อยากทราบการบำเพ็ญการเป็นโพธิสัตว์(มหายาน)

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ukitake, 24 สิงหาคม 2011.

  1. ukitake

    ukitake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    311
    ค่าพลัง:
    +140
    ผมอยากทราบว่าฝ่ายมหายาน พระโพธิสัตว์เค้าบำเพ็ญบารมียังไง

    ผมสนใจมหายานมาก

    ขอบคุณล่วงหน้านะครับ
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
  3. wayokasin

    wayokasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +277
    http://www.mahaparamita.com/ ลอง web นี้ดูครับ จะมีแนวทางการบำเพ็ญบารมี และ คำสอนของพระโพธิสัตว์แต่ละ พระองค์ :cool:
     
  4. เฟลม

    เฟลม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +15
  5. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    ไปหาหนังสือ โพธิสัตตวจรรยาวตาร แนวทางแห่งการดำเนินชีวิตของพระโพธิสัตต์ ท่านศานติเทวะ รจนา รศ.ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ แปลไทยน่าจะเป็นแนวทางที่ดีในการปฏิบัติ
     
  6. เจษฎา ทุ่มนุ่ม

    เจษฎา ทุ่มนุ่ม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2017
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +5
    ถ้าพูดตามหลักทฤษฎี พระโพธิสัตว์ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหินยาน (เถรวาท) หรือ ฝ่ายมหายาน (อาจริยวาท) นั้น แทบไม่มีความแตกต่างกัน เพียงแต่ ฝ่ายหินยาน มุ่งเน้นที่จะขจัดกิเลสของตนเสียก่อน และจึงปรกโปรดผู้อื่น ซึ่งต่างจาก มหายาน ที่จะมุ่งเน้น ให้คนอื่นมีสุขก่อนตน ไม่ว่าตนจะทุกข์อย่างไร
    แต่อย่างไรก็ตาม ในคัมภีร์ของมหายานจะแสดงสิ่งที่เป็นปณิธานเสมอ ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกว่า ทางของพระองค์นี้ ไม่ว่าจะเป็นยานใดในตรียาน (สาวกยาน ปัจเจกยาน โพธิสัตว์ยาน) ล้วนเป้นไปเพื่อ พุทธยาน (การเป็นผู้รู้) โดยรวมตรียานเป้นหนึ่งยาน (เอกยาน)
    ดังนั้นแล้ว การจะบำเพ็ญ เป็นพระโพธิสัตว์ (โพธิสัตว์ยาน) เพื่อจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ (พุทธยาน) ในแบบมหายานนั้น จะต้องรวมยานเป็นหนึ่งคือ ต้องเริ่มจากเป็น สาวก เก็บเกี่ยวคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติ จากนั้นก็หาหนทางเอง เป็นปัจเจกยาน ผิดๆถูกๆ จนได้ธรรมที่ดีที่สุด จากนั้นก็เอาคำพระพุทธเจ้า กับ สิ่งที่ตนเองประพฤติ มาไตร่ตรองรวมกัน นี่แหละ มหายาน
    สรุปง่ายๆ การบำเพ็ญเป็นโพธิสัตว์ ในแบบมหายาน
    ต้องเริ่มจาก ดูคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่า ต้องทำดี ละชั่ว จิตใจต้องสงบ
    ต้องบำเพ็ญบารมีหก (แบบมหายาน) มีปณิธานสี่ เดินตามรอยอย่างพระพุทธเจ้า ด้วยตนเอง
    จึงจะนำไปสู่ พระพุทธยานอย่างแท้จริง
     
  7. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,272
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,095
    ถ้าเป็นผม เอาแบบง่ายๆ เลยนะครับ
    ท่อง นำมอออนีฮุก ทุกวันครับ ขอตั้งจิตไปเกิด ณ แดนสุขาวดี ของพระอมิตพุทธ
    คุณจะได้รับพร 48 ประการของ พระอมิตพุทธเจ้า
    ค่อยไปเรียนวิธีบำเพ็ญ พระโพธิสัตว์ ในสายมหายาน กับพระอมิตพุทธเจ้า ครับ
    นี่เป็นวิธีที่ง่าย และตรงที่สุดแล้วครับ
     
  8. เจษฎา ทุ่มนุ่ม

    เจษฎา ทุ่มนุ่ม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2017
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +5
    แนะนำอาวุโสนะครับ การบำเพ็ญในโลกธาตุนี้ กับ โลกธาตุสุขาวดีพุทธเกษตร ตามที่ได้ศึกษาจาก พระพุทธคัมภีร์มหายาน คือ สุขาวดีวยูหสูตร มีการระบุไว้ถึงการบำเพ็ญ ซึ่งในหนังสือพระสูตรนี้ มีการอ้างอิง อวตัมสกสูตรที่ว่า
    ถืออุโบสถศีล หลายปี ณ สุขาวดี มิอาจสู้ ถืออุโบสถศีล 1 ทิวาราตรี ในโลกธาตุนี้
    ดังนั้นแล้วบำเพ็ญในโลกนี้ สำเร็จง่ายกว่าในโลกหน้า เนื่องด้วยโลกนี้ มีทั้งสุขทั้งทุกข์ มีสุขก็ดี มีทุกข์ก็ฝึกฝนปัญญา ซึ่งแตกต่างกับสุขาวดีที่บำเพ็ญยากตรงที่จิตปรากฎแต่สุขารมณ์

    และต้องระวังอีกประการนะครับ ลองไปดูคลิปเรื่องวิถีโพธิสัตว์ ของ พระอาจารย์วิศวภัทร มณีปัทมเกตุ ในยูทูป รายการยกวัดไว้เซเว่นอะไรสักอย่างเนี่ยนะครับ ท่านจะบอกว่า
    นิกายสุขาวดี เน้นภาวนาพระพุทธนาม เพราะเชื่อตามพระคัมภีร์ที่ว่า โลกหน้าจะได้ไปสุขาวดี จนมากเกินไป จนเกิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือสวดพระพุทธนามแต่ประพฤติไปเป็นทางอกุศล จิตเกิดอกุศล หมกมุ่นกับการสวด ซึ่งต่างจากในคัมภีร์ที่ระบุไว้ว่า สวดแล้ว ต้องเข้าถึงพุทธานุสสติ คือ สงบราบคาบจากกิเลสครับ
     
  9. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,612
    ค่าพลัง:
    +2,882
    ทาน ศีล ภาวนา แค่นี้ล่ะ
     
  10. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,272
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,095
    ขอตอบตามนี้ครับ
    1.ไม่นะครับ การบำเพ็ญที่แดนสุขาวดีมี ภูเขารูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นที่บำเพ็ญของสรรพสัตว์ และมีสระน้ำสำหรับไปแช่เพื่อชำระล้างจิตใจ มีฟังธรรมทุกวันจากพระโพธิสัตว์ใหญ่ เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม ฯลฯ
    2.การบำเพ็ญในแดนสุขาวดี แบ่งเป็น 9 ขั้น ประกอบ ไล่ไปตั้งแต่ บัวชั้นล่าง - บัวชั้นกลาง -บัวชั้นสูงครับ
    3.การบำเพ็ญเป็นเรื่องของเราเองครับ นอกจากสวดพุทธนาม ก็ต้องมีศีล 5 กรรมบถ 10 เป็นพื้นฐาน ซึ่งเราชาวพุทธถือว่าต้องประพฤติปฎิบัติกันทุกคนครับ ส่วนจะปฎิบัติได้มากน้อยเป็นเรื่องของแต่ละคน

    ขอแนะนำให้อ่าน เรื่อง ท่องแดนสุขาวดี ตามลิงก์ เพื่อสนับสนุนคำตอบที่ผมโพสนะครับ
    http://group.wunjun.com/truthoflife/topic/173172-4083

    ขอให้พระอมิตาภพุทธเจ้าประทานพรให้ทุกท่าน โชคดัีครับ สาธุ สาธุ
     
  11. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ความจริง พระโพธิสัตว์จะฟากมหายาน หรือหินยาน ก็คือ พระโพธิสัตว์ ประดุจดั่งไฟ จะเกิดที่ไหน ก็คือไฟ ย่อมมีคุณลักษณะอย่างเดียวกัน

    การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ จะหินยานหรือมหายาน ก็บำเพ็ญดุจเดียวกัน แต่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล และแต่ละระดับชั้นการฝึกฝนอบรมบารมี

    ดังนั้น พระโพธิสัตว์ในสายหินยาน กับมหายาน ก็มีเจตนารมณ์เหมือนกันหมด ที่มีการกล่าวว่า สายมหายานเน้นช่วยคนอื่นก่อน สายหินยานช่วยตัวเองก่อน เป็นเพียงมุมมองเท่านั้น ตามพระไตรปิฎกของเถรวาทเราเอง ความปรากฎชัดทั้งสองกรณีในชาดกเรื่องต่างๆ คือ ไม่ว่ากรณีที่มีความว่า พระโพธิสัตว์มุ่งบำเพ็ญบารมีเพื่อสัตว์อื่นก่อนตัวเอง แม้ตัวเองทุกข์อย่างไรก็ตาม กับกรณีที่พระโพธิสัตว์พ้นแล้วจากทุกข์ในระดับใดระดับหนึ่งก็มาช่วยสรรพสัตว์ตามนั้น

    แต่เพียงว่า พระพุทธองค์ท่านเน้นผลปัจจุบัน คือ บุคคลที่อาจตรัสรู้ได้ทันทีนั้น จะมีด้วยบารมีแห่งพระพุทธองค์จึงเน้นสอนให้ตรัสรู้ทันที เพราะถ้าพ้นโอกาสอันประเสริฐ มันก็จะเนินช้า ตามเหตุปัจจัย

    นอกจากนี้ ที่เห็นกันว่า ในมหายานต้องไปที่แดนสุขาวดี ไปเรียนธรรมที่นั้น ก็อีกนั้นแหละ ในสายหินยานเอง ตามพระไตรปิฎก อ่านจากหลายที่ จะมีการกล่าวแต่แรก ถึงการสอนธรรมของพระในโลกทิพย์อยู่แล้ว(ที่อยู่ในสภาพ พระพรหมบ้าง เทวดาชั้นสูงบ้าง หรือพระมหาโพธิสัตว์) นั้น หมายถึงว่า กรณีการเรียนธรรมที่แดนทำนองสุขาวดี ก็มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก แต่ผมว่า นามเรียก เท่านั้นที่ไม่เหมือนกัน แต่สภาพแดนสุขาวดี กับสภาพบนสวรรค์ที่มีการเรียนธรรมกัน ก็มีสภาพแบบเดียวกัน

    พระถังซัมจัง หรือท่านเสวียนจ้าง จึงกล่าวว่า หินยาน มหายาน แค่คำอุปมา ส่วนที่ท่านพูดต่อมาจากนั้น จึงเป็นเพราะท่านเรียนกับฝ่ายมหายาน จึงต้องให้เกียรติพระอาจารย์สายนี้ที่สอนท่าน

    สำหรับท่าน จะสายหินยาน มหายาน ถ้าท่านจะเรียนที่แดนสุขาวดี เรียนกับพระโพธิสัตว์องค์ใด เช่น เจ้าแม่กวนอิม หรือกับพระอมิตาภะพุทธเจ้า ท่านตั้งใจให้สำเร็จด้วยสมาธิตั้งแต่อุปจารแบบน้ำไหลเรื่อยๆ ประกอบกับวาสนา ท่านสามารถไปถึงสุขาวดีด้วยอึดใจเดียว หรือท่านจะไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์หรือ ดุสิต ก็ไปได้ทั้งสิ้น ไปตั้งแต่อยู่ในโลกนี้ ไม่ต้องรอตายครับ

    ถือศีล ๕ เป็นอย่างน้อย สงัดจากกามพอสมควรเป็นอาจิณ (พอสมควร คือ ไม่ถึงกับต้องตัดขาด แต่ในช่วงเวลาส่วนใหญ่อย่าให้กามและอุปกิเลสกวนมากนัก เพราะยังไงสวรรค์ หรือ สุขาวดี ก็เปิดทางให้คนมีกิเลสได้เรียนรู้อยู่แล้ว ) นั่งสมาธิเป็นอาจิณทุกวัน แผ่เมตตาทุกวัน ไม่ต้องถึงกับทุกขณะจิต แต่ก็มากพอ ที่จิตจะสงบเย็น ท่านตั้งอธิษฐานและขอกราบพระโพธิสัตว์องค์ใด ก็ทำจิตคล้ายที่เรียกว่า พุทธานุสติ ก็สามารถไปเรียนได้

    ปล. ท่านไม่ต้องเชื่อประสบการณ์นั้น แต่ให้พิจารณาเอาแต่ข้อธรรม โดยฝึกฝนให้จิตใฝ่ในกุศลบารมีไว้ให้มาก และให้สอบทานมากๆ กับโลกปัจจุบัน เป็นผู้อ่านผู้ฟังมาก
     
  12. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ร่วมแสดงความเห็นนะครับ
    ถ้ามองต้นพุทธกาล
    พระศาสดาตรัสบอกกล่าวให้ชัดเจนเกี่ยวกับ
    พระโพธิสัตว์ ทั้งอนิตยโพธิสัตว์ นิยดโพธิสัตว์
    เพราะมีมหาโพธิสัตว์เกิดร่วมต้นพุทธการหลายคน
    ฝ่ายเทรวาท(ผู้เดินตามพระเถระมาแต่ต้นพุทธกาล)
    รักษาคำตรัสบอกของพระศาสนาไว้สืบมา

    ต่อมากาลเวลาผ่านไปพระศาสดาและสาวกอรหันต์เข้านิพพานไป
    ทิ้งศาสดาไว้

    ต่อมาอนิตโพธิสัตว์มาเกิดร่วมในศาสนาจำนวนมาก เพื่อร่วมสืบศาสนา
    ในหมู่อนิตยโพธิสัตว์ ผู้ยังไม่เที่ยงแท้
    ขาดบ้าง เกินบ้าง
    ทำให้เกิดมหายานขึ้นมา...ต่อมาก็เริ่มเพื้ยนไปจากคำตรัสของพระศาสดา

    เลยพูดกันแต่แดนสุขาวดี
    และพูดถึงแต่พระพุทธเจ้าเก๋ อยู่เนืองๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2017
  13. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,272
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,095
    ผมเห็นด้วยกับคุณ ณฉัตร ครับ

    จริงๆ แล้ว สุดท้ายแล้ว ถึงพระนิพพานกันทุกคน
    จะช้า จะเร็วอยู่ที่ความชอบใจครับ
     
  14. เจษฎา ทุ่มนุ่ม

    เจษฎา ทุ่มนุ่ม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2017
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +5
    อย่างนั้นขอตอบตามจริงเลยนะครับอาวุโส ที่อาวุโสยกมา เป็นเนื้อหาในพระสูตรสุขาวดีวยูหสูตร และ อมิตาภสูตร ส่วนเรื่องถือศีล 5 กรรมบถ 10 เป็นฐานอยู่แล้ว
    แต่เรื่องบำเพ็ญไม่เทียบเท่ามีจริงๆครับ ถ้าศึกษาตามพระพุทธสูตร
    จะขอยกให้อาวุโสอ่านนะครับ

    ในคัมภีร์มหารัตนกูฏ มัญชุศรีวยากรณวรรค กล่าวว่า
    หากมีหมู่สัตวที่บำเพ็ญจริยาในสุขาวตีโลกธาตุจำนวนร้อยพันโกฏปี ก็ยังมีกุศลมิเสมอผู้ที่อยู่ในสหาโลกธาตุ แล้วเกิดกรุณาจิตต่อสรรพสัตว์แม้นขณะเดียว แล้วจักประสาใดกับผู้ตั้งอยู่ในจิตวิสุทธิ์ตลอดทิวาราตรี
    (ในที่นี้บอกว่า ถึงจะบำเพ็ญที่สุขาวดีสักร้อยพันโกฏปี ก็มิสู้ ผู้มีกรุณาจิตแม้นขณะเดียวในโลกเรานี้ แล้วจะประสาอะไรกับคนที่สามารถมีจิตที่บริสุทธิ์ตลอด1วัน1คืน บนโลกนี้)

    ในคัมภีร์ 思益經 กล่าวว่า หากธำรงศีลบริสุทธิ์ในวิศุทธิภูมิตลอดกัลป์หนึ่ง การเจริญเมตตาในสหาโลกธาตุแห่งนี้ประเสริฐกว่า
    (ในที่นี้หมายถึง การดำรงศีลบริสุทธิ์ในโลกที่บริสุทธิ์ไม่มีทุกข์ มิสู้ การเจริญเมตตาในโลกของเรานี้)

    และยังมีกล่าวอีกว่า ตถาคตทัศนาอภิรตีโลกธาตุ (พระพุทธเจ้าทรงมองโลกของพระอโษภยะ) กับ สุขาวดีโลกธาตุ ที่ภายในปราศจากทุกข์ใดๆทั้งไร้ชื่อของทุกข์ หากมิอาจสำเร็จความสมบูรณ์ซึ่งบารมีจึงถือว่าแปลก แต่การสามารถทนต่อทุกข์ในสหาโลกธาตุนี้ แล้วสั่งสอนผู้อื่น จึงถือเป็นกุศลที่ประเสริฐนัก
    (ในที่นี้บอกว่า การที่บรรลุบารมี ในโลกที่ปราศจากทุกข์มิใช่เรื่องแปลก แต่การได้อยู่ในโลกของความทุกข์ แล้วทนด้วยธรรม สอนผู้อื่นด้วยธรรม นี่คือกุศลที่ประเสริฐกว่า)

    ในคัมภีร์ 善生經 กล่าวว่า เมื่อสมัยที่พระศรีอาริยเมตรเตรยะอุบัติขึ้นแล้ว หากมีผู้ธำรงสิกขาบทอยู่ร้อยปี ก็มิเท่า ในสมัยของเราตถาคต ด้วยเหตุที่ว่า หมู่สัตว์ในสมัยของเรานี้ ประกอบด้วยความเสื่อมถอย 5 ประการ
    (ในที่นี้บอกว่า ในเมื่อสมัยพระศรีอาริย์เกิด หากมีคนถือศีลสักร้อยปี ก็มิเท่า ถือศีลในสมัยนี้ (ในโลกแห่งนี้ด้วย) เพราะเป็นโลกที่เสื่อม มีสมัยที่เสื่อม เป็นจุดที่ดีสำหรับการบำเพ็ญธรรม เพราะจะทำให้เรียนรู้ทุกข์ ละสมุยทัย แจ้งนิโรธ แล้วปฏิบัติทางมรรคได้ง่าย สรุปคือ มีบททดสอบมาก ทำให้สามารถชี้วัดความสำเร็จของตนเองได้)

    ดังนั้นขอให้อาวุโสช่วยอ่านด้วยนะครับ เพื่อความเข้าใจในพระสูตรที่ถูกต้อง
    อันเป็นการสืบทอดความรุ้ทางพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องชัดเจน
    ส่วนเรื่องศีล 5 กุศลกรรมบถ 10 ไม่ปรากฎชัดเจน ในพระพุทธสูตร แต่จะปรากฎเป็นความนัย
    แล้วจึงมีพระตรีปิฎกวินิจฉัยอรรถกถา ทำให้ในสมัยก่อน มีคนเกิดมิจฉาทิฏฐิคิดว่าสวดอย่างเดียวจริงๆ

    นอกจากการศึกษาคำสอนแล้ว จะต้องศึกษาประวัติศาสตร์ และควบคู่กับพระสูตรอื่นด้วยครับ
    เพื่อจะได้ความรู้ที่ถูกต้อง ชัดเจนครับ

    เพื่อเป็นการอ้างอิงแหล่งที่มาของเนื้อหาที่ให้มานี่ ขออาวุโสดูที่หน้า 79 ของลิ้งพระสูตรที่อาวุโสให้ประกอบการโพสต์มา ตรงบริเวณอ้างอิงหน้า 79 จะเขียนไว้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2017
  15. เจษฎา ทุ่มนุ่ม

    เจษฎา ทุ่มนุ่ม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2017
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +5
    จริงๆแล้วก็ถูกครับ ว่า สุดท้ายก็พระนิพพาน
    แต่ถ้าเราเข้าใจของทั้งสองนิกายจะพบว่า

    ฝ่ายเถรวาทเรา จะเน้นเรื่องการดับทุกข์โดยตรง เป็นไปตามพระพุทธพจน์ครับ
    ซึ่งในบางกรณี ก็ไม่เกิดการอนุโลมตามหมู่สัตว์ครับ
    หมุ่สัตว์บางประเภท โง่ ฉลาดต่างกัน ไปตามระดับปัญญา
    แต่ฝ่ายมหายาน จะเน้นเรื่องการอนุโลมของหมู่สัตว์ คือนำเอาพุทธพจน์สอดแทรก แล้วเน้นที่จะทำความเข้าใจเรื่องพระโพธิสัตว์ คือ การที่สร้างปัญญาแก่ตน ดับทุกข์แก่ตน แล้วจึงช่วยเหลือผู้อื่น อันเป้นการอนุโลมหมู่สัตว์ตามระดับปัญญา มีความสุขุม ล้ำลึกละเอียดทางความรู้เช่นกัน

    แต่การพูดว่า พูดกันแต่เรื่องสุขาวดี และ พระพุทธเจ้าเก๋ๆ เห็นจะไม่สมควร
    เพราะที่เถรวาท เชื่อว่า ตนเองได้ตีรับประกันว่า คำสอนของตนนั้นเป็นคำสอนฉบับเดิม เป็นคำสอนที่สงฆ์ในสมัยสังคายนายอมรับนั้น เห็นเป็นเรื่องไม่ควร เพราะเถรวาท ก็ยึดคัมภีร์ทีปวงศ์ มายืนยัน ว่า คำสอนที่ตนได้มา นั้นเป็นสิ่งที่สงฆ์ส่วนใหญ่ยอมรับ และ เป้นคำสอนดั่งเดิม ไม่ตัดทอน และ เพิ่มเติม แก้ไข ทำให้กลับมองว่า มหายาน มีการแต่งเติมพระธรรมคำสอน

    ในขณะที่มหายาน ก็ยก คัมภีร์ศาริปุตรปริปฤจฉา อ้างว่า ของตนนั้นถูกต้อง เป็นคำสอนที่สงฆ์ส่วนใหญ่ยอมรับครั้งสังคายนา และเป็นคำสอนดั่งเดิม ไม่ตัดทอน เพิ่มเติม หรือ แก้ไข
    ดังนั้นแล้ว ทำให้มองกลับกันว่า เถรวาทอาจตัดถอนคำสอนโดยมิชอบก็ได้

    ดังนั้นเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มหายาน หรือ เถรวาท เป็นคำสอนดั่งเดิม ไม่เพิ่มเติม ไม่ตัดถอน กันแน่
    หรือ เถรวาทจะตัดถอน หรือ มหายานจะเพิ่มเติม

    ดังนั้นแล้ว ขออาวุโสอย่าพูดว่า พระพุทธเจ้าเก๋ เพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คัมภีร์ที่ใช้อ้างอิงสุขาวดีจะเป็นเรื่องจริงมั้ย หากเป็นเรื่องจริง จะทำให้อาวุโสผู้พูดนั้น เป้นบาปสะเอง เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
    ไทย ศรีลังกา กัมพูชา ศาสนาพุทธแนวเถรวาท ก็อ้างแต่ของตน
    จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ศาสนาพุทธแนวมหายาน ก็อ้างแต่ของตน
    ดังนั้นแล้ว ไม่รุ้ว่าที่ไหนถูกหรือผิด แต่ที่สำคัญคือ อย่าได้พูดว่า ของเก๋ของเทียมนะครับ
     
  16. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    มันเป็นไปไม่ได้ ที่ว่า บรรลุอรหันต์ แล้วไม่เข้านิพพาน นะครับ

    ถ้าบารมีระดับอรหันต์แล้ว แล้วต้องการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
    ไม่ทำลายอาสวะกิเลส บำเพ็ญบารมีเพื่อโพธิญาณต่อไปครับ
    หมายถึงพระโพธิสัตว์ของจริงนะครับ
     
  17. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    สังสารวัฏ เบื้องต้น ไม่ปรากฏ เบื้องปลาย ไม่ปรากฏ

    มันเป็นไม่ได้ที่จะมีการขนสัตว์ ไปให้หมดก่อนแล้วค่อย
    เข้านิพพาน เป็นการโกหกสัตว์โลก.
     
  18. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    อันนี้ ขอแสดงความเห็นนะครับว่า มองอีกมุมครับ

    ประการแรก ไม่จำเป็นที่ มหายาน เกิดจากอนิตยโพธิสัตว์ และในขณะเดียวกัน ถ้าคิดเห็นว่า อาจเกิดจากโพธิสัตว์แล้วไซร์ นิตยโพธิสัตว์ก็ก่อให้เกิด มหายาน ได้ เพราะนิตยโพธิสัตว์เองก็มีความหลงผิดได้ (ไม่งั้น มหาโพธิสัตว์องค์หนึ่งท่านคงไม่กลายเป็นพญามารได้หรอกครับ)

    ประการที่สอง อะไรที่เห็นว่า มหายาน เกิดจากบุคคล ขาดๆ เกินๆ นั้นนะครับ มองตามความเป็นจริงครับ "พระสงฆ์" ในสมัยนั้น เป็นผู้แตก (แตกความเห็นเท่านั้นนะครับ) กันเองอยู่แล้วนะครับ ในประวัติศาสตร์เองก็กล่าวว่า ในการสังคายนาครั้งแรก ก็มีพระสงฆ์ที่ไม่ได้เข้าร่วมและยอมรับบางสิ่งแต่ไม่ยอมรับบางสิ่งจากการสังคายนา และไม่ได้มีการกล่าวยืนยันเลยนะครับว่า พระสงฆ์ส่วนฝ่ายที่ไม่ได้เข้าร่วม ไม่ใช่พระอรหันต์ เพียงแต่ยืนยันว่า ที่เข้าร่วมสังคายนา ต้องเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น

    ตรงนี้ หมายความว่า ไม่ได้ยืนยันว่า อีกฝ่ายหนึ่งถูก อีกฝ่ายหนึ่งผิด นะครับ และสงฆ์ในตอนนั้น ก็ยอมรับความเห็นของฝ่ายที่ไม่ยอมรับบางส่วนจากการสังคายนา แต่ไม่ได้มีการแตกแยกกันนะครับ

    นอกจากนี้ คำว่า ขาดๆ เกินๆ ที่ไม่ใช่การตีค่า อนิตยโพธิสัตว์ ซึ่งแม้อนิตยโพธิสัตว์จะยังไม่ได้รับพุทธทำนาย ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีสติสู้นิตยโพธิสัตว์ไม่ได้นะครับ แต่หมายถึง เหตุปัจจัยในการเป็นพุทธเจ้า เท่านั้นครับ อุปมา พระอรหันต์ ท่านย่อมสติบริบูรณ์ ต่อให้นิตยโพธิสัตว์เป็นถึง มหาโพธิสัตว์ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่า พระโพธิสัตว์ มีสติบริบูรณ์กว่า พระอรหันต์ (พระมหาโพธิสัตว์จึงยังต้องลงนรกอยู่) และพระอรหันต์ท่านไม่ได้ทำเหตุปัจจัยทางพุทธภูมิเท่านั้น


    ส่วน มหายาน จะขาด ๆ เกินๆ หรือไม่ ต้องดูบริบทสังคมสมัยนั้นครับ

    สมัยที่ การต่อสู้ระหว่าง พุทธและพราหมณ์ มาถึงจุดพีค

    ข้อสรุป ของศาสตราจารย์ต่างชาติในยุโรปหลายคนอาจมองว่า พราหมณ์ได้นำพุทธไปพัฒนาระบบความเชื่อทางศาสนาของตน จนเปลี่ยนโลกทัศน์แบบเดิม (พราหมณ์สมัยพุทธกาล) จนหมดสิ้นแบบ รื้อระบบ กันเลย จนอินเดีย เหลือพุทธ แท้ๆ ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ้นต์ (พุทธ สายที่เป็นพระเจ้าผมไม่อยากนับ)

    แต่เราไม่ได้ดีใจกับพูดนี้ เพราะฝ่ายพราหมณ์เค้ามาอ่านเค้าก็ไม่ยอมรับหรอกครับ แต่ที่แน่ เหตุใดพุทธศาสนาจึงหายจากอินเดีย และกลับไปตั้งต้นใหม่ไม่ได้ล่ะครับ

    เมื่ออ่านปรัชญามหายานแล้วจะทราบว่า มหายาน มีพื้นฐานมาจากพุทธศาสนา 100 เปอร์เซ้นต์ ไม่ใช่ ของเก๋ ไม่ใช่ของปลอม ต้องอ่านเอาสารัตถะ เลย หลักทุกอย่างอยู่ครบถ้วนครับ

    แต่การต่อสู้ทางความคิด เพื่อดำรงศาสนาพุทธให้อยู่ได้ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบต่างหาก ที่ถือว่าเป็นปณิธานในการ รักษาพระสัจธรรมให้ชาวโลกได้รู้และเรียนกันต่อไป

    ในสมัยพระเสวียนจ้าง ที่ท่านไปศึกษาที่นาลันทา ก็ปรากฎการอภิปรายระหว่างพุทธ พราหมณ์ พุทธกับพุทธ ต่อหน้ากษัตริย์อินเดีย

    ผมมองเป็นพัฒนาการ ในการสร้างระบบการสอนตามสภาพสังคมและการเมืองต่างหาก

    เหมือนที่ พระสงฆ์สายหนึ่ง ต้องหนีการฆ่าฟันจาก....?? ....ในยุคนั้น ไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีศาสนาความเชื่อดั้งเดิม (อามาเทราสึ เทพตะวัน เทพโบราณคล้ายเทพพระอาทิตย์ของพราหมณ์) และราชวงศ์ญี่ปุ่น ตั้งอยู่บนรากฐานศาสนาเกี่ยวกับเทพ แล้วสุดท้าย พระจักรพรรดิ์สมัยนั้น(หรือโชกุน ลืมรายละเอียด) สั่งให้ พระสงฆ์สามารถแต่งงานได้ และต้องทำตามคำสั่งเพราะไม่งั้น ก็ไม่ต้องมาสอนกันทีนี้ (แก่สั่งว่า ถ้าไม่รับก็ออกไปเลย เฮ้อ แล้วจะไปไหนล่ะครับ กว่าจะถ่อมาได้ก็แทบปางตายกันกับการเดินทางในสมัยก่อนๆ ไม่ตายเพราะโดนลมสวรรค์ก็บุญโขล่ะครับ)

    ถ้าท่านเป็นพระสงฆ์ หอบหิ้วคัมภีร์สำคัญศาสนาพุทธและภิกษุบริวารมา ต้องถูกประหารในฐานคนต่างด้าว เข้ามาพึ่งบารมีแล้ว ไม่ฟังคำสั่งเค้า ศาสนาพุทธในญี่ปุ่นจะเหลืออะไร ในเมื่อมีทางเลือกที่จะรักษาพระศาสนาเอาไว้ เพราะแม้จะตั้งกฎไว้ แต่เมื่อพระสงฆ์องค์ใดเข้าถึงสัจธรรมแท้จริง ก็จะพ้นเป็นพระอรหันต์ได้เอง พระสงฆ์ที่ญี่ปุ่นเองมีบางยุคกลายเป็นองค์กรทางการเมืองที่ทรงอำนาจมากๆ ตรงข้ามกับที่พระจักรพรรดิ์ต้องการป้องกันอิทธิพลศาสนาพุทธเอาไว้ ก็ตาม แต่ในส่วนพระสงฆ์ที่ปฏิบัติจนไม่มีเมีย มีลูก ก็สามารถบรรลุพระอรหันต์กันได้ทุกยุค ทุกสมัย

    ถามว่า พระพุทธเจ้า เกิดขึ้นยากในโลก เมื่อพระสงฆ์ถูกล้างบางเป็นหมื่นๆ รูป ตายเกลื่อน แล้วที่หลบหนีไปได้ เห็นแก่วินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อไปถูกประหาร ถูกเผาคัมภีร์ทิ้ง เพราะจะรักษาวินัยไว้ แต่ถ้าถูกประหาร หรือไปตายกลางทะเลจะเหลืออะไรให้รักษาครับ

    ที่ญี่ปุ่น พระสงฆ์ที่หนีตาย กลับพยายามรักษาพระธรรมของพระพุทธองค์ไว้ ผมว่าน่าอนุโมทนา สุดท้าย คำสอนทางพุทธศาสนาเรื่องการหลุดพ้น การนิพพานก็ยังรักษาไว้ได้ คนรุ่นหลัง คนญี่ปุ่นหลายคนก็บรรลุธรรมกันได้

    นอกจากนี้ ผม ไม่เห็นว่า มหายาน ขาดๆ เกินๆ เพราะเมื่ออ่านแล้ว ปรมัตถะธรรมยังอยู่ครบถ้วนครับ ผมเคยลองเปิดใจอ่านปรัชญา เมื่อลอกเปลือกแล้วเจอแก่นเหมือนกัน กับที่ผมอ่านพระไตรปิฎกทุกประการ
     
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ความจริง พี่เค้าอาจพูดหนักไป แต่ถ้าเค้าเห็นว่า เป็นความจริง ที่พิสูจน์ได้ ก็ไม่อาจห้ามคำพูดเค้าได้

    เช่น เจ้าแม่กวนอิม ตอนท่านเป็นเจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน ท่านเกิดที่ไหน ตำบลอะไร มีประวัติศาสตร์บันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร ซึ่งจนทุกวันนี้ นอกจาก ตำนาน แล้วมีอะไรตรวจสอบได้บ้างว่า มีบุคคลจริงในประวัติศาสตร์

    หรือ พระอมิตาภะพุทธเจ้า ที่อุบัติในโลกเมื่อ ๑๐ กัปร์ที่แล้วมา แต่ถามว่า ๑๐ กัปร์ นั้นยุคไหนของโลกปัจจุบัน ซึ่งมันพิสูจน์ไม่ได้

    ซึ่งในส่วนไตรปิฎกเถรวาท ก็กล่าวถึง พระพุทธเจ้าในอดีตทั้ง ๓ องค์ก่อนหน้า ๒๘ องค์ก่อนหน้า มันก็พิสูจนืไม้่ได้ ทั้งสองอย่าง

    เพียงแต่ในพระไตรปิฎก เถรวาท ก็กล่าวว่า เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน จึงยกว่า เป็นคำจริง (แต่ว่า อันนี้ เป็นอตีตังคสญาณ ซึ่งเป็นอจินไตยนะครับ)

    หมายความว่า คนพุทธหินยานเชื่อเพราะเชื่อนั้นแหละ และถ้ามหายานจะเชื่อว่า ท่านใดก็ตามที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าในอดีต ชื่อ พระอมิตาภะพุทธเจ้า การที่จะเชื่อ ก็คือ เชื่อนั้นแหละ เพราะญาณของบุคคลที่ระลึกได้ ก็เป็นเรื่องอจินไตยอยุ่ดี (คือ ไม่รู้ว่า เค้ารู้ได้ยังไง และเราจะไปรู้ได้ไง และเมื่อไม่รู้ตามที่บุคคลนั้นรู้ เราจะไปเชื่อได้ยังไง ก็ให้รุ้ว่า อจินไตย คือ ไม่ต้องไปตามคิดให้วุ่นวาย ให้เป็นบ้า)

    ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจะหินยาน มหายาน ก็มีเรื่องอจินไตย เพียงแต่เราเชื่อที่บันทึกเท่านั้นเอง ว่ามีคนบันทึกไว้ตรงกับที่เค้ารู้มาอีกที และจะยอมรับว่า อะไรตรงมากกว่ากัน

    ซึ่งมันพิสูจน์ได้ ว่าอันไหนบันทึกตรงกว่ากัน อิงอยู่บนพื้นฐานปัจจุบันมากกว่ากัน

    แต่ถ้า เป็นเรื่องอจินไตย ก็อยู่แต่สภาพบุคคลไป

    คือ เราก็ยอมรับกันไปตามจริง ส่วนเรื่องการหยั่งรู้นั้น แล้วแต่ครับ
    ไม่อาจไปพิสูจน์ได้ เว้นแต่ผู้ปฏิบัติจะเห็นได้เฉพาะตน
     
  20. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ครับ ร่วมแสดงความเห็นนะครับ
    1พยามารไม่ใช่นิยตโพธิสัตว์
    เขามาเกิดในสมัยนี้ด้วย..เป็นเพื่อนผมเอง
    แต่เขาสอบผ่านแล้ว
    จะได้พยากรณ์ในพุทธกาลหน้า..
     

แชร์หน้านี้

Loading...