วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    ไม่ง่ายแน่นอนครับผม เพราะก่อนจะตาย บางคนกลัว บางคนคิดถึงคนรัก ยากมากๆ ครับ ที่จะนึกถึงพระพุทธเจ้า และนิพพาน
     
  2. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    สติก่อนตายเฮือกสุดท้าย...นึกถึงสิ่งใด
    สติก่อนตายเฮือกสุดท้าย...วางไว้ที่ใด
    สติก่อนตายเฮือกสุดท้าย...นำพาไป
    จะให้ความตายนำพาสติไป หรือ จะให้สตินำพาความตายไป
    เราเลือกได้...
    มรณานุสติ...ให้ความตายนำให้เกิดสติก่อนตาย...เพื่อวางสติไว้ เตือนสติไว้ ย้ำสติไว้...ตายแน่.
    อุปสมานุสติ...ให้สติแนบกับพระนิพพาน...เพื่อวางสติไว้ เตือนสติไว้ ย้ำสติไว้...นิพพาน.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2008
  3. คนเก่า

    คนเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,355
    ค่าพลัง:
    +15,055
    วัฒนธรรมประเพณีของไทยแต่เดิมมา ล้วนผูกพันอยู่กับพระพุทธศาสนา เพื่อเตรียมตัวตายทั้งสิ้น

    แม่ตั้งท้องก็รักษาศีล ทำบุญ

    คลอดออกมาก็ทำบุญ ทำขวัญเดือน

    จะฝันดี ฝันร้ายก็ทำบุญ อุทิศให้

    ทุกวันพระก็รักษาอุโบสถศีล ไปทำบุญ ฟังธรรม

    เทศกาลต่างๆ ก็จัดงานที่วัด หรือถึงไม่ได้จัดงานเป็นกิจลักษณะ ทุกคนก็มุ่งไปวัดก่อน ไปกราบหลวงพ่อ หลวงลุง หลวงน้า ไปพบปะผู้คน หนุ่มก็ไปมองสาว สาวก็ไปให้หนุ่มมอง ทุกคนเข้า-ออกวัดเป็นปกติ นึกถึงวัดเป็นปกติ กระทั่งเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดก็ต้องเอาไว้ใส่ไปวัด

    มีทุกข์อะไร ก็ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ เจ็บป่วยก็ทำบุญ-สมาทานศีล-ฟังธรรม(พระปริตร) ตายก็ทำบุญ-บังสุกุล

    แม้ยามขาดสติ-ตกใจ ก็ยังอุทานติดปากว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ เรียกหาคุณพระช่วย

    นี่คือความฉลาดของบรรพบุรุษไทย ที่หล่อหลอมวิถีชีวิตให้ลูกหลานมีจิตจรดจ่อเกาะอยู่กับความดี เพื่อภพภูมิที่ดีในโลกหน้า

    เพียงรู้รักษาวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมไว้ ก็สบายไปแปดอย่างแล้วละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2008
  4. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    ขออนุญาตินำบทกลอนจากหนังสือมหามงคลคาถามาให้ทุกท่านอ่านค่ะ
    เกิดเท่าไหร่ ตายเท่านั้น เหมือนกันหมด
    มิใช่ปด ให้หลงผิด คิดเหลวไหล
    เร่งทำดี แต่วันนี้ พี่น้องไทย
    ไม่มีใคร อยู่ค้ำฟ้า ทั่วหล้าเอย
    อันสังขาร อาศัย ปัจจัยแต่ง
    ท่านแสดง ว่าธาตุสี่ ให้มีขันธ์
    อันสังขาร ย่อมแปรปรวน ทุกแห่งอัน
    เพราะเกิดนั้น เหตุแห่งดับ กำกับกัน
     
  5. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    เวลาจริงไม่ง่ายแน่ๆครับ เพราะจิตมันทำงานอัติโนมัติตามเหตุปัจจัย หากคนไม่ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา มามากพอ ยากเหลือเกินที่จะเป็นไปตามแบบแผนที่คิดวางไว้ได้ ขันธ์มันจะทำงานของมันเอง ด้วยอวิชาของเราเองมันก็พาเราไปเที่ยวเล่นเสร็จสรรพ เหมือนจะสอนคนเสียใจอกหักวันแรก ให้ไม่คิดถึงแฟนเก่า หรือคนในครอบครัวเสียชีวิต เกิดอุบัติเหตุ เกือบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทันมันถ้าไม่ฝึกมาก่อนให้เข้าใจสัจธรรม มันจะทั้งเล่นย้อนภาพ ย้อนคำพูด ย้อนความคิด ย้อนความรู้สึก วนเวียนไปมา พลาดปุ๊ปมันก็พาเราไปเที่ยวไกลหน่อย

    แต่ถ้าปฏิบัติศีลสมาธิปัญญามามากพอ ทำได้แน่ๆครับ เพราะว่าไม่ต้องทำ เดี่ยวมันทำของมันเอง
     
  6. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ขออธิบายเพิ่มเติมนะคะ...
    การที่จะไปเป็นเทวดาหรือพรหม สำหรับคนที่ ทำทาน รักษาศีล และปฏิบัติธรรม ภาวนานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยาก แต่ก็ประมาทไม่ได้ค่ะ...

    เพราะตามปกติจิตของเราจะชินอยู่กับสิ่งที่เราทำเป็นปกติ สม่ำเสมอ เช่น เป็นคนมีเมตตาชอบช่วยเหลือผู้อื่น... จิตก็จะชินกับพรหมวิหารข้อเมตตา

    ถ้าชอบฆ่าสัตว์เป็นปกติ จิตก็จะชินกับภาพของสัตว์ที่กำลังดิ้นรนหนีเอาชีวิตรอด และถ้าเขาร้องครวญคราง จิตเราก็จะจำทั้งภาพและเสียงนั้นไปพร้อมกัน

    ไม่ว่าเราจะชอบทำอะไร จิตเราจะจำสิ่งนั้นเป็นกรณีพิเศษ... เมื่อจะตาย สัญญาความจำทั้งหลายจะมารวมตัวกันอยู่ที่ดวงจิตของเรา...

    ถ้าเราจำในด้านกุศลมากกว่า และในขณะที่จิตกำลังจะออกจากร่างนั้น ไม่มีอกุศลกรรม หรือเจ้ากรรมนายเวรใดๆ มาแทรกให้ผล... จิตของเราก็จะไปสู่สุขคติภูมิ

    แต่ถ้ามีสิ่งอื่นมาแทรก... เช่นปกติจิตจะมีความอิ่มเอมใจกับการภาวนา พุท-โธ แต่ขณะที่จิตกำลังจะหลุดนั้น สังขารร่างกายเกิดมีอาการเจ็บปวดจนทนไม่ไหว หรือมีเรื่องที่ยังกังวลใจ หรือมีเรื่องที่ยังค้างคาใจอะไรอยู่ และไม่ทันได้นึกถึงคำภาวนาที่เคยใช้... จิตจะมีอาการขุ่นมัวอยู่... ก็สามารถส่งผลให้ลงไปเสวยทุกข์ในทุกข์คติภูมิได้... แต่ก็จะอยู่ไม่นาน ก็จะได้กลับขึ้นไปเสวยผลของสุขคติต่อไป...

    หรือบางทีมีความดีอยู่มาก ไม่ทันได้ลงไปทุกข์คติภูมิเลย ก็อาจต้องลงไปรอที่สำนักพยายม ซึ่งท่านท้าวพยายมท่านมีหน้าที่กันคนดีตกนรกไม่ได้มีหน้าที่ดึงใครลงนรกอย่างที่เราเข้าใจกัน... ท่านจะถามให้ว่าเราเคยทำกรรมดีอะไรไว้บ้าง (ท่านถาม 3 ครั้ง) ถ้าเราบอกได้ หรือมีพยานบุญพยานกุศลมาช่วยบอกให้ เราก็จะได้ขึ้นไปอยู่สวรรค์...

    (นี่คือสาเหตุที่หลวงพ่อฤาษี ท่านเน้นย้ำนักหนาให้ ลูกศิษย์ลูกหาของท่าน บอกกล่าวท่านพระยายมราช และพรหมเทพเทวาทั้งหลายให้มาช่วยเป็นพยานในการที่เราจะทำความดีทุกครั้ง... เพราะถ้าท่านถามถึง 3 หนแล้ว และไม่ปรากฏใครมาเป็นพยานบุญให้... ท่านจะแสดงตนเป็นผู้ยืนยันในการที่เราเคยทำความดีนั้นให้เราเอง)

    ในทางกลับกัน... ถ้าจิตเราชินกับการสร้างบาปกรรม มันก็จะง่ายมากสำหรับเราที่จะลงนรกไป... แต่ถ้า ณ ขณะจิตนั้นเกิดหันไปเห็นพระพุทธรูปตั้งอยู่ และนึกน้อมเคารพท่านขึ้นมาเพียงเสี้ยวอึดใจ แล้วตายลงพอดี... จิตก็จะขึ้นไปเสวยผลบุญที่บนสวรรค์ก่อน... แต่ถ้าอยู่ข้างบนแล้ว ยังมีความประมาท ไม่รีบสร้างบารมีต่อ เมื่อหมดบุญก็จะวืดดิ่งลงนรกทันที...

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านถึงกำหนดให้มนุษย์รู้จักที่จะผูกพันจิตของเราไว้กับสิ่งที่ดีงามทั้งหลายเป็นสรณะ จึงได้มีการกำหนดให้ใช้กรรมฐาน ถึง 40 กอง ให้เราเลือกใช้ตามแต่ชอบ... แต่ที่ง่ายและแน่นอนที่สุด คือ การระลึกถึงพระรัตนตรัย - พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ - ให้เป็นที่พึ่งสูงสุดนั่นเอง

    สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความรู้เล็กๆ เพียงเสี้ยวเดียวที่จะอธิบายถึง การขึ้นสวรรค์ หรือลงนรกของพวกเรา ให้เข้าใจกันได้ง่ายๆ...

    สำหรับการที่จะเข้าพระนิพพานนั้น...

    จิตจะต้องถูกฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี ซึ่งก็แยกย่อยออกไปได้หลายวิธี...

    แต่วิธีที่ง่ายที่สุด ลัดตัดตรงที่สุด คือ...

    1. ไม่สงสัย เชื่อมั่น และเคารพพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด (สุดจิตสุดใจ) ตลอดชีวิต

    2. มีศีล 5 (เป็นอย่างน้อย)

    3. ทุกครั้งที่ทำความดี (ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด หรือยิ่งใหญ่เพียงไหนก็ตาม) ให้อธิษฐานว่า...
    ด้วยกุศลผลบุญนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด


    4. พิจารณานึกถึงความตายอยู่เสมอ พร้อมกับพิจารณาให้เห็นว่าสังขารร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆ เรา เราไม่มีในสังขารร่างกายนี้ สังขารร่างกายนี้ไม่มีในเรา... นึกน้อมพิจารณาจนจิตยอมรับสภาพตามความเป็นจริง... และมีการปล่อยวางในสังขารร่างกายนี้

    5. พิจารณาตัดขันธ์ 5 และพิจารณาถึงความทุกข์ ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ... เมื่อทุกข์ขนาดนี้แล้ว มีแต่โรคภัยไข้เจ็บแบบนี้ ต้องกระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ไม่พอใจทั้งหลาย ต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักและคนที่รักเรา... สิ่งเหล่านี้มันทุกข์ใช่ไหม... เมื่อทุกข์ขนาดนี้แล้วเรายังอยากที่จะเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่


    6. เมื่อพบความจริงของชีวิตแล้ว... ต่อมาให้จิตเชื่อมั่น และ จับที่พระนิพพานเป็นที่สุด... ไม่ว่าเราจะได้มโนมยิทธิหรือไม่ก็ตาม... หมั่นทำความดี ละเว้นความชั่ว และอธิษฐานให้บ่อยๆ ทำจนจิตชิน จนเขาภาวนาของเขาเองได้ยิ่งดี ว่า...
    สังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์ เป็นรังของโรค มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเบื่อหน่าย... ถ้าข้าพเจ้าตายลงเมื่อไหร่ ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าพุ่งตรงสู่พระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเถิด และขอให้ข้าพเจ้าได้พบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบนพระนิพพานนั้นโดยทันทีด้วยเถิด


    ข้อสำคัญของการเข้าพระนิพพาน คือ จิตจะต้องเกิดอาการเบื่อหน่ายในขันธ์ 5 อย่างจริงๆ จัง... ดังนั้น ต้องมีการพิจารณาตัดขันธ์ 5 พิจารณาถึงความตาย ความทุกข์ทั้งหลาย อยู่เสมอๆ ...

    แต่เมื่อพิจารณามากเข้าๆ จิตอาจจะเบื่อจนนึกอยากจะฆ่าตัวตาย...

    ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาสมทบเข้าไปว่า...
    ถึงสังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์ น่าเบื่อหน่าย... แต่ข้าพเจ้าจะยังคงรักษาธาตุขันธ์นี้ต่อไป เพื่อยังประโยชน์ต่อสรรพชีวิตอื่น ตราบจนกว่าจะถึงอายุขัยของข้าพเจ้าเอง

    เสร็จแล้วพยายามพิจารณาทุกสิ่งให้เป็น "ธรรมดา" ยอมรับสภาพของชีวิตตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น...

    หวังว่าจะพอทำให้ทุกๆ ท่าน เข้าใจในเรื่อง นรก สวรรค์ พระนิพพานได้บ้างนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2008
  7. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เสริมนิดหนึ่งครับ

    จะมีอารมณ์ใจของเราที่ตั้งจิตเอาไว้ว่า ภพภูมิอื่นใดแม้ สวรรค์เราก็ไม่ต้องการ พรหมโลกเราก็ไม่ต้องการ อรูปพรหมเราก็ไม่ต้องการ เพราะยังต้องเวียนตายเวียนเกิดกันอีก

    เราต้องการจุดเดียวเท่านั้นก็คือ พระนิพพาน

    นิพพานังปรมังสุขัง
     
  8. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    คำตอบในพีเอ็มของคุณธรเรื่องการวางอารมณ์ใจเรื่องความตายและหน้าที่ครับ

    เวลาใกล้เข้ามาแล้ว คงต้องเร่งขัดเกลาจิตของตนเป็นการใหญ่ งานที่ต้องทำในช่วงสุดท้ายก่อนเกิดภัยยังมีอีกมาก และหลังจากนั้นจะหนักยิ่งกว่า ขอพี่ๆเพื่อนๆ วางกำลังใจให้ดี และ ทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ด้วยเถิด

    ธรรมรักษาค่ะขอบใจจ้ะ ทั้งชัช ทั้งตุ๊กเลย... และทุกๆ คนด้วย...

    จริงๆ ก็เป็นห่วงทุกคนแหละนะ ไม่ว่าจะเคยเจอ หรือไม่เคยเจอกันก็ตาม... จะบอกว่าผูกพัน เป็นห่วง ก็ฟังดูแปลกๆ ... เพราะคงเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก...

    แต่... อะไรจะเกิดคงต้องปล่อยให้มันเกิด...

    นับแต่นี้ไม่ว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม... เราคงหมดเวลาที่จะกลัวกันแล้ว...

    ในเมื่อเราตั้งหน้าปฏิบัติธรรม ฝึกจิตฝึกใจกันมาขนาดนี้... ทุกคนคงจะรู้กันอยู่แล้วว่า... ไม่ว่าจะมีภัยหรือไม่... ไม่ช้าในที่สุดทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี...
    ทุกคนต้องพลัดพรากจากคนที่เรารัก และรักเรา... ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย...

    ไม่ว่าเราจะเลือกเดินทางไหน...
    - เลือกที่จะไปอยู่ในอบายภูมิ ซึ่งเป็นทุคติภูมิ
    - เลือกที่จะยังวนเวียนอยู่ในโลก ด้วยหวังจะเสพสุขแบบโลกๆ
    - ยังวนเวียนอยู่ในโลก เพื่อช่วยสงเคราะห์คน และได้กำไรเป็นการสร้างบารมีของตนเอง และเป็นสัมมาทิฐิ
    - ยังวนเวียนอยู่ในโลก เพื่อสร้างบารมี แต่เป็นมิจฉาทิฐิ
    - หรือเลือกที่จะไปสู่สุขคติภูมิ มีสวรรค์ พรหม และอรูปพรหมเป็นที่สุด
    - หรือเลือกที่จะเข้าพระนิพพานในชาตินี้ก็ตาม

    เมื่อเลือกแล้ว... ระหว่างทางพวกเราคงเวียนพบ เวียนจากกันนับชาติไม่ถ้วน... แต่ท้ายที่สุด พวกเราทุกคนก็ต้องต่างคนต่างไปอยู่ดี... ถึงแม้เราเห็นอีกคนที่กำลังจะหมดลมตายไปต่อหน้าต่อตาเรา... เราจะยื้อยุดฉุดลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้อีกหรือ...

    สิ่งที่เราทำได้... คือ มีความเจ็บปวดรวดร้าวใจอย่างถึงที่สุด... เราร้องไห้คร่ำครวญด้วยการพลัดพราก การจาก การตาย กันมาแล้วกี่ชาติ... น้ำตาของพวกเราแต่ละคนที่หลั่งไหลออกมา รวมกันแล้วได้เท่ากับกี่มหาสมุทร... ความทุกข์เหล่านี้จะยังคงอยู่คู่กับพวกเราไปอีกนานแสนนาน... ถ้าเราไม่รู้จักที่วางใจของเราเอง...

    เมื่อพิจารณากันให้ถ่องแท้แล้ว... อย่ามัวกลัวกันอีกเลย... ว่าถ้าจะเกิดภัยพิบัติแล้ว เราจะรอดไหม เราจะช่วยทุกชีวิตในครอบครัวของเราได้ไหม แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกัน เมื่อยามภัยมา ฯลฯ...

    ณ ขณะจิตนี้... สิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเราต้องทำ คือ เข้าใจสภาวะของสรรพชีวิตตามความเป็นจริงให้ได้มากที่สุด เมื่อเข้าใจแล้ว ต้องยอมรับมันให้ได้ว่ามันเป็นกฎของธรรมชาติ กฎธรรมดาของทุกสิ่ง...

    ถ้าเรายอมรับได้... เมื่อถึงเวลาที่ภัย (ไม่จำเป็นต้องเป็นภัยพิบัติ) มันมาถึงตัว มาถึงคนในครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่เรารู้จัก คุ้นเคย... เราจะรับมันได้อย่างที่มันควรจะเป็น...

    ทุกคนที่ยังไม่ใช่พระอริยะ... ล้วนมีความกลัวตาย กลัวการพลัดพราก ฝังอยู่ในจิตลึกๆ กันทั้งนั้น... แต่ถ้าเราพยายามเข้าใจสภาพของมันตามความเป็นจริงเสียตั้งแต่ตอนนี้... ทุกอย่างคงจะดีขึ้น เราจะทุกข์น้อยลง...

    ขอให้เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม ตามภูมิธรรมที่แต่ละท่านต้องการโดยฉับพลันด้วยเทอญ<!-- / message --><!-- sig -->

    ____________________________________________________________
    "บุญกุศลและความดีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าและสมาชิกพลังจิตพิชิตภัยพิบัติได้สร้างได้บำเพ็ญมานับแต่อดีต ปัจจุบัน และจะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต

    ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายแทบพระบาทองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นพระมหาธรรมมิกราชามหาโพธิสัตว์ผู้ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยพระคุณอันประเสริฐ อีกทั้งองค์สมเด็จพระสังฆราช ผู้ทรงเป็นองค์พระประมุขแห่งพุทธศาสนจักร

    ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนไตรและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลจักรวาล ได้โปรดอภิบาลทั้งสองพระองค์ท่านให้ทรงพระเกษมสำราญมีพระพลานามัยที่แข็งแรง ทรงพระชนมายุยิ่งยืนนาน แผ่พระบารมีปกเกล้าชาวไทยตลอดไปด้วยเทอญ

    ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ"

    <!-- / sig -->
     
  9. พัฒนาตน

    พัฒนาตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +1,282
    ขอขอบพระคุณในคำสอนของพี่ๆเพื่อนๆทุกคนครับ ธรรมใดที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้และมาจากการปฏิบัติทั้งหลายนั้น ขอจงถึงซึ่งบารมีทั้ง10 ตราบเข้าสู่พระนิพานทุกๆคนเถิด
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ช่วงนี้ภัยร้อนกำลังมาเยือนแล้ว คิดว่าหลายๆคนคงจะรู้สึกกันได้นะครับ
    ร่างกายจะต้องมีการปรับตัวเพื่อรับต่อความเปลี่ยนแปลง อาจจะมีอาการท้องเสียได้นะครับ ใครมีอาการอะไรแปลกๆบ้างมาเล่าให้ฟังกันก็ดีนะครับ
    ตัวผมท้องเสีย กับร้อนใน
    เมื่อร้อนแบบนี้ จะต้องมีพายุตามมาแน่นอนเลย ขอให้ระมัดระวังกันให้ดีนะครับ
    เมื่ออากาศร้อนแล้ว จิตใจของคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึก ย่อมต้องเร่าร้อนไปด้วย
    ขอให้ทุกๆท่านระมัดระวังกันให้ดีนะครับ
    ช่วงนี้ให้ทุกๆคนเตรียมใจไว้ได้เลยว่า หากเราไม่มีชีวิตรอด อย่างต่ำต้องไปสุขติภูมิ
    อากาศเปลี่ยนนิสัยเปลี่ยน พวกเราเองก็ต้องหมั่นระวังกิเลสมากขึ้น เพราะตัวเราอาจจะแสดงธาตุแท้ของตัวเอง แต่ก่อนไม่เคยโมโห ทำไมมันโมโหได้
    ก็ขอให้ทุกๆคน ระวังจิตใจของตัวเองอย่าให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสนะครับ
    อย่าให้มาพลาดกันตอนจุดสำคัญนะครับ
    อยู่สบายสันดานหาย อยู่ไม่ได้สันดานโผล่ ต้องระวังนิสัยตัวเองเปลี่ยนให้ดีนะครับ มันจะเปลี่ยนจริงๆ กิเลสจะแสดงตัวเลย
    สุดท้ายก็ขอให้ทุกๆคนเข้าถึงซึ่งพระนิพพานโดยเร็วนะครับ
    หากผิดพลาดประการใดก็ขอกราบขอขมาด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2008
  11. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384

    กราบขอบพระคุณมากค่ะอาจารย์... ทำให้คำอธิบายสมบูรณ์ ครบถ้วนบริบูรณ์จริงๆ ค่ะ
     
  12. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    ช่วงนี้ท่านใดที่ฝึกปฏิบัติกันไป ได้ผลอย่างไรกันบ้าง ช่วยมาเล่าประสบการณ์การฝึกปฏิบัติธรรมให้เพื่อนๆ ท่านอื่นฟังบ้างนะคะ...

    ยิ่งเราแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันมากเท่าไหร่... ความแตกฉานในธรรมจะยิ่งเพิ่มขึ้นมากตามไปด้วยค่ะ...

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านล่วงหน้าด้วยนะคะ
     
  13. เงาใจ

    เงาใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +1,214
    รู้จริง ละได้ รู้ ไม่จริง ละ ไม่ได้ นี้เป็นสัจจะธรรม ครับ

    สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  14. nuttadet

    nuttadet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,892
    ค่าพลัง:
    +6,454
    รู้เพื่อละ แต่ไม่ละตัวรู้
     
  15. ชนินทร

    ชนินทร พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,725
    ค่าพลัง:
    +6,384
    เอาล่ะค่ะ...

    ก่อนที่เราจะมาเริ่มกรรมฐาน ๔๐ กองกัน... ธรขอทบทวนวิชชาพื้นฐานบางเรื่องกันก่อนนะคะ...

    ๑. การจับลมสบาย
    หมายถึง - อาการที่ร่างกายของเรามีลมหายใจที่ละเอียด เบา โล่งที่สุด
    ในขณะที่จิตของเราก็จะ นิ่ง เบา สบาย ปลอดโปร่งที่สุดเช่นกัน...

    การจับลมสบาย เป็นผลมาจากการที่เราฝึกสังเกตลมหายใจตามฐานต่างๆ ซึ่งเรียกกันว่า การฝึกอานาปานสติ (เบื้องต้น) ในที่นี่จะขอแนะนำเพียง 3 ฐานเท่านั้น...

    ๑. ๑. การจับลมหายใจ ๑ ฐาน (ปลายจมูก)

    สำหรับผู้ที่เริ่มฝึกใหม่ ให้ท่านนั่งสบายๆ อย่าเครียด อย่าเกร็ง ปล่อยลมหายใจตามสบาย คอยดูลมหายใจ เข้า - ออก (อย่าบังคับลมหายใจให้ เข้า - ออก ตามที่เราต้องการ) เมื่อหายใจ เข้า ภาวนา "พุท" เมื่อหายใจ ออก ภาวนา "โธ" วางอารมณ์ใจเบาๆ สบายๆ

    ดูลมหายใจที่กระทบตรงปลายจมูก (สำหรับบางท่าน ลมจะกระทบตรงริมฝีปากบน) ตามดูลมจนใจเบา สบาย รู้สึกโล่ง โปร่ง ไม่ว่าจะเกิดอาการอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แสง สี หรือนิมิตใดๆ ไม่ต้องสนใจ สิ่งที่ต้องทำเพียงอย่างเดียว คือ ดูตรงจุดที่ลมกระทบ ถ้าคำภาวนาจะหายไปก็ไม่เป็นไร ปล่อยคำภาวนาทิ้งไป ไม่ต้องกังวล

    เมื่อทำได้แล้วให้อธิษฐานว่า
    "ขอให้ข้าพเจ้าได้ และเข้าถึง ซึ่งอานาปานสติ ลมหนึ่งฐานนี้ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ ทุกชาติไป นับแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"
     
  16. ju ju

    ju ju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +87
    สวัสดีทุกท่านนะค่ะ เราคงเป็นสมาชิกในที่นี้ เราเองก็ชอบฝึกสมาธิกรรมฐานเช่นกัน แต่เราจะคอยโดนคนในครอบครัวขัดขวางน่ะค่ะ เราจะทำอย่างไรดี ขอความอนุเคราะห์ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ช่วยเราคิดหาวิธีแก้ไขด้วยเทอญ ข้าพเจ้าทราบดีว่ามันเป็นมาร แต่ ในชีวิตทางโลกเราก็เข้าใจพวกเขาว่าทำไมถึงไม่อยากให้เราปฏิบัติ เพราะพวกเขาห่วงเรานั่นเอง แต่ เราทำมันคือความสุขทางใจจิรงๆๆ ไม่รู้จะบอกอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถรู้หรือรู้สึกอย่างไรเรา ตัวเราเองก็ปฏิบัติมานานแล้ว ตั้งแต่อายุ 17 ปี ช่วงนั้นก็เป็นพ่อที่ไม่เห็นด้วย เราก็จะปิดห้องนอนแต่หัววัน แต่ไม่ได้นอนหรอกนั่งสมาธินั่งเองด้วยไม่มีอาจารย์ใช้อ่านหนังสือเอา ไม่ดีเลย รู้สึกมีความกลัวก็เลิกปฏิบัติไป 4 ปี กลับมาเริ่มปฏิบัติต่อ เมื่ออายุ 21 ปี ปัจจุบันแต่งงาน ก็เจอสามี ไม่ค่อยอยากให้ปฏิบัติอีก เค้ากลัวเราหนีไปบวช (เพราะเราเคยตกลงกับเขาไว้ว่าถ้าถึงเวลาแล้วเราจะขอบวชเพราะเราเบื่อ)เวลาเรานั่งสมาธิช่วงเช้าประมาณ ตี 4-5 ชอบขึ้นมาตามกำลังได้สมาธิเลย กลัวเขาบาปเหมือนกัน เราจะทำอย่างไรดี ให้เราเลิกปฏิบัติก็คงยาก ขอความกรุณาท่านผู้รู้ ช่วยแนะนำเราด้วยเทอญ ขอกุศลที่แนะนำและช่วยแก้ปัญหากับผู้กำลังตกทุกข์นี้จงให้ท่านประสบแต่สิ่งที่ดีในชีวิตเทอญ (woshihana@hotmail.com) ช่วยตอบข้าพเจ้าด้วยนะเจ้าค่ะ
     
  17. pat3112

    pat3112 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    373
    ค่าพลัง:
    +2,904
    อะ
    จริงๆผมก็ยังเลวอยู่มาก แต่ผมมีประสบการคล้ายๆกันจึง
    เข้าใจครับ
    แรกๆผมก็เป็นคนรอบข้างครอบครัว เพื่อนเขาจะคอยท้วง ด่า นินทาอยู่ตลอด เป็นบททดสอบอย่างหนึ่ง มารหรือกรรมเขาบังคับให้คนใกล้ตัวเราพูดทำอะไรให้เราเขวได้เสมอเราต้องผ่านบททดสอบอย่างนี้ไปให้ได้
    ผมก็ศึกษาจากตำราโดยมากเจอครูบาอารย์น้อยครั้งเหลือเกิน
    เราต้องมีฐานแน่นก่อน
    1.เคารพพระรัตนไตรไม่สงสัย ทรงศีล5อย่างน้อยให้บริสุทธิ คิดอยูเสมอว่าเราต้องตาย และ2.นึกถึงภาพพระพุทธรูปหรือพระอริยะสงฆ์เบี้ยงหน้าเราเสมอจะสีขาว เหลือง เป็นแก้วหรืออื่นๆ
    พยายามทรงให้ได้ตลอดวันทั้ง1,2ควบค
    ุ่กันไปอาจจะเริ่มเช้า เที่ยง ก่อนนอนเดี๋ยวก็ทรงได้ทั้งวันครับ
    เราก็ปฏิบัติของเราไม่ต้องบอกใครเขา หรือห่วง
    เพราะอะไรลองคิดตามนะครับดูว่ามันจริงไหม?
    ผังหรือเมีย มันตายจากกันหรือเปล่ามันใช่เรา ใช่ของเราจริงหรือเขาจะอยู่ได้คำ้ฟ้าตลอดกาลหรือเปล่ามันแน่นอนมันตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันตายคือสลายไปอยู่เสมอ มันสุขตลอดกาลตลอดสมัยหรือเปล่ามันต้องมีทะเลาะเบาะแว้งมีทุขกันอยู่เสมอ อยากได้มันได้อย่างใจหรือเปล่ามันมีแต่ทุข เปลี่ยนแปลง สลายไปอยู่เสมอแล้วพ่อ,แม่ ณาติ พี่น้อง เพื่อนพ้อง ทรัพย์สินคิดเป็นอย่างข้างต้นหรือเปล่ามันเป็นแบบนี้จะไปยึดมันทำไม เราปารถนานิพพานเป็นที่ไปไม่ยึดสิ่งที่ไม่มีเป็นที่สุดช่วยได้แค่ไหนเราก็พอใจแค่นั้นกฎแห่งกรรมไม่อาจฝืน ทำหน้าที่ของเราไปตายก็ไปนิพพานไม่ห่วง ไม่ปารถนาทุกสรรพสิ่งทั้ง3โลก(good)
    นิพพานสุขังภาวนาไปจนกว่าจะทิ้งสังขารและนิพพานครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2008
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อันที่จริงมีแนวทางการปฏิบัติธรรมแบบเนียนๆที่พวกเราหลายๆคนฝึกกันอยู่ครับ


    อย่าลืมว่าเราปฏิบัติธรรมที่จิต เรื่องกายเรื่องรูปลักษณ์เป็นเรื่องภายนอก

    เราปฏิบัติแบบไร้รูปแบบ แต่ประคองรักษาจิตเอาไว้เป็นกุศลทำแบบคนดูไม่ออกว่าเรากำลังปฏิบัติธรรมอยู่ (เพราะเราทำโดยไม่ได้คิดว่าจะไปอวดใคร ทำเพื่อลด ละ วางจากกิเลส อาสวะ)

    ธรรม ทำได้ตลอดเวลาครับ แม้ในระหว่างทำงาน นั่งรถ ออกกำลังกาย นอน

    ซึ่งการปฏิบัติแบบนี้ได้ผลสูงกว่าเยอะครับ มีหลายท่านที่เป็นฆราวาส ทำงานมีครอบครัวก็ใช้วิธีนี้อยู่

    จะขออนุญาตให้มาแชร์ประสพการณ์ในการปฏิบัติธรรมกันครับ ว่าทำอย่างไร อิริยาบทไหน ทำตอนไหนกันบ้าง วางอารมณ์ใจอย่างไร
     
  19. หลับตา

    หลับตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +3,151
    ฝึกสมาธิชำนาญแล้ว ไม่ลองขยับเพิ่มทำวิปัสสนาดูหรือครับ สติปัฏฐานสี่ การมีสติระลึกกาย เวทนา จิต ธรรม สามารถรวมไปกับกิจวัตรหน้าที่ประจำวันได้ด้วยดี สนใจลองคลิ๊กลิงค์ [​IMG] ดูจิตด้วยความรู้สึกตัวฟังเทศน์พระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช ดูนะครับท่านสอนเน้นเริ่มด้วยการดูจิตฟังแล้วปฏิบัติตามได้ง่ายมากๆทีเดียว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2008
  20. yutkanlaya

    yutkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    865
    ค่าพลัง:
    +4,403
    (good) (good) (good) (good) (good)
    เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ คุณคณานันท์ และกัลยาณมิตร
     

แชร์หน้านี้

Loading...