โรคภัยไข้เจ็บ อันเกิดจากการนั่งสมาธิ / การฝึกจิต / การฝึกพลัง

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 10 ตุลาคม 2008.

  1. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เล่านิทานอีกเรื่องดีก่า

    ยายเมี้ยน ปากม้า เป็นผู้ใจบุญสุนทานมาก ทำทั้งบุญแจกทั้งทานมิได้ขาด (ด้วยเหตุนี้แกจึงรวยมักๆ)
    แกชอบตั้งโรงทาน แจกทานทั้งอาหารการกิน บริโภคอุปโภคล้วนแต่ดีๆ

    ยังมีขอทานอยู่คนหนึ่งเร่ร่อนมาจากแดนไกล จากใหนก็ไม่รู้ ผ่านมา จึงเข้ารับทานด้วย
    ทานที่ได้มาล้วนของดีมีรสโอชา
    เอ้อ..หนอไม่เคยได้อาหารเลิศเช่นนี้มาก่อน เราจักอยู่รับอาหารรสเลิศนี้อีกสักสองสามเพลาเถิด
    ดำริเช่นนี้แล้ว จึงหาที่พักอยู่แถวนั้น และเวียนมารับทานมิได้ขาด
    ยิ่งมา ยิ่งติดในในโอชะแห่งอาหาร มีความสุขไม่ต้องไปขอทานไกล ไม่ต้องไปออกแรงแย่งกับผู้อื่น
    ตกลงจึงกินๆนอนๆอยู่แถวนั้นไม่คิดไปใหนอีก
    และท้ายสุดก็กลายเป็นขอทานประจำตัวของยายเมี้ยน ปากม้าไป
    ไม่ว่าจะไปตั้งโรงทานที่ใด ขอทานผู้นี้ก็ไปรับมิได้ขาด

    อยู่มาวันหนึ่ง ยายเมี้ยนเกิดไม่สบาย ต้องย้ายนิวาสถานไปอยู่สถานพักฟื้น(ก็โรงหมอนะแหระ)
    ด้วยกระทันหันจึงยังมิได้ตั้งโรงทาน

    ไอ้เจ้าขอทานเจ้าประจำ วันนี้ก็ให้ตั้งอกตั้งใจมากกว่าปกติ ไปรับทานเช่นเคย
    แต่รอแล้วรอเล่า วันนี้ก็ไม่มีการแจกทาน ตกลงอด
    วันรุ่ง ก็อดอีก
    รออีกวัน อดอีกเช่นเคย เออแนะ ชักโมโหหิวแล้วโว้ย
    ไอ้คุณนายเฮงซวย ปล่อยให้กูอดหยากอยู่ตั้งหลายวัน อย่ามาให้กูเห็นหน้านาโว้ย กูจะด่าให้เจ็บ ไม่รู้จักกู ไอ้เม้า ปากหมา ซะแล้ว ฮึ่มๆๆๆ

    พอยายเมี้ยนหาย ก็เริ่มตั้งโรงทานอีก
    ไอ้เจ้าขอทานเจ้าประจำ ก็มารับทานด้วย พร้อมต่อว่าเสียๆหาย ตามสมยาปากหมา
    ยายเมี้ยนชักยั้ว จึงเอาปากม้าของนางอัดกลับไปบ้าง
    มีหรือปากหมาจะยอมแพ้แก่ปากม้า
    จึงพันตรูกันโกลาหล จนประชาชีบริเวรนั้นแก้วหูพิการไปหลาย

    จากผู้ไม่รู้จักกัน มาเป็นขอทานประจำตัว แล้วกลับเป็นคู่กัดกันอย่างจริงจัง

    ดุจดังผู้เร่ร่อนหาแดนเกิด(สัมภเวสี) ผ่านมา เห็นเขาแจกบุญ(อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรไม่มีประมาณ)ก็เข้าไปรับด้วย
    รับแล้วรับอีกด้วยติดใจ จนสำคัญตนว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่นางเมี้ยนมีหน้าที่ต้องให้
    พอนางเมี้ยนไม่มาให้ ก็เกิดคลั่งแค้นอาฆาต
    นางเมี้ยนก็ตอบโต้
    เลยกลายเป็นการก่อกรรมต่อกัน
    ตอนแรก ก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรกำมะลอ(รับสมอ้าง)
    แต่ตอนหลัง ด้วยความประมาทของยายเมี้ยน
    เลยได้เจ้ากรรมนายเวรตัวจริงเพิ่มมาอีกหนึ่ง

    เฮ้อ...ประมาทแท้ๆ
     
  2. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    อาทิตย์หน้า คงเข้าสู่เนื้อหา
    ต้องใช้ความรู้จาก การฝึก เกสา โลมา ฯ ในการอธิบาย
    ใครต้องการความรู้ที่ลึกซึ้งให้ลองฝึก เกสา โลมา ฯ เข้าไว้
    ความรู้ที่ได้จะมาเสริมสิ่งที่ สุวิ อธิบาย
    จะทำให้ท่านมี พลังจิต พลังปราณ พลังสมาธิเพิ่มขึ้น

    ตำราฝึก เกสา โลมา ฯอยู่ที่ลิ้งนี้ ตามไปเอาได้เลย (หน้าที่ ๒๗ โพสที่ # ๕๔๐)

    http://palungjit.org/showthread.php?t=110817&page=27

    .
     
  3. เต๊ะจุ๊ย

    เต๊ะจุ๊ย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +695
    ยากอ่ะคับ'จารย์... เกสา โลมา เนี่ย..
    ถ้าเป็นให้อาหารปลาโลมา น่าจะง่ายกว่าเยอะเลย..
    แหะ แหะ แหะ.. แอบแซวค้าบ
    ยัยแอนเริ่มดีขึ้นแล้วฮับ.. ขอบคุณมากก๊าบบ ^/\^
     
  4. house072

    house072 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +177
    ชอบนิทานยายเมี้ยน หนุกดี
     
  5. Inner Smile

    Inner Smile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    699
    ค่าพลัง:
    +451
    มาปูเสื่อรอ จองที่ไว้ก่อน
     
  6. Baby_par

    Baby_par เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2007
    โพสต์:
    2,743
    ค่าพลัง:
    +3,265

    ปลาก้ว่าว่างๆจะเริ่มหัดบ้างเหมือนกันละ หลังจากแวะข้างทางไปเสียนานแสนนาน
    อะไรได้มาง่ายๆเขาจะไม่รู้จักคุณค่านะคะพี่จุ้ย อิอิ

    (ว่าตัวเองอยู่นะเนี่ย แป้ว)
     
  7. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ขอเล่านิทานอีกสักเรื่อง

    ในปัจจุบันสมัย หากใครได้ไปท่องเที่ยวที่ประเทศ อินเดีย
    ไกด์ผู้นำเที่ยวจะกำชับลูกทัวร์ในเรื่องห้ามการให้ทานแก่ขอทาน ตามสถานที่ต่างๆที่ไปแวะเที่ยว
    และอธิบายถึงสาเหตุว่า ขอทานในอินเดียมีจำนวนมาก และทุกคนอดอยาก หากินยาก
    เคยมีเรื่องเกิดขึ้น เมื่อมีผู้ให้ทาน เขาก็จะเข้ามารับ และบอกต่อ เพียงพริบตาเดียว ก็จะเนืองแน่นไปด้วยผู้ที่มารับทาน
    และเมื่อรับไม่ได้ดังใจ ช้าไปบ้าง น้อยไปบ้าง หรือกลัวว่ากว่าจะถึงตน ผู้ให้ทานคงจะหมดเงินก่อน
    จึงเข้ายื้อแย่งรุมทึ้งจากผู้ให้ทานโดยตรง กว่าจะมีผู้มากันออกมาได้ก็เจียนตาย บ้างถึงกับต้องหามส่งโรงพยาบาล<O:p</O:p

    <O:p</O:pในบางสถานที่ ที่มีการฆ่าทำลายชีวิต อยู่เป็นนิจ
    เช่น โรงฆ่าสัตว์ หรือร้านอาหารที่ประกอบอาหารจากสัตว์เป็นๆ ซึ่งต้องทำลายชีวิตเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน
    จิตวิญญาณของสัตว์เหล่านั้น มีไม่น้อยที่งุนงงต่อการเปลี่ยนสภาพของตน ไม่มีที่ไป ต้องทับถมกันอยู่บริเวณนั้น
    บางตนแม้จะสามารถพัฒนาจิตตนเอง จนมีความรู้สึกนึกคิดเป็นเจตนาของตนเองได้ระดับหนึ่ง
    แต่ก็ยังเคว้งคว้างไร้ที่ไปและทนทุกข์อยู่ มีสภาพอยู่ไปวันๆเช่นเดียวกับเหล่าขอทานที่กล่าวไว้ในเรื่องข้างบน
    เมื่อมีผู้เปี่ยมด้วยเมตา ฉายเดี่ยว และสมบูรณ์ไปด้วยบุญและปราณ มาอุทิศส่วนกุศลให้ ด้วยการแผ่ปราณไปให้โดยตรง
    และปราณเป็นสิ่งที่เหล่าจิตวิญญาณต่างๆสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงค์อยู่ หรือเปลี่ยนภพภูมิ หรือสภาพได้โดยตรง
    ท่านคิดว่า จิตวิญญาณที่ทนทุกข์เหล่านั้น จะรีบตรงเข้ามายื้อแย่งรุมทึ้งหรือไม่<O:p</O:p
    การอุทิศกุศลลักษณะนี้ จะต้องกำหนดจิต(ต่อจิต) เข้าเกี่ยวเนื่อง ด้วยจิตวิญญาณเหล่านั้น
    แล้วแผ่กุศลด้วยพรหมวิหารสี่ (แผ่พลังแห่งปราณ) ให้แก่ผู้ทนทุกข์
    หลังจากแผ่กุศลแล้ว ผู้ฉลาด ย่อมถอนจิตตน ออกจากการเกาะเกี่ยว ด้วยพรหมวิหารสี่ในข้อ อุเบกขา
    และละไปจากที่นั้น
    แต่ตัวข้าฯผู้โง่เขลา ยังคงแสดงพรหมวิหารสี่ สามตัวแรก คือ เมตตา กรุณา มุทิตา
    และเกาะเกี่ยวอยู่กับจิตวิญญาณเหล่านั้นไม่เลิกรา ด้วยชื่นใจ กับสิ่งที่เรากระทำไปแล้วทำให้เขาเป็นสุข
    แน่นอน ด้วยจำนวนจิตวิญญาณที่ทับถม บ้างมีแรงแค้น
    บ้างเข้าใจผิดว่าเราเป็นคู่กรณีที่ทำให้เขาตาย บ้างไร้ที่พึ่ง บ้างฯลฯ
    ต่างทยอยเข้ามาเป็นระลอกคลื่น รุมทึ้งผู้ให้ ด้วยกลัวไม่ได้รับ
    ส่วนผู้มีแรงแค้น และเข้าใจผิด ก็โดดเกาะติดที่(ดวง)ใจ
    เมื่อกลับมาบ้าน ก็ลืมตรวจสอบตนเอง แถมรุ่งขึ้น ยังใช้พลังจำนวนมากต่อผู้ถึงอายุไข
    สรุปต้องคลานเข้าโรงพยาบาล อย่างหมดรูปด้วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
    นี่เป็นอุทาหร เล่าให้ทุกท่านฟัง เพื่อให้พึงระลึกอยู่เสมอว่า
    ความประมาทและเผลอเลอ ย่อมนำความตาย และเจ็บไข้ สู่ตัวเองเสมอ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2009
  8. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    มีเรื่องเล่าเอาไว้ในกระทูของ อ.สามตา
    "เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์"

    ข้อความที่เขียนเอาไว้ ไม่มีคนเอะใจ
    ความจริงข้อความนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับการฝึก เกสา โลมา ฯ ในรอบท้ายๆ
    ขอเอามารวมไว้ในที่นี้ ใครเอะใจ รู้ความลับก็เอาไปใช้ได้เลย ไม่หวงลิขสิทธิ์จ้า

    <TABLE class=tborder id=post1705595 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"><!-- status icon and date -->[​IMG] 02-12-2008, 07:44 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#376 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>suwi<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1705595", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Jun 2007
    อายุ: 58
    ข้อความ: 882
    <IF condition="">
    </IF>พลังการให้คะแนน: 285 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]





    </TD><TD class=alt1 id=td_post_1705595 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->เล่ามั่ง ๆ...</B>
    มันเปรี้ยวปากนะ

    ครั้งหนึ่งนานมา ท่องเที่ยวไปในพารา นามว่านครพนม
    ตกเย็นเหนื่อยนัก ตรงรี่เข้าพัก ในโรงแรมกลางนคร
    ห้องสวยน่าดู เตียงนอนสุดหรู วางอยู่เคียงบันชร(หน้าต่างนะ)
    เห็นเงาแวบๆ จากเตียงไปซ่อน ที่หน้าต่างข้างที่นอน ขะเม้นมองดู
    ไม่เห็นสิ่งใด ไม่ใส่ใจไล่ตามดู เหนื่อยนักตัวกู อาบน้ำหลับไหล

    เวลาผ่านไป รู้สึกอัดใจใครทับตัวกู นั่งบนหน้าท้อง ล็อกขาแขนพร้อม สะแยะเขี้ยวยิงฟัน
    ดิ้นสะบัดไม่หลุด หน้ามันก้มงุด โน้มหาคอกู
    ตั้งสติหายใจเข้าลึก พลังผนึกจากอกสู่คอ แล้วขึ้นหน้าผาก
    พร้อมแอ่นอกเงยหน้า เนื้อหนังปริอ้า กูเป็นอิสระจากกาย ดังถอดเสื้อออก ทิ้งให้ผีทับ จับล็อกร่างกาย
    เมื่อเป็นอิสระอ้าปากร้อง เพ้ย.. พร้อมเปลวแสงร้อน พรูพรั่งออกมาเข้าเผากายา ไอ้ผีระยำ
    มันตกใจเผ่นหนีไปที่หน้าต่างซ่อนเร้นกายร่างมองหาไม่เจอ
    เออก็แล้วไป กูก็ซ้อนร่างลงหลับไหล ต่อไปจนรุ่ง

    ครั้นอุทัยฟ้าสางเล่าให้คนข้างๆทดลองฟังดู
    เขาเล่าให้ฟัง เมื่อคืนเฝ้าดู ตัวกูต่อสู้เอะอะบนเตียง
    แล้วก็เงียบหลับ จนรุ่งเช้าตรู่ มาพูดคุยกัน

    สรุปเราไปแย่งที่เขานอนจ๊ะ พวกเลยเอาเรื่อง



    </TD></TR></TBODY></TABLE></B>
     
  9. ศิลาพร

    ศิลาพร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2009
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +391
    มานั่งรออ่านนิทานของพี่สุวิค่ะ
     
  10. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ย้อนรอยพลัง การใช้จักรเย็น

    เมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีอาการปวดท้อง อาเจียนอย่างรุนแรง
    อาเจียนจากเศษข้าว จนเหลือแต่น้ำ เป็นอยู่ 2 วัน อ่อนเพลีย และหมดแรง
    จนต้องล้มหมอน นอนเสื่อ (มังกรเดี้ยง) และเลิกฝึกพลัง

    ไปคลีนิคใก้ลบ้านที่ทันสมัย หมอให้นอนลงแล้วกดที่ท้อง สะดุ้งด้วยความ
    เจ็บปวด เด้งขึ้นมาทั้งตัว ผ่านการเอ็กซเรย์ ช่องอก ท้อง และทำอัลตร้าซาวด์
    หมอลงความเห็นว่า ถุงน้ำดีอักเสบ (นิ่วในถุงน้ำดี) แนะนำให้ผ่าตัด

    ไอ้ตัวเราก็ไม่ยอมผ่า เลยไปให้หมออีกโรงพยาบาลตรวจ และเอ็กซเรย์
    หมอที่โรงพยาบาล ลงความเห็นว่า อาจเป็นนิ่วที่ไต.....โดนเจาะเลือด
    ตรวจปัสสวะ เจ็บตัวซ้ำอีก หมอให้กลับมาฟังผล

    พอกลับมาที่บ้าน เข้าหามุมสงัด ปลงกับสังขารมนุษย์ ปลงกับความเจ็บป่วย
    เมื่อเวลาร่างกายแข็งแรง กลับไม่นึกอะไร สนุกสนานไปตามโลก ตามบันเทิง

    ไม่มีใครบอกว่า....เป็นเด็ก แล้วไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่ตาย
    ไม่มีใครบอกว่า.....เป็นหนุ่ม/สาว แล้วไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่ตาย
    ไม่มีใครบอกว่า.....พระฝึกสมาธิ ฝึกกรรมฐาน แล้วไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่ตาย
    เพียงแต่เราไม่รู้ ไม่รู้วิธี ถึงความตายเราหนีไม่พ้น แต่เรื่องไข้ เรื่องโรค
    น่าจะมีวิธี ผ่อนหนักให้เบา

    ท่านครูบาเฒ่า ผู้สั่งสอนวิชา ได้ตะโกนบอกมาว่า

    "เอ็งน่ะ เป็นอะไรที่ไหน ไอ้กิ้งกือ พลังที่ฝึกน่ะ มันขึ้นมาทะลวงโรค
    พอผ่านแล้ว ร่างกายจะแข็งแรงกว่าเดิม พลังมากกว่าเก่า เดินพลังสิ"

    จะจริงหรือท่านครูบา ผมเองยังไม่แน่ใจ หยั่งงี้มังกรต้องพิสูจน์.....
     
  11. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ suwi
    ปฐมบทแห่งโรคภัยไข้เจ็บ
    ............
    ........
    ในระหว่างการเริงฤทธิ์แต่ละครั้ง
    มีสิ่งที่อุบัติขึ้น ลักษณะดังฟองสบู่เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง มีแสงสีประจำตนเป็นสีต่างๆ แดงบ้าง เขียวบ้าง บ้างก็ม่วงสดใส ฯลฯ ระยิบระยับดั่งสีรุ้ง
    ฟองอากาศนี้เกิดขึ้นและกระจายออกจากศูนย์กลางการเริงฤทธิ์นั้น
    ปลิวไปเกาะกับกิ่งไม้ และสิ่งรอบข้าง

    ไอ้เจ้าฟองแก้สนี้คล้ายมีชีวิต เมื่อเข้าเกาะสิ่งใด ก็ทำตนกลมกลืนกับสิ่งนั้น
    บ้างเกาะกิน บ้างอาศัยร่วมกัน บ้างแปรเปลี่ยนสิ่งที่เกาะเป็นที่อาศัยดุจการสร้างเรือนเป็นที่อยู่แห่งตนฉะนั้น ฯลฯ

    สิ่งที่เกิดให้เห็นสร้างความสงสัยให้ท่านผู้เฒ่ายิ่งนัก

    ท่านจึงตั้งคำถาม (ด้วยความรอบคอบ และตั้งบนความไม่ประมาท) ลงบนห้องสมุดคอกลวง(กึ่งกลางคอ, ทันตา, จักระห้า, จุดรวมของอายตนะหก)
    และรวมสิ่งที่รู้ ที่เห็น(input จากอายตนะหก/ภายใน) เข้าประเมินผล ณ จุดกลางตัว(จักรสี่)
    และสิ่งที่รู้ที่เห็นเป็นดังนี้

    การเริงฤทธิ์ของท่านทั้งสี่เกิดมานานนักจนเป็นปกติ พบกันครั้งใดก็จะมีเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเสมอ แม้จวบจนปัจจุบันก็ยังมีอยู่
    ฟองแก้ส(ฟองอากาศ) ที่เห็นให้ถอยออกมาดูไกลๆ และเข้าไปดูใกล้ๆ (Zoom out - Zoom in) แล้วพิจารณาสิ่งที่เห็น และรับรู้ความเป็นไป

    เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ
    สิ่งที่เห็น ฟองแก้ส มีลักษณะเฉพาะตัวแบ่งเป็นพวกๆ บ้างกลมกิ๊ก บ้างเป็นเหลี่ยมมุม ฯลฯ มีสีสันแตกต่งกันไป
    เห็นมันเกาะเกี่ยวกันเกาะติดกับสิ่งต่างๆดูคล้ายต้นไม้หรือร่างแห

    สักพักก็คล้ายมีลมร้อนกรรนโชคมาเป็นห้วงๆ
    บางครั้งก็คล้ายมีลม มีน้ำ พัดผ่าน

    เมื่อพวกฟองแก้สเหล่านั้น ถูกลมร้อน(คล้ายเปลวไฟกระโชกผ่าน) ส่วนใหญ่ก็ถูกเผาเป็นจุล พวกที่หลบตามซอกหลืบก็ลอดตัวไป
    และเมื่อถูกสายน้ำ(น้ำกรด)พัดผ่าน บ้างก็หลุดลอยไปตามน้ำ และสลายตัวไป
    พวกที่มีเหลี่ยมมุมเฉพาะตัว ที่เข้ากันได้กับกิ่งก้านของร่างแห ก็ล็อกตัวติดแน่นกับร่างแหนั้น พวกนี้ก็ลอดตัว

    บางครั้งทั้งสายลมเปลวไฟและกระแสน้ำ ก็หมุนวนผ่านมา ฟองแก้สทุกตัวไม่ว่าจะหลบอยู่อย่างไร ก็ล้วนถูกพายุหมุนทำลายเสียสิ้น
    จะเหลือก็เพียงพวกที่เจาะเข้าอาศัยเป็นส่วนหนึ่งของร่างแหนั้น
    แต่ด้วยอานุภาพของพายุหมุนที่รุนแรง และพัดอย่างยาวนานเพียงพอ ไม่ว่าจะเข้าฝังตัวอย่างไรก็ถูกทำลายจนหมดสิ้นทุกซอกมุม

    และเมื่อถอยออกมาดูไกลๆ(Zoom out)

    ภาพที่เห็นเริ่มรวมตัวกัน
    ภาพที่เห็นเป็นต้นไม้หรือร่างแห ก็เริ่มรวมตัวกันเป็นภาพ ก้อนดิน ก้อนหิน ต้นไม้/ต้นหญ้า สัตว์เล็กสัตว์น้อย
    บ้างก็เป็นสัตว์ใหญ่ แม้แต่มนุษย์ก็ใช่

    และได้คำตอบต่อมาว่า
    ฟองแก้สที่เห็น คือสิ่งที่มนุษย์ตั้งชื่อเรียกว่า "ไวรัส"
    และฟองแก้สที่มีสีสันเป็นสีม่วง,สีทอง,และที่มีรัศมีแพรวพราว พวกนี้จะสามารถมีพัฒนาการแห่งชีวิตที่เป็นเลิศ
    และให้ติดตามดูวิวัฒนาการในช่วง พันปี หมื่นปี แสนปี ฯลฯ
    พวกนึ้สามารถรวมความรู้ในการพัฒนาการจนเป็สัตว์ใหญ่ได้ แม้กะทั่งความเป็นมนุษย์

    สิ่งที่ได้เห็นได้รับรู้ทำเอาอึ้งไปชั่วครู่

    ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็หายนะ ตายกันหมดซิ
    ไม่หรอก เอ็งดูตอนที่เข้าไปใกล้ๆซิ สังเกตุเห็นใม๊ มีบางอย่างทำลายฟองแก้สพวกนี้ได้โดยธรรมชาติ
    สายลม เปลวไฟและสายน้ำที่เห็นนะรึ มันคืออะไร?
    พลังชีวิต หรือ ปราณของสิ่งมีชีวิต จะรักษาและทำลายสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นได้

    แล้วทำไมคนยังป่วยตากกันมาก
    ดูให้ดีซิ ตอนปราณพัดผ่าน ยังมีบางพวกรอดอยู่มาก
    มีบางพวกฝังตัวลงในเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ(พวกเชื้อโรค,แบคเตรี,เชื้อรา) แล้วเปลี่ยนเป็นทีอาศัยของตน
    บ้างฝังตัวยึดเนื้อเยื่อเชลของชีวิตมนุษย์ด้วย(การตัต่อยีน แล้วแปรไปเป็นเนื้อร้าย และมะเร็ง และการกลายพันธุ์ของเชื้อโรคต่างๆ)
    พวกนี้ทำให้เกิดโรค และตายกัน

    ดูให้ดีซิ พวกนี้จะถูกทำลายหมดเมื่อปราณพัดรุนแรงเป็นพายุหมุน
    และตายสิ้นเชื้อเมื่อ ลม ไฟ น้ำรวมตัวเป็นพายุหมุนที่รุนแรงและมากพอ
    แล้วพายุนี้ไม่ทำลายเนื้อเยื่อของกายมนุษย์หรือ
    มีบ้าง แต่ไม่มากนัก
    และปราณที่ผ่านการฝึกมาดีแล้วบางส่วนจะทำลายสิ่งแปลกปลอมทั้งปวง
    และบางส่วนจะเสริมขบวนการสร้าง ซ่อมแซมร่างกายให้คืนสภาพ

    โดยปกติในชีวิตทั่วไป ปราณจะไหลไปมาดุจกระแสน้ำ
    ปราณที่ถูกฝึกมาดี จะมีปริมาณมากกว่าปกติ
    การไหลของปราณจะช้าเร็วหรือหมุนวนกลับไปมา ได้คล่องขนาดใหนขึ้นอยู่กับการฝึก
    เห็นใม้มีบางจังหวะปราณ ไหลมาเป็นก้อนโต กระแทกเข้าที่จุดรวมพลของสิ่งแปลกปลอม จนกระจายและสลายจนหมดสิ้น
    น้ำจะกวาดต้อนชะล้างขับออกจากกายทางเหงื่อ ปัสสาวะและอุจาระ

    แล้วเราจะฝึกและบังตับปรารอย่างไร ให้รักษากายนี้ได้
    ฝึกซิ ฝึกปราณ(ยาม)ประกอบลมหายใจ (อาณาปราณสติ)เป็นจุดเริ่มของการฝึกทั้งปวง



    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เจ้าฟองแก้ส ที่กล่าวถึงด้านบน ล้วนมีพัฒนาการ
    บ้างยาวนาน เป็นหมื่ยเป็นพันปี
    บ้างเพิ่งถือกำเนิดไม่นานนัก
    พวกที่มีพัฒนาการยาวนานล้วนสะสมมวลความรู้มากมาย
    เคยพัฒนาสร้างกายหยาบสังขารขนธ์ ในหลายๆรูปแบบ และจดจำอยู่ในสัญญาแห่งตน
    พวกที่มีพัฒนาการสูงแต่ยังครึ่งๆกลางๆ พวกนี้กิเลสหนา ความรักความแค้นสูง
    พวกนี้เมื่อพบคู่อริ แน่นอนย่อมเข้าทวงคืนหนี้แค้น
    นี่จึงเป็นที่มาแห่งการเข้าแฝงร่าง ทำร้ายกัน

    จากข้อความข้างบนในช่วงท้ายกล่าวเปรียบเทียบถึงกายมนุษย์กับรถยนต์

    หุ่นยนต์มนุษย์ เทียบดั่งตัวถังรถ
    พลังงานตรีธาตุ เปรียบดัง น้ำมันเชื้อเพลิง
    และจิต ที่ทรงเจตนา(เจตสิก) เปรียบดังคนขับ

    ในรถมีคนขับ ย่อมมีที่นั่งขับ
    ในหุ่นยนต์มนุษย์ก็เช่นกันย่อมมีที่นั่งให้เจตสิก นั่งขับหุ่นยนต์มนุษย์
    ตำแหน่งที่นั่งนี้ก็เป็นความลับของฟ้า

    จุดนี้เมื่อถูกพลังที่มากพอ กระแทกหรือผลัก
    อาจจะเกิดจากพลังของตนเองที่ฝึกมา หรือมีพลังภายนอกเข้ามาผลัก
    จิตก็อาจจะหลุดออกจากที่นั่ง บางครั้งอาจถูกกระแทกหลุดจากตัวรถ

    เมื่อจิตถูกกระแทกให้เคลื่อนออกไปจากตำแหน่ง
    และมีฟองแก้สอื่นที่มีเจสิกกล้า เข้ายึดที่นั่งได้
    ฟองแก้สนั้นก็จะสามารถขับเคลื่อนหุ่นยนต์มนุษย์ได้

    การเข้ายึดที่นั่งนี้ บ้างยึดได้อย่างเด็จขาด
    บ้างนั่งเบียดกัน
    บ้างนั่งซ้อนทับกัน
    การควบคุมกายมนุษย์ก็อีหลักอีเหลื่อ น่าเวียนหัว
    เหล่าคนทั่วไปพบเห็นเข้าก็ได้แต่นั่งดูทำตาปริบๆ

    เหตุการณ์เหล่านี้หมอสุวิ เคยพบเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน
    แม้ทุกวันนี้ คนไข้บางรายที่มาให้หมอรักษา ก็ยังมีรายการแย่งที่นั่งกันขับหุ่นยนต์ให้เห็น
     
  12. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    นิทานต่างๆที่เล่าเอาไว้ เพื่อให้ทุกท่านได้ศึกษา และไม่ประมาท
    ตัวประหลาดบางตัวเกิดจากฟองแก้สที่มีอายุเป็นหมื่นๆปี มีความรู้มาก
    เขาไปฟ้องร้องเอาไว้ว่าเราไปกระทำผิดต่อเขา
    บางเรื่องเราอาจยอมรับ และมาชดใช้ให้ ดังนั้นจะไล่ล่ากันอย่างไรเราก็ไล่ที่ไม่ได้

    แต่ตัวประหลาดบางตัว เป็นเราโง่เองไปยอมรับเขา เหมือนนิทานเรื่องยายเมี้ยน
    ความจริงพวกนี้ไล่ที่ไม่ยาก
    จ่ายค่าขนย้ายนิดหน่อย มันก็รีบไปแล้ว

    แต่ถ้าประมาท นอกจากจะไล่ไม่ได้แล้วบ้านยังพังอีก พลังยิ่งแกร่งกล้า กรรมวิธีไล่ยิ่งยอดเยี่ยม
    ประมาทตัวเดียว บ้านเราก็พังซะก่อนจ้า

    ถ้าไปเจอไอ้พวกรู้มาก มันเข้ายึดตำแหน่งขับหุ่นยนต์ได้ละก็ ไม่ต้องพูดกัน แพ้มันวันยังคำ
     
  13. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ได้เคยกล่าวไว้ว่า ลมสุมนา อันเป็นพลังชีวิตของมนุย์ เป็นใหญ่กว่าวะตะธาตทั้งปวง

    พลังชีวิตตัวนี้ จะสัมพันธ์กับพลังจิตทีฝึกฝน การฝึกดีจะควบคุมสุมนาวาตะได้ และสามารถเข้าคุมวาตะได้ทุกตัวในที่สุด
    และสุดท้ายจะเข้าควบคุม ปิตะ(สุริยะรัตมณี-กุลฑาลินี) และเสมหะ (จันทรามณี)ได้

    การฝึกเกสา โลมา ฯ นอกจากจะได้เรื่องสมาธิแล้ว ยังได้พลังที่สามารถเข้าไปรู้เข้าไปเห็น และเข้าไปควบคุม ปิตะ เสมหะ และวาตะทั้งปวงได้ (คุมมังกรแดง มังกรน้ำเงิน และพายุหมุนได้)

    เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ เป็นไฉน จึงอาจเข้าควบคุมสิ่งที่ยากจะคุมได้
     
  14. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    วิทยาการแห่งเทพมนุษย์<O:p</O:p
    มวลความรู้ต่างๆที่เหล่าเทพมนุษย์นำลงมาถ่ายทอด มีเพียง ห้าสาย
    แต่ละสายมีมวลความรู้แยกย่อยพิสดารลึกลงไปอีกมากมายจนสุดบรรยาย
    ในปัจจุบัน วิทยาการเหล่านี้ได้สาบสูญการถ่ายทอดไปมากมายเหลือเพียงกระพี้ บางอย่างก็เหลือเพียงเรื่องเล่าเป็นนิยาย ปรัมปรา

    ในเมืองไทยเรา วิชาเหล่านี้ยังมีหลงเหลือ กระสานซานเซ็น ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน พอจะมี เป็นน้ำเป็นเนื้อบ้างก็เช่น วิชาพยากรณ์
    ส่วนวิชชาอื่นๆก็มีแทรกกระจักกระจายอยู่ในคัมภีร์แพทย์ไทยแผนโบราณ ในคัมภีร์มหาทักษา ในพระไตรปิฎก ฯลฯ

    ผู้ที่เข้าใจและเป็นในธรรมแห่งพระผู้มีพระภาคฯ จะเป็นวิชชาเหล่านี้เอง (ในบาง ส่วน) อย่างอัตโนมัติ
    โดยเฉพาะในส่วนของ โองการ และ พระเวทย์<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วิทยาการห้าสายแห่งเทพมนุษย์<O:p</O:p

    1. สายว่าด้วย “โองการ”<O:p</O:p
    2. สายว่าด้วย “พระเวทย์”<O:p</O:p
    3. สายว่าด้วย “พระไสย”<O:p</O:p
    4. สายว่าด้วย “มายา”<O:p</O:p
    5. สายว่าด้วย “ตรรกะ” (วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน)<O:p</O:p
    <O:p</O:p<O:p</O:p

    ในวิชชาทั้งห้าสายล้วนมีฐานจาก“ความรู้บนความจริงแท้” (Fact) <O:p</O:p
    จิตจะเป็นผู้สั่งการอำนาจแห่งพลัง (ปราณ) หรือเครื่องกลจะเป็นผู้ดำเนินการให้เกิดผลสำเร็จ<O:p</O:p
    ซึ่งต้องไม่ขัดกับความจริงแท้<O:p</O:p
    ในพระคัมภีร์ไบเบิลพระเจ้าสร้างโลกโดยใช้คำสั่งเช่นแสงสว่างจงบังเกิด, พื้นดินพื้นน้ำจงเกิดขึ้นฯลฯ<O:p</O:p
    ในพระไตรปิฎกก็มีบันทึกถึงการใช้คำสั่งเช่นกัน<O:p</O:p
    บ้างก็อ้างความจริงแท้ (ด้วยอำนาจจิต) และกำกับด้วยคำสั่งให้สิ่งที่ต้องการเกิดเป็นจริงขึ้น<O:p</O:p
    เช่นพระองคุลีมาลได้กล่าวคำพูดอ้างถึงความจริงในใจท่าน<O:p</O:p
    และให้พรแก่หญิงมีครรภ์ให้มีความสวัสดี<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในนิทานชาดกเล่าถึงพระโพธิสัตว์ลูกนกคุ้มเมื่อประสพภัยไฟป่าไหม้เข้ามาใกล้รังที่ท่านอยู่<O:p</O:p
    ลูกนกนั้นได้กล่าวคำอธิฐานโดยอ้างความจริงแท้ด้วยอำนาจจิตและสั่งให้ไฟป่านั้นจงหลีกไป<O:p</O:p
    คำกล่าวของพระอริยะเจ้าทุกระดับดังกล่าว คำพูดของพระเจ้าในคัมภีร์ไบเบิล
    ล้วนเป็นอำนาจแห่ง“โองการ”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แต่ผู้ที่นำคำกล่าวของพระอริยะเจ้าเช่นคาถาองคุลีมาลคำกล่าวของลูกนกคุ้มมากล่าวซ้ำอีก<O:p</O:p
    เพื่อให้เกิดสิ่งที่ต้องการสิ่งที่ใช้นั้นคือ“พระเวทย์” <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ผู้ที่มีอำนาจแห่งโองการเมื่อมีความต้องการจะถ่ายทอดความรู้แห่งอำนาจนี้<O:p</O:p
    แม้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งแก่ชนทั่วไปผู้ปารถนาในอำนาจนี้แต่ไร้ซึ่งพื้นฐาน<O:p</O:p
    ท่านจะสร้างคำกล่าวที่ผูกขึ้นเป็นวลีพร้อมคำสั่งโองการกำกับลงไปในวลีนั้นเพื่อให้ศักสิทธิ์<O:p</O:p
    และอาจสร้างอุปเท่ห์แห่งวิชากำกับไว้และมอบให้คนผู้นั้นไปท่องบ่น<O:p</O:p
    บ้างก็สั่งกำกับให้มีจิตวิญญาณคอยดูแลให้คำกล่าววลีและอุปเท่ห์นั้นเกิดความศักดิ์สิทธิ์เป็นจริงเมื่อมีผู้นำไปใช้<O:p</O:p
    วลีและอุปเท่ห์นั้นก็คือพระเวทย์และพระไสย<O:p</O:p

    ความแตกต่างของพระเวทย์และพระไสยอยู่ที่วิธีและการวางทิฐิในการสร้างและการใช้<O:p</O:p
    ปกติพระเวทย์จะใช้เพื่อความสุขและเป็นอิสระ<O:p</O:p
    ส่วนพระไสยจะใช้เพื่อการควบคุมและบังคับ (ยังมีแยกเป็นไสย์ดำและไสย์ขาว) <O:p</O:p

    ส่วนอุปเท่ห์แห่งวิชาและการวางค่ายกลนั้นคือมายา<O:p</O:p
    วิชาฮวงจุ้ยทีใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็เป็นส่วนหนึ่งของมายา(ที่เป็นจริง) <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ส่วนตรรกะเป็นรากฐานแห่งวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน
    เป็นวิชชาที่ค้นคว้าหาความเป็นจริงแท้ของทุกสรรพสิ่งด้วยการค้าคว้าและทดลอง
    และนำผลที่ได้มาใช้งานด้วยการสร้างวัตถุอันได้แก่เครื่องกล/เครื่องอิเล็คโทรนิคมาควบคุม
    ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับโองการ
    ความแตกต่างกันอยู่ที่โองการใช้อำนาจจิตและปราณในการสร้างงาน

    วิชชาเป็น หมายถึงวิชชาที่มีชีวิตสามารถเติบโตและมีพัฒนาการในตัวเองไร้รูปแบบที่ตายตัว
    เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัยในปัจจุบันสมัยตลอดเวลา
    โองการและตรรกะล้วนเป็นวิชชาเป็น

    วิชาตายหมายถึงวิชาที่มีรูปแบบตายตัวแตกต่างถือเป็นผิดใช้งานไม่ได้ไม่มีพัฒนาการพระเวทย์,พระไสย,และมายาล้วนเป็นวิชาตาย <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2009
  15. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เมื่อฝึก เกสา โลมา ฯ (ทุกท่านที่ได้อ่านถึงตรงนี้ คงได้วิธีฝึกแล้วและทุกคนคงได้ทดลองฝึกกันแล้ว)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    บางท่านอาจฝึกทีละตัว จนได้ความรู้สึกดังที่กล่าวไว้ในตำราแล้วจึงเลื่อนไปฝึกตัวต่อไป ทีละตัวจนหมด<O:p</O:p
    บางท่านอาจฝึก ทีละตัวเช่นกัน แต้กำหนดตัวละ ๑-๕ นาที แล้วกำหนดตัวต่อไป วนไปเรื่อยๆเป็นรอบๆ
    บางท่านอาจฝึกไปภวนาไปกำหนดรู้ไป ตามตำรา ไหลไปเรื่อยๆ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ทุกแบบที่กล่าวมา ไม่มีถูกไม่มีผิด ทำได้ตามจริตของตน<O:p</O:p

    แต่เมื่อทำแล้ว ท้ายสุด จะทรงความรู้สึกดังนี้

    เกสา จะให้ควรามรู้สึกดังมีพลังเปล่งออกจากหัวเป็นทรงกลม
    โลมา จะให้ความรู้สึก ดังมีเกราะแก้วคลุมรอบตัวเป็นทรงกลม
    และถ้าขยายความรู้สึกให้กว้างออกไปอีก ทรงกลม ทั้งสองลูกจะกลืนกันเป็นทรงกลมลูกเดียวหุ้มทั้งตัว

    นะขา จะรู้สึกดังมือที่วางบนหน้าตักได้ประคองลูกแก้วใสปิ้งไว้ในฝ่ามือ หนึ่งลูก

    ทันตา ดวงแก้วที่ฝ่ามือจะวิ่งเข้าไปในตัวที่ท้องน้อย วิ่งขึ้นไปที่ฟันและทะลุออกบนศีรษะ(ในบางท่าน ดวงแก้วคล้ายละลายเป็นละอองไอแห่งพลัง ซึมเข้าในท้องน้อย)
    ความรู้สึกดังตัวยาวๆดังเสาต้นหนึ่ง
    เสาต้นนี้โบราณเรียด เสาสุเมรุ หรือเขาพระสุเมรุ
    เมื่อดวงแก้วทะลุศีรษะออกไป หัวเสาจะถูกเจาะเป็นรูเล็กๆ ๑ รู
    ในบางท่าน ดวงแก้วจะพุ่งขึ้นไปสูงมาก และเก็บละอองเย็นจากจักวาลกลับลงมาด้วย

    ตะโจ ความรู้สึกดังน้ำเย็นไหลออกจากรูที่หัวเสาไหลอาบเสาลงมา
    และน้ำนั้นดังน้ำพุกระจายาบไปทั่ว ทำให้สัมผัสถึงผิวของทรงกลมบางๆ ซ้อนอยู่ภายในของทรงกลม ที่ภาวนาเกสา โลมาพร้อมกัน
    และรับรู้ถึงความว่างเวิ้งวาง ในพื้นที่ระหว่าเสาสุเมรุกับผิวทรงกลมที่ซ้อนยู่ในทรงกลม

    ความเวิ้งว้างระหว่างเสาสุเนรุกับผิวตะโจ คืออากาศธาตุ
     
  16. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    [​IMG]


    ผมทดลองจักร 1 และจักร 7 พร้อมกัน ตามที่ท่านอาจารย์บอก มีผลดังนี้ครับ

    เริ่มทำมีอาการโคลงเคลง โยกไปมาเบา ๆ ได้สักพัก , พลังขนลุกวิ่งเคลื่อนที่

    จากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน , คล้ายมีวงหมุน ที่แกว่งเอียงซ้ายบ้าง ขวาบ้าง

    พอนิ่งแล้ว รู้สึกมีวงแหวนเหมือนสปริง วิ่งวนเป็นกลม ๆ พันล้อมรอบตัวไว้

    ฝึกเสร็จไม่นาน หลับตาแล้ว มองเห็นวงกลมสีน้ำเงิน และวงกลมสีแดง สองวง

    อยู่ชิดติดกัน (หารูปบรรยายไม่ได้ครับ เอาสปริงมาแทน)


    ก่อนทดลองอาจารย์ไม่ยอมบอก ถึงผลลัพท์ ก็ได้มาตามนี้ล่ะครับ

    ผิด/ถูก มังกรมั่วไป ตามระเบียบ 55555555 ทำถูกป่าวครับจารย์
     
  17. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ต่อ........

    ยังจำได้ว่า เคยใช้พลังคอสมิค หรือพลังจักรวาล รักษาคุณย่าคนหนึ่ง ที่ขาเจ็บ
    และเดินแบบแข็ง ๆ มาถึง 8 ปี ตอนนั้น พอส่งพลังเข้าไปแล้ว คุณย่าท่านนั้น
    น้ำตาซึม และยกมือขึ้นอนุโมทนา และบอกผมว่า " รู้สึกเย็น ๆ เหมือนยาหม่อง"
    สักพัก คุณย่าท่านนั้นก็สะบัดขา รู้สึกขาเบาโหยง และนึกอยากวิ่งขึ้นมา

    พอตัวเองเจ็บ แบบแทบคลาน ครั้นจะใช้พลังคอสมิค รักษาเอง ก็ใช่ที เพราะ
    ฝึกคุณฑาลิณี จากน้ำแข็ง.........เลยปั๊มลมจากลิ้นปี่ ขึ้นมาตามระเบียบ
    ให้รู้สึกขนลุก ขนพอง วิ่งไปมาทั่วร่าง.......เสร็จแล้ว จึงส่งพลังตัวนั้น เข้าไป
    ยังบริเวณแผล (ท้องน้อยข้างขวา)

    ไอ้ตัวเรานี่ ก็พยายามเน้นให้จักกระเย็น แบบว่าเน้นที่จักกระ.....แต่พอมาคราว
    นี้ แผลบริเวณใต้ท้องน้อย เหมือนใครเอาก้อนน้ำแข็ง ไปยัดตรงนั้น
    ทำอยู่ น่าจะ 3-4 วัน อาการเจ็บทุกอย่าง หายเป็นปลิดทิ้ง

    พอได้วันหมอนัด และไปตรวจซ้ำทั้ง 2 แห่ง หมอบอก อาการคุณดีขึ้น
    อีกหมอหนึ่งบอก ไว้ให้มีอาการ แล้วค่อยมา ตกลงว่า หมอหาแผลไม่เจอ
     
  18. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543

    ตอนแรกคิดว่ามังรบูรพา ได้ลอกคราบเป็น มังกือหิมะไปแล้ว และรอเวลาลอกคราบอีกครั้งเป็นมังกรขาว(เจ้าแห่งหิมะ)
    และต้องย้ายตัวเองไปสถิต ณ. ยอดเขาหิมาลัยในที่สุด

    ในเทพมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อม พลังจากมังกรแดงและมังกรน้ำเงิน (จะมีขนาดใกล้เคียงกัน) จะออกจากถ้ำตรงเข้าพัวพันกันรอบขุนเขา(เสา)สิเนรุ
    พลังอันเกิดจากการพัวพันกัน (สีม่วงใส-ต่อไปจะใสมากขึ้น) จะไหลซึมเข้าสู่ภายในขุนเขา(คือกายเรานี้)
    และอีกส่วนก็แผ่ซ่านไปในอากาศธาตุรอบขุนเขาสุเนรุ
    และอาจทะลุทลวงผ่านผิวดวงแก้วบางๆแห่งตะโจ และเกราะแก้ว(อันเกิดจากเกสา โลมา ฯ)ที่หุ้มกายอยู่ และกระจายออกสู่จักวาลอันเวิ้งว้าง

    ผู้มีอำนาจจิตที่ดีควบคุมการปฏิสัมพันธ์ ระหว่างมังกรทั้งคู่ได้ ย่อมเข้าควบคุมปิตะและเสมหะได้อย่างหมดจด และควบคุมปริมาณพลังประดุจดังพายุหมุน(วาตะธาตุ)นี้ได้

    สิ่งที่มังกรทำและฝึก จะอยู่ในช่วงท้ายๆของการฝึก เกสา โลมา ฯ
    เมื่อมังกรแดงและน้ำเงินยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกทำลายไป(จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่)
    ให้ฝึกฝนต่อไป

    เป้าหมาย
    ๑. ทำลาย สลาย ขุนเขาสุเนรุ ให้พลังภายในภายนอก แห่งขุนเขาเข้ารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว
    ๒. ปลดปล่อย พลังดวงแก้วแห่งปัญญาทั้งห้า(ดวงแก้อันเกิดจากจักร ๒,๓,๔,๕,๗) ที่ถูกกักอยู่ในขุนเขาให้เป็นอิสระ
    ๓. ดวงแก้วทั้งห้าจะรวมตัวกับดวงแก้วอีกสองดวง(มังกรแดง-มังกรน้ำเงิน/ สุริยรัตมณี-จันทรามณี/จักร ๑-จักร ๖) ในรูปทรงที่ประหลาดสามมิติ
    และร่วมกันเปล่งแสงดุจอาทิตย์เจ็ดดวง เจิดจรัสในจักรวาล(น้อย)
    เมื่อนั้นจักวาล(น้อย) ก็ถึงกาลอวสาน สลายตัวไปไม่คงอยู่อีก

    การสลายผิวแห่งขุนเขาสิเนรุ จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก
    เพียงทำลาย อัตตา อันเกิดจากอุปทานในขันธ์ห้า เท่านั้น
    แล้วทุกอย่างก็จะเดินไปโดยอัตโนมัติ
     
  19. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407

    ขอบพระคุณอย่างสูงครับ ท่านอาจารย์


    ที่ยาก...น่าจะเป็นการทำลายตัวอัตตา และขันธ์ 5 เพราะที่เห็นฝึกกันส่วนมาก
    เป็นการทำลาย สภาวะนี้ ได้แค่ชั่วครั้ง/คราว แต่จะพยายามครับ เดินหน้าครับ

    แสงสีม่วงใส ตามที่อาจารย์บอก จะมีลักษณะ ตรงกลางเป็นสีม่วงอมใส
    และโดยรอบของกลาง เหมือนแก้วใส ๆ มัน ๆ แวววาว มีรัศมีสีม่วง
    กระจายอยู่จาง ๆ ใช่ไหมครับ แล้วถ้าใช่ อิอิ.........555555555

     
  20. lertde

    lertde เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +141
    ผมขอขอบคุณข้อความดีๆ ที่เกิดขึ้นในกระทู้กับอ.สุวิคับ ผมยังปูเสื่อรอ อ.สุิวอยู่ ยังงัยบทความที่กำลังเขียนอยู่เรื่องน้ำแข็ง-น้ำร้อน ขอให้เสร็จไวๆๆนะคราบ
     

แชร์หน้านี้

Loading...