((( วิชา ธรรมะเปิดโลก )))

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 5 มกราคม 2008.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    [​IMG]




    <TABLE width="97%" border=0><TBODY><TR><TD width="98%">
    [​IMG]


    </TD></TR><TR><TD align=middle height=243>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>ความเป็นมาของกรรมฐานธรรมะเปิดโลก


    [​IMG]


    ความเป็นมาของกรรมฐานธรรมะเปิดโลก คือ กาลหนึ่งสมัยที่สมเด็จพระบวรนาถสมณโคตมยังทรง​

    พระชนม์อยู่ ในกาลนั้นได้เสด็จขึ้นสู่ดาวดึงส์ เทวสถานเพื่อโปรดพระพุทธมารดา ในวันที่เสด็จกลับ จากดาวดึงส์ ได้มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากคอยรับเสด็จอยู่ก็ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงใช้พุทธานุภาพแสดงโลกทั้งสามให้ปรากฏแก่พสกนิกรผู้เป็นศานุศิษย์ของพระพุทธชินสีห์ ประชาชนที่มารับเสด็จในวันนั้นต่างก็ได้รับทิพยจักขุญาณเห็นเทวโลก มนุษย์โลก และอบายโลกพร้อมกัน กล่าวคือ เทวดาทั้งหลายก็เห็นมนุษย์และสัตว์ในอบาย มนุษย์ทั้งหลายก็เห็นเทวดาและสัตว์ในอบาย สัตว์ในอบายทั้งหลายก็เห็นทั้งมนุษย์และเหล่าเทวดา เรียกว่าทั้งสามโลกมองเห็นกันทะลุปรุโปร่ง ​


    ในวันนี้พระพุทธคุณนั้นเป็นอานุภาพที่ไร้ขอบเขต ทรงฤทธานุภาพสูงสุดในจักรวาล ในวันนั้นเทวดามนุษย์และสัตว์เดรัจฉานทั้งปวงต่าง ๆ ก็ได้พบพ่อแม่ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ มิตาสหายและบริวารเก่า ๆ ที่กำลัง เสวยผลกรรมอยู่ในภพต่าง ๆ กัน เป็น ทุกขเวทนาบ้าง สุขเวทนาบ้าง จึงเกิดเมตตาจิต อธิษฐานอโหสิกรรมผู้ที่ได้เคยกระทำชั่วต่อกันมาให้ได้พ้นจากบาปกรรมเวรเหล่านั้น ​

    ในวันนั้นเองมีผู้มีปัญญาเกิดความเบื่อหน่ายคลายความยินดีในภพชาติ หลุดพ้นจากอาสวะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก ​

    จากนั้นมาธรรมะเปิดโลก ก็มิได้ปรากฏในพระประวัติพระพุทธศาสนาอีกเลย จนกระทั่งเมื่อหลวงพ่อคง พุทธสาวกสมัยที่พุทธกาลนี้ ได้ถือเนกขัมมะวัตรเป็นบรรพชิตบำเพ็ญเพียรด้วยวิริยะอันแรงกล้า วิรัติแล้วจาการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ทั่งโยตรง และโดยทางอ้อม ตั้งแต่อยู่ในฆราวาสวิสัย ดำริมั่นที่จะออกจากกามได้จาริกเพื่อเจริญวิมุติญาณเข้าสู่โลกกุตระสภาวะมาโดยลำดับ ​

    จนกระทั่งลุถึงถ้ำอรหันต์ เขาสมโภชน์ลพบุรี ท่านได้ปฏิบัติธรรม กรรมฐานเป็นอุกฤษ จนบังเกิดความตึงเครียด ในทุกส่วนของประสาท ก็ยังไม่สำเร็จผลดังหวัง ทำให้รู้สึกท้อแท้ ท่านจึงน้อมจิตอธิษฐาน ว่าหากคุณพระพุทธเจ้า มีจริงขอทรงมาโปรดให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรมด้วยเถิด ในครั้งนี้เองก็มีปรากฏบังเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ท่านได้พบพระวิสุทธิสัมมาสัมพุทธเทพ และได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติกรรมฐาน อาศัยบุญบารมีเก่าที่หลวงพ่อ คงเคยเป็นหลวงพ่อร่วง ผู้รจนาคัมภีร์ไตรภูมิกถาไว้สั่งสอนปวงชนมาก่อน พระพุทธองค์จึงทรงประทานธรรมะเปิดโลกให้ เมื่อหลวงพ่อใช้กำลังสติปัญญาเข้าพิจารณาภูมิอันเป็นอาสวะแห่งงวัฏฏะแล้ว เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตใจมุ่งเข้าสู่ความบริสุทธิ์สำเร็จวิสุทธิญาณในวันนั้นเอง ​

    จากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมโลกเขษฐ์ได้ทรงประทานพุทธานุญาต ให้หลวงพ่อคงโปรดแสดงธรรมะเปิดโลก แก่พสกนิกรพุทธบริษัทได้ โดยอาราธนาพระพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และอริยสัฆานุภาพ มาเป็นอำนาจเปิดโลก เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจแจ้งเรื่องกรรมและกรรมและกลไกของกรรมโดย ถ่องแท้ กรรมฐานธรรมะเปิดโลก จึงได้รับการถ่ายทอดสาธิตจากหลวงพ่อคงนับตั้งแต่นั้นมา​

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มกราคม 2008
  2. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    <TABLE width="97%" border=0><TBODY><TR><TD width="98%">
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=243>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>
    ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกรรม
    [​IMG]กรรมเป็นอำนาจสากล ทีมีกลไกซับซ้อนที่สุดในจักรวาล จิตเดิมนั่นเริ่มเสียสติเพราะกิเลสจรเข้ามากระทบ เกิดความหวั่นไหวอวิชชา จะเข้าแทรกปรุงเป็นจิตสังขารขึ้นมาทันที กรรมก็ได้เริ่มเกิดขึ้นมาแล้ว ณ บัดนี้ จากนั้นการเคลื่อนไปของจิตที่ห่อหุ้มด้วยอวิชาในปุเรนภพ นับเป็นอเนกอนันต์ชาติ ก็ล้วนเป็นกระบวนการเคลื่อนไปของกรรมตามกระแสอวิชชาทั้งสิ้น
    ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นเป็นพื้นฐานความรู้ของผู้สำหรับนักปฏิบัติธรรม สำหรับความรู้พิสดารนั้น ขอให้ นักปฏิบัติธรรมใช้ปัญญาญาณปฏิบัติตามแนวทาง

    พระพุทธองค์ ทรงตรัสรับรองธรรมะไว้ว่า เป็น​
     
  3. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    <TABLE width="97%" border=0><TBODY><TR><TD width="98%">
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=243>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>
    วีธีภาวนา
    [​IMG]
    เมื่อมอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงค์แล้ว ต่อไปก็พึงน้อมอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มาสถิตประสิทธิประสาทในขันธสันดานของตน อำนาจวิสุทธิทิพย์เข้ามาเมื่อบุคคลน้อมเข้ามาใส่ตนเท่านั้น ดังบทสวดธรรมคุณที่ว่า “โอปนยิโก” พึงน้อมเข้ามาสู่ตนผู้ที่จะรับอำนาจนี้ได้ดี ต้องมีสมาธิขั้นต่ำขณิกสมาธิ หรืออุปจารสมาธิ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีอุบายทำใจให้สงบ ตั้งมั่นด้วยการภาวนาปานุสสติ
    ผู้ปฏิบัติพึงเพ่งเฝ้าดูอาการของลมหายใจที่ลิ้นปี่ (ก้นปอด) ยามขยายตัวพองออก ก้รู้แจ้งว่าขยายพองออก บริกรรมกำชับความรู้ตัวว่า “พองหนอ”เมื่อมันยุบแฟบลงก้รู้แจงชัดว่ายุปแฟบลง บริกรรมกำชับความรู้ตัวว่า “หยุบหนอ” นี้ คือ อานาปานุสติฐานเดียว
    สามารถลงมือปฏิบัติได้โดยนั่งคู้บัลลังค์ เท้าขวาทับขาซ้าย หรือเท้าซ้ายทับขาขวาก็ได้ ตาถนัด เอามือขวาทับมือซ้าย หรือมือซ้ายทับมือขวา หรือประสานกันไว้วางบนหน้าตัก ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น
    มองไปที่พุทธรูปบอกตัวเองว่า “บัดนี้ฉันได้ถวายร่างกายและชีวิตนี้ต่อพระพุทธเจ้าพระธรรมเจ้า และต่อพระสงค์เจ้าแล้ว ต่อไปนี้ไม่ว่าจะเกิดฉันจะปล่อยให้เป็นตามอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆเจ้า บัดนี้ ฉันจะเจริญภาวนาให้นิ่งอยู่ด้วยรู้ตัวพร้อมทั่ว ฉันจะไม่สนใจเรื่องภายนอก ฉันจะไม่ยินดียินร้ายกับ รูป เสียง กลิ่น รสสัมผัสที่อาจมากระทบ จะสนใจเพียงประการเดียว คือ ความรูสึกตัวอันบริสุทธิ์เท่านั้น ” จากนั้นค่อย ๆ หลับตาลง
    แล้วเริ่มสังเกตดูอาการของลมหายใจ เอาจิตจดจ่ออยู่ที่ลิ้นปี่ เฝ้าดูอาการของลมปราณอยู่อย่าปกติเฉย เมื่อมันพองออก ก็บริกรรมว่า “พอง” เมื่อมันยุบก็บริกรรมว่า “ยุบ” ลมจะสั้นจะยาว จะช้าจะเร็วอย่าไปบังคับมัน การเข้าไปบังคับลมหายใจ จะทำให้ขดความสมดุลในกระบวนการ อาจเกิดความอึดอัด เหนื่อยหอบ คอแห้ง เป็นต้น
    จงประคองสติรู้อยู่ จิตอันเป็นธาตุรู้ธรรมชาติ จะรู้ตัวได้โดยถ่องแท้เมื่อจิตดำรงตนอยู่ในจิตเอง แล้ว เฝ้าดูอาการของปราณที่เกิดขึ้นภายนอกจิต การฝึกอานาปานุสติที่ถูกต้องสมบูรณ์คือ เอาจิตไว้ที่จิตแล้วจ่อจดจุดที่สนใจไว้ที่ลิ้นปี่ เฝ้ารู้อาหารของลมหายใจอยู่บริกรรมย้ำความรู้ตัวว่า พอง – ยุบ และ พอง – ยุบ

    เพื่อมิให้ความรู้ตัวซ่านออกไปนอกจิตนักปฏิบัติพึงประคองตัวรู้อย่างนี้ให้ตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่นในสัมปชัญญะ อันบริบูรณ์แล้ว พองยุบก็จะหายไป ก็ปล่อยให้หายไป ทรงปิติและอุเบกขาอันเป็นเอกแล้วแลเฉยอยู่ แต่หากยามใดมีความคิดกังวลถึงเรื่องต่าง ๆ หรือความง่วงหาวนอนเข้ามารบกวน ก็เพิ่มอัตราการหายใจลึกแรงขึ้นได้ เพื่อเขย่าธาตุรู้ พอสติอยู่กับตัวแล้ว ก็ทรงความรู้ตัวไว้ในสัมปชัญญะอันบริสุทธิ์ อันเป็นอุเบกขาเป็นเอกตั้งมั่นอยู่​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    <TABLE width="97%" border=0><TBODY><TR><TD width="98%">
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=243>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>
    การคลายกรรม
    [​IMG]
    เป็นหลักธรรมดาของทุกสิ่งในจักรวาลนี้ ถ้าลด อุณหภูมิมิให้สงบเย็นลง องค์ประกอบภายในจะจัดเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบมากขึ้น ยิ่งเย็นลงเท่าไหร่องค์ประกอบภายในก็จะมีความเป็นระเบียบมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งองค์ประกอบภายในประสานกลมกลืนกันด้วยระเบียบอันดีเพียงใด ก็จะมีอานุภาพเพิ่มพูนมากยิ่งเพียงนั้น ดังเหล็กเมื่อเป็นเหล็กธรรมดา โมเลกุลของมันไม่เป็นระเบียบ ยุงเหยิง สับสน จะเป็นเหล็กที่ด้อยอานุภาพ แต่เมื่อลดอุณหภูมิให้เย็นลง โมเลกุลของเหล็กนั้นจะเรียงตัวกันเป็นระเบียบในขณะที่โมเลกุลจัดเรียงตัวกันใหม่นั้นโมเลกุลประเภทเดียวกันก็จะเกาะตัวเข้าหากัน โมเลกุลที่แปลกปลอมต่างพวกไปก็จะถูกเบียดออกจากกลุ่มก้อนเมื่อโมเลกุลของเหล็กทั้งหมดเรียงตัวกันเป็นระเบียบเป็นเนื้อเดียวกันดีแล้ว ก็จะมีอำนาจดึงดูด เกิดขึ้นทั้งหลายเป็นแม่เหล็ก
    ในทำนองเดียวกันกับคนก็เช่นกัน หากจิตใจเร่าร้อนมากก็จะฟุ้งซ่านตะเกียกตะกาย ทุรานทุราย หากสงบเย็นลงก็จะ นุ่มนวล มั่นคง แต่หากจิตใจเยือกเย็นเป็นปกติ แท้แล้วก็จะนิ่งสนิท มีความเบิกบาน คงทนถาวรและมีอำนาจสูง

    โครงสร้างของคนคือ จิตสำนึกแท้ + ตัณหา + อุปาทาน + กิเลส

    [​IMG]
    จิตสำนึกแท้เท่านั้นที่เป็นจิตบริสุทธิ์ส่วนตัณหาอุปาทาน และกิเลสเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เข้มาแทรกอาศัยอยู่พวกนี้จะดึง
    จิตใจไปสร้างกรรมต่าง ๆ

    โดยปกติกรรมที่ดีจะไม่ทำให้จิตใจหนัก แต่อาจหนักได้บ้างหากเกิดกุศลวิตกเพราะติดดี หากติดดีแสดงว่าไม่ดีจริง ยังไม่บริสุทธิ์ การติดดีเกิดขึ้นเพราะมันมีตัวไปติดความจริงความดี ก็เป็นสภาวธรรมสากล ที่แทรกซึมอยู่ในทุกอณูของธรรมชาติ แต่ตัวที่ไปติดเอาความดีเข้าคืออัตตา เมื่ออัตตาติดดีมากก็จะเกิดความตึงเครียด อาจเกิดความตึงเครียดมากเมื่อพบสิ่งเลว

    และหากเป็นอกุศลกรรม ที่เกิดจากการกระทำชั่ว 10 ประการ คือฆ่าสัตว์หรือเบียดเบียนสัตว์ ลัก ฉก ชิง ยักยอก หรือฉ้อโกงทรัพย์หนึ่ง พูดส่อเสียดหนึ่ง พูดคำหยาบหนึ่ง พูดเพ้อเจอหนึ่ง โลภอยากได้ของคนอื่นหนึ่ง พยาบาทจองร้ายเขาหนึ่ง และมีความเห็นผิดจากสัจธรรมอีกหนึ่งแล้วไซร้ก็จะทำให้ความรู้สึกหนักมาก ร่างกายไม่ปกติ เจ็บไข้ได้ป่วย อ่อนแออยู่บ่อย ๆ หรือเสมอ ๆ ความจำเลอะเลือน ความคิดอ่านไม่ปลอดโปร่ง การรับรู้ก็ไม่ดี ทั้งนี้ เพราะกระแสพลังกรรมชั่วอันมืดดำแทรกซึมอยู่ในร่างกายสังขาร และวิญญาณของเรานั่นเอง จึงทำให้เราทุกข์ทรมาน พิกลพิการทางกายและพิการทางใจ เป็นความเครียดเป็นภาวะกดดันที่จิตไม่ต้องการ และหากใครยังเก็บงำความเครียดไว้ในตัวย่อมมีนรกมีที่ไปเพราะวิญญาณหนักย่อมตกลงสู่ที่ต่ำ

    ความตึงเครียดเหล่านี้ที่ติดดีและติดเลว สามารถเอาออกจากขันธ์ได้โดยการลดความเล่าร้อนของจิตลงเมื่อใจสงบแล้วอุณหภูมิของกายก็จะค่อย ๆ ลดลง ความวุ่นวายของขันธ์ต่าง ๆ ก็จะสงบลง ใจก็ดี กายก็ดี จะค่อย ๆ จัดเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบ

    ช่วงนี้อาการเครียดอันแปลกปลอมอยู่ในร่างกายก็ดี ใจก็ดีจะเริ่มคลายออกซึ่งออกมาทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง

    ทางกายเช่น ชาตามมือตามเท้า เกร็งทั้งตัว สั่นแน่หน้าอก รู้สึกเสียวทั่วสรรพพางค์กาย ปวดศีรษะ ปวดเอว เมื่อยหลัง ฯลฯ ซึ่งอาการเล่านั้นเกิดจาอำนาจผลของกรรมของการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ประพฤติผิดในกาม และการดื่มน้ำเมา เสพสิ่งเสพติด

    ทางวาจาเช่น ร้องไห้ ร้องเพลง ส่งเสียงเอิกอ๊าก ร้องด่าผู้อื่น โอดครวญคราง สารภาพผิด ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้ เกิดจากอำนาจผลกรรมของการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ

    ทางใจ
    เช่น รู้สึกอึดอัด มืดตื้อรู้สึกวาบหวิวเหมือตกจากที่สูง ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านั้นเกิดจากอำนาจผลกรรมทางใจที่โลภ โกรธ และหลงงมงายขาดปัญญา

    เมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิ อาการเหล่านั้น จะเริ่มคลายออกมา หากมีอาการใดเกิดขึ้นนักปฏิบัติไม่ต้องตกใจปล่อยให้มันเกิดขึ้นแล้วมันจะหายไปเอง เราเพียงแต่ทรงจิตดูรู้อยู่ด้วยสติอันตั้งมั่นในสัมปชัญญะอันบริบูรณ์เท่านั้น​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE width="97%" border=0><TBODY><TR><TD width="98%">
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=243>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>
    ธรรมะลง

    [​IMG]เมื่ออำนาจธรรมลงสู่ขันธ์ นักปฏิบัติบางท่านอาจรู้สึกซ่านจากศีรษะลงมา บางท่านอาจจะรู้สึกชานิด ๆ ไปทั้งตัว บางท่านอาจจะหลับตาอยู่แล้วเห็นแสดงพุ่งเข้าหาตัวแวบหนึ่งบางท่านที่สมาธิดีหน่อย อาจเห็นดวงธรรมลอมมาแล้วสัมผัสในจิตตน ไม่ว่าเป็นอย่างไรก็ตาม พึงน้อมรับแล้วดูปรากฏการณ์อยู่ด้วยความตื่นรู้อะไรจะเกิดขึ้นยามนั้นปล่อยให้มันเกิดขึ้น อย่าลืมว่าเรามอบการถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนั้นไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น

    อำนาจธรรมนี้เองที่จะช่วยให้ท่านรู้เห็นกรรมของตนพบ เจ้ากรรมนายเวร เห็นภพภูมิต่าง ๆ ได้ เมื่อการฝึกของท่านก้าวหน้าขึ้น
    การตัดกรรม


    [​IMG]การตัดกรรมตัดได้ด้วยอำนาจ สามประการคือ
    สติ อโหสิ และ สารภาพผิด
    1. สติ ในขณะที่ขันธ์คลายกรรมกดดันออกนักปฏิบัติพึงดำรงสติให้มั่นคงรักษาจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมปชัญญะอันเป็นเอกแล้วดูรู้อาการของขันธ์ แต่ไม่เข้าไปร่วมแสดงด้วยกับขันธ์ หากความรู้สึกตัวกระท่อนกระแท่น ก็ให้บริกรรมว่า “พอง - ยุบ” “พอง - ยุบ” อยู่เสมอ อำนาจของสตินั้นจำทำให้จิตใจถอนตัวออกจากขันธ์ และอาการของขันธ์ได้ เราพึงทรงสติ รู้ดู เฉยอยู่ ขันธ์จะกระตุกเต้นก็ปล่อยไป แต่จิตไม่เข้าไปเต้นกระตุกด้วย ให้ทรงสติรู้อยู่ ด้วยวิธีนี้จิตจะถอนตัวจากอำนาจกรรม อำนาจกรรมที่เก็บงำอยู่ไม่มีที่ยึดเกาะเกี่ยว ก็จะคลายออกไป เมื่อกรรมนั้นคลายออกไปหมด ก็เป็นอันสิ้นกรรมตัดเวรนั้น ๆ ขาดไป
    2. อโหสิ กรรมใดที่มีเจ้ากรรมนายเวรผูกบ่วงพยาบาทอยู่ และเจ้ากรรมนายเวรนั้นได้ปรากฏต่อหน้าแล้วก้พึงประกาศอโหสิกรรมแก่กัน โดยตั้งจิตอธิฐานว่า “กรรมชั่วอันใดที่ท่านได้กระทำแล้วต่อข้าพเจ้า ด้วยกายก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยวาจาก็ดี อันทำให้ท่านต้องตกระกำลำบากในกาลต่อไป ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้แก่บาปเวรนั้นของท่าน ขอท่านอย่าได้เสวยผลกรรมอันทุกข์ทรมานนั้นเลย และหากมีกรรมชั่วอันใดที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้วต่อท่าน ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ขอท่านจงงดโทษ อโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าจักสำรวมระวังในกาลต่อไป ”
    จากนั้นก็แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลไปยังเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งใกล้และไกล
    3. สารภาพผิด กรรมบางชนิดที่เป็นมโนกรรม เช่น การแอบไปอิจฉาริษยาผู้อื่น ซึ่งมีผลทำให้จิตใจต้องหมองเศร้า หดหู่กรรมแบบนี้ สามารถตัดให้ขาดได้ด้วยการสารภาพผิด แล้วตั้งจิตชอบต่อไป
    กรรมทั้งหลายอาจตัดขาดได้ด้วยอำนาจทั้ง 3 ประการดังกล่าว ยกเว้นกรรมประเภทหนึ่งที่ไม่อาจตัดให้ขาดด้วยอำนาจใด ๆ กรรมนั้นคืออนันตริยกรรมหมายถึงกรรมหนักอันมีผลสนองเป็นอนันต์ บุคคลใดประทำกรรมประเภทนี้แล้วห้ามขึ้นสวรรค์ห้ามเข้านิพพานมีนรกเป็นที่ไปเพียงประการเดียว อนันตริยกรรมประกอบด้วย กรรมต่อไปนี้คือ
    1. ทำให้พระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต
    2. ฆ่าพระอรหันต์
    3. ฆ่าบิดามารดา
    4. ทำสงฆ์ให้แตกกัน
    ดังนั้นผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงหลีกเลี่ยงกรรมนี้ให้ดี อย่าไปเผลอทำเข้าเป็นอันขาด แม้พระมหาโคลลานะ ผู้มีอิทธิ์มาก ยังถูกทุบจนแหลกเหลวก่อนเข้าปรินิพาน เพราะเมื่อพันชาติก่อน ท่านเคยทุบตีมารดาของท่านไว้ ด้วยผลกรรมนั้นจึงทำให้ท่านถูกทุบตายมาทุกชาติแม้ในชาติสุดท้ายนี
    ชำระขันธ์เพิ่มพลังอำนาจ

    การคลายกรรมและตัดกรรมออกไปแล้ว จะทำให้ขันธ์ของทานสะอาดโปร่งเบาขึ้น เมื่อใจสงบองค์ประกอบภายในอันได้แก่ การเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จะจัดเรียงตัวกันใหม่ ให้เป็นระเบียบ ยิ่งขึ้นนำมาซึ่งความมั่นคงแข็งแรงและมีพลังอำนาจ
    - ก่อนฝึกจิต ความคิดอ่านไม่เป็นระเบียบร่างกายพิกลพิการตึงเครียด
    - ระหว่างการฝึกจิตใจเริ่มเย็นลง อาการคลายความตึงเครียดปรากฏขึ้น องค์ประกอบจัดเรียงตัวกันใหม่สิ่งแปลกปลอมถูกขันออกจากขันธ์
    - หลังการฝึกจิตแล้วใจสงบเย็นเป็นระเบียบเซลล์ในร่างกายสะอาดหมดจดถ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์กระดูกจะเป็นพระธาตุ ความรู้สึกปลอดโปร่ง แจ่มใส ความจำดีมีปัญญาแตกฉาน จิตจะมีพลังอำนาจมาก​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    <TABLE width="97%" border=0><TBODY><TR><TD width="98%">
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=243>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>
    อำนาจสมถะ
    [​IMG] อำนาจสมถะ นอกจากจะช่วยลดความเร่าร้อนวุ่นวายทางจิต คลายความตึงเครียด กดดัน ขจัดกรรมชั่วร้ายและโรคภัยต่าง ๆ ออกไป จากขันธสันดาลได้แล้ว หากนักปฏิบัติ มุ่งความก้าวหน้าในปรากฏการณ์ทางจิต สามารถรักษาสติสัมปชัญญะเกื้อกูลกันตลอดสายแล้ว สำรวมในทวารทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ให้ไปหาเรื่องใหม่ ความเครียดใหม่ มาหมักหมมในจิตใจอีก มีความชำนาญในการทำจิตให้ตั้งมั่น คล่องแคล่วในการเข้าออกญาณ ก็จะได้ทิพยจักขุญาณตากำลังสมาธิ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะไว้ว่า​
     
  5. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    <TABLE width="97%" border=0><TBODY><TR><TD width="98%">
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=243>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]

    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>
    ตบะอันแก่กล้า

    [​IMG]ตบะเป็นวัตรที่ต่อมาจากการภาวนา ภาวนาแปลว่าทำให้ตั้งอยู่ เมื่อเจริญภาวนามาบ้างเล็กน้อยแล้วในระยะแรก ๆ สภาวะที่ดีอาจเสื่อมหายไปได้ หากนักปฏิบัติไม่ระวังตกอยู่ในความประมาท พลั้งเผลอ เมื่อไม่ประคองใจไว้ให้แยบคลายรักษาสติให้ตั้งมั่นดีแล้ว กิเลสที่ถูกข่มไว้ ก็อาจออกมาอาละวาทได้อีก ดังนั้นเมื่อภาวนาแล้วก็ควรเจริญภาวนาแล้วก็ควรเจริญตบะต่อไป เพื่อความตั้งมั่นของจิตใจอันดีงาม

    อานิสงส์ของตบะ

    การเจริญตบะย่อมเป็นการสร้างบารมี เป็นการเจริญธรรมเป็นการก้าวสู่มรรคผล
    บารมีที่จักเจริญงอกงามด้วยตบะคือ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน วิริยะ ศีล เนกขัมะปัญญา และอุเบกขา
    ธรรมมะที่จักเจริญด้วยตบะ คือโพธิปักขิยะธรรม สำคัญสองประการ ได้แก่ อิทธิบาท 4 และอินทรีย์ 5
    อิทธิบาท 4 ได้แก่ ธรรมเหล่านี้คือ
    ฉันทะ (ความพอใจ)
    วิริยะ (ความเพียร)
    จิตตะ (ความเอาใจจดจ่อ)
    วิมังสา (ความใคร่ครวญด้วยปัญญา)
    อินทรีย์ 5 ได้แก่ธรรมเหล่านี้คือ
    สัทธินทรีย์ (ศรัทธาแก่กล้า)
    วิริยินทรีย์ (ความเพียรแก่กล้า)
    สตินทรีย์ (สติแก่กล้า)
    ปัญญินทรีย์ (ปัญญาแก่กล้า)
    มรรคที่จักเจริญด้วยตบะคือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ สติชอบ และสมาชิกชอบ
    เมื่อทราบถึงประโยชน์ของการบำเพ็ญตบะแล้ว ก็พึงเพียรเจริญให้ตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา
    [​IMG]

    ตบะที่ควรบำเพ็ญ

    ตบะที่เลือกสรรมาบำเพ็ญกันเป็นประจำ ที่วัดเขาสมโภชน์ คือ
    1. การเลือกอยู่กับธรรมชาติแท้
    2. การเข้ากรรมฐานเป็นเวลานาน
    3. สมาธิควบคู่กับการงาน​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="97%" border=0><TBODY><TR><TD width="98%">
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=243>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle height=20>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>

    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>แผนที่ในการเดินทางไปวัดเขาสมโภชน์


    [​IMG] [​IMG]


    <คลิกเพื่อขยาย ภาพใหญ่>

    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>
    การโดยสารรถตู้จากกรุงเทพ รถตู้กฤตบริการ

    วัดเขาสมโภชน์ - กรุงเทพ ฯ (จอดในวัดเขาสมโภชน์)

    คันที่ 1 ออก 07.00 น. ถึง 10.30 น.

    คันที่ 2 ออก 07.45 น. ถึง 11.30 น.

    กรุงเทพฯ - วัดเขาสมโภชน์ (จอดหน้าโดรงพยาบาลราชวิถี) หน้าอนุเสาวรีชัยสมรภูมิ

    คันที่ 1 ออก 11.00 น. ถึง 14.30 น.

    คันที่ 2 ออก 14.00 น. ถึง 17.30 น.
    </TD></TR><TR><TD align=middle height=20>

    ตู้ ปณ. 10 ลำนารายณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี 15130

    วัดเขาสมโภชน์ ต. บัวชุม อ. ชัยบาดาล จ.ลพบุรี 15130 โทร 01 - 2165168 หรือ 01 - 8178341​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    สรุปวิธีทำ

    (1)นั่งขัดสมาธิเพชรมันจะออกดีกว่าการนั่งธรรมดา
    (2)สูดลมหายใจยาวๆเข้ายาวออกยาวเข้าท้องป่องให้สังเกตุโดยเอามือไปวางไว้ที่ท้องหายใจออกท้องยุบไม่ต้องภาวนาสูดลมหายใจให้หูของเราได้ยินเสียงสูดลมแล้วเอาหูนี่แหละฟังเสียงการสูดลมไปเรื่อยๆ ลมเข้าก็ได้ยิน ลมออกก็ได้ยิน
    (3)สูดลมไปเรื่อยๆยังไม่ต้องดึงลมแรงๆ นะเดี๋ยวแรงหมด
    (4)ให้สังเกตุการชามันจะชาที่มือก็ดึงลมไปเรื่อยๆมันจะค่อยๆ ชาถึงข้อซอกเราก็ดึงลมไปเรื่อยๆ ห้ามฟอกแรงนะดึงช้าๆ พอมันชาถึงบ่าก็ดึงลมไปอีก
    (5)พอเราดึงลมช้าๆ ไปเรื่อยๆ จนมันชาถึงบ่าพอเราดึงไปอีกมันจะมีอาการจมูกตันๆ เหมือนตอนเราไม่สบายน่ะเหมือนรูจมูกมันตันเราก็อัดลมเข้าไปอีกห้ามหยุดเด็จขาดแล้วมันจะมีอาการทางร่างกายเหมือนไฟช๊อตตึดๆๆๆๆๆ ตามแขนตามตัวตอนนี้แหละเราฟอกลมแรงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เข้าแรงออกแรงอย่าได้หยุดเด็ดขาดมันจะทรมานมากมันจะติดตอนนี้แหละ
    (6)ลักษณะการติดลมหายใจที่ติดขัดมันจะเบาหายใจคร่องตัวเบาและจะแสดงกรรมอะไรก็แล้วแต่ตัวท่านพอถึงตอนนี้อยากให้แสดงเร็วเราก็ฟอกเร็วๆอยากให้แสดงกรรมช้าๆเราก็ดึงลมช้าๆๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 มกราคม 2009
  7. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    [​IMG]
    ทางเข้าวัดเขาสมโภชน์

    [​IMG]

    [​IMG]
    ทางบันไดนาค 7 เศียร แกะสลัก ด้วยศิลาทรายสีเขียว

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2008
  8. Nefertiti

    Nefertiti Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +98
    ขออนุโมธนาด้วย
     
  9. sornchai-k

    sornchai-k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2005
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +672
    อนุโทนาครับ
     
  10. rux

    rux เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    308
    ค่าพลัง:
    +990
    [​IMG]

    อนุโมทนาสาธุ ในการนำธรรมะของหลวงพ่อมาเผยแพร่ ผมนั้นเคารพรักรักพ่อเป็นที่สุด พระคุณของหลวงพ่อนั้นไม่มีประมาณ สายนี้เป็นสายที่โรดโผน เป็นสมถะที่แรงมากและก็เป็นวิปัสนาที่รวดเร็ว ควบคู่กันไป
    "ผู้ปฏิบัติจะพึ่งเห็นได้เอง "
     
  11. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    การแก้ไขกรรมสามารถทำเองที่บ้านได้หรือเปล่าคะ ที่บ้านไม่มีรูปของหลวงพ่อคงหรือรูปหล่อของท่าน และไม่สามารถไปสถานปฏิบัติธรรมของท่านได้ สามารถทำที่บ้านได้หรือเปล่าคะ
     
  12. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    [​IMG]

    วัดเขาสมโภชน์
    เลขที่ 11 หมู่ 5 ต.บัวชุม
    อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี 15130
    ตู้ ปณ. 10 ลำนารายณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี 15130
    โทร. 08-1216-5168, 08-1817-8341


    พระครูภาวนาวิสุทธิ (ผิว วณฺณคุตฺโต) เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
    มีฐานะเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อคง จตฺตมโล


    หลวงพ่อคง จตฺตมโล อดีตประธานสงฆ์



    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    วิธีการปฏิบัติ : นั่งสมาธิภาวนาแบบ “ธรรมะเปิดโลก”
    (หลายใจแรงๆ เข้า ออก-เข้า ออกๆ)


    ขอแนะนำวัดเขาสมโภชน์ เพราะว่าวัดนี้เป็น การปฏิบัติกรรมฐานแบบเปิดโลก (การเปิดให้เห็นทั้ง 3 โลก แบบที่พระพุทธเจ้าเคยแสดงในวันที่พระองค์เสด็จลงมาจากการขึ้นไปโปรดพุทธมารดา) แต่ที่วัดนี้ คำว่า เปิดโลก ไม่ใช่ว่าสามารถทำได้อย่างพระพุทธเจ้า แต่เป็นการให้นั่งดูกรรมตัวเอง ดูว่าที่เราปวดหัว ปวดเข่า เป็นอะไร เพราะว่าอะไร อย่างบางคนเห็นตัวเองเป็นทหารสมัยของพระเจ้าตากสิน พอมาที่วัดก็จะรู้สึกว่าตัวเองเจ็บคน พอนั่งดูแล้วก็จะเห็น พอเห็นแล้ว ถ้าเขาทำเราให้ตายก็อโหสิให้เรา จะได้ไม่เป็นเวรเป็นกรรมกันอีก แต่ว่าถ้าเราทำให้เขาตาย ก็ให้เราขออโหสิกับเขา

    วิธีปฏิบัตินำมาจากหลวงพ่อคง จตฺตมโล (ท่านอาราธณาพระพุทธเจ้าช่วย) แต่ตอนนี้ท่านปลงสังขารแล้ว แต่มีหลวงพ่อผิว ซึ่งเป็นผู้ติดตามของหลวงพ่อคง (จึงเรียกได้ว่าเป็นมือขวา) ได้รับหน้าที่เป็นผู้นำญาติโยมฝึกต่อ

    วัดเขาสมโภชน์ เป็นที่ปฏิบัติธรรมเห็นกรรมเวรอดีตชาติทำกรรมอะไรไว้บ้าง
    ชาตินี้ถึงส่งผลมาเป็นเช่นนี้ อยากรู้ไปค้นหา ปฏิบัติรู้ได้ด้วยตนเอง


    - เป็นสถานที่ให้ความรู้ทางด้านกฎแห่งกรรม
    - ไปไหว้พระอรหันต์ที่กลายเป็นหินบนยอดเขา
    - ไปกราบมนัสการหลวงปู่คง อยู่ในโลงแก้วไม่เน่าไม่เปื่อย
    - ไปทำบุญให้กับฝูงลิงที่นับวันมากขึ้นทุกที อาหารการกินน้อยลง
    - ไปเที่ยวป่าเขาลำเนาไพร มีถ้ำและธรรมชาติที่สวยงาม
    - ไปค้างจะมีบริการให้ครบหมดที่นอน หมอน มุ้ง กลด ผ้าห่ม
    - อาหารจะเป็นมังสะวิรัติหมด ไม่มีเนื้อสัตว์
    - เพียงแต่หอบสังขารและจิตคิดศรัทธาที่จะปฏิบัติเท่านั้น

    [​IMG]
    พระอุโบสถหลังใหม่ วัดเขาสมโภชน์
    ...............................................................................................


    ความเป็นมาของกรรมฐานธรรมะเปิดโลก

    ความเป็นมาของกรรมฐานธรรมะเปิดโลก คือ กาลครั้งหนึ่งสมัยที่สมเด็จพระบวรนาถสมณโคดมยังทรงพระชนม์อยู่ ในกาลนั้นได้เสด็จขึ้นสู่ดาวดึงส์เทวสถานเพื่อโปรดพระพุทธมารดา ในวันที่เสด็จกลับจากดาวดึงส์ ได้มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากคอยรับเสด็จอยู่ ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงใช้พุทธานุภาพแสดงโลกทั้งสามให้ปรากฏ แก่พสกนิกรผู้เป็นศานุศิษย์ของพระพุทธชินสีห์ ประชาชนที่มารับเสด็จในวันนั้น ต่างก็ได้รับทิพยจักขุญาณ เห็นเทวโลก มนุษยโลก และอบายโลก พร้อมกัน กล่าวคือ เทวดาทั้งหลายก็เห็นมนุษย์และสัตว์ในอบาย มนุษย์ทั้งหลายก็เห็นเทวดาและสัตว์ในอบาย สัตว์ในอบายทั้งหลายก็เห็นทั้งมนุษย์และเหล่าเทวดา เรียกว่าทั้งสามโลกมองเห็นกันทะลุปรุโปร่ง

    ในวันนี้พระพุทธคุณนั้นเป็นอานุภาพที่ไร้ขอบเขต ทรงฤทธานุภาพสูงสุดในจักรวาล ในวันนั้นเทวดามนุษย์และสัตว์เดรัจฉานทั้งปวงต่างๆ ก็ได้พบพ่อแม่ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ มิตรสหาย และบริวารเก่าๆ ที่กำลังเสวยผลกรรมอยู่ในภพต่างๆ กัน เป็นทุกขเวทนาบ้าง สุขเวทนาบ้าง จึงเกิดเมตตาจิต อธิษฐานอโหสิกรรมผู้ที่ได้เคยกระทำชั่วต่อกันมาให้ได้พ้นจากบาป กรรมเวรเหล่านั้น

    ในวันนั้นเอง มีผู้มีปัญญาเกิดความเบื่อหน่ายคลายความยินดีในภพชาติ หลุดพ้นจากอาสวะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก จากนั้นมาธรรมะเปิดโลกก็มิได้ปรากฏในพระประวัติพระพุทธศาสนาอีกเลย จนกระทั่งเมื่อหลวงพ่อคง จตฺตมโล พุทธสาวกสมัยพุทธกาลนี้ ได้ถือเนกขัมมะวัตรเป็นบรรพชิตบำเพ็ญเพียรด้วยวิริยะอันแรงกล้า วิรัติแล้วจากการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ทั้งโดยตรงและโดยทางอ้อม ตั้งแต่อยู่ในฆราวาสวิสัย ดำริมั่นที่จะออกจากกาม ได้จาริกเพื่อเจริญวิมุติญาณเข้าสู่โลกกุตระสภาวะมาโดยลำดับ

    จนกระทั่งลุถึง ถ้ำอรหันต์ เขาสมโภชน์ ลพบุรี ท่านได้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นอุกฤษฏ์ จนบังเกิดความตึงเครียดในทุกส่วนของประสาท ก็ยังไม่สำเร็จผลดังหวัง ทำให้รู้สึกท้อแท้ ท่านจึงน้อมจิตอธิษฐานว่า หากคุณพระพุทธเจ้ามีจริง ขอทรงมาโปรดให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรมด้วยเถิด ในครั้งนี้เอง ก็มีปรากฏการณ์บังเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ท่านได้พบพระวิสุทธิสัมมาสัมพุทธเทพ และได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติกรรมฐาน อาศัยบุญบารมีเก่าที่หลวงพ่อคงเคยเป็นหลวงพ่อร่วง ผู้รจนาคัมภีร์ไตรภูมิกถาไว้สั่งสอนปวงชนมาก่อน พระพุทธองค์จึงทรงประทานธรรมะเปิดโลกให้ เมื่อหลวงพ่อใช้กำลังสติปัญญาเข้าพิจารณาภูมิอันเป็นอาสวะแห่งงวัฏฏะแล้ว เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด จิตใจมุ่งเข้าสู่ความบริสุทธิ์ สำเร็จวิสุทธิญาณในวันนั้นเอง

    จากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมโลกเชษฐ์ได้ทรงประทาน พุทธานุญาตให้หลวงพ่อคงโปรดแสดงธรรมะเปิดโลกแก่พสกนิกรพุทธบริษัทได้ โดยอาราธนาพระพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และอริยสังฆานุภาพ มาเป็นอำนาจเปิดโลก เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจแจ้งเรื่องกรรมและกลไกของกรรมโดยถ่องแท้

    กรรมฐานธรรมะเปิดโลก จึงได้รับการถ่ายทอดสาธิตจากหลวงพ่อคงนับตั้งแต่นั้นมา

    [​IMG]

    หลักการฝึกจิตแบบธรรมะเปิดโลก

    ธรรมเปิดโลกเป็นอานุภาพที่พระพุทธเจ้าทรงใช้สมัยเสด็จลงจากดาวดึงส์ โดยใช้พุทธานุภาพเปิดโลกทั้งสามให้มนุษย์ เทวดา และเปรต นรก เห็นกันได้หมด จากนั้นก็ไม่มีปรากฏการณ์ทำนองนี้อีกเลยในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

    จนกระทั่งหลวงพ่อคงท่านปฏิบัติมหาสติปัฏฐานอยู่ที่ถ้ำอรหันต์ ลพบุรี หวังหลุดพ้นแต่ยังไม่หลุดพ้นสักที ท่านจึงอธิษฐานว่าหากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริงขอให้โปรดท่านให้มีดวงตาเห็นธรรมะและหลุดพ้นด้วยเถิด

    และในที่สุดท่านก็ปฏิญาณว่าท่านได้พบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง และถึงฝั่งอรหันตภูมิแล้ว จึงประกาศธรรมะเปิดโลก แต่กำลังพระอรหันต์ไม่เท่าพระพุทธเจ้าที่จะสามารถทำให้เห็นด้วยตาเปล่าได้ แต่ทำให้เห็นด้วยญาณ และปรากฏการณ์ทางกายและจิตใจได้

    ด้วยกายนี้เป็นที่ตั้งแห่งกรรมชรูป และจิตชรูป กรรมกิเลส ตัณหา และอวิชชามากมาย โดยมีจิตและเจตสิกเป็นผู้ทำงานร่วมพร้อมด้วยตลอดเวลา จึงให้ใช้กายเป็นฐานในการบำเพ็ญจิต เพื่อคลายอาสวะเหล่านั้นแห่งเจตสิกออกมา

    เมื่อมีการกระทบกันของกาย จิต เจตสิก ย่อมเกิดการเคลื่อนไหว และการคลายตัวตามธรรมชาติ คลายมลทินต่างๆ ที่ฝังแน่นในอัตตาออกมาในรูปของการสะท้อน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่อัดแน่นอยู่ในตัวตน และเพื่อให้ปลอดภัยและรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านให้ถวายกรรม ถวายเวรให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน และให้อาราธนาพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพมาโปรดกำกับกระบวนการด้วย

    ก่อนอื่นผู้ประสงค์จะเจริญกรรมฐานธรรมะเปิดโลก จะต้องถวายกรรม ถวายเวรให้กับพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าก่อน เพื่อเป็นการอาราธนาอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ลงมาโปรด หากไม่อาราธนาแล้วท่านจะไม่มายุ่งด้วย เพราะถือว่าเจ้าของไม่อนุญาต แต่เมื่อาราธนาแล้ว น้อมธรรมะมาใส่ตัว อานุภาพของพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมเจ้าก็ดี พระสังฆเจ้าก็ดี จะลงมาโปรดเปิดโลกให้ได้รู้

    วิธีภาวนา

    เมื่อมอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ต่อไปก็น้อมรับอำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มาสถิตประสิทธิ์ประสาทในขันธสันดานของตน อำนาจวิสุทธิทิพย์จะเข้ามาเพื่อบุคคลน้อมเข้ามาใส่ตนเท่านั้น

    ผู้ปฏิบัติพึงเฝ้าดูอาการของลมหายใจที่ลิ้นปี่ (ก้นปอด) ยามขยายตัวพองออกก็รู้แจ้งชัดว่าขยายพองตัวพองออก บริกรรมกำชับความรู้ตัวว่า “พองหนอ” เมื่อมันยุบแฟบลงก็รู้แจ้งชัดว่ายุบแฟบลง บริกรรมกำชับความรู้ตัวว่า “ยุบหนอ” นี่คืออานาปานสติฐานเดียว

    เมื่อทราบวิธีการแล้วจึงลงมือปฏิบัติได้ โดยนั่งคู้บัลลังก์ เท้าขวาทับขาซ้าย หรือเท้าซ้ายทับขาขวา ก็ได้ตามถนัด เอามือขวาทับมือซ้าย หรือมือซ้ายทับมือขวา หรือประสานกันไว้วางบนหน้าตัก ตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น

    มองไปที่พระพุทธรูป บอกกับตัวเองว่า “บัดนี้ฉันได้ถวาย ร่างกายและชีวิตนี้ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าแล้ว ต่อไปนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะปล่อยให้เป็นไปตามอำนาจแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บัดนี้ฉันจะเจริญสมาธิ ให้นิ่งอยู่ด้วยความรู้ตัวทั่วพร้อม ฉันจะไม่สนใจเรื่องภายนอก ฉันจะไม่ยินดียินร้ายกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่อาจมากระทบ จะสนใจเพียงประการเดียวคือความรู้ตัวอันบริสุทธิ์เท่านั้น” จากนั้นค่อยๆ หลับตาลง

    แล้วเริ่มสังเกตดูอาการของลมหายใจ เอาจิตจดจ่ออยู่ที่ลิ้นปี่ เฝ้าดูอาการของลมปราณอยู่อย่างปกติเฉย เมื่อมันพองออกก็บริกรรมว่า “พอง” เมื่อมันยุบก็บริกรรมว่า “ยุบ” ลมจะสั้นจะยาวจะช้าจะเร็ว อย่าเข้าไปบังคับมัน การเข้าไปบังคับลมหายใจจะทำให้ขาดความสมดุลในกระบวนการ อาจเกิดการอึดอัด เหนื่อยหอบ คอแห้ง เป็นต้น

    ด้วยอำนาจของสตินั้นจะทำให้จิตถอนตัวออกจากขันธ์และอาการของขันธ์ เมื่อเราถอนจิตออกจากขันธ์ ขันธ์จะผ่อนคลาย และสงบเย็น สิ่งผิดปกติในขันธ์จะถูกกำจัดออกไปปรากฎเป็นอาการต่างๆ ก็ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ตามและไม่ต้าน เสมือนขณะที่เรากวาดฝุ่นละอองออกจากบ้าน ฝุ่นกระจายฟุ้งไปเราก็ไม่คว้าฝุ่นนั้นไว้ หรือไล่ตามฝุ่นไปฉันใด ในยามที่เราชำระขันธ์ ความเครียดของกรรมเก่าคลายออกไป เราก็ไม่ต้องไปคว้ากรรมนั้นมาไว้อีก หรือไหลตามกรรมนั้นไปฉันเดียวกัน ปล่อยให้มันคลายออกไปตามกลไกธรรมชาติ เราพึงทรงสติรู้ดูเฉยอยู่ ขันธ์จะกระตุกเต้นก็ปล่อยไป แต่จิตจะไม่เข้าไปเต้นกระตุกด้วย ให้ทรงสติรู้อยู่ ด้วยวิธีนี้จิตจะถอนออกไป เมื่อกรรมนั้นคลายออกไปหมดก็เป็นอันสิ้นกรรมตัดเวรนั้นๆ ขาดไป แต่หากมีกรรมใหญ่ที่ไม่อาจคลายได้หมด หรือกรรมที่ตัดไม่ขาดเพราะยังมีเจ้ากรรมนายเวรจองล้างจองผลาญอยู่ ก็ให้เชิญเจ้ากรรมนายเวรมาแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล และทำพิธีอโหสิกรรม ตัดเวร เพื่อเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรเสีย

    [​IMG]
    รูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อคง จตฺตมโล
    ...............................................................................................


    ชำระขันธ์เพิ่มพลังอำนาจ

    การคลายกรรมและตัดกรรมออกไปด้วย จะทำให้ขันธ์ของท่านสะอาดโปร่งเบาขึ้น เมื่อใจสงบลง องค์ประกอบภายในอันได้แก่ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จะจัดเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบยิ่งขึ้น นำมาซึ่งความมั่นคง แข็งแรง และมีพลังอำนาจ

    ความตึงเครียดทั้งหลายทั้งที่เครียดเพราะติดดี และติดเลว สามารถเอาออกจากขันธ์ได้โดยการลดความเร่าร้อนของจิตใจลง เมื่อใจสงบลงแล้ว อุณหภูมิของกายก็จะค่อยๆ ลดลง ขันธ์ต่างๆ ก็จะสงบลงระบบต่างๆ จะค่อยๆ จัดเรียงตัวกันใหม่ให้เป็นระเบียบ ช่วงนี้อาการเครียดอันแปลกปลอมอยู่ในร่างกายก็ดี ใจก็ดี จะเริ่มคลายออก ซึ่งอาจจะออกทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางใจบ้าง

    ทางร่างกาย เช่น ชาตามมือตามเท้า เกร็งทั้งตัว สั่น แน่นหน้าอก รู้สึกเสียวไปทั่วสารพางค์กาย ปวดศีรษะ ปวดเอว เมื่อยหลัง ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมของการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ประพฤติผิดในกาม และดื่มน้ำเมา เสพสิ่งเสพติด

    ทางวาจา เช่น ร้องไห้ ร้องเพลง ส่งเสียงเอิ๊กอ๊าก ร้องด่าผู้อื่น โอดครวญคราง สารภาพผิด ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมของการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ล้อเลียน

    ทางใจ เช่น รู้สึกอึดอัด มือตื้อ รู้สึกวาบหวิวเหมือนตกจากที่สูง ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากอำนาจผลกรรมทางใจที่โลภ โกรธ และหลงใหล งมงาย ขาดปัญญา

    เมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิ อาการเหล่านี้จะเริ่มคลายออกมา หากมีอาการใดเกิดขึ้น นักปฏิบัติไม่ต้องตกใจ ปล่อยให้มันเกิด ไม่ตาม ไม่ต้าน ทรงสติมั่นรู้อยู่ เข้าใจอยู่ว่านั่นสักแต่ว่าเป็นผลกรรม ไม่เป็นตน เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เรารู้แล้วว่าทำชั่วได้ชั่วจริง ต่อไปนี้ชีวิตเราจะไม่ทำกรรมชั่วอีกแม้แต่น้อย ตั้งใจให้แน่วแน่เด็ดเดี่ยวแล้วอาการจะค่อยๆ หายไปเอง ที่สำคัญอย่าออกจากสมาธิในขณะที่มีอาการเพราะจะทำให้อาการนั้นค้างอยู่ใน ชีวิต ควรนั่งต่อไปจนอาการนั้นหายไปจึงค่อยออกจากสมาธิ

    [​IMG]

    สมาธิควบคู่กับการงาน

    การประกอบการงานเป็นกุศโลบายที่สำคัญมากที่จะประคองสมาธิไว้กับจิตใจให้ ตั้งมั่นตลอดเวลา นำพลังอำนาจของสมาธิมาใช้ประกอบการงานทำให้ผลงานมีประสิทธิภาพ นำพลังอำนาจของสมาธิมาใช้ประกอบการงานทำให้ผลงานมีประสิทธิภาพ ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างราบรื่นมีความเจริญทั้งในทางโลก และทางธรรม การเจริญสมาธิควบคู่กับการงานจึงเป็นตบะที่ทุกคนควรต้องฝึกหัดบำเพ็ญให้ เป็นที่ยิ่ง

    การเจริญสมาธิควบคู่กับการงานนั้นควรบำเพ็ญสลับระหว่างนั่งกรรมฐาน และการออกสู่การงาน โดยนำอำนาจจิตที่เจริญขึ้นในระหว่างการภาวนานั้น มาใช้ประกอบการงานสรรค์สร้างความผาสุกให้กับสังคม เริ่มด้วยการออกจากกรรมฐานอย่างสำรวมระวัง รักษาสติอยู่เสมอในทุกๆ อิริยาบถที่เคลื่อนไหวไป อำนาจสมาธิก็จะตั้งมั่นแนบแน่นอยู่ในจิตใจ ด้วยการฝึกกรรมฐานแล้วออกมาผประกอบการงานนั้น เสมือนหนึ่งการย้อมผ้า เมื่อเรานำผ้าไปจุ่มสีแล้วก็เอาขึ้นมาตากแดด เมื่อตากแดดแรกสีย่อมจางไปบ้าง จึงเอาไปจุ่มสีอีก ตากแดดที่สองก็จางลงอีกเล็กน้อย จึงเอาไปจุ่มสีอีก จุ่มอีกตากแล้ว ตากแล้วจุ่มอีกเช่นนี้ จนสีแนบแน่นติดเนื้อผ้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน ครานี้แม้จะนำผ้าไปตากแดดสักเท่าใดสีก็ไม่เสียไป

    การฝึกกรรมฐานแล้วออกมาประกอบการงานก็เช่นกัน เมื่อมากระทบกับปัญหาในการทำงานครั้งแรกอาจจะรู้สึกว่าจิตหวั่นไหวเสีย สมาธิไปบ้าง ก็เข้ากรรมฐานอีก เข้ากรรมฐานแล้วออกมาทำงานอีกเช่นนี้ตลอดไปในที่สุด จิตใจก็จะมั่นคงในทุกขณะของชีวิต แม้ระหว่างประกอบการงานหรือเผชิญคลื่นปัญหาที่รุนแรงเพียงใดก็ไม่ไหวหวั่น ที่สำคัญคือเมื่อออกจากกรรมฐานให้ประคองสติสัมปชัญญะไว้ด้วยความสำรวมระวัง และประกอบการงานหรือเผชิญคลื่นปัญหาที่รุนแรงเพียงใดก็ไม่ไหวหวั่น

    การจะพัฒนาจิตใจให้ก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์ได้นั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า จะต้องบำเพ็ญเป็นที่สม่ำเสมอ ดังนั้นจะหายใจทิ้งไปทำไมเปล่าๆ เล่า ควรเจริญสติ สมาธิ ไปด้วยทุกลมหายใจดีกว่าจะได้คุณประโยชน์อันเป็นอเนกอนันต์

    ยามคิด คิดด้วยความสุขุม เปี่ยมด้วยเจตนาดีต่อสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งปวงโดยส่วนรวม
    ยามพูด พูดด้วยใจอันอ่อนโยน การุณย์
    ยามกระทำ ก็ทำด้วยใจดี มีปัญญาใคร่ครวญในทุกกิจที่กระทำ

    เมื่อปฏิบัติด้วยดีแล้ว การงานทั้งหมดจะสำเร็จด้วยใจ มีใจเป็นใหญ่ขับเคลื่อนอำนาจสู่การกระทำ เพื่อสร้างสรรค์งานให้สำเร็จลุล่วงด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์

    นักปฏิบัติควรฝึกหัดกระทำดังนี้เสมอๆ ก็จะพบความมหัศจรรย์ของชีวิต พบคุณค่าแท้จริงของจิตใจ มีอำนาจภายในตั้งมั่นอยู่อย่างไม่เสื่อมสลาย

    [​IMG]

    ระเบียบการพำนักปฏิบัติธรรมในวัดเขาสมโภชน์

    ผู้ที่จะประสงค์จะพำนักปฏิบัติธรรมในวัดเขาสมโภชน์ โปรดศึกษาระเบียบปฏิบัตินี้ให้เข้าใจ ดีเสียก่อน เพื่อความกลมเกลียวกันในหมู่คณะ

    1. ทุกท่านมีสิทธิเข้ามาศึกษาปฏิบัติธรรม และพำนักในวัดเขาสมโภชน์ ได้เป็นเวลา 15 วัน หากท่านใดประสงค์จะอยู่เกิน 15 วัน โปรดขออนุญาตจากคณะสงค์ ก่อนโดยกรอกในสมัคร ที่แผนกทะเบียนแล้วนำไปยื่น ความจำนงต่อเจ้าอาวาส

    2. นักปฏิบัติธรรมพึงอาศัยเสนาสนะตามที่ทางวัดจัดให้หากต้องการเปลี่ยนแปลงโยก ย้าย ให้ขออนุญาติเจ้าหน้าที่ก่อน เมื่อพำนักอาศัยแล้ว หากประสงค์ จะต่อเติมอาคารสถานที่ ต้องได้รับการสวดประกาศอนุมัติจากสงฆ์ก่อน ตามธรรมวินัย

    3. ผู้พำนักอยู่ในวัดทุกท่าน ต้องดูแลความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของที่อยู่อาศัยให้ดีอยู่เสมอ ทั้งในกุฏิ วิหาร ห้อง คูหา และตามต้นไม้

    หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าไม่สะอาด หรือไม่เรียบร้อย ครั้งแรกตักเตือน หากพบเป้นครั้งที่สอง บุคคลนั้นจะไม่มีสิทธิ์อยู่พำนักในวัดเขาสมโภชน์อีกต่อไป

    4. ผู้ที่ต้องการจำพรรษาที่วัดเขาสมโภชน์ ต้องแจ้งความจำนงต่อเจ้าอาวาสล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน รายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าจำพรรษาในวัดเขาสมโภชน์จะติดประกาศให้ทราบโดยทั่ว กันล่วงหน้าก่อนเข้าพรรษาอย่างน้อย 15 วัน

    5. ในระหว่างพำนักอยู่ การหยิบยืมของใช้ ของทางวัด ให้ยืมได้ที่เจ้าหน้าที่ ผู้รับผิดชอบ เมื่อจะกลับให้นำเครื่องใช้ ที่ยืมไปมาส่งด้วยตนเอง มิฉะนั้น จะไม่ได้รับหนังสือสุทธิหรือบัตรประชาชนคืน ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านเป็นหนี้สงฆ์ เพราะการเป็นหนี้สงฆ์ จะทำให้ชีวิตขัดสนไม่ร่ำรวย

    6. ห้ามเข้าเขตหวงห้ามตามที่หลวงพ่อบอก หรือคณะสงฆ์ประกาศห้าม

    7. ต้องเข้าร่วมประชุมบำเพ็ญศาสนกิจ ตามที่กำหนดไว้ โดยพร้อมเพรียงกัน

    8. ห้ามเสพหรทอสะสม บุหรี่ หมาก สุรา ยานัตถ์ หรือสิ่งมึนเมาต่างๆ โดยเด็ดขาด ถ้าฝ่าฝืนจะนิมนต์ออกนอกวัด

    9. การเทเศษอาหารหรือขยะมูลฝอยอื่น ๆ ต้องเทในที่จัดไว้เท่านั้น

    กำหนดเวลาปฏิบัติกิจ

    03.00 น. ตื่นนอน ทำกิจส่วนตัว ประชุมพร้อมกันที่วิหารเอนกประสงค์
    04.00 น. ทำวัตรเช้า เจริญภาวนา
    06.00 น. พระภิกษุ สามเณร โคจรบิณฑบาต
    เถร ชี อุบาสก อุบาสิกา ทำความสะอาด ที่อยู่อาศัยและลานวัด
    08.00 น. ฉันภัตตาหารบนหอฉันบูรพาจารย์
    10.00 น. ตามอัธยาศัย
    12.30 น. ประชุมภาวนาที่วิหารอเนกประสงฆ์ จตฺตมโล
    15.00 น. ทำงานส่วนร่วมตามที่สงฆ์ มอบหมายให้
    18.30 น. ทำวัตรพระเจริญภาวนาพร้อมกันบนวิหารเอกนกประสงค์ จตฺตมโล
    21.00 น. ทำวัตรเย็น
    22.00 น. ดับไฟ-เข้านอน

    ติดต่อสอบถามฝ่ายธุรการวัด โทร 081-216-5168

    การเดินทาง

    การเดินทางจากกรุงเทพฯ ขึ้นวงแวนรอบนอกไปลงสระบุรี แล้วขับรถตรงไปตลอดจนถึงแยก พุแค มันจะมีโค้งซ้ายกับโค้งขาว ให้เราโค้งซ้าย และขับตรงไปเรื่อยๆ จนถึงแยกม่วงค่อมให้เลี้ยวขวา ขับตรงไปอีกประมาณ 20 กม. ก็จะเห็นป้ายบอกวัดเขาสมโภชน์ ให้เลี้ยวซ้ายอีกประมาณ 10 กม. ก็จะเจอทางเข้าวัด (ให้สังเกตุโรงเรียนวัดเขาสมโภชน์) ให้เลี้ยวขวาเข้าก็จะถึงวัด แล้วอีกประมาณ 3 กม.

    การโดยสารรถตู้จากกรุงเทพฯ รถตู้กฤตบริการ
    วัดเขาสมโภชน์-กรุงเทพฯ (จอดในวัดเขาสมโภชน์)
    คันที่ 1 ออก 07.00 น. ถึง 10.30 น.
    คันที่ 2 ออก 07.45 น. ถึง 11.30 น.

    กรุงเทพฯ-วัดเขาสมโภชน์ (จอดหน้าโดรงพยาบาลราชวิถี) หน้าอนุสาวรีชัยสมรภูมิ
    คันที่ 1 ออก 11.00 น. ถึง 14.30 น.
    คันที่ 2 ออก 14.00 น. ถึง 17.30 น.

    [​IMG]
    แผนที่วัดเขาสมโภชน์
    ...............................................................................................
     
  13. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    727
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
  14. pro1192

    pro1192 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +13
    ในสายธรรมเปิดโลก

    ก่อนอื่น ต้องแสดงความจริงใจ และยินดีกับเวปทุก เวปในสายธรรมเปิดโลก
    หากเกิดข้อความใด ขัดข้องใจต้องขอ อภัยมานะโอกาสนี้ ด้วย เรื่องจริง ที่
    ผมรู้ ก็ไม่มีเจตนาอีื่น เมื่อตรวจ สอบ เห็นไม่ตรง โต้แย้ง ก็อาจจะไปแสดงไม่
    ตรงกับผู้อืน ที่ไม่ได้อยู่ในสถานะการณ์ นั้น
    เรียนด้วยความเครพ อย่างสูง ลิ้ง วัดเขาสมโภชน์ ก็แสดงด้วยความตรง ตรง
    ก่อนอื่น ต้องบอกรอบ ของประวัติ
    เดิมที่ มีน้าฐาก หรืออุปฐาก ตายไปแล้ว แม่ชีเต็ม (ตามหลวงพ่อคงมาปฏิบัติ) ณ วัดเขาสมโภชน์ มีแม่ชีแดง (หลวงพ่อคง) คนรุ่นแรก ๆ นะ
    เมื่อหลวงพ่อคงท่านธูดง มา ท่านบอกว่าหลวงพ่อทองดี สีสว่าง เป็นเพื่อนท่าน
    ธุดงค์มาละสังขารที่เขาสมโภชน์ ตรงข้ามหลวงพ่อทองดี จะมีรีบเล็ก ๆ นั้นคื่อ
    ที่หลวงพ่อคงท่านปฏิบัติ ภายใน เมื่อเข้าไปแล้ว พื้นที่ภายใน สามารถเดินได้ประมาณ 3-4 เมตร และที่นั่งตรงนั้นก็เหมาะสมดี ผมเคยเข้าไปในซอกรีีบนั้น 1 ครั้ง เพราะเมื่อก่อนมีไม้กัน และ ล็อกกุญแจ ในซอกรีบนั้น เย็นเป็นพิเศษ สงบ
    เป็นพิเศษ หรือผมคิดไปเอง
    รุ่นต่อมา มีอาจาร์ยหอม ต้อนนี้ อยู่ชัยภูมิ
    มีอาจาร์ยสมภาร เวลาท่านมาจะปตกถา เป็นเพลง บรรยายธรรม
    มีอาจาร์ยผิว เนื่องด้วยอาจาร์ยผิวท่าน เงียบ เรียบร้อย
    มีอาจาร์ยเพลิน และ อีกหลาย ๆ ๆ องค์ เวียนเข้ามาสนธนาธรรมกับหลวงพ่อ เสมอมา
    มีอาจาร์ยประสงค์ รุ่นเก่า ๆ ๆ เท่าที่ทราบ

    เมื่อก่อนวัดเขาไม่ใช่ชื่อวัด แต่เป็นถ้ำเขาสมโภชน์
    ตอนจะแต่งตั้งเจ้าอาวาสวัด ก็มีพระหลายรูป แต่ในช่วงเวลานั้นมีอาจาร์ยผิว
    อาวุโสในพรรษา และ องค์อื่นที่พรรษามากพอ ก็ไม่ได้อยู่ในที่นั้น ออกธุดงค์
    ตามสภาวะ ในขณะนั้นก็มี อายาร์ยหน่อย อาจาร์ย ดม (ชลบุรี) พรรษาก็ยังแค่
    3 -4 พรรษา แต่อาจาร์ยหน่อย ทางโลกท่านจบปริญามา แต่อาจาร์ยหน่อย
    ก็ไม่กล้ารับเพราะพรรษาัยังน้อย อยู่ ก็เลย แจ้งในที่ประชุม ว่านิมนต์อาจาร์ยผิว
    ทั้ง ๆ ที่อาจาร์ยผิวท่านก็แสดงให้หลวงพ่อคงว่าท่านเรียนมาน้อย ให้อาจาร์ยหน่อย สรุปในที่ประชุม ก็ อาจาร์ยหน่อยก็บอกว่าเรียนให้อาจาร์ยผิวเป็นและท่าน(อ.หน่อย)จะช่วยกัน ทั้ง ๆ เรื่องตั้งวัด อาจาร์ยหน่อย และ ผม ไปขอลายละเอีดย เพื่อทำการจัดตั้งวัด ทางเถระสมาคมมีการสำรวจ หลายประการ จำนวนพระ การก่อตั้งเป็นถ้ำเขา สรุปรวม ในทีประชุม มีอาจาร์ยผิว พรรษามาก
    ก็เลยสรุปอาจาร์ยผิวเป็นเจ้าอาวาส และ ตั้งหลวงพ่อคงเป็นประธานสงฆ์วัดเขา
    สมโภชน์ แต่ก็อีกนานนะชื่อวัดถึงจะตกลงมา เพราะการสำรวจ จากเถระสมาคม
    ไม่มีวัตถุประสงค์อื่นได ในการแจัง ข่าวข้อมูล เพื่อให้เข้าใจตรง กัน และแจ้ง
    ข้อเท็จจริงให้ทราบ จากลิ้ง วัดเขาสมโภชน์ เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้
     
  15. pro1192

    pro1192 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +13
    ผมมีแต่รูป เก่า ๆ และ พระรุ่นเก่า หลวงพ่อคง รูปใหม่ ไม่ค่อยมี และเมื่อก่อน ผม อยู่ในส่วน
    ประสานงานวัด เขา และเป็นมื่อกล้อง จึงไม่มีรูปผมปรากฏในการถ่าย
    มีหลายเวปที่ผมอ่านและ ดี ดี อย่างน้อย ให้ ทุกท่านรู้ว่ามีคนคอยตรวจสอบ เรื่อง จริง ของ วัดเขาสมโภชน์อยู่
     
  16. pro1192

    pro1192 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +13
    สายธรรมเปิดโลก เป็นสาย พุทธะ (มากกว่าเมล็ดทรายในมหาสมุทร) รุ่นเก่าที่ต้องถามถึง
    หลวงพ่อคง เปิดพุทธภูมิ(เรื่องหอกโมกข์ศักดิ์) ท่านที่อธิบายเรื่องการปฏิบัติก็ โมธนา สาธุ
    สาธู นะ ผม ก็เล่าเรื่อง เก่า ๆ ๆ ให้ฟังเล่น ๆ ๆ
     
  17. pro1192

    pro1192 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +13
    ข้อควรระวัง ในสายนี้ ถ้าปฏิบัติผ่านแล้ว ก็ ยินดี ด้วย สายธรรมเรียกว่า สาธุ สาธุ สาธุ
    1.จิตร ติดภพ ติดชาติ หลวงพ่อคงท่านแนะออกไมล์เสมอว่า ละ เสีย
    2.หลงภูมิ หลงสภาวะ หลวงพ่อคงท่านแนะเสมอ วางเสีย
    3.แยกภูมิ ให้เก่ง ปัจจุบัน อยู่ตรงไหน มิตินั้นเป็นจุดที่พิสูตร เพื่อ
    ให้เกิดพลังสัจ ธา ที่ผมใชัคำว่า สัจ ธาเพราะเป็นฐาน ในการเดินทางในการปฏิบัติ(สมถะ)
    ในสนาพุทธ เพิื่อให้เกิด พลัง (พลังก็ยังเป็นสมถะ)ในการปฏิบัติ ยิ่ง ๆ ขึั้นไป
    เจริญธรรม เจริญสัจธา เจริญภาวนา (บ่อย ๆ อธิฐาน นะ) ของดีอยู่ในตัวคุณ อาจาร์ยก็อยู่ในตัวคุณ ของชั่วก็อยู่ในตัวคุณ ภพภูมิก็อยู่ในตัวคุณ ไม่ต้องไปหาที่ไหน เมื่อหาเส้นทางเดินเป็นแล้ว (สายธรรมเปิดโลก) หรือ (หาจริตเจอแล้วก็เจริญ ธรรม ยิ่ง ยิ่งขี้นไป)
     
  18. พิชญ์

    พิชญ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    760
    ค่าพลัง:
    +3,392
    ขอกราบแทบเท้า...ในพระเดช พระคุณ ของหลวงพ่อคง อาจารย์ใหญ่แห่งกรรมฐานธรรมะเปิดโลก แม้ท่านละสังขาร...แต่ผลงานของท่านขจรไปไกลยังทั่วแค้น เมืองไทยมากมาย....

    ถึงแม้โดน นักข่าว หรือทีวีหลายช่องมาถ่ายออกอากาศ ถึงการปฏิบัติที่ดูเหมือนว่าจะหลุดโลก แต่ในทางตรงกันข้าม..สายปฏิบัติ กลับไม่ลดจำนวนลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้น ในทุก ๆ ปี นั่นเพราะ...ของจริงที่พิสูจน์เองได้มีอยู่จริง....
     
  19. pro1192

    pro1192 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +13
    เส้นทางปิร มิตร เมื่อเข้าสภาวะ กรรม ไม่ว่าจะออกทาง กาย 3 วจี 4 มโน 3
    ผ่าน ภพ ผ่าน สภาวะ อะไรก็ช่าง เถาะ ดูมันให้กระจ่าง และว่างมันให้เป็น นะ มันจะเข้าสู่ การผ่าน สภาวะต่อไป กรรมนั่งเท่าไรก็ไม่หมด หลอก จะตัดมัม ด้วย ละ จะตัดมันด้วย วาง จะตัดมันด้วยการภาวนา (เจริญสติ) หรือ จะตัดกรรมมันด้วย ปัญญา นอก ปัญญาใน
    ตัดกรรมด้วยปัญญานอก ขอขยาย หน่อย เมื่อเห็นด้วยสภาวะ ว่าเป็นกรรม กับคนนี้ก็ถอยห่างออกไปเสีย และ ภาวนา กรวดน้ำ แผ่เมตตา
    ในหนึ่ง กรรมนอก เขาดากันก็หนีไปเสีย อย่าไปฟัง เรื่องของเขา เราไม่เอามากะทบ
    ในหนึ่ง กรรมนอก ไม่กระทำกรรม ใหม่ เรียกว่า ตัดกรรม ใน ใน ใน ปัจจุบัน (ไม่สร้างเพิ่มในลบ)
    ตัดกรรมด้วยปัญญาใน เห็นก่อน หน้า หรือที่เรียกว่า เห็นเหตุที่ใกล้ ไกล ก็เจนจบ ประจักจริง
    ไม่ต่อกรรม ไม่หนี ไม่ถอย เจอข้างใน และก็พิสูจน์ เห็นข้างนอกมากะทบ สภาวะตรงกับข้างใน ตัดโดยละวาง
    (ถ้าเป็นกรรมใหญ่ ต้องสู้ใช้เขา นะ EX ...................)
     
  20. pro1192

    pro1192 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +13
    นานมาแล้ว การพิสูจน์กรรม เมื่อเรายกสภาวะ ผ่านพอสมควร จะกระทบ สิ่งแปลก ๆ มากมาย
    จะเล่าให้ฟ้งเล่น ๆ เมื่อ 6-8 ปีที่แล้ว ผม ก็รับรู้ว่าเอ นี้มันมีคนมาขอเกิดเยาะมาก วันนี้ เป็น
    หญิง วันนี้เป็นชาย เป็นสภาวะีที่กระทบ อยู่ ประมาณ 3-4 ปี ตลอล ก็อาศัย คำพูดหลวงพ่อ
    หยากเห็นของจริง นิ่ง เฉย ๆ ๆ เดียวของจริงก็ปรากฏ มาเจอ ชือคุณแอ็ด สุโขทัย วันนั้น
    ผมเข้าไปบอกพอง ยุบ ที่วัดเขา (เข้าเวร (เวรย่อมระงับด้วยการไปเข้าเวร)เวรถึงจะผ่านไป)
    แม่แอ็ดก็บอกพองยุบ วันนัี้้้นเป็นวันพระใหญ่ นั่งสนธนา ธรรมกัน คุยกันไปจน 12.00 น
    ประมาณการแม่แอ็ดก็คุยเรื่องไล่ให้ไปเกิด มากมาย เล่าเป็นเรื่องที่ในใจผม ว่าผมจะบ้ากับการขอมาเกิด แมแอ็ดก็เล่าไปในใจผมก็คิดว่าเหมื่อนเราเลย แม่แอ็ด ก็คิดว่าผมไมเชื่อ พูดแล้วพูดอีก ว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้คิดเอง ไม่ได้พูดเกินความจริงนะ ผมก็เฉย แต่ในใจผมว่าสภาวะธรรมให้มาพิสูจน์ ว่าสิ่งที่เรารู้ไม่ใช่รู้คนเดียว เป็นขั้นหนึ่ง ๆ ๆ ที่เราพบ คนอื่นก็พบได้ ก็หายสงสัยในสภาวะที่รับรู้ ข้อเด็ด ละ วาง จะเห็นอะไรดี ดี อีกเยาะนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...