การหยั่งรู้วาระจิตผู้อื่น (เจโตปริยญาณ) โดย ===จิตอสุรา===

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย JitAsura, 27 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. JitAsura

    JitAsura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +178
    [​IMG]

    การหยั่งรู้วาระจิตผู้อื่น (เจโตปริยญาณ)

    --- หลายๆท่าน คงเคยสัมผัสกับบางคนที่สามารถอ่านใจเราได้ รู้ไปซะทุกอย่างที่เราคิด อย่างเช่น ครูบาอาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน ทั้งหลายทั้งที่เป็นสงฆ์ และเป็นฆราวาส บางทีเราไปคุยกับท่านเหล่านั้น เราก็จะงงว่า เรายังไม่ได้ถามธรรมท่านเลย แต่ท่านก็บรรยายธรรมออกมาเหมือนตอบคำถามในใจ ของเรา ซึ่งเรื่องนี้หลายๆคนสงสัยว่า ท่านเหล่านั้น รู้ความในใจผู้อื่นได้อย่างไร ปาฏิหาริย์หรือไม่??? บทความนี้ผมจะขออธิบายเรื่องนี้ และแนะวิธีการในการฝึกอ่านใจผู้อื่น หากใครตั้งใจฝึกแล้ว ก็สามารถทำได้ทุกคน เพราะเรื่องนี้ยังถือเป็น “โลกียะญาณ” อยู่

    --- วิธีอ่านใจผู้อื่น มีด้วยกันหลายวิธี แต่เท่าที่ผมทราบมา มี 4 วิธี ดังนี้

    1. อ่านใจจาก “สีหน้า หรือ กิริยาท่าทาง” การอ่านใจจากภายนอกนั้น เราสามารถอ่านใจของผู้อื่นเพียงหยาบๆ เช่น ผู้นั้นมีความ พอใจ ไม่พอใจ โกรธ หรืออารมณ์ดี ฯลฯ ซึ่งบางคนก็ไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ เพราะอาจเป็นคนเก็บอารมณ์ได้ดี หรือเรียกว่ามี “วุฒิภาวะสูง” หรือ EQ สูงนั่นเอง

    2. อ่านใจโดยการใช้ “รังสีบางอย่าง” เรื่องนี้ผมเคยเห็นในสารคดีชื่อดังของฝรั่งว่า เค้าใช้เครื่อง Scan โดยใช้ความถี่คลื่นพิเศษ Scan ร่างกายมนุษย์ ในภาวะอารมณ์ต่างๆ และสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พบก็คือ ร่างกายของมนุษย์หรือสัตว์ต่างๆ นั้นมี “แสงออร่า” ออกมาจากร่างกาย โดยที่ สีของออร่านั้นจะแตกต่างกันตามอารมณ์ ในขณะนั้นๆอีกด้วย เช่น โกรธก็สีหนึ่ง พอใจก็สีหนึ่ง เสียใจก็อีกสีหนึ่ง

    3. อ่านใจโดยการ “จับคลื่นไฟฟ้าในสมอง” สำหรับวิธีนี้ ผมก็เคยเห็นในสารคดีฝรั่งเหมือนกัน รู้สึกว่าจะค้นพบได้ไม่นานมานี้ ฝรั่งเค้าทดลองโดย สร้างเครื่องอ่านคลื่นสมอง มาต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องจักรบางอย่าง โดยเครื่องอ่านคลื่นสมองจะดูคล้ายๆ หมวกกันน็อค ควบลงไปที่ศีรษะผู้ทดลอง แล้วให้ผู้ถูกทดลอง สั่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องจักร ให้ทำงานตามความคิดของผู้ทดลอง ผลปรากฏว่า การสั่งการด้วยความคิดเฉยๆ สามารถบังคับอุปกรณ์ภายนอกได้ ซึ่งฝรั่งได้นำเรื่องนี้ไปประยุกต์กับการสร้าง แขน ขา เทียมของผู้พิการ ซึ่งเรื่องนี้ ในอนาคตมนุษย์อาจจะมีแค่ “สมอง” เท่านั้น ร่างกายส่วนอื่นอาจจะเป็น Robot ทั้งหมด เพราะร่างกายอาจหมดอายุขัยไปตามธรรมชาติ แต่คนไม่อยากตายกัน เลยเอาหุ่นยนต์มาแทนร่างกาย (เหมือนผมจะดูหนังมากไป แต่มันเป็นไปได้ครับ เพราะดูเหมือนมันจะใกล้เคียงไปทุกที)

    4. อ่านใจโดยใช้ “เจโตปริยญาณ” ซึ่งในบทความนี้ ผมจะเน้นอธิบาย เรื่อง “เจโตปริยญาณ” สำหรับการฝึกเจโตปริยญาณนั้น ในทางพุทธศาสนาก็มีด้วยกันหลายวิธี อาทิ การฝึกด้วย “มโนมยิทธิ” ซึ่งเรื่อง มโนมยิทธิ นี้ ผมเคยได้กล่าวไปใน Post หัวข้อของ “การระลึกชาติ” ครั้งที่ผ่านมาไปแล้วว่า หากใครสนใจ ผมไม่แนะนำให้ฝึกด้วยตัวเอง หรือฝึกผ่าน Internet หากให้ดีควรหา ครูบาอาจารย์ หรือ สำนักที่สอนเรื่องนี้เป็นเรื่องเป็นราวจะดีกว่า สำหรับอีกวิธีหนึ่งที่ผมจะนำมาบอกทุกท่านในบทความนี้ เพื่อท่านจะได้นำไปปฏิบัติด้วยตัวเองคือ การฝึกด้วย “ จิตตานุปัสสนา” ซึ่งเป็น วิปัสสนากรรมฐาน 1 ใน 4 ของ “มหาสติปัฏฐานสูตร” วิธีนี้เป็นวิธีฝึก “เจโตปริยญาณ” แบบตรงๆและเป็นวิธีมาตรฐานก็ว่าได้

    --- วิธีฝึก “ จิตตานุปัสสนา” หรือที่หลายๆคนคุ้นเคยกันในชื่อ “การดูจิต” หรือการดูใจตัวเองนั่นเอง การดูจิตตัวเองนั้น ในพุทธศาสนาใช้เพื่อเป็น “ วิปัสสนา” เพื่อให้เห็น ความไม่เที่ยงของจิต และ มีเกิด ดับ อยู่ตลอดเวลา เมื่อจิตเรารู้ว่า จิตไม่เที่ยง บังคับไม่ได้ หากมัวแต่ยึดว่าเป็นของเราจะทำให้เป็นทุกข์ เมื่อนั้นจิตจะมีปัญญาและคลายความยึดมั่นถือมั่นลง จนจิตสามารถหลุดพ้น และสามารถสำเร็จมรรคผลได้ในที่สุด ดังนั้น “ จิตตานุปัสสนา” ที่พระพุทธองค์สอน ก็เพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้เห็นความไม่เที่ยง และนำไปสู่การละวางกิเลส และความยึดมั่นถือมั่น แต่ทั้งนี้ไม่ว่าท่านจะทำจนสำเร็จมรรคผลหรือไม่สำเร็จก็ตาม แต่มันจะมีผลพลอยได้จากการฝึกคือ สามารถรู้ใจผู้อื่นได้ ซึ่งสิ่งนี้เราเรียกว่า “เจโตปริยญาณ” นั่นเอง

    --- สำหรับการฝึก “ จิตตานุปัสสนา” นั้นมีบางตำราบอกว่า ให้พิจารณา “จิตในจิต” ซึ่งเป็นคำพูดที่ถูก แต่ฟังแล้วเข้าใจยาก ผมจึงขอแจกแจงธรรมข้อนี้ดังนี้ครับ ให้เราแยกจิตเราเป็น 2 สถานะ สถานะแรก เรียกว่า “จิตผู้คิด” อีกสถานะหนึ่งเรียกว่า “จิตผู้รู้” พูดง่ายๆก็คือ ให้ “สติ”เราเป็น “จิตผู้รู้” และคอยเฝ้ามองความคิดของตัวเองนั่นเอง หากเปรียบเทียบกับการแข่งขันฟุตบอลในสนาม ปกติแล้ว เราจะเป็นผู้เล่นในสนามเหมือนจิตของเราที่วันๆคิดอะไรไปเรื่อย โดยเราไม่ทันสังเกต แต่เมื่อมีการฝึกดูจิตแล้ว ให้เราเปลี่ยนตัวเองมาเป็นผู้ชมข้างสนามแทนเท่านั้นเองครับ ทีนี้เราจะได้เห็นว่าจิตเราคิดอะไรบ้าง ซึ่งเราจะได้เห็นว่า จิตของเราจะปรุงแต่งเรื่องนู้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวคิดเรื่องนี้ เรื่องนี้ก็เกิด เดี๋ยวเรื่องนั้น เรื่องนั้นก็ดับ บังคับไม่ได้ คิดไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งการดูให้เป็นนั้น อย่าเอา “จิตผู้รู้” ดูจนเพลินจนตาม “จิตผู้คิด” จนแยกกันไม่ออกนะครับ เวลาเราดูความคิดของตนเอง ให้ดูไปทีละเรื่อง อย่าดูพร้อมกันหลายเรื่อง เพราะบางทีจิตของเราก็คิด 2-3 เรื่องหรือมากกว่านั้นในเวลาเดียวกัน จากนั้นให้ดูเรื่องที่ผุดขึ้นมาในหัวเรื่อยๆทีละเรื่องๆ (ปล่อยให้จิตเราคิดไปเอง ไม่ต้องบังคับและอย่าไปคิดตาม) และเมื่อความคิดเราในเรื่องนั้นถูกเพ่งนานๆ มันก็จะค่อยๆดับไป ทีละเรื่องๆ เรื่อยๆ เหมือนกัน จนสุดท้าย จิตผู้คิดก็จะหายไป เหลือแต่จิตผู้รู้เท่านั้นครับ หากใครปฏิบัติมาจนเหลือแต่จิตผู้รู้แล้วละก็ แสดงว่าท่านมาถูกทางแล้วครับ ฝึกฝนเช่นนี้บ่อยๆ เป็นประจำอย่างสม่ำเสอม จนดูจิตตัวเองคล่อง เมื่อนั้นท่านจะสามารถใช้ “จิตผู้รู้” ที่ฝึกมาดีแล้ว ดูจิตของบุคคลอื่นได้เหมือนกับดูจิตตัวเอง นั่นจะทำให้เราสามารถอ่านใจผู้อื่นได้ ว่าเขาไปทำอะไรมาบ้าง กำลังคิดอะไรอยู่ และ กำลังคิดจะทำอะไรต่อไป

    --- เรื่องของการอ่านใจผู้อื่นนั้น มีทั้งประโยชน์และโทษ ถ้าหากผู้ใช้มีจิตที่เป็นกุศล ก็จะใช้ไปในทางที่ดี อย่างเช่น ครูบาอาจารย์ ที่สอนกรรมฐาน จำเป็นต้องตามวาระจิตของลูกศิษย์ ในขณะปฏิบัติกรรมฐานเพื่อคอยชี้แนะจุดที่ติดขัดในกรรมฐานนั้นๆ หรือไม่ก็สามารถใช้ดูจิตของคนที่ไม่ประสงค์ดี เพื่อคอยระแวดระวังภัย นั่นจะทำให้เรื่องนี้เป็นคุณอย่างยิ่ง แต่หาก ใครทำได้แล้ว นำไปอ่านใจชาวบ้านไปทั่ว มันจะแสดงถึงการไม่เคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกคน แม้กระทั่งตัวคุณเองก็มีความลับที่ไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้เหมือนกัน หรือบางพวกหนักกว่านั้น คือเอาไปดูจิตของครูบาอาจารย์ว่า ผู้ใด หรือ ท่านใด แน่จริงไม่แน่จริงอย่างไร หากทำเช่นนี้ อย่าคิดว่าคนที่ฝึกมาดีแล้วจะไม่รู้นะครับว่า โดนอ่านจิตอยู่ เพราะการอ่านจิต จริงๆแล้ว “ความสำคัญอยู่ที่การอ่านจิตตัวเองต่างหากว่า เรามันเลวยังไง ควรแก้ไขอย่างไรบ้าง ไม่ใช่มีไว้เพื่อไปดูจิตคนอื่นว่า คนอื่นเลวยังไง เราดีกว่าเขาอย่างไร” หากนำไปใช้ผิดแล้ว คุณเองนั่นแหละจะ “หลง” ผิด และห่างไกล มรรคผลนิพพานไปทุกที

    --- สมัยก่อน วิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่า ความคิดเป็นแค่นามธรรม แต่เมื่อวิทยาศาสตร์ เจริญก้าวหน้าขึ้น ฝรั่งกลับพบว่าจริงๆแล้ว ความคิดมีตัวตนอยู่จริงๆ และความคิดก็เป็นคลื่นชนิดหนึ่ง ที่เดี๋ยวนี้ตรวจวัดโดยเครื่องมือวิทยาศาสตร์กันได้แล้ว ในความเป็นจริงแล้ว พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องนี้และตรัสสอนเรื่องนี้มาก่อนวิทยาศาสตร์จะค้นพบถึง 2500 กว่าปีมาแล้ว ว่ามนุษย์ประกอบไปด้วยขันธ์ทั้งหมด 5 ขันธ์ คือรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ความคิดปรุงแต่งของเรา เรียกว่า “สังขาร” ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ชองขันธ์ที่เรามี หากเมื่อใดก็ตามเรายังเห็นขันธ์ทั้ง 5 ว่าเป็นของเรา เป็นตัวเรา เมื่อนั้นเราก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน “วัฏสงสาร” และได้รับความทุกข์ทรมาน ไปอีกไม่มีวันจบสิ้น

    === จิตอสุรา ===

    ท่านสามารถคลิกติดตามหรือถูกใจ ธรรมบรรยาย ได้ที่ Fan page “จิตอสุรา” URL : www.facebook.com/jitasura

    ติดตามหัวข้อธรรมะบรรยายของ "จิตอสุรา" ได้ดังนี้
    การหยั่งรู้วาระจิตผู้อื่น (เจโตปริยญาณ)
     
  2. JitAsura

    JitAsura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +178
    หามีคำถาม หรือข้อทักท้วงประการใด ขอเชิญที่ Fan page จะสะดวกตอบกว่านะครับ

    อนุโมทนาครับ

    ===จิตอสุรา===
     
  3. JitAsura

    JitAsura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +178
    หามีคำถาม หรือข้อทักท้วงประการใด ขอเชิญที่ Fan page จะสะดวกตอบกว่านะครับ

    อนุโมทนาครับ

    ===จิตอสุรา===
     
  4. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    จะรออ่าน ว่า เป็น ทฤษฎี หรือ การปฏิบัติด้วยตนเอง

    ขออนุญาตครับ

    จะรออ่าน ว่า เป็น ทฤษฎี คือ ยกเอาคำสอนของครูบาอาจารย์มา
    หรือ การปฏิบัติที่ได้ผล ด้วยตนเอง

    จะรออ่านว่า ลำดับการปฏิบัติ มีลำดับขั้นตอน มีรายละเอียด อย่างไรบ้าง
    จะรออ่านว่า มีความยาก ง่าย อย่างไรบ้าง
    จะรออ่านว่า มีระยะเวลาการปฏิบัติ ยาวนาน ขนาดไหน

    ถ้าท่านรู้เอง เห็นเอง ปฏิบัติจนได้ผลเอง ขอโมทนาบุญด้วย

    ขอบคุณครับ

    ลุงมหา

     
  5. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,653
    ค่าพลัง:
    +1,211
    เรื่องของตัวเองนี้
    พอเอาเข้าจริงๆ
    ธรรมมะสมมุติอย่างไร
    วิมุติอย่างไร
    ไปถึงไหนจึงจบสิ้น

    ไม่จบ

    ไปรู้ใจรู้จิตคนอื่นอีก
    สื่อเขามาสึกอีก

    อะไรควรละอะไรไม่ควรละอะไรละหมด
    มึนไหมขอรับ

    ไปรู้คนอื่นอีกแล้ว
    แต่ไม่รู้จักตัวเอง
    ขนาดรู้ยังมึนไปอย่างนั้น

    ถามว่าเพื่ออะไร
    ไหมขอรับ

    ขอท่านเจริญในธรรมยิ่งแล้วขอรับ
     
  6. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    กำลังสงสัยเรื่องนี้รู้สึกแปลกใจนิด ๆ
     
  7. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    นี่ทำขณะนั่งสมาธิเหรอครับ...

    ทำยังไงอ่ะครับ..ผมหมายถึง เริ่มต้นยังไงอ่ะครับ ใช้อานาปานสติเหรอครับ แล้วพอมีความคิดก็ให้กำหนดรู้ว่าคิดอะไรอยู่ใช่ไหมครับ..
    หรือใช้คำภาวนาได้ไหมครับ..
     
  8. torphak

    torphak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    4,414
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +283
    แค่สงสัยบางอย่างน่ะค่ะ แต่เรื่องการหยั่งรู้วาระจิตนั้นจากประวัติพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น มีให้เห็นเป็นปกตินะคะ ส่วนตนเองนั้นยังไปไม่ถึงขั้นนั้นค่ะ ยังอีกไกลโขอยู่ค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...