The Four Beauties (สี่ยอดหญิงงามในประวัติศาสตร์จีน)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย ฤดูใบไม้ผลิ, 4 พฤษภาคม 2009.

  1. ฤดูใบไม้ผลิ

    ฤดูใบไม้ผลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,036
    ค่าพลัง:
    +1,724
    เรื่องราวของสี่ยอดสาวงามของจีนนี้ เป็นเรื่องราวที่โด่งดัง และเป็นที่เล่าขานของชนรุ่นหลังมากมาย บ้างก็ว่าทั้งสี่นางเป็นผู้มีคุณต่อแผ่นดินล้นเหลือ ที่ได้ช่วยผ่อนคลายทุกข์เข็ญของชาวประชา จากผู้มีอำนาจที่คิดจะมายึดครองอธิปไตยของเมืองอื่น

    บ้างก็ว่านางทั้งสี่ เป็น ผู้ทำให้แผ่นดินล่มสลาย และเกิดการจราจลกันอีกนานต่อมา สำหรับข้าพเจ้า มองเห็นความเสียสละของสาวงามบางท่าน และได้ชื่นชมกับความสามารถ กอปรกับเชาว์ปัญญาของแม่นางทั้งสี่นี้เป็นอย่างมาก

    ไหนจะต้องยอมจากถิ่นฐานบ้านเกิด ถูกดูหมิ่นดูแคลนจากคนต่างเชื้อสาย ต้องใช้ความสามารถในการร้องรำทำเพลง เสน่ห์ความงามเพื่อหลอกล่อบุรุศเพศให้หลงใหล และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้สละตัวเองมา... จะหาผู้ที่เสียสละเพื่อผู้อื่น โดยไม่คิดหวังเพื่อตนเอง ในปัจจุบันนี้คงยากนักหนา

    ในบรรดาสี่ยอดสาวงามผู้พลิกประวัติ ศาสตร์จีนทั้งสี่นาง ข้าพเจ้าขอบอกว่า ข้าพเจ้าชอบแม่นางไซซีมากเป็นพิเศษ เพราะเมื่อตอนเด็กได้ชมละครเรื่องนี้ทางโทรทัศน์ และมีความประทับใจในอุปนิสัยและปัญญาของนางมาก ต่อเมื่อหลายปีผ่านไป ข้าพเจ้าได้อ่านคำวิจารณ์ความงามของสวางามทั้งสี่นางนี้ ผู้เขียน (ขออภัยที่ข้าพเจ้าจำไม่ได้) ได้กล่าวว่า ในบรรดาสาวงามที่สี่นาง ไซซี ถือว่าเป็นผู้ที่มีความงดงามมากที่สุด หากจะเปรียบเทียบกับวรรณคดีไทย ไซซี ก็เปรียบได้กับนางสีดาเลยทีเดียว


    -ไซซี- -หวางเจาจิน- -เตียวเสี้ยน- และ -หยางกุ้ยเฟย-

    "ไซซี" : มัจฉาจมวารี
    "หวางเจาจิน" : ปักษีตกนภา
    "เตียวเสี้ยน" : จันทร์หลบโฉมสุดา
    "หยางกุ้ยเฟย" : มวลผกาละอายนาง


    3773.jpg

    ไซซี (ซีซือ) ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังต้องจมลงสู่ใต้น้ำ

    ไซซี หรือซีซือ นามอี๋กวง เกิดในสมัยชุนชิว (ช่วงปี 722-481 ก่อนคริสต์ศักราช) ที่มณฑลเจ้อเจียง เป็นผู้ที่มีความงดงามมาแต่กำเนิด



    ใน สมัยชุนชิวนี้ รัฐอู่และรัฐเยว่ทำสงครามกัน เนื่องจากรัฐอู่มีกำลังทหารที่กล้าแข็ง ในเวลาที่ไม่นานนักก็สามารถเอาชนะรัฐยว่ได้และนำเอาเยว่ อ๋องโกวเจี้ยน และอัครเสนาบดีนามฟ่านหลี่ ไปเป็นตัวประกัน เพื่อแก้แค้นที่ชาติถูกรุกราน เยว่อ๋องยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของอู่อ๋อง และแสร้งว่ามีความซื่อสัตย์ และจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งอู่อ๋องมีอาการปวดท้อง บรรดาหมอหลวงทั้งหลายที่เชิญมาต่างก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นโรคอะไร เมื่อเยว่อ๋องโกวเจี้ยนได้ทราบเรื่องนี้ จึงได้ชิมอุจจาระของอู่อ๋องต่อหน้าบรรดาขุนนางทั้งหลาย และกล่าวว่า “ท่านอ๋องไม่ได้ป่วยเป็นโรคอันใด แค่โดนความเย็นมากไปเท่านั้น เพียงดื่มเหล้าให้ร่างกายอบอุ่นก็เพียงพอแล้ว” อู่อ๋องทำตามที่โกวเจี้ยนแนะนำดื่มเหล้าเข้าไปเล็กน้อย ก็มีอาการดีขึ้นทันที อู่อ๋องเห็นว่าโกวเจี้ยนมีความจงรักภักดี จึงปล่อยตัวให้กลับรัฐเยว่

    โกวเจี้ยนกลับไปยังรัฐเยว่แล้ว ฟ่านหลี่ก็ได้เสนอแผนกู้ชาติ 3 แผนให้แก่เยว่อ๋อง หนึ่งคือ สั่งสมกำลังทหาร ฝึกฝนการรบ สองคือพัฒนาด้านการกสิกรรม และสามคือ คัดเลือกหญิงงามเพื่อส่งให้แก่อู่อ๋อง เพื่อเป็นสายคอยส่งข่าวภายในให้ ในเวลานั้น

    มีหญิงสาวนามว่าไซซี เป็นหญิงซักผ้า มีรูปร่างหน้าตางดงามเหนือกว่าผู้อื่น เมื่อนางไปซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำนั้น น้ำอันใสสะอาดจะสะท้อนเงาอันงดงามของนาง ทำให้ยิ่งดูงดงามมากยิ่งขึ้น เมื่อมองเห็นเงาของนางแล้ว บรรดาปลาทั้งหลายที่ว่ายน้ำอยู่ ต่างก็ลืมที่จะว่ายน้ำ และค่อยๆจมลงสู่ก้นแม่น้ำไป นับแต่นั้นมาฉายา “ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังต้องจมลงสู่ใต้น้ำ”ของไซซี ก็เล่าลือกันไปทั่วบริเวณนั้น

    หลังจากที่ไซซีถูกเลือกไปถวายแล้วนั้น เมื่ออู่อ๋องเห็นไซซีมีรูปโฉมที่งดงาม ก็เกิดความลุ่มหลงเป็นอย่างมากจนกระทั่งละเลยราชการ ไม่สนใจบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองอ่อนแอลงเรื่อยๆ เยว่อ๋องโกวเจี้ยน จึงถือโอกาสยกทัพเข้าโจมตีรัฐอู่ และสามารถกู้ชาติได้สำเร็จ ไซซีเสียสละเพื่อบ้านเมือง แสดงให้เห็นถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่มีความรักชาติเป็นอย่างยิ่ง
    ตำนานเล่า ว่า หลังจากที่รัฐอู่พ่ายแพ้แล้ว ไซซีได้ออกท่องเที่ยวไปกับฟ่านหลี่ ไม่ทราบว่าสุดท้ายมีชะตากรรมอย่างไร เป็นที่ระลึกถึงของชนรุ่นหลังตลอดมา

    %E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%8B%E0%B8%B5DVD_f.jpg
     
  2. ฤดูใบไม้ผลิ

    ฤดูใบไม้ผลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,036
    ค่าพลัง:
    +1,724
    3773-28008-2.jpg

    หวางเจาจวิน ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงนกยังต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้า”

    ใน รัชสมัยฮั่นซวนตี้ บรรดาชนชั้นสูงของชนเผ่าซงหนูต่างแย่งชิงอำนาจกัน มีข่าน 5 คนตั้งตนเป็นใหญ่ และทำสงครามกันเรื่อย ๆ ในจำนวนนี้ ข่านฮูหานเสีย รบแพ้ข่านจื้อจือ ผู้เป็นพี่ชาย จึงได้ตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ฮั่น และไปเข้าเฝ้าฮั่นซวนตี้ด้วยตนเอง ฮูหานเสียเป็นข่านคนแรกที่มายังดินแดนภาคกลาง ฮั่นซวนตี้จึงได้เสด็จออกไปต้อนรับที่ชานเมืองฉางอานด้วยพระองค์เอง และได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ฮูหานเสียพักอยู่ที่นครฉางอานหนึ่งเดือนกว่า

    จึงได้ขอร้องให้ฮั่นซวนตี้ช่วยเหลือให้ได้เดินทางกลับไป ฮั่นซวนตี้ตอบตกลง และได้ส่งแม่ทัพสองนายนำทหารม้าหนึ่งหมื่นนายคุ้มกันส่งข่านฮูหานเสียกลับไป ในเวลานี้เผ่าซงหนูกำลังขาดแคลนอาหาร ราชสำนักฮั่นจึงได้ส่งเสบียงอาหารจำนวนมากไปด้วย ข่านฮูหานเสียรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง และตั้งใจที่จะเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ฮั่น เมื่อแคว้นต่างๆ ทางตะวันตกทราบว่าเผ่าซงหนูเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์ฮั่น จึงต่างก็พยายามที่จะสร้างความสัมพันธ์กับราชวงศ์ฮั่นด้วย

    หลังจากฮั่น ซวนตี้สวรรคต พระโอรสก็ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบมา ทรงพระนามว่าฮั่นหยวนตี้ เมื่อข่านจื้อจือแห่งเผ่าซงหนูรุกรานแคว้นต่างๆ ทางตะวันตก และสังหารทูตที่ราชวงศ์ฮั่นส่งไป ราชวงศ์ฮั่นจึงได้ยกทัพออกไปรบและสังหารข่านจื้อจือได้สำเร็จ หลังจากที่ข่านจื้อจือตายแล้ว ฐานะของข่านฮูหานเสียก็มีความมั่นคงมากขึ้น

    ปี 33 ก่อนคริสต์ศักราช ข่านฮูหานเสียเดินทางมายังนครฉางอานอีกครั้งและขอให้มีการสมรสเชื่อมพันธ ไมตรี ฮั่นหยวนตี้ก็ได้พระราชทานอนุญาต การที่เผ่าซงหนูจะสมรสกับราชวงศ์ฮั่นนั้นจะต้องเลือกจากบรรดาองค์หญิงหรือ ธิดาของเชื้อพระวงศ์เท่านั้น

    ในครั้งนี้ฮั่นหยวนตี้ทรงตัดสินพระทัยที่จะเลือกนางสนมคนหนึ่ง พระองค์ส่งคนไปยังวังหลังให้ประกาศว่า “ผู้ใดยินดีที่จะไปยังเผ่าซงหนู ฮ่องเต้ก็จะแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง” บรรดานางสนมในวังหลังนั้นต่างก็
    คัดเลือกมาจากราษฎรสามัญชน เมื่อพวกนางถูกคัดเลือกเข้ามาในวังหลวงแล้วก็เหมือนกับนกที่ถูกกักขังอยู่ใน กรง ต่างก็หวังว่าจะมีสักวันหนึ่งที่พวกนางจะได้ออกจากวังไป แต่เมื่อได้ยินว่าจะต้องจากบ้านเกิดไปยังเผ่าซงหนู ต่างก็ไม่มีผู้ใดเต็มใจไป มีนางสนมคนหนึ่งนามว่าหวังเฉียง ฉายาเจาจวิน มีรูปโฉมงดงาม มีความรู้ ยินยอมที่จะไปแต่งงานยังเผ่าซงหนู หยวนตี้จึงได้เลือกวันที่จะจัดงานสมรสให้ข่านฮูหานเสีย และหวังเจาจวินที่นครฉางอาน

    ในขณะที่ข่านฮูหานเสีย และหวังเจาจวินกำลังแสดงความเคารพต่อฮั่นหยวนตี้อยู่นั้น ฮั่นหยวนตี้ก็ได้ทรงเห็นว่าหวังเจาจวินนั้นทั้งงดงาม และสุภาพเรียบร้อย นับว่าเป็นสาวงามในราชสำนักฮั่น ตำนานเล่าว่าเมื่อฮั่นหยวนตี้เสด็จกลับวังแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งทรงพิโรธ จึงได้บัญชาให้นำเอารูปภาพของหวังเจาจวินมาให้ทอดพระเนตร ในรูปภาพนั้นแม้จะมีส่วนที่คล้ายคลึงอยู่บ้าง แต่ไม่มีความงดงามเหมือนหวังเจาจวินตัวจริงโดยสิ้นเชิง ทีจริงแล้วหลังจากที่บรรดานางสนมเข้ามาในวัง โดยทั่วไปมักจะไม่ได้พบกับฮ่องเต้ แต่จะให้บรรดาจิตรกรวาดภาพ และส่งภาพเหล่านั้นไปให้ฮ่องเต้เลือก มีจิตรกรคนหนึ่งนามว่าเหมาเหยียนโซ่ว เวลาที่วาดภาพนางสนมทั้งหลายนั้น หากนางสนมคนใดให้สิ่งของเงินทอง ก็จะวาดให้สวยงาม หวังเจาจวินไม่ยินยอมที่จะติดสินบน ดังนั้นเหมาเหยียนโซ่วจึงไม่ได้วาดภาพออกมาตามความจริง ฮั่นหยวนตี้ทรงพิโรธมาก รับสั่งให้ประหารชีวิตเหมาเหยียนโซ่ว


    ภายใต้ การคุ้มกันของบรรดาขุนนางราชวงศ์ฮั่นและเผ่าซงหนูหวังเจาจวินก็ได้เดิน ทางออกจากนครฉางอาน นางขี่มาฝ่าลมหนาวอันทารุณ เดินทางนับพันลี้ไปยังเผ่าซงหนู เป็นมเหสีของ
    ข่านฮูหานเสีย ได้รับยศเป็น “หนิงหูเยียนจือ” ด้วยความหวังว่านางจะสามารถนำเอาความสงบสุขและสันติภาพมาสู่ชนเผ่าซงหนู หวังเจาจวินต้องจากบ้านเกิดไปไกล อาศัยอยู่ในเผ่าซงหนูเป็นเวลานาน นางเกลี้ยกล่อมข่านฮูหานเสียอย่าได้ทำสงคราม ทั้งยังเผยแพร่วัฒนธรรมของชาวฮั่นให้แก่ชาวซงหนู นับจากนั้นเป็นต้นมา


    เผ่าซงหนูและราชวงศ์ฮั่นต่างก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และไม่มีสงครามเป็นเวลานานถึงหกสิบกว่าปี ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ข่านฮูหานเสียสิ้นชีวิตแล้ว นางก็ได้ “ทำตามประเพณีของชาวซงหนู”โดยแต่งงานใหม่กับบุตร
    ชายคนโตที่เกิดกับ ภรรยาหลวงของข่านฮูหานเสีย ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะขัดกับขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวฮั่น แต่นางก็คำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก และคิดที่รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างชาวฮั่นและชาวซงหนู หวังเจาจวินได้ให้กำเนิดบุตรชาย 1 คน และบุตรสาว 2 คนที่เผ่าซงหนู ปีและสถานที่ที่นางถึงแก่กรรมนั้น หนังสือประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกเอาไว้


    ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงนกยังต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้า”เป็นเรื่องราว ตอนที่หวังเจาจวินเดินทางออกนอกด่าน ในรัชสมัยฮั่นหยวนตี้ ทางเหนือและใต้ทำสงครามไม่หยุดหย่อน ชายแดนไม่มีความสงบสุข เพื่อที่จะทำให้เผ่าซงหนูทางชายแดนด้านเหนือสงบลง ฮั่นหยวนตี้จึงได้พระราชทางหวังเจาจวินให้สมรสกับข่านฮูหานเสีย

    เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองเมือง ในวันที่ท้องฟ้าสดใส หวังเจาจวินได้จากบ้านเกิดเดินทางไปทางเหนือ ระหว่างทาง เสียงม้าและเสียงนกร้องทำให้นางโศกเศร้า ยากที่จะทำใจได้ จึงได้ดีดพิณขึ้นเป็นทำนองที่แสดงความโศกเศร้าจากการพลัดพราก บรรดานกที่กำลังจะบินไปทางใต้ได้ยินเสียงพิณอันไพเราะนี้ จึงมองลงไปเห็นหญิงงามที่กำลังขี่อยู่บนหลังม้า ต่างก็ลืมที่จะขยับปีก และร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน นับต่นั้นมา หวังเจาจวินจึงได้รับขนานนามว่า “ความงามที่ทำให้แม้แต่ฝูงนกยังต้องร่วงหล่นจากท้องฟ้า”นั่นเอง
     
  3. ฤดูใบไม้ผลิ

    ฤดูใบไม้ผลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,036
    ค่าพลัง:
    +1,724
    3773-2.jpg

    เตียวเสี้ยน “ความงามที่ทำให้แม้แต่ดวงจันทร์ยังต้องหลบเลี่ยงให้”

    เตียว เสี้ยน หรือเตียวฉาน เป็นนางระบำของขุนนางที่ชื่อว่าอ๋องอุ้น ในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก มีรูปโฉมที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง และมีความสามารถในการฟ้อนรำเป็นเลิศ ครั้นเมื่อนางเห็นว่าราชวงศ์ฮั่นตะวันออกตกอยู่ใต้อำนาจของขุนนางทรราชตั๋ง โต๊ะ ซึ่งแอบอ้างราชโองการปกครองเหล่าขุนนาง ทำให้ขุนทางทั้งหลายไม่กล้าขัดขืน อีกทั้งอ๋องอุ้นกลัดกลุ้มใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ในคืนพระจันทร์สว่างสดใส

    นางได้จุดธูปอธิษฐานต่อสวรรค์ยินดีที่จะรับภาระช่วยเหลือผู้เป็นนาย อ๋องอุ้นผ่านมาได้ยินเข้าก็รู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก จึงตรงเข้าไปพยุงนางลุกขึ้น และคำนับนาง นับจากนั้นจึงได้รับเตียวเสี้ยนเป็นธิดาบุญธรรม
    อ๋องอุ้นเห็นว่าตั๋ง โต๊ะกำลังยึดครองราชวงศ์ฮั่นตะวันออก จึงได้วางแผนการอันต่อเนื่อง ยกเตียวเสี้ยนให้แก้ลิโป้ ก่อนอย่างลับๆ แล้วจึงค่อยยกนางให้แก่ตั๋งโต๊ะ ลิโป้นั้นมีความกล้าหาญอายุยังน้อย ส่วนตั๋งโต๊ะเจ้าเล่ห์เพทุบาย เพื่อที่จะดึงลิโป้มาเป็นพวก ตั๋งโต๊ะจึงได้รับลิโป้เป็นลูกบุญธรรม ทั้งสองต่างก็ฝักใฝ่ในอิสตรี ดังนั้นนับจากนั้นมาเตียวเสี้ยนต้องรับมือกับบุคคลทั้งสอง ทำให้ทั้งคู่หลงใหล หลังจากที่ตั๋งโต๊ะรับเตียวเสี้ยนไว้เป็นภรรยาน้อย ลิโป้เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

    วันหนึ่ง ในขณะที่ตั๋งโต๊ะไปร่วมประชุมเหล่าขุนนาง ลิโป้ก็แอบเข้าไปพบกับเตียวเสี้ยน และนัดพบกันที่ศาลาฟ่งอี๋ เมื่อเตียวเสี้ยนไปพบลิโป้ ก็ได้แสร้งร้องไห้บอกเล่าความทุกข์ที่ถูกตั๋งโต๊ะขืนใจ ลิโป้โกรธมาก ในเวลาเดียวกันนั้นเองตั๋งโต๊ะกลับมาพบเข้า และด้วยความโกรธจึงได้แย่งเอาง้าวในมือของลิโป้และตรงเข้าแทง แต่ลิโป้หนีไปได้ นับจากนั้นทั้งสองต่างก็เกิดความระแวงซึ่งกันและกัน จนท้ายที่สุดอ๋องอุ้นก็สามารถเกลี้ยกล่อมลิโป้ให้กำจัดตั๋งโต๊ะได้ในที่สุด

    ฉายา “ความงามที่ทำให้แม้แต่ดวงจันทร์ยังต้องหลบเลี่ยงให้”ของเตียวเสี้ยนนั้นมา จากเรื่องราวตอนที่นางกำลังอธิษฐานต่อดวงจันทร์อยู่ภายในสวน ทันใดนั้นมีลมพัดขึ้นเบา ๆ เมฆจึงลอยมาบดบังอันสว่างสดใส ขณะนั้นบังเอิญอ๋องอุ้นมาพบเข้า เพื่อที่จะเป็นการกล่าวชมว่าธิดาของตนนั้นมีความงามเพียงใด เมื่อพบปะผู้คนก็มักจะกล่าวว่า บุตรีของข้าหากเทียบความงามกับดวงจันทร์แล้ว ดวงจันทร์ยังมิอาจเทียบได้ รีบหลบเข้าไปหลังหมู่เมฆ ดังนั้นผู้คนจึงขนานนามเตียวเสี้ยนว่า “ความงามที่ทำให้แม้แต่ดวงจันทร์ยังต้องหลบเลี่ยงให้”
     
  4. ฤดูใบไม้ผลิ

    ฤดูใบไม้ผลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,036
    ค่าพลัง:
    +1,724
    L207e.jpg

    หยางกุ้ยเฟย “ความงามที่ทำให้แม้แต่มวลหมู่ดอกไม้ยังต้องละอาย”


    หยาง อี้หวน มีชีวิตอยู่ในปี 719-756 เป็นชาวเมืองหย่งเล่อ มีความสามารถในทางดนตรีขับร้องและฟ้อนรำ ที่จริงเป็นชายาของโซ่วอ๋อง โอรสองค์ที่ 18 ของฮ่องเต้ถังเสวียนจง ภายหลังถังเสวียนจงพบว่าหยางอี้หวนมีรูปโฉมงดงาม คิดจะเรียกเข้าวัง ดังนั้นจึงตั้งให้เป็นนักบวชหญิงฉายาไท่เจิน สมัยเทียนเป่าปีที่สี่ (ค.ศ. 745) ได้เข้าวัง เป็นที่โปรดปรานของถังเสวียนจง จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสนมเอกหรือกุ้ยเฟย (ในขณะนั้นถังเสวียนจงมีพระชนมายุ 61 พรรษา ส่วนหยางกุ้ยเฟยมีอายุเพียง 27 ปีเท่านั้น) ทั้งบิดาและพี่ชายของหยางกุ้ยเฟยต่างก็มีอำนาจวาสนาในแผ่นดิน

    ทุกครั้งที่นางจะนั่งรถม้า ต่างก็มีบรรดาขุนนางใหญ่บังคับรถม้าให้ด้วยตัวเอง นางมีช่างถักทอและปักผ้าถึงเจ็ดร้อยคน มีผู้คนมากมายแย่งกันมอบของกำนัลต่างๆ ให้ เนื่องจากขุนนางจางจิ่วจางและหวังอี้มอบของกำนัลให้นางต่างก็ได้เลื่อน ตำแหน่ง ดังนั้นบรรดาขุนนางทั้งหลายต่างก็หวังที่จะได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกัน หยางกุ้ยเฟยโปรดปรานลิ้นจี่จากแดนหลิ่งหนาน ก็มีผู้คนคิดหาวิธีที่จะนำส่งมาถึงเมืองฉางอานให้เร็วที่สุด

    ภายหลัง เกิดเหตุการณ์ก่อกบฏ ถังเสวียนจงต้องหลบหนีออกจากนครฉางอาน เมื่อไปถึงเนินหม่าเหวย บรรดาทหารทั้งหลายไม่ยอมเดินทางต่อ ต่างก็กล่าวว่า เป็นเพราะหยางกั๋วจง ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของหยางกุ้ยเฟยสมคบคิดกับคนต่างเผ่า ทำให้อานลู่ซาน ก่อกบฏ เพื่อที่จะปลอบขวัญทหารถังเสวียนจงจึงได้รับสั่งให้ประหารชีวิตหยางกั๋วจง แต่บรรดาทหารต่างก็ยังคงไม่ยอมเดินทางต่ออยู่นั่นเอง ต่างก็กล่าวว่าหยางกั๋วจงนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของหยางกุ้ยเฟย เมื่อพี่ชายมีความผิด น้องสาวก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความผิดนั้นไปได้ หยางกุ้ยเฟยจึงถูกประหารชีวิตเช่นกัน


    “ความงามที่ทำให้แม้แต่มวลหมู่ ดอกไม้ยังต้องละอาย” เป็นฉายาของหยางกุ้ยเฟย ตอนต้นรัชสมัย ฮ่องเต้มีความลุ่มหลงในอิสตรี จึงได้ส่งคนออกค้นหาสาวงาม ในขณะนั้นหยางหยวนเหยียนมีธิดาที่รูปโฉมงดงามนามว่าหยางอี้หวนถูกเลือกเข้า วัง หลังจากที่เข้าวังแล้วนางก็มักจะคิดถึงบ้านเกิด วันหนึ่งนางไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ มองเห็นดอกโบตั๋นและกุหลาบจีนที่กำลังบานสะพรั่ง แล้วคิดถึงตนเองที่ถูกกักอยู่ในวังหลวง ผ่านวัยสาวไปอย่างไร้ความหมาย นางร้องไห้พลางลูบดอกไม้นั้น เมื่อนางแตะถูกกลีบดอกไม้กลีบนั้นก็หุบลง ใครจะคิดว่าต้นไม้ที่นางลูบนั้นคือต้นนางอาย นางกำนัลคนหนึ่งพบเห็นเหตุการณ์นี้เข้า จึงนำไปเล่าลือว่าหากหยางอี้หวนเทียบความงามกับดอกไม้แล้ว ดอกไม้ยังต้องละอายก้มลงให้แก่นาง เรื่องนี้ได้ยินไปถึงพระกรรณฮ่องเต้ พระองค์มีความยินดีเป็นอย่างมาก จึงทรงเรียกหยางอี้หวนให้เข้าพบทันที นางแต่งกายงดงามแล้วจึงมาเข้าเฝ้า ฮ่องเต้ได้พบว่านางมีรูปโฉมที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง จึงให้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกาย เนื่องจากนางรู้จักเอาใจจึงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ไม่นานนักก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเฟย


    หลังจากที่หยางกุ้ยเฟยมี อำนาจ ก็ได้ร่วมมือกับหยางกั๋วจงให้ร้ายขุนนางที่ภักดี หลังจากเกิดเหตุก่อกบฏ ฮ่องเต้ได้นำเอาหยางกุ้ยเฟยรวมทั้งเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊หลบหนีไปทางตะวันตก อานลู่ซานยกทัพติดตามไป เพราะไม่เพียงแต่ต้องการแผ่นดินราชวงศ์ถังเท่านั้น ยังต้องการสาวงามหยางกุ้ยเฟยอีกด้วย ระหว่างทางที่หลบหนีนั้นเหล่าขุนนางทั้งหลายถามฮ่องเต้ว่าท่านต้องการแผ่น ดินหรือต้องการหยางกุ้ยเฟย หากไม่ประหารนางพวกเราก็จะไม่ร่วมทางไปด้วย ด้วยความจำเป็นฮ่องเต้จึงสั่งให้ประหารชีวิตหยางกุ้ยเฟย ให้นางผูกคอตายใต้ต้นหลีในสวน ภายหลัง กวีเอกไป๋จวีอี้ได้แต่งลำนำ “ฉางเฮิ่นเกอ” บรรยายเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ตอนนี้ขึ้น
     
  5. minidog

    minidog Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2009
    โพสต์:
    266
    ค่าพลัง:
    +91
    สวยจนพระจันทร์ หลบ
     
  6. SOMDEJ

    SOMDEJ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    611
    ค่าพลัง:
    +353
    สามนางมีที่มาที่ไป
    นางหนึ่ง - เตียวเสี้ยน เคยอ่านพบว่า "เค้า"เติมสีสรรตำนานสามก๊ก
    จริงเท็จอย่างไรก็เกิดไม่ทัน ใครว่าไงเราก็มะเถียงดอก...
     
  7. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,171
    ค่าพลัง:
    +7,815
    เตียวเสี้ยนไม่มีตัวตนจริง นางถูกแต่งเติมขึ้นมาภายหลังเจ้าค่ะ

    ไซซีก็มิได้ออกท่งเที่ยวไปกับฟ่านหลี แต่ฟ่าหลีรู้ดีว่า เย่อ๋องเป็นผู้ที่ให้ผู้อื่นร่วมทุกข์ด้วย แต่ไม่ยอมให้ผู้อื่นร่วมเสวยสุข และรู้ดีว่าภัยจะมาถึงตัวหากยังอยู่กับเย่อ๋องที่พิชิตศัตรูได้แล้ว จึงลาออกและปลอมตัวหนีไปรัฐอื่น ประกอปอาชีพค้าขายจนร่ำรวย ช่วงวัยชรายังมีบันทึกไว้ว่า ลูกชายคนเล็กของฟ่านหลีถูกประหาร หลังจากฟ่านหลีพยายามวิ่งเต้นช่วย แต่ล้มเหลวจ๊ะ หุ หุ หุ
     
  8. ฤดูใบไม้ผลิ

    ฤดูใบไม้ผลิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,036
    ค่าพลัง:
    +1,724
    ^^ ยังมี ผู้หญิงอีกท่านหนึ่งคะ ที่มีความสามารถไม่แพ้ กับ 4 คนแรก

    นั่น ก็ คือ บูเช็กเทียน

    บูเช็กเทียน...จักรพรรดินีพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน


    เมื่อคริสต์ศักราช 690 พระนางบูเช็กเทียน หรือหวู่เจ๋อเทียนได้ขึ้นครองราชย์และสถาปนาราชวงศ์โจว กลายเป็นจักรพรรดินีเพียงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ของประเทศจีน ชั่วชีวิตของพระนางนั้นประดุจดั่งเทพนิยาย ทำให้ชนรุ่นหลังมีนานาทรรศนะต่อพระองค์ ซึ่งมีคำติและคำชม


    บูเช็กเทียนหรือหวู่เจ๋อเทียน เกิดในคริสต์ศักราช 624 ในตระกูลสามัญชน เมื่ออายุได้ 14 ปี นางก็ถวายตัวเป็นนางสนมของพระเจ้าถังไท่จง จักรพรรดิองค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์ถัง และเพราะนางอิ่มเอิบด้วยเสน่ห์และความเย้ายวน

    จึงได้รับพระราชทานนามจากพระเจ้าถังไท่จงว่า “เม่ยเหนียง” ซึ่งมีความหมายว่า “นางผู้ทรงเสน่ห์” ส่วนพระนาม “เจ๋อเทียน” นั้น นางตั้งให้แก่ตนเองหลังจากประกาศขึ้นครองราชย์แล้ว ซึ่งมีความหมายว่า “ปกครองบ้านเมืองตามกฎธรรมชาติและดูเยี่ยงอย่างฟ้าดิน”


    1236451255.jpg


    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD><TD>
    ตั้งแต่วัยเยาว์บูเช็กเทียนมีนิสัยใจคอที่แตกต่างจากสตรีคนอื่นๆ โดยพระเจ้าถังไท่จงทรงมีม้าพยศตัวหนึ่ง ไม่มีผู้ใดสามารถฝึกให้เชื่องได้ วันหนึ่ง บูเช็กเทียนกราบทูลพระเจ้าถังไท่จงว่า “ข้าพระองค์สามารถฝึกมันให้เชื่องได้ แต่ต้องการแส้เหล็กและดาบ คือ ข้าพเจ้าจะใช้แส้เฆี่ยนมันก่อน หากมันไม่เชื่อง ก็ทุบหัวของมัน ถ้ายังไม่เชื่องอีก ก็ใช้ดาบปาดลำคอของมันให้ขาดเสีย” เมื่อพระเจ้าถังไท่จงได้สดับดังนั้นก็รู้สึกสะเทือนพระทัยยิ่ง ทรงเห็นว่านางสนมที่อยู่ในกรอบจารีตประเพณีไม่ควรกล่าวคำพูดทำนองดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าถังไท่จงจึงจับตามองนางเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม หลี่จื้อรัชทายาทของพระองค์กลับชื่นชอบบูเช็กเทียนผู้มีอายุแก่กว่าตนเองถึง 4 ปี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เมื่อพระเจ้าถังไท่จงเสด็จสวรรคตไปแล้ว หลี่จื้อในฐานะรัชทายาทได้สืบพระราชบัลลังก์ขึ้นเป็นพระเจ้าถังเกาจง และโปรดให้แต่งตั้งบูเช็กเทียนเป็นพระสนมคนโปรด จนต่อมาได้เลื่อนศักดิ์สูงขึ้นเป็นพระมเหสีสมความปรารถนาของบูเช็กเทียน เนื่องจากพระเจ้าถังเกาจงทรงเป็นคนเจ้าอารมณ์และจิตใจลังเลไม่มีความเฉียบขาด นางก็มีส่วนช่วยพระเจ้าถังเกาจงในกิจการบ้านเมืองอยู่เสมอ

    เมื่อได้เป็นพระมเหสีแล้ว นางก็ยิ่งทำลายประเพณีที่ห้ามสตรีมีส่วนร่วมในกิจการบ้านเมืองมากขึ้น โดยนางมีส่วนร่วมในการวางแผนกิจบ้านเมืองโดยตรง เรื่องสำคัญต่างๆพระเจ้าถังเกาจงต้องปรึกษากับนางทุกเรื่อง จนขุนนางทั้งหลายถวายพระนามทั้งสองพระองค์ว่า “เอ้อเซิ่ง” หรือ “สองพระบรมราชา”

    หลังจากที่พระเจ้าถังเกาจงเสด็จสวรรคตแล้ว พระโอรสสองพระองค์ของพระเจ้าถังเกาจงก็ได้ขึ้นครองราชย์ตามลำดับ แต่ทว่าผู้ที่กุมอำนาจแท้จริง คือ พระนางบูเช็กเทียน เมื่อพระนางมีพระชนมมายุ 67 พรรษา พระนางได้เลิกล้มจักรพรรดิหุ่น และอภิเษกขึ้นครองราชย์บัลลังก์เป็นจักรพรรดินี และประกาศเปลี่ยนชื่อราชวงศ์จาก “ถัง” มาเป็น “โจว”


    จักรพรรดินีบูเช็กเทียนทรงพระปรีชาสามารถในการปกครองบ้านเมือง พระองค์ทรงส่งเสริมการเกษตร ลดหย่อนภาษี นอกจากนี้ ยังทรงมีพระราชกรณียกิจเลี้ยงไหมและทำนาด้วยพระองค์เอง และทรงเป็นตัวอย่างแก่ขุนนางทั้งหลายในการเห็นอกเห็นใจประชาชน พระนางบูเช็กเทียนทรงครองราชย์สมบัติ 15 ปี ภายใต้การปกครองของพระนางนั้น ประเทศจีนมีกำลังเข้มแข็งเกรียงไกร มีเสถียรภาพทางสังคม มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสามารถป้องกันทัพของศัตรูที่เข้ามารุกรานให้ถอยกลับไปได้สำเร็จหลายครั้ง

    เมื่อจักรพรรดินีบูเช็กเทียนทรงมีพระชนมมายุได้ 82 พรรษา ก่อนเสด็จสวรรคตไม่นาน พระนางได้ทรงสละราชสมบัติให้แก่พระโอรส และรื้อฟื้นราชวงศ์ “ถัง” ขึ้น และหลังจากพระนางเสด็จสวรรคตแล้ว พระศพของพระองค์ได้ฝังไว้ร่วมกับพระเจ้าถังเกา-จง พระสวามี ณ สุสานหลวงเฉียงหลิง มณฑลส่านซี ในภาคตะวันตกของประเทศจีน และได้สร้างศิลาจารึกไร้อักษรไว้หน้าสุสานด้วย ศิลาจารึกไร้อักษรนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เพราะว่าความสำเร็จ ความล้มเหลว และความผิด ความถูกของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน พระนางไม่ต้องการให้เหล่าขุนนางจารึกไว้เป็นอักษร หากแต่ให้ชนรุ่นหลังพิจารณาเอา

    จาก
    www.aksorn.com/Lib/S/Soc_04/


    กลอนบทหนึ่งซึ่งแต่งไว้ให้แก่ฮ่องเต้หญิงพระองค์นี้ ได้มีการแปลเป็นไทยได้ความว่า
    นับเป็นบุญ ช่วยหนุนนำ หรือกรรมซัด
    สวรรค์จัด ให้กำเนิด เกิดใต้ฟ้า
    ฤๅนรก บีฑาคน ดลเธอมา
    ลงเป็นข้า ในพระองค์ ถังไท่จง
    เป็นสตรี ถือดีมา กว่าหญิงอื่น
    กล้าหยัดยืน ฝืนชะตา ที่ฟ้าส่ง
    ขอลิขิต ขีดเส้นทาง อย่างทะนง
    เป็นนางหงส์ คงเคียงคู่ หมู่มังกร
    ใครกำหนด กดสตรี มิแจ้งเกิด
    บุรุษเลิศ ประเสริฐล้ำ นำหน้าก่อน
    ส่วนนารี สิอยู่หลัง ดังขั้นตอน
    คือคำสอน กลอนโบราณ สานสืบมา
    เปลี่ยนแนวคิด ขีดเส้นใต้ ให้คำใหม่
    ขอก้าวไกล ไปเป็นหนึ่ง ซึ่งเหนือหล้า
    เป็นฮ่องเต้ ยอดหญิงเหล็ก เสกบัญชา
    ฤทธิ์เทียมฟ้า นางพญา บูเช็กเทียน
     
  9. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ภาพการ์ตูน สวย ๆ คนวาดเก่ง ๆ
    แต่รู้สึกว่า นางฟ้า จะสวยกว่า
     
  10. Prathuang

    Prathuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มกราคม 2008
    โพสต์:
    658
    ค่าพลัง:
    +178
    เพราะอย่างนี้เล่า มนุษย์จึงต้องท่องเที่ยวในภพภูมิต่อไป
     
  11. CharnK

    CharnK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,453
    เก่งสุด แต่ไม่สวย คือ บูเช็กเทียน
    เคยอ่านมานานมากแล้วว่า ไซซีเป็นคนไทยนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...