนและปัญญาที่เกิดจากสิ่งนี้แหละมันจะแผ่ขยายการรับรู้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด เท่าที่กำลังหรือสมาธิที่มันมั่นคง “ทางสายกลาง” ที่เราเริ่มมันจะพัฒนาตัวมันเอง ด้วยการทำลายกิเลสอย่างหยาบ

    ที่แสดงออกมาทางวาจา ทางกาย ทำลายกิเลสอย่างกลาง ที่เรียกว่านิวรณ์ต่างๆ นั่นแหละ, ที่เราสังเกตมัน ดูมันจะเข้าใจมัน, มันก็จะลด ละ ปล่อย วาง ความคิดก็น้อยลง, จิตก็ว่างมากขึ้น ตั้งมั่นมากขึ้น อารมณ์อะไรมากระทบก็เฉยได้ ไม่ปรุงแต่งเลยนี่คือสัมมาสมาธิมีวิธีเดียวที่เราจะพัฒนาสัมมาสมาธิ, ไม่ใช่ไปกำหนดรู้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วสงบไปเห็นนิมิตต่างๆ เห็นพระพุทธรูป เห็นจุฬามณี อะไรต่างๆ นั่นมันข้อมูลต่างๆที่เราสะสมไว้ในจิตใต้สำนึก สมาธิอย่างนั้นเขาเรียกมิจฉาสมาธิ คือความสงบที่ไม่ได้เป็นบาทฐานให้เกิดปัญญาญาณที่จะเห็นความจริง

    ซึ่งพระพุทธองค์เคยกระทำมาแล้ว เคยปฏิบัติมาแล้ว กับสองอาจารย์ อารามดาบถ กับอุทกดาบถ ได้ฌาณ ได้สมาบัติเจ็ด สมาบัติแปด สงบมาก เกวียนห้าร้อยเล่ม ผ่านไม่ได้ยินเสียงเลย แม้กระนั้นปัญญาของสองอาจารย์ก็ไม่สามารถทำให้พระองค์ประจักษ์แจ้ง ถึงความจริงได้ พระองค์จึงจากสองอาจารย์มาแสวงหาด้วยตัวเอง แล้วพระองค์ก็พบ”ทางสายกลาง” พบ “สัมมาสมาธิ” ทางสายกลางมันพัฒนาไปสู่สัมมาสมาธิเมื่อเราเข้าถึงสัมมาสมาธิ นั่นคือเข้าถึงความเป็นเองจะรู้อยู่ที่ก้นบึ้งของจิตใจเรามันว่าง มันปกติ มันเฉย กระทบอะไรก็เฉย รับรู้พร้อมในความเป็นทั้งหมดเพราะมันเป็นฐานของปรีชาญาณ

    ยิ่งมั่นคงมากเท่าไหร่ปรีชาญาณก็จะแผ่ขยายธรรมชาติรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดแผ่ขยายครอบคลุมทุกสิ่ง ครอบคลุมปรากฏการณ์ทุกสิ่ง ครอบคลุมสังขตธรรมทุกสิ่ง อะไรเกิดขึ้นกับจิตใจมันจะรู้มันจะเห็นเมื่อรู้เห็นมันก็หยุดไป สลายไปเราจะนำปัญญาตัวนี้คือ ปรีชาญาณมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราจนกระทั่งเราตาย สัมมาสมาธิเมื่อเป็นแล้วมันจะไม่ถอยหลัง ถอยเข้า ถอยออก มันยิ่งมั่นคงขึ้น เหมือนในพระไตรปิฎกที่ท่านเปรียบไว้เหมือนเดินลงทะเล ลงมหาสมุทรยิ่งลุ่มลึกขึ้น ลุ่มลึกขึ้น นั่นคือสัมมาสมาธิมันไม่ถอยหลังและเป็นพื้นฐานให้ปรีชาญาณแผ่ขยายการรับรู้พร้อม,ก็จะนำไปสู่ปัญญาญาณ และนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เราจะต้องคิด ต้องพูด เราจะต้องทำ กิจการงาน มีสติ มีความเพียรนี่ก็คือการดำเนินชีวิต ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด ที่มีสัมมาทิฏฐิ

    หรือปรีชาญาณเป็นฐานของจิตใจ ที่เกิดจากสัมมาสมาธินั่นเอง เราจะเข้าถึงสิ่งนี้ได้จุดเริ่มต้นก็คือ”ทางสายกลาง” หรือภาวะจิตที่เป็นกลางๆ, มันเป็นกุญแจที่สำคัญ, หากเราไปกำหนดรู้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไปจำแนกว่าเป็นรูป-เป็นนาม, เห็นมันเที่ยง-เห็นมันไม่เที่ยง,เห็นมันเกิด-เห็นมันดับ นี่คือปัญญาระดับความคิด หรือปัญญาระดับเหตุผล เราดำเนินชีวิต ด้วยปัญญาระดับเหตุผลอยู่แล้ว

    ดำเนินชีวิตด้วยปัญญาระดับเหตุผลนี่แหละ,ถึงมีปัญหา เพราะความสำคัญมั่นหมายต่อความเห็นที่ผิดทำให้เราคิดว่านี่คือความจริง แต่มันไม่ใช่ความจริง,มันเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากความคิด

    แต่ปุถุชนทั่วไปคิดว่านี่คือความจริง, ปัญหาต่างๆจึงเกิดขึ้นมากมาย, เพราะเราเอาความรู้ที่ไม่จริงไปบริหาร,ไปจัดการชีวิตของเรา, เมื่อสังคมอยู่บนฐานของความรู้ที่ไม่จริงปัญหาต่างๆก็เกิดขึ้น การศึกษาที่แท้จริงจะต้องทำให้เราเข้าใจชีวิต, ทำให้เราเข้าใจโลกดำเนินชีวิตอยู่ในโลกอย่างไม่มีความทุกข์ หรือมีก็น้อยที่สุด หากเราดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกที่ไม่มีตัวเรา ไปพ้นกาลเวลา ไปพ้นสังสารวัฏ ไปพ้นปัญญาระดับเหตุผล ปัญหาต่างๆก็จะไม่เกิดขึ้น ปัญญาหรือปรีชาญาณตัวนี้เป็นปัญญาญาณ หรือเป็นปัญญาของสัตบุรุษ ที่รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักตน รู้จักประมาณ, กาล บริษัท หมู่กลุ่มบุคคลนี่คือปัญญาของผู้รู้ ที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา, ไม่ว่าจะเป็นการคิดการพูด การทำ ก็จะเป็นการพูดที่สมบูรณ์ การคิดที่สมบูรณ์ การกระทำที่สมบูรณ์นั่นคือมัน PERFECT มันสมบูรณ์ หรือมันชอบ

    นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์พยายามปลุกเราให้ตื่นขึ้น,ดำเนินชีวิตที่ไม่มีคำว่าตัวเรา,เห็นโลกในทัศนะตามความเป็นจริงหรือตามที่มันเป็นจริง หรือตามที่มันเป็น, พระองค์ได้อุปมา-อุปไมยไว้แล้วการปฏิบัติเหมือนโคแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้าแล้ว ชำเลืองดูลูกน้อยด้วย, เหมือนกับเราต้องทำกิจการงานในชีวิตประจำวันแล้วชำเลืองดูจิตใจไปด้วย จนกระทั่งเข้าถึงความเป็นเองไม่ต้องชำเลืองมันรู้เลยว่าใจสงบนิ่งทำอะไรอยู่ก็เห็นจิตที่มันว่างไปด้วย,ทำอะไรอยู่ก็เห็นความสงบนิ่งไปด้วย นั่นคือเห็นสัจจะขั้นอัลติมะไปด้วย สัจจะขั้นอัลติมะ ก็คือ สูญญตา หรือความว่างนั่นเอง

    แล้วมันจะแสดงออกควบคู่กับกิจการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเราไม่ว่าจะเป็น การเคลื่อนไหว หรือการกระทำต่างๆ นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงวางวิธีการไว้ในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา หรือหลักของไตรสิกขาในพระไตรปิฏกเล่มที่12, หากเราได้สัมผัสกับจิตที่ยังไม่ถูกปรุงแต่ง หรือ ประภัสสร มิทังจิตัง ของเรานั่นเอง จิตที่ประภัสสรมันเป็นเนื้อหา หรือเป็นหนึ่งเดียวกับสัจจะขั้นอัลติมะ, สัจจะที่สูงสุดที่เป็นพื้นฐานของสรรพสิ่ง, ไม่มีจุดเริ่มต้น, ไม่มีจุดสิ้นสุด, ไม่มีเกิด – ไม่มีดับ อยู่เหนือของคู่เราก็สามารถจะพัฒนาหรือวิวัฒนาการจิตวิญญาณระดับจิตสามัญสำนึก จิตของปุถุชน ผ่านเหตุผล ผ่านกาลเวลา ผ่านตัวตนไปสู่จิตเหนือสำนึก หรือโลกุตรจิต นำปรีชาญาณมาใช้ร่วมกับกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเรา

    ถ้าสามารถนำปัญญาตัวนี้มาใช้ในกิจการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเราได้,เราก็จะเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆซึ่งมันอาศัยซึ่งกันและกัน อยู่คนทั่วๆไป หรือปุถุชนเวลากินอาหารก็ไม่รู้รสอาหารที่กินไป, คิดไปเรื่องโน้น เรื่องนี้ เลยไม่รู้รสที่กำลังกินว่ามันมีรสอย่างไร,อาบน้ำก็ไม่รู้สภาวะที่ร่างกายถูกน้ำรดอยู่ ไม่รู้สึกเย็น ไม่รู้สึกร้อน อาบไปอย่างนั้นแหละ นี่เพราะเราขาดสติปัญญาญาณ,ทุกสิ่งที่เรารู้ทางประสาทสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทั่วไปเราคิดว่ามันมี มันเป็นอยู่จริงๆ, สิ่งที่เราเห็นทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย วิทยุ โทรทัศน์ นาฬิกา ต่างๆ ที่อยู่ต่อหน้าเรา เย็น ร้อน นี่เราคิดว่ามันมี มันเป็นอยู่จริงๆ

    ความมีอยู่และความไม่มีอยู่เกิดจากความคิด, ถ้าเราคิดมันก็มีหรือมันไม่มี,เพราะฉะนั้นความมีอยู่ ความไม่มีอยู่ มันก็เกิดจากความคิดในระดับเหตุผล, เห็นมันเกิด-เห็นมันดับ,เห็นมันสูง-เห็นมันต่ำก็เกิดความรู้สึกพอใจ-ไม่พอใจ,ชอบ-ไม่ชอบ ขึ้นมาเป็นเพราะเราขาดปัญญาที่จะเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ก็คือขาดปรีชาญาณ เราไม่ได้รู้ด้วยปรีชาญาณ แต่เรารู้ด้วยปัญญาระดับเหตุผล เรารู้ด้วยประสาทสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย เรารู้ด้วยจักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯลฯ แล้วก็นำสัญญาความจำมาปรุงแต่ง ก็คือสังขาร เกิดความเห็นที่ขัดแย้งกันเป็นคู่ๆ นี่คือมิจฉาทิฏฐิ

    นี่คือขบวนการของขันธ์ 5 มันจึงเกิดของคู่ขึ้นมา มันจึงเกิดปัญญาระดับเหตุผลขึ้นมา แต่ถ้าเรารู้ด้วยปรีชาญาณ, รู้ด้วยใจที่สงบ, ใจที่ว่าง, วิญญาณต่างๆ ที่เรารับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เมื่อมันอยู่บนฐานของความว่าง อยู่บนฐานของปรีชาญาณ วิญญาณต่างๆ เหล่านั้นก็จะรวมลงในปรีชาญาณ,อาตมาเคยพูดบ่อยๆ ว่า จ้องมองมิอาจเห็น, สดับฟังมิอาจได้ยิน, ไขว่คว้ามิอาจจับต้อง, สิ่งนั้นก็คือสัจจะขั้นอัลติมะมันรู้ได้ด้วยใจที่ว่าง ใจที่สงบ เมื่อพื้นฐานของจิตใจเราพัฒนาจนมีปรีชาญาณเป็นพื้นฐาน

    การรับรู้ทางประสาทสัมผัส สิ่งต่างๆ ที่เราเห็นไม่ว่าทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ไม่มีของคู่จึง ไม่อาจจะกล่าวว่ามันมีอยู่ หรือไม่มีอยู่, มันไปพ้นความมีอยู่ และความไม่มีอยู่, นี่คือรู้ด้วยปรีชาญาณรู้ด้วยใจที่ว่างซึ่งเป็นฐานของปรีชาญาณ, นั่นก็คือเข้าถึงสัจจะขั้นอัลติมะ และปรีชาญาณก็จะทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ร่วมกันประสาทสัมผัสจึงไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามีหรือไม่มี, ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันถูกหรือมันผิด,มันสูงหรือมันต่ำ นี่คือปรีชาญาณ ที่มันรู้สิ่งต่างๆ นั่น,ก็คือรู้ว่าสรรพสิ่งว่าง, ว่างตัวนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มี, แต่มันอยู่เหนือความมี และความไม่มี, นี่คือความว่าง นี่คือสูญญตา

    ถ้าเราเห็นได้อย่างนี้ สรรพสิ่งคือความว่าง นี่คือความจริง ความยึดถือต่างๆ ที่เราสำคัญมั่นหมายหรือสำคัญผิดมันก็จะละคลายลง,ที่เราลงความเห็นว่ามันมี-ไม่มี ,ว่ามันสูง-ต่ำ มันจะละ จะวาง จะปล่อยด้วยปรีชาญาณ,จะไปพ้นของคู่ ไปพ้นเกิด- พ้นดับ,พ้นการไป-การมา โดยเนื้อแท้นี่คือสภาพของความจริง หรือความเป็นเช่นนั้นเอง ที่เราเริ่มต้นด้วย”ทางสายกลาง”มันจะพัฒนาไปด้วยตัวของมันเองแล้วเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง,หรือตามที่มันเป็น, มันเป็นเช่นนั้นเอง

    อย่างนี้ด้วยใจที่มันว่าง รู้ด้วยปรีชาญาณ ตระหนักรู้ในความเป็นองค์รวม,ทั้งการรับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายรวมลงในความเป็นหนึ่งคือไม่แบ่งแยก รับรู้ในความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งด้วยปรีชาญาณ,จิตของเรายิ่งดื่มด่ำล้ำลึกมากเท่าไร ธรรมชาติรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดก็จะแผ่ขยายรับรู้พร้อม แผ่ขยายอย่างไม่มีขอบเขตจำกัดด้วยปรีชาญาณที่เราพัฒนาขึ้นจนเป็นสัมมาสมาธิ จากอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เมื่อใดก็ตามถ้าเราตระหนักรู้ได้ถึงสรรพสิ่งว่ามันว่างหรือสูญญตาเราก็เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง ตามที่มันเป็น, การละ การปล่อย การวางก็จะเกิดขึ้นจิตใจของเราก็จะเป็นอิสระมากขึ้น

    ยิ่งเรามีประสบการณ์มากขึ้น ดำเนินชีวิตอยู่บนประสบการณ์ของสัจจะ ประสบการณ์ของพุทธะมากเท่าใด การปล่อยวางก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้น เราจะยิ่งเห็นสิ่งต่างๆ มันว่าง จากความรู้สึกว่ามีตัวเรา ว่างจากของคู่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง นี่คือหัวใจของพุทธศาสนา ดำรงอยู่ในสูญญตา แม้พระพุทธองค์ก็ทรงพักอยู่ในสูญญตวิหาร ที่ทรงถามพระสารีบุตรว่า “สารีบุตรเธอดำรงจิตอยู่อย่างไร” ข้าพระองค์ดำรงจิตอยู่ในสูญญตวิหารพระเจ้าข้า พระพุทธองค์ทรงรับรอง,แม้เราเองก็ดำรงอยู่ในสูญญตวิหารเช่นกัน คือดำรงจิตอยู่ในความว่าง ว่างจากของคู่ ว่างจากตัวเรา ว่างจากกาลเวลา เห็นสิ่งต่างๆ มันเป็นเช่นนั้นเอง

    ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันมีหรือมันไม่มี, ถ้าเราไปลงความเห็นว่ามันเกิด-มันดับ ,มันมีตัวตน-ไม่มีตัวตนนี่มันเป็นเพียงปัญญาระดับความคิด, ปรีชาญาณมันไม่ได้เกิดจากความคิด มันเป็นการตระหนักรู้พร้อมในความเป็นทั้งหมดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ตระหนักรู้ในความเป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา) เมื่อใดก็ตามถ้าเราสัมผัสตรงนี้ได้นั่นคือจิตเราเจริญมากแล้วเป้าหมายอยู่แค่เอื้อมเท่านั้นเอง

    พระสารีบุตรตอบพระอานนท์ ที่ถามว่าธรรมานุธรรมปฏิบัติ ปฏิบัตินานไหม?

    พระสารีบุตรตอบว่าไม่นานเลย

    ปฏิบัติไปเถอะจนกระทั่งตลอดชีวิตนั่นแหละ จนกระทั่งมีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่การปฏิบัติ มันเป็นการดำเนินชีวิตที่แท้จริงของเรา ร่วมกับธรรมชาติที่แท้ ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เห็นความว่างหรือสูญญตา หรืออสังขตธรรม,มันแสดงออกร่วมกับกิจการงานเลย ที่มันแสดงออกได้เพราะมันไม่มีอุปาทานหรืออุปาทานมันน้อยลงไป ขบวนการความคิดที่มีตัวตน, มีเวลามันละวางไป ธรรมชาติที่แท้คือความว่างมันก็แสดงออกควบคู่กับกิจการงานต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา

    วิปัสสนาญาณจึงกล่าวว่าเห็นความเคลื่อนไหวในความไม่เคลื่อนไหว, เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตใจจิต เห็นธรรมในธรรม นั่นก็คือตัวรู้หรือธรรมชาติรู้ที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของปรีชาญาณที่เกิดจากสัจจะขั้นอัลติมะหรือจากความว่าง ที่ใจของเราเข้าถึง มันรู้สองสิ่ง, รู้ตัวมันด้วย ที่มันเกิดมาจากสูญญตา, มาจากสัจจะขั้นอัลติมะ,และก็รู้ปรากฎการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงจากขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่ง เป็นการเคลื่อนไหว รู้ความเปลี่ยนแปลงในความไม่เปลี่ยนแปลงนี่คือวิปัสนาญาณ, ญาณหรือธรรมชาติรู้การทำงานของสัจจะทั้งสองทำงานร่วมกันเป็นสัจจะหนึ่งเดียว ทำงานร่วมกันเป็นความจริงหนึ่งเดียว

    เหมือนคลื่นกับน้ำ,เหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน, หัว – ก้อย, เวลาเราเห็นเหรียญเราไม่ได้บอกว่าเราเห็นทางด้านหัวหรือด้านก้อย เราเห็นเหรียญ 1 เหรียญ, เราไปเที่ยวทะเล เราสังเกตดูคลื่นกับน้ำมันไม่ได้แยกจากกันเลย คลื่นมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คลื่นก็คืออาการของน้ำ,ธาตุแท้ของคลื่นก็คือน้ำ, ธาตุแท้ของปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เรารับรู้ได้ทางประสาทสัมผัส ก็คือสูญญตาหรือความว่าง หรืออสังขตธรรมนั่นเอง นี่ถ้าเราตระหนักรู้ได้อย่างนี้จากชั่วขณะมันจะยิ่งพัฒนาขึ้น

    เมื่อจิตเราว่างมากขึ้น ธรรมชาติรู้แสดงออกมากขึ้นเราก็จะตระหนักรู้ได้ด้วยตัวของเราเองทุกคนมีปรีชาญาณอยู่แล้วด้วยกันทุกคน แต่ขบวนการความคิดที่เกิดจากอวิชชาเกิดจากตัณหา เกิดจากอุปาทานที่เรายึดถือไว้มันบังเราเลยไม่เห็นสิ่งนี้,เมื่อเรารู้จักหรือเข้าใจหลักการณ์ที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางไว้,เข้าใจวิธีการ, หรือวิธีปฏิบัติมันก็จะพัฒนาได้ก้าวหน้าขึ้น, แต่ถ้าเราไม่รู้หลักการณ์ ไม่รู้วิธีการปฏิบัติ,ยังไงก็ไม่เกิดผล,ไปติดอยู่ที่อุบาย,ไปติดอยู่ที่การกำหนดรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งสงบนิ่งหลับหู หลับตา แล้วมันจะไปเห็นความจริงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ได้อย่างไรมันสงบอยู่ในภวังค์ เมื่อไปเห็นความจริงมันจะลด จะละ จะปล่อยวางได้อย่างไร

    อุปาทานต่างๆ มันจะปล่อย มันจะวาง ได้ยังไงถ้าเราไม่เห็นความจริง นี่ก็ไม่มีความเข้าใจกัน อาตมาพยายามนำเสนอการปฏิบัติที่เป็นไปได้ในชีวิตประจำวันของเรา, ในทุกขณะ,ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน, ปฏิบัติอย่างพระพุทธองค์เลย, ปฏิบัติอย่างไม่พัก -ไม่เพียร , ไม่จม-ไม่ลอย ปฏิบัติอย่างไม่มีของคู่ในจิตใจของเรา ลองสังเกตดูชิทำได้ไหม, ยืน เดิน นั่ง นอน ลองสังเกตจิตใจตัวเองดูชิ เห็นได้ไหมว่า มันไม่มีความคิดเลยในขณะที่เราสังเกตมัน นั่นแหละคือสภาวะที่ไม่มีพัก-ไม่มีเพียร,ไม่มีจม-ไม่มีลอย,ไม่มีถูก-ไม่มีผิด ไม่มีของคู่ๆ, ถ้าเราเห็นสภาวะนี้ได้,เราก็สามารถจะทำได้ในทุกกิจการงาน ในทุกอริยบถ

    ทุกครั้งที่เราสังเกตเราก็จะเห็นมันว่าง, ไปพ้นของคู่, นี่คือ “ทางสายกลาง” ทำอย่างนี้บ่อยๆ อย่าไปนึกเบื่อมัน ทำไปแล้วมันจะพัฒนาตัวมันเองจนกระทั่งไม่ต้องนึกที่จะไปจดจ้อง ต้องการจะไปดูมัน รู้มันเองทำอะไรอยู่มันก็รู้เองขณะที่พูด,ทำกิจการงาน,เห็นความว่าง,เราเห็นได้สักครั้งเราก็จะเกิดกำลังใจ, มันจะพัฒนาตัวมันเอง มันพัฒนาจริงๆ เราจะต้องมีความจริงใจ จริงจัง ต่อการใส่ใจมัน กฤษณมูลติ ท่านบอกว่าเราจะต้องใช้พลังของการใส่ใจอย่างมหาศาล, อาตมาก็เข้าใจว่าจะต้องใส่ใจจริงๆ ต่อการดำเนินชีวิตจากขณะหนึ่ง ไปสู่ขณะหนึ่งด้วยการเฝ้าสังเกต, หรือดำเนินไปสู่ฐานของ “ทางสายกลาง” ทุกย่างก้าว ของการปฏิบัติ,การภาวนา,มันจะต้องอยู่บนฐานของจิตใจที่มีความรู้สึกว่าไม่มีตัวเรา อยู่บนฐานของจิตเหนือสำนึก,บนทางสายกลาง

    เข้าถึงบารมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ที่เรียกว่าทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วิริยะบารมี ปัญญาบารมี,มันจะต้องอยู่บนฐานของจิตเหนือสำนึกหรือโลกุตรจิตหรือทางสายกลาง,หากเราเข้าใจ ตระหนักรู้ด้วยปัญญาญาณของเราจริงๆ สภาวะนี้เองคือฐานของการปฏิบัติเราก็มุ่งเพียรทำให้มันจริงๆ จังๆ ลองดูชิว่ามันจะเกิดผลได้ไหม มันจะมีผลบ้างไหม,เราผ่านการได้,การเสีย มามากแล้วในชีวิตของเรา,มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องพัฒนาไปให้ถึงเป้าหมายให้ได้,นั่นคือการพัฒนาจิตใจจนเข้าถึงจิตวิญญาณสากล หรือจิตสากล

    ถ้าเราเข้าใจด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องไปฟังใครพูด โดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือ ฟังอาตมาหรือฟังใครอธิบายแต่ตระหนักรู้ด้วยตัวเองอยู่ทุกขณะได้,เราก็จะเห็นว่าปัญหาต่างๆ หรือความทุกข์ต่างๆ มันลดน้อยลง,ความขัดแย้งต่างๆ, น้อยลง ความสุขมันก็มากขึ้น,จิตใจเราก็อิ่มเอิบ เบิกบาน ร่าเริง อยู่กับความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง มีความรัก ความเมตตา มีความเกื้อกูล เอื้ออาทร ต่อสรรพสิ่งไม่ว่าหมู หมา กา ไก่ เห็นอะไรก็รู้สึกสดชื่น เบิกบาน ร่าเริง อิ่มเอิบ นี่คือความสุขที่แท้จริง ที่ไม่ได้อาศัยวัตถุ ไม่ได้อาศัยสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัตถุเลย มันเกิดจากจิตใจของเราที่มีความเป็นอิสระ จิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง

    ธรรมทั้งปวงคือความว่างนี่คือลักษณะของมันเป็นลักษณะที่เราสามารถเห็นได้ด้วยปรีชาญาณของเราหรืออย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า สัพเพธัมมาอนัตตา ธรรมทั้งปวงไม่ว่าอสังขตธรรมและสังขตธรรมมันว่าง, อนัตตาคือสภาวะที่ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันมีหรือมันไม่มี, อย่าไปแปล อนัตตาว่าไม่มี, อนัตตาไม่ใช่ไม่มีตัวตน, ไม่มีตัวตนคือนิรัตตา, ตรงข้ามกับอัตตา อนัตตาอยู่เหนือความมี เหนืออัตตา เหนือนิรัตตา เหนือความไม่มี สัพเพธัมมาอนัตตา คือเห็นด้วยปัญญาญาณว่าธรรมทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นความว่าง

    (อสังขตธรรม) หรือปรากฏการณ์ (สังขตธรรม) มันเปลี่ยนแปลงจากขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่ง,ไม่อาจจะกล่าวได้ว่ามันมีหรือมันไม่มี, ลองไปดูในพระไตรปิฎฏกเล่มที่ 34,35 เรื่องความสุดโต่งทั้งสอง เราก็จะเกิดความเข้าใจ, อ๋อสภาวะที่เรารับรู้ด้วยใจที่มันว่าง(ขณะนั้นความคิดไม่มีเลย) แล้วของคู่จะมีได้ยังไง,ความมีอยู่และความไม่มีอยู่ มันจะมีได้ยังไง ถ้ามันยังมีอยู่ –ไม่มีอยู่,ยังมีเกิด-มีดับขณะนั้นมันก็คิดเอา,มันเกิดจากความคิด,การเห็นสิ่งต่างๆเป็นคู่ๆ มันเกิดจากความคิด, ถ้ามันไม่คิดรับรู้ด้วยใจที่ว่างไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย การรู้ด้วยจักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯลฯ มันจะรวมลงในธรรมชาติรู้ที่เรียกว่าปรีชาญาณ หรือใจที่มันว่าง,มันจะตระหนักรู้ ในความว่างของสรรพสิ่งนี่คือการตระหนักรู้ได้ด้วยปรีชาญาณ หรือปัญญาญาณ

    และตระหนักรู้ในความเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง,แต่ก่อนนี้เรารับรู้อย่างแบ่งแยก มีสิ่งถูกรู้มีผู้รู้,คือชื่อต่างๆ บัญญัติต่างๆ ที่เราไปสมมุติไปตั้งชื่อมัน,ลองสังเกตให้ชัดชิว่าการรับรู้หรือการตระหนักรู้ในความเป็นหนึ่งตระหนักรู้ในการไม่แบ่งแยก,เห็นให้มันชัดเลย,ขณะใจว่าง,แล้วเราเห็น เราได้ยินอย่างไร มันไปพ้นชื่อไหม นี่คือการรับรู้ในความเป็นหนึ่ง,ถ้ามันสามารถรับรู้ได้,ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยที่เราไม่ได้ไปตั้งใจกำหนดจดจ้องที่ทวารหนึ่ง ทวารใดเห็นใจมันว่างอยู่แล้วธรรมชาติแผ่ขยายรับรู้พร้อม,นี่คือการรับรู้ในความเป็นองค์รวม,หรือในความเป็นทั้งหมด,นี่คือความสมบูรณ์ของชีวิตเรา เรารู้ได้ด้วยปรีชาญาณ รับรู้ในความเป็นทั้งหมดจากขณะหนึ่งไปสู่ขณะหนึ่งปราศจากตัวเราเป็นผู้รับรู้ ไปพ้นกาลเวลา

    แต่ถ้าเราดำเนินชีวิต ด้วยความรู้สึกว่ามีตัวเรา ในมิติของจิตสามัญสำนึก เราไม่สามารถจะรู้ในความเป็นทั้งหมดของชีวิตราได้, เราจะรู้ได้ทีละทวาร, เช่น เราตั้งใจจะดู มันก็รู้ได้เฉพาะทางตา, ตั้งใจจะฟังก็รู้ได้เฉพาะทางหู, นี่คือปัญญาที่มีขอบเขตจำกัด, เรื่องใดเรื่องหนึ่ง, ทวารใดทวารหนึ่ง,อย่างมีขอบเขตจำกัด นี่คือปัญญาในระดับเหตุผล, หรือปัญญาของปุถุชน, รู้ได้ทีละทาง, เราจะต้องรู้ด้วยตัวเอง สัมผัสได้ด้วยตัวเอง ปรากฏการณ์สิ่งต่างๆ, ที่แวดล้อมเราอยู่ มันจะเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เมื่อเราตระหนักรู้ด้วยปรีชาญาณ

    ธรรมชาติที่แท้ (สัจจะขั้นอัลติมะ) มันก็แสดงออกอย่างเหมาะสมต่อสถานะการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเรา,มันจะแสดงออกร่วมกับกิจกรรมต่างๆ ของเรา เพียงแต่เราตามรักษาจิต เฝ้าสังเกตมัน ดูมัน เรียนรู้มัน (จิตตัง รักเขถเมธาวี) ปราชญ์ย่อมตามรักษาจิตของตน ซึ่งเห็นได้ยาก จิตของเรามันเห็นได้ยาก ละเอียด ประณีต ปรากฏการณ์ที่เป็นสิ่งแวดล้อมมันก็ว่างไปด้วย เมื่อใจของเราว่าง,สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเราอยู่นี่มันก็ว่างไปด้วย, ถ้าจิตมันเกิด รูปมันก็เกิด ถ้านามมันเกิด รูปมันก็เกิด จิตดับ รูปก็ดับ งานอะไรก็ตามถ้าเราไม่คิดมันก็จะไม่มีของคู่, การกระทำนั้นก็เป็นการกระทำที่แท้จริง, งานนั้นๆก็เป็นงานที่แท้จริง

    หากเราไม่รู้จักการฝึกฝน, ไม่รู้จักการภาวนาในทัศนะนี้ เราก็ยังจับสาระของการปฏิบัติ จับประเด็นของการปฏิบัติไม่ได้, การงานต่างๆที่เรากระทำอยู่ด้วยความรู้สึกว่ามีตัวเราเป็นผู้กระทำ,มันก็จะไปปกปิดการงานที่มีคุณภาพ, ความจริงแท้ที่เป็นธรรมชาติพื้นฐานของสรรพสิ่งหรือสัจจะขั้นอัลติมะ, เราไม่สามารถจะไปอธิบายมันได้ด้วยภาษา, ด้วยคำพูด,แต่ที่อาตมาพยายามชี้แนะเป็นเพียง จุดเริ่มต้น,ก็เพื่อจะให้เราเข้าถึงประสบการณ์ตรงต่อสัจจะด้วยตัวเอง เมื่อรู้จุดเริ่มต้น เราก็สามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง, สิ่งที่อาตมาพูดก็พูดจากการตระหนักรู้ของตัวเอง,

    เมื่อเราสังเกตจิตใจมันว่างเข้าถึงสภาวะที่เรียกว่ามัชฌิมา หรือ “ทางสายกลาง” หรือศีลแล้วมันก็จะพัฒนาตัวมันเอง จนกระทั่งเกิดปรีชาญาณเห็นความเป็นทั้งหมดของชีวิตเราในแต่ละขณะ, ความว่าง หรือสูญญตา หรืออนัตตา หรือสัจจะขั้นอัลติมะก็ดี เราเพียงแต่พูด,ถ้าเราไม่เห็นมันก็เข้าใจมันไม่ได้, เมื่อใดที่เราสังเกต, เห็นใจมันว่าง,ลองสังเกตให้ชัดชิ, ขณะที่ใจมันว่างมันรับรู้ทางทวารต่างๆอย่างไร

    นิโรธะ ต้องทำให้แจ้ง, คือเห็นมันให้ชัด อ้อสภาวะอย่างนี้เองคือนิโรธะ, ไม่มีสุข- ไม่มีทุกข์,ไม่มีเกิด-ไม่มีดับ ไปพ้นของคู่ไปพ้นความรู้สึกว่ามีตัวเรา, ไปพ้นกาล เวลา,รู้ด้วยตัวเองสัมผัสได้ด้วยตัวเอง แล้วเราก็จะรู้ว่ามันก้าวหน้า, หรือมันไม่ก้าวหน้า, แน่นอนความยึดถือต่างๆ ของเรายังมีอยู่อารมณ์ต่างๆ ความพอใจ-ไม่พอใจยังมีอยู่ มันก็เป็นธรรมดา ทุกคนก็มีอย่างนั้น,แต่เมื่อเราได้ศึกษาเรียนรู้ ได้ปฏิบัติเราก็จะเห็นมัน, แต่ก่อนมันเกิดจนกระทั่งแสดงออกมาทางกาย วาจาแล้วเราก็ยังไม่รู้มันเลย, แต่ทีนี้พอมันเกิดพอใจ-ไม่พอใจ ขุ่นเคืองใจเรารู้มัน, นี่ก็เจริญขึ้นแล้ว, จนกระทั่งมันเกิดก็เห็น,มันก็ยิ่งเจริญขึ้นจนกระทั่งใครว่า ใครด่า เราเฉยได้ ไม่มีปฏิฆะเลย, นี่ก็เป็นการพัฒนาจิตใจ, ก้าวหน้ามากแล้ว

    ทำอย่างนี้บ่อยๆ, การปฏิบัติเหมือนเป็นเรื่องซ้ำซาก, แต่ทุกขณะที่เราสัมผัสได้ ภาวะจิตที่มันว่างมันทำให้เราเบิกบาน อิ่มเอิบ ร่าเริง ความท้อแท้ความเบื่อหน่ายก็ไม่มี, ถ้าเราสัมผัสไม่ได้มันก็มีขบวนการความคิดซับซ้อนขึ้นมาเกิดความเบื่อหน่าย,เกิดความท้อแท้,เราก็ดู ก็เรียนรู้ ความท้อแท้นั่นแหละ, สังเกตมัน,เรียนรู้มัน,ทุกสิ่งเกิดขั้นมาเพื่อให้เราเรียนรู้, หรือปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมาเพื่อให้เราแก้ไขเพื่อให้เราได้เข้าใจมัน, ไม่มีวิธีอื่นใดเลยที่ทำให้จิตใจมันว่างโดยธรรมชาติของมันหรือไม่มีวิธีใดเลยที่จะทำให้มันละ มันปล่อย มันวางนอกจากการสังเกต การเรียนรู้ ที่เรียกว่าสิกขา ในหลักของไตรสิกขาในข้อที่สี่ ของอริยสัจสี่

    *************************************

    :cool::cool::cool:

     
  17. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table id="post" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">[​IMG] 19-05-2012, 11:06 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right">
    </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> อาจีฟา
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Dec 2009
    ข้อความ: 204
    Groans: 3
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 145
    ได้รับอนุโมทนา 268 ครั้ง ใน 71 โพส
    พลังการให้คะแนน: 63 [​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> <center>รบกวนอีกครั้งครับ

    </center>
    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> ตั้งแต่คุณลิตเติ้ลดั้ก
    ถอดรหัสให้ก็มาอีกเลขแล้วครับ 0313 0414 0515
    รบกวนด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
    </td></tr></tbody></table>

    19-05-2012, = 19+05+20+12 = 56 ENERGY FREE
    56 = 11 = KEY
    11:06 = 11+06 = 17 QUALITY


    0313 = CONECTING MEDITATION
    0+3+1+3 = 7 GRAND = 44

    03 = 30
    13 = 31
    03+13 = 16 PLUS = 7
    30+31 = 61 FUNCTION VAILABLE = 7


    0414 = DATA NATURE
    0+4+1+4 = 9 INTELLEGENCE

    04 = 40
    14 = 41
    04+14 = 18 ROTARY = 9
    40+41 = 81 HUMANITY AVAILABLE = 9


    0515 = ENERGY OPENING
    0+5+1+5 = 11 KEY

    05 = 50
    15 = 51
    05+15 = 20 TIME = 2
    50+51 = 101 JUSTIFY AGE = 2


    หากดูผลลัพธ์ของ 0313 จเห็นได้ว่ามีผลลัพธฺ 0313 = CONECTING MEDITATION และยังหมายถึง 0+3+1+3 = 7 GRAND = 44 แสดงให้เห้นถึงการทำสมาธิเชื่อมต่อพลังงานครั้งสำคัญของ GRAND= 44 อันหมายถึงนักธรรมชั้นเอก นักปฏิบัติธรรม อันเป้นการเริ่มต้นข้อมูลใหม่ และเมื่อดุผลลัพธ์ 03+13 = 16 PLUS และ 30+31 = 61 FUNCTION AVAILABLE จะเห้นได้ว่าผลลัพธฺของทั้งสองแสดงให้เห็นถึงความเป็นคู่ ความเท่ากันของพลังงาน การนำพลังงานของทั้งสองด้านมารวมกัน เพื่อให้ขยายเพิ่มมากขึ้น และเมื่อนำผลลัพธ์ 7 และ 7 อันหมายถึง GRAND = 44 และเมื่อนำมารวมกัน 7+7 = 14 NATURE มีผลลัพธ์ อันแสดงให้เห็นถึงกฎแห่งธรรมชาติ กฎแห่งจักรวาล
    โปรดสังเกตุ 7 = GRAND = 44 ดังนั้น 7+7 จึงเท่ากับ 44+44 = 88 อันเป็นการยืนยันและสนับสนุนข้อมูลทั้งหมด



    และเมื่อดูผลลัพธ์ของ 0414 = DATA NATURE และ 0+4+1+4 = 9 INTELLEGENCE แสดงให้เห้นถึงอัจฉริยะแห่งดุลยภาพ และเมื่อดุผลลัพธ์ 04+14 = 18 ROTARY = 9 และ 40+41 = 81 HUMANITY AVAILABLE = 9จะเห็นได้ว่ามีความเท่่าของทั้งสองด้าน และเมื่อดูผลลัพธ์ 9+9 = 18 ROTARY ข้อมูลนี้จึงแสดงให้เห็นดุลยภาพความเป็นอัจฉริยะที่เกิดขึ้นได้ด้วยมนุษยชาตเองเป็นผู้ขับเคลื่อนพลังงานทั้งสองด้านให้เท่ากัน

    และเมื่อดุผลลัพธ์ 0515 = ENERGY OPENING และ 0+5+1+5 = 11 KEY และเมื่อดูความหมายของ 05+15 = 20 TIME = 2 และ 50+51 = 101 JUSTIFY AGE = 2 แสดงให้เห้นถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม ในการ JUSTIFY AGE ซึ่งหมายถึงการปรับปรุง เปลียนแปลงยุค และเมื่อดู ผลลัพธฺ 2+2 =4 DATA อันหมายถึงข้อมูลำคัญ และ 22 ยังหมายถึง VICTORY อันหมายถึงการข้ามพ้น

    ดังนั้น เมื่อนำความหมายทั้งหมดมารวมกัย จึงหมายถึงจากการทำสมาธิเชื่อมต่อพลังงานคร้ังสำคัญของ การการนำพลังงานของทั้งสองด้านมารวมกัน แผ่ขยายให้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าผลลัพธฺ 88 HUMANITY + HUMANITY อันหมายถึงการเชื่อมต่อพลังงานงาน PLUS ของมนุษยชาติ และเมื่อการขับเคลื่อนพลังงานของมนุษยชาติทั้งสองด้านเท่ากัน แสดงให้เห็นอัจฉริยภาพเกิดขึ้นได้ด้วยมนุษย์เอง TIME JUSTIFY อันหมายถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนแปลง และเมื่ดูผลลัพธ์ 22 = 4 จึงหมายถึงการข้ามพ้น แสดงให้เห็นถึงการข้ามพ้นยุคใหม่


    และเมื่อนำผลลัพธ์สุดท้ายมารวมกัน 77+99+22 = 198 AVAILABLE MISSION และยังหมายถึง 1+98 = 99 INTELLEGENCE INFINITY ภาระหน้าที่สำคัญของมนุษยชาติได้รับการเลื่อนขั้นยกระดับ แสดงให้เห้นถึงอัจฉริยะอันไร้ขอบเขตของมนุษยชาติ

    และเมื่อดูวันที่โพสต์
    19-05-2012, = 19+05+20+12 = 56 ENERGY FREE
    56 = 11 = KEY
    และเวลา11:06 = 11+06 = 17 QUALITY อันหมายถึงการเลื่อนขั้น ยกระดับพลังงานใหม่ พลังงานอิสระ และหากดูข้อมูลอ้างอิงด้านบน จะเห็นได้ว่าข้อมูลทั้งหมดนี้ ต่างยืนยันและสนับสนุน ซึ่งกันและกัน ..

    NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ ..
     
  18. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    <table id="post6152327" class="tborder" width="100%" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">[​IMG] 18-05-2012, 10:20 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #3096 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> Little Mermaid
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jun 2008
    ข้อความ: 733
    Groans: 0
    Groaned at 9 Times in 4 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,588
    ได้รับอนุโมทนา 3,291 ครั้ง ใน 505 โพส
    พลังการให้คะแนน: 203 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_6152327" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> <center>BEGINING ..

    </center>
    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> [​IMG]

    [​IMG][​IMG][​IMG]
    </td></tr></tbody></table>


    18-05-2012, = 18+05+20+12 = 55

    10:20 = JUSTIFY : TIME


    #3096 = 30+96 = 126 LOVE FUNCTION

    #3096 = CONFIRM : ดุลยภาพ




    Little Mermaid = 12+9+20+20+12+5+13+4+18+13+1+9+4 = 141 NEW AGE
    14+1 = 15 OPENING
    1+41 = 42 DATA BASE

    1+4+1 = 6 = FULL

    BEGINING ..= การเริ่มต้น

    2+5+7+9+14+9+14+7 = 67 FUNCTION GRAND

    67 = MAGIC & MIRACLE
    MAGIC = 13+1+7+9+3 = 33 CONCERN
    33 = 6
    MIRACLE = 13+9+18+1+3+12+5 = 61 FUNCTION AVAILABLE
    61 = 7



    141+67 = 208 TIME HUMANITY
    20+8 = 28 BEGINING HUMANITY
    2+0+8 = 10 JUSTIFY

    หากดูผลลัพธของ
    Little Mermaid แสดงให้เห้นความหมายของ NEW AGE และยังหมายถึง OPENING และ DATA BASE อันแสดงให้เห็นฐานข้อมูลสำคัญในการเริ่มใหม่

    และ เมื่อดูความหมาย
    BEGINING ..= การเริ่มต้น มีผลลัพธ์เท่ากับ 67 FUNCTION GRAND แสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นรูปแบบใหม่ ของมนุษยชาติ จะเห็นได้ว่า 67 ยังหมายถึง MAGIC & MIRACLE อันหมายถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในรูปแบบใหม่ของมนุษยชาติ อันก่อให้เกิดประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ

    และเมื่อนำผลลัพธ์มารวมกัน 141+67 =208 TIME HUMANITY และยังหมายถึง BEGINING HUMANITY และ JUSTIFY จึงหมายถึง เป็นช่วงเวลาอันเหมาะสมของมนุษยชาติ ในการเริ่มต้นรูปแบบใหม่โดยการ JUSTIFY อันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงใหม่

    ดังนั้น Little Mermaid + BEGINING จึงหมายถึงฐานข้อมูลสำคัญในการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ อันหมายถึง การเลื่อนข้้นของมนุษยชาติได้รับการยกระดับแล้ว ..

    ดังน้ัน ผลลัพธ์สุดท้ายคือ การเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ อันหมายถึงการเลื่อนข้้นของมนุษยชาติได้รับการยกระดับแล้ว ..

    ขอให้ทุกท่าน โชคดี .. กระทู้นี้จึงต้องปิดลง .. และเมื่อถึงเวลา เราจะได้กลับมาพบกันอีก ..

    ขอบคุณกุญแจสำคัญทุกท่าน ..

    NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ ..
     
  19. Little Duck

    Little Duck เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,981
    NEW ! NEW AGE PLUS+ พลังงานใหม่ พลังงานอิสระ ..
     
  20. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ข้อความจาก LD 411
    COLORS
    สีทุกสีสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติที่สีรุ้ง
    รุ้งย่อมมาหลังจากฝนตก
    ฝนตกคือกลไกที่ธรรมชาติใช้ปรับสมดุลย์ให้กับโลก
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...