หลวงพ่อเล่าเรื่อง...เครื่องวัดบารมี

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 18 เมษายน 2008.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]

    ทานบารมี<O:p</O:p
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มาเริ่มเรื่องบารมีต้นกัน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายทราบแล้วนี่ว่าบารมีคือ อะไร ขอย้อนกันสักหน่อยดีไหม เผื่อว่าจะลืมไป<O:p</O:p
    บารมีก็คือกำลังใจ ไงล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าลืมความดีในพุทธศาสนานี่ขึ้นอยู่กับกำลังใจอย่างเดียวเพราะท่านทั้งหลายยังคงจำได้ว่าคนเราถ้าตายไปแล้ว ที่เขาบอกว่าไปตกนรก ไปขึ้นสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน เขาไม่ได้ไปกันอย่างอื่น เขาเอาใจไปด้วย เขาไปด้วยกำลังใจ<O:p</O:p
    ทีนี้สำหรับบารมีที่เราจะสร้างขึ้นไว้ เราจะสร้างเพื่อไปไหนล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน ไปส่งเดชที่เราพึงไป ถ้าเราสร้างความดีไว้ เราก็ไปใช้ในส่วนดี คำว่าเรา ในที่นี้ คือ จิต ไม่ใช่กาย<O:p</O:p
    องค์สมเด็จพระทศพลทรงกล่าวว่า บารมีคือกำลังใจนี่บรรดาท่านทั้งหลายเห็นความโง่ของอาตมาไหม ท่านทั้งหลายจงอย่าคิดว่าคนที่เป็นครูท่านอยู่เวลานี้เป็นคนฉลาด แต่ที่แท้แล้วองค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถท่านบอกว่า จอมโง่ โง่เพราะอะไร โง่เพราะไม่รู้จักคำว่าบารมีมันคืออะไร เหมือนกับคนที่ขี่ควาย คนที่ขี่ช้าง ไม่รู้จักควายเป็นยังไง ช้างเป็นยังไง ขี่ได้ใช้งานได้ แต่ไม่รู้จักชื่อ อันนี้ได้แก่อาตมาเอง บรรดาท่านพุทธบริษัท<O:p</O:p
    ทานบารมีเป็นบารมีต้น ที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเรายังไม่ไปนิพพาน จะเกิดเป็นมนุษย์ก็ยังได้ จะเกิดเป็นเทวดาก็ได้ จะเกิดเป็นพรหมก็ได้ หรือจะไปนิพพาน ตามใจท่านพุทธบริษัท ให้เลือกเอา ประเดี๋ยวจะมาหาว่ามานั่งเกณฑ์กันเข้าไปนิพพานไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าไปได้ก็ไปได้ ถ้าไปไม่ได้ก็อย่าเพิ่งไป จะไปหรือไม่ได้ก็ตามใจบรรดาท่านทั้งหลาย<O:p</O:p
    ทานบารมีเป็นบารมีต้น ที่องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าทานบารมีเต็มแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงรับรองว่ามีหวังไปนิพพานได้คราวนี้เราก็นั่งพิจารณาถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรถึงรากเหง้าของกิเลส อันถือเป็นแม่บทของกิเลสบรรดาท่านพุทธบริษัท หรือว่าเป็นสีหลักผสมกับสีอื่นๆ เขาเรียกกันว่าแม่สี ทีนี้แม่ของกิเลสก็คือรากเหง้าของกิเลสนั้นเอง หรือจะเรียกว่าจอมกิเลสก็ได้<O:p</O:p
    จอมบงการของกิเลสก้ได้แก่กิเลส ๓ การ คือ <O:p</O:p
    โลภะ ความโลภ<O:p</O:p
    โทสะ ความโกรธ<O:p</O:p
    โมหะ ความหลง<O:p</O:p
    สำหรับคำว่าโลภะ ความโลภ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ทำลายด้วยการให้ทาน เพราะการให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เป็นการให้ ส่วนโลภเป็นตัวดึงเข้ามา นี่เป็นศัตรูกัน
    <O:p</O:pทีนี้ว่ากันถึงกิเลสทั้ง ๓ ประการ มันเหมือนกับโต๊ะ ๓ ขา หากเราทำลายเสียขาใดขาหนึ่งได้ ที่เหลืออีก ๒ ขามันก็ทรงไม่ไหว มันต้องสลายไปด้วย<O:p</O:p
    ทีนี้เรามาดูการให้ทานที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดากล่าวว่า ทำลายความโลภ การให้ทานนี้น่ากลัวจะแบ่งเป็นหลายระดับด้วยกัน มิฉะนั้นการให้ทานก็จะไม่สมบูรณ์แบบ การให้บรรดาพุทธบริษัทเป็นปัจจัยในกามาวจสวรรค์<O:p</O:p

    เครื่องวัดกำลังใจ<O:p</O:p

    องค์สมเด็จพระพิชิตมารกล่าวว่า การให้ทานนี้จัดเป็น ๓ ระดับด้วยกัน นี่แบบหนึ่งนะ อันที่จริงมันมีอีกหลายแบบ<O:p</O:p
    ทาน ๓ ระดับคือ <O:p</O:p
    ๑. ทาสทาน เวลาที่เราจะให้ทาน เราก็ให้ของเลวกว่าของที่เรากินเราใช้<O:p</O:p
    ๒. สหายทาน เวลาที่เราให้เราก็ให้ของเสมอกับที่เรากินเราใช้<O:p</O:p
    ๓. สามีทาน เวลาที่เราจะให้เราให้ของดีกว่าที่เรากินเราใช้<O:p</O:p
    นี่เป็นเครื่องวัดกำลังใจของท่านพุทธบริษัท เราวัดกำลังใจของเองว่า เวลาที่เราจะให้ทานน่ะ การให้ทานนี้ต้องให้เพื่อการสงเคราะห์อย่างเดียว ไม่ให้หวังผลตอบแทน<O:p</O:p
    นี่อย่าลืมนะพุทธบริษัท หรือท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย ไม่ใช่ว่าเราให้ท่านแล้วก็มานั่งนึกทีหลังว่า เจ้าคนนี้เราให้ไปแล้ว นางคนนั้นเราให้ไปแล้ว แต่ให้ไปแล้วนั้นไม่รู้จักบุญคุณ ไม่รู้จักตอบแทนเราสักที<O:p</O:p
    ถ้าท่านทั้งหลายมีเจตนาในการให้ทานแบบนี้ องค์สมเด็จพระชินศรีกล่าวว่าเป็นการให้ทานที่มีกำลังใจไม่เต็มบารมีส่วนนี้ยังอ่อนอยู่ แล้วก็บารมีที่ดึงลงอบายภูมิได้ง่ายๆ<O:p</O:p
    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราให้ทานแล้วหวังผลในการตอบแทนในการตอบสนอง ถ้าเขาไม่ตอบสนองเรา เราเกิดความกลุ้มใจ ความไม่สบายใจมันก็เกิด ถ้าความไม่สบายใจมันเกิด จิตมันก็มัวหมอง พระพุทธเจ้าทรงกล่าว<O:p</O:p
    จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา<O:p</O:p
    ก่อนที่จะเราจะตาย ถ้าจิตเราเศร้าหมองละก็มีหวังทุคติ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เกิดเป็นคนก็หาความสุขไม่ได้ แบบนั้นเขาไม่ชื่อว่าเป็นการให้ ถือว่าเป็นการยืมไป <O:p</O:p

    บารมีต้น<O:p</O:p

    ถ้าให้ด้วยความเต็มใจ เราให้จริงๆ เพื่อเป็นการสงเคราะห์ ทานตัวนี้ต้องมีจิตเต็มเปี่ยมไปด้วยการสงเคราะห์ ปรารถนาให้เขามีความสุขจากวัตถุที่เราให้ หรือว่ากำลังใจที่เราให้ ถ้าเราให้ไปด้วยการสงเคราะห์จริงๆ แต่ทว่าเวลาให้นะบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ถ้าเขามาขอเรา เรายังต้องแบ่งว่า ไอ้นี่ยังใช้ได้ ไม่ให้ นี่ดีเกิดไปเรายังไม่ได้ใช้ เรายัง ไม่ให้ ให้เฉพาะของที่เราไม่ต้องการจะกินไม่ต้องการจะใช้ของเลวๆ เราจึงจะให้ ถ้าถามว่าการให้แบบนี้ดีหรือไม่ได้อาตมาตอบว่าดี เพราะเกิดชาติหน้าเราก็เป็นมหาเศรษฐีได้ อย่างอาฬวีเศรษฐี เป็นต้น<O:p</O:p
    อาฬวีเศษฐีเกิดมาในสมัยพระชินศรีบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชีวิตมีชีวิตอยู่ อาฬวีเศษฐีคนนี้ใช้ของไม่ดี ผ้าผ่อนท่อนสไบต้องเก่าต้องเก่าต้องช้ำเสียก่อนจึงจะใช้ได้<O:p</O:p
    ของที่จะกินเข้าไปถ้าเป็นของดีๆ เช่น ข้าวมธุปายาส แกก็กินไม่ได้ ข้าวเต็มเม็ดที่เรียกกันว่าข้าว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หรือ ๙๕ เปอร์เซ็นต์ แก่ก็กินไม่ได้ ต้องกินข้าวหัก หรือปลายข้าว แต่ว่าแก่เป็นมหาเศรษฐีได้<O:p</O:p
    องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสกับพระอานนท์ว่า<O:p</O:p
    อานันทะ ดูก่อน อานนท์ อาฬเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมาได้เพราะอาศัยการให้ทานเป็นสำคัญ แต่ว่าการให้ทานของอาฬวีเศรษฐีนั้นให้ทานเป็น ทาสทาน คือของดีไม่ให้ ให้แต่ของเลว<O:p</O:p
    แต่ก็ยังมีผลบรรดาท่านศาสนิกชน เกิดมาเป็นคนยังมหาเศรษฐีได้ ก็เบ่งกับยาจกได้เหมือนกัน การให้ทานประเภทนี้องค์สมเด็จพระชินศรีถือว่าบารมีต่ำ นับเป็นบารมีต้น<O:p</O:p

    อุปบารมี<O:p</O:p

    องค์สมเด็จพระทศพลทรงเปรียบเทียบต่อไปว่า ถ้าเราให้ทานเป็น สหายทาน ให้เพื่อการสงเคราะห์ เวลาที่เราใช้ และก็ให้ด้วยความเต็มใจ ด้วยการสงเคราะห์ ไม่หวังผลตอบแทน ใดๆ ทั้งหมด อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมสุคตกล่าวว่า ทานของท่านเป็นอุปบารมี มีความแน่นแล้ว<O:p</O:p
    อุป แปลว่า เข้าไป ใกล้ นั้นแสดงว่าเดินเข้าไปหาพระนิพพาน ไม่ถอยหลังแล้ว เดินใกล้เข้าไปทุกทีๆ ไม่ถอยหลังแล้ว<O:p</O:p

    ปรมัตถบารมี<O:p</O:p

    ต่อไปถ้ากำลังใจของเรานี้ดีขึ้นไปกว่านั้น เวลาที่เราจะให้ทานก็ต้องดู ไอ้ของนี่มันช้ำแล้วให้กันไม่ดี เขาจะตำหนิเอาหรือประการหนึ่ง ไหนๆ เราจะให้ของดี เพราะว่าทุกคนต้องของดี<O:p</O:p
    ส่วนของบริโภคเหมือนกัน ปกติเรากินน้ำพริกผักต้มได้ แต่ เวลาเราจะทำบุญหรือเราจะให้ทาน ต้องใช้ของดีๆ ทำบุญด้วยของดีๆ อย่างนี้องค์สมเด็จพระชินศรีบรมศาสดาตรัสว่า เป็นปรมัตถบารมีในด้านวัตถุหรือกำลังใจ อย่าลืมว่าวัตถุที่มันจะไปได้ต้องอาศัยกำลังใจ อย่าลืมว่าวัตถุที่มันจะไปได้ต้องอาศัยกำลังใจบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย <O:p</O:p
    <O:p></O:p
    การให้ทานอย่างนี้เป็นทานเรียบง่ายๆ ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจว่า มันอาศัยกำลังใจอย่างเดียว มันจะเต็มหรือไม่เต็ม ดูกำลังใจของเรา วัดที่วัตถุที่เราให้ แล้วก็ดูกำลังใจของเราว่าเรามีความห่วงใยในทานหรือไหม ให้แล้วหวังผลตอบแทนบ้างรึเปล่า<O:p</O:p
    บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าเราไม่หวังสิ่งตอบแทนให้ด้วยการต้ดขาด และให้ของดีได้ อย่างนี้เป็นอันเข้าใจขอลบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย แต่ว่ายังก่อน นี่มันแค่วัตถุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อภัยทาน<O:p</O:p
    แต่ทานที่มีความสำคัญยิ่งไปกว่านี้อีก ทานหนึ่ง นั้นคือ ทานที่ไม่ต้องลงทุน ทานจุดนี้เป็นทานอะไรบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย คืออภัยทาน ทานตัวนี้มีความสำคัญมากแต่ก็ต้องบวกกับวัตถุเหมือนกัน วัตถุทานเราต้องให้ แต่กำลังใจในว่าอภัยทาน ทานพวกนี้มีความสำคัญมากแต่ก็แต่ก็ต้องบวกกับวัตถุเหมือนกัน วัตถุทานเราต้องให้ แต่ว่ากำลังใจในการให้อภัยก็ควรจะมี เพราะทานประเภทนี้นอกจากว่าจะเป็นทานที่มีกำลังสูงส่งและไม่ต้องลงทุนแล้ว<O:p</O:p
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า บวกด้วยอำนาจเมตตาบารมี นี่เป็นอันว่าการให้ทานทั้งทีนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจในทานของเราเต็ม ท่านทั้งหลาย<O:p</O:p
    จงอย่าพึงคิดว่าเราจะมีผลแต่เพียงทานบารมีเท่านั้น การให้ทานคราวเดียวบรรดาท่านพุทธบริษัท บารมี ๑๐ ประการล้อมรอบเข้ามาครบหมด นี่อธิบาย ให้ฟังเพื่อความเข้าใจง่ายของบรรดาท่านพุทธบริษัท<O:p</O:p
    คือว่าก่อนที่เราจะให้ทานก็ลองคิดดูว่า เราให้เพื่อการสงเคราะห์ ไม่ใช่ให้ทานเพื่อหวังผล ตอบแทน เป็นเพื่อตัดจริงๆ<O:p</O:p
    การให้ทานของจุดนี้เราต้องการตัดกิเลส คือโลภะ ความโลภ เพราะ ความโลภเป็นตัวดึงเข้า ทานเป็นตัวขยายออก นี่บรรดาพุทธบริษัทจำตัวนี้ไว้ให้ดี<O:p</O:p
    ไอ้การดึงเข้านี่มันเป็นตัวก่อศัตรูหนัก แต่ว่าการขยายออกนี่เป็นการสร้างมิตรอย่างหนัก คนให้ทานแล้วแต่จิตเป็นทรชน คือผู้ทรยศต่อบุคคลผู้ให้ก็มีอยู่ เช่นองค์สมเด็จบรมครูให้ พระเทวทัต ให้ทุกอย่าง ให้ทั้งวัตถุให้ทั้งกำลังใจ แต่ว่าคนจัญไรประเภทนั้นไม่รู้สึกในคุณของพระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    การให้ทานนี่เราอย่าไปสนใจกับการตอบสนองการรู้คุณเราต้องการอย่างเดียวคือตัดกิเลส ได้แก่โลภะ ความโลภ<O:p</O:p
    อาตมาได้บอกกับบรรดาท่านพุทธบริษัทไว้ในตอนต้นแล้วว่า การให้ทานถ้าเราตัดความโลภได้ตัวเดียว ความโกรธกับความหลงอีกสองตัวมันก็พังไปด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่พังหมดแต่ทว่ากำลังของมันมีน้อยเกินไป จะเหลือแต่เพียงอนุวิสัยเท่านั้น มันเป็นยังไงล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัทถึงได้เป็นแบบนั้นได้จะอธิบายให้ฟังโดยย่อจะได้ไม่ยืดยาดนัก<O:p</O:p
    การให้ทานเพื่อหวังในการสงเคราะห์ หวังตัดความโลภจากจิต อันนี้จึงจะเป็นกำลังใจตามที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรมีความประสงค์<O:p</O:p

    ความรักนำ<O:p</O:p

    ที่เรียกว่าบารมีหรือทานบารมี นี้ ในเมื่อเราให้ทานเพราะอาศัยมีความรัก มีความสงสารเป็นปัจจัย ถ้าเราเกลียดแล้วเราก็ไม่ให้เหมือนกัน เพราะเรายังไม่ใช่พระอรหันต์นี่ เวลานี้เราบำเพ็ญบารมีอยู่จะเอากำลังเท่าองค์สมเด็จพระบรมครูหรือว่ากำลังใจเท่าอรหันต์นั้นเป็นไปไม่ได้<O:p</O:p
    ทีนี้ลองคิดกันดูว่า ถ้าเรา เกลียด เราจะให้ได้ไหม ไม่ได้บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าว่าแต่สละวัตถุเลย แม้แต่กำลังใจที่คิดจะให้มันก็ไม่มี ทีนี้การให้ทานเราต้องบวกอะไรเข้ามาบ้างก่อนนะจะให้หวังในการสงเคราะห์ หวังในการเกื้อกูล อาศัยความรัก ความสงสารเป็นสำคัญ<O:pความรักความสงสารเป็นอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เป็น เมตตาบารมี เห็นหรือยัง นี่เราจะให้ทานแล้วเมตตา มันเจ้าค่ำจุนอยู่ เข้ามาประคับประคอง นี่เป็นสองบารมี เข้าควบกันแล้ว<O:p</O:p
    ทีนี้คนในเมื่อเมตตาบารมีปรากฏ มีเมตตาแล้วอะไรมันตามมาอีกบรรดาท่านพุทธบริษัท ตัวเมตตาเกิดขึ้นแล้ว ศีล มันปรากฏ เพราะศีลจะมีกับใครได้นั้นต้องมีเมตตาทั้งกรุณาทั้ง ๒ ประการ คือรักและสงสารในเขา ศีลก็วิ่งเข้ามาช่วยประคับประคองในทานเข้าไปอีกจุดหนึ่ง<O:p</O:p
    การให้ทานของเรานี่บรรดาพุทธบริษัท เราต้องการตัดโลภะ ความโลภ เราหวังพระนิพพานเป็นปัจจัย เราไม่ได้หวังอะไรเป็นเครื่องตอบแทน จิตมันเป็นบริสุทธิ์ การให้ทานตัวนี้ไม่ใช่ว่าผู้ชายให้ทานแก่สตรี สตรีให้ทานแก่ผู้ชาย เพื่อหวังในการร่วมรักกันในกามารมณ์นะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราให้เพื่อการสงเคราะห์ ไม่ใช่ซื้อความรักด้วยการให้ทานในวัตถุ<O:p</O:p
    คราวนี้ เนกขัมมบารมี คือ การถือบวชมันก็ปรากฏ เนกขัมมะ ที่เขาถือกันได้ในชั้นต้นก็โดยการตัด นิวรณ์ ๕ ประการ <O:p</O:p
    ๑. ความรัก ด้วยอำนาจกามารมณ์<O:p</O:p
    ๒. ความโกรธ เรามีเมตตาเสียแล้ว จะโกรธยังไงล่ะ<O:p</O:p
    ๓. ตัวง่วง เราไม่โกรธแล้วตั้งใจให้ทานมันจะง่วงตรงไหน<O:p</O:p
    ๔. อารมณ์จิตฟุ้งซ่าน เราตั้งใจไว้แล้วว่าเราทั้งรักทั้งสงสาร จิตมันตรงแน่ว มันจะฟุ้งว่านไปไหน<O:p</O:p
    ๕. ความสงสัย (ในเนกขัมมะ) มันก็ปรากฏ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า การให้ทานเป็นการตัดความโลภ เป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพาน กำลังใจเรามันให้เต็มเสียแล้ว ถ้าเราสงสัยเราจะได้ยังไง นี่เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร<O:p</O:p
    เห็นไหมบรรดาพุทธบริษัท การให้ทานในคราวเดียวเนกขัมมบารมีวิ่งเข้ามาชนอีก เป็น ๔ บารมี แล้ว<O:p</O:p
    อีกบารมีหนึ่งที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า ปัญญาบารมี ลองมาคิดพิจารณากันดูให้ดี คนโง่น่ะจะมีใครให้ทานไหม คนโง่เขาไม่ให้ทานหรอกบรรดาพุทธบริษัท เขาเสียดายของ เพราะว่าของของเขามาได้โดยยาก ไม่มีใครเขาให้ ไม่มีกินไม่มีใช้ก็ช่างชี ตัวอยากไม่หาทำไม<O:p</O:p
    แต่คนที่จะให้ทานได้ต้องอาศัยเป็นมีปัญญา เอาปัญญาเข้าไปพิจารณาในตอนต้น เอาแบบต่ำๆ นะบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เรียกกว่าต่ำมากที่สุด นั้นคือเรามาพิจารณาว่าการให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เป็นการผูกมิตรทำจิตใจให้มีความสุข เราไปทางไหนก็ตามถ้าเรามีเพื่อนมาก มีคนเป็นที่รักมาก เราก็มีความสุข เพราะอันตรายมันมีน้อย กล่าวคือ ช่วยป้องกันอันตรายได้ ทำใจให้เป็นสุข ให้มีความเป็นอยู่เป็นสุข เพราะการให้ทานก็ด้วยอำนาจเมตตาบารมีนำแล้ว การให้ทานมีผลไม่ได้ ในเมื่อเรามีเมตตาจิตคนที่เค้าคิดประทุษร้ายก็น้อยเต็มที เว้นไว้แต่ผู้ร้ายขององค์สมเด็จพระชินศรีคือ พระเทวทัต หรือเผ่าพันธุ์ของเขาผู้นั้น นี่ปล่อยเขาไปบรรดาพุทธบริษัททุกท่าน<O:p</O:p
    ทีนี้มีปัญญาสูงไปกว่านั้น เขาก็คิดว่า การให้ทานนี่เป็นการทำลายความโลภ เป็นการทำลายการเกิดที่มาสู่คนให้รับผลความทุกข์ต่อไป นี่คนที่มีปัญญาใหญ่เขาก็พิจารณาอย่างนี้ ฉะนั้นการให้ทานสักทีก็ต้องอาศัยปัญญาเป็นเครื่องประกอบเอาละซีบรรดาท่านพุทธบริษัท ปัญญาบารมีก็มากับทานอีกแล้ว<O:p</O:p
    อีกบารมีหนึ่งที่องค์สมเด็จพระทีปแก้วบอกคือ วิริยบารมี วิริยะแปลว่าความเพียร คนที่จะให้ทานระยะแรกๆ ที่มีบารมียังอ่อน ถ้าไม่มีความเพียร คนที่จะให้ทานในระยะแรกๆที่มีบารมียังอ่อน ถ้าไม่มีความเพียรเข้าไปตัด มัจฉริยะ ความตระหนี่ หรือความขี้เหนียว ความหวงแหนในทรัพย์สินของตน อันนี้อาตมารับรองผลเลย ถ้าไม่มีความเพียรตัดไอ้ตัวนี้ให้ทานไม่ได้ ต้องใช้ความเพียรเข้าไปตัดมัจฉริยะ คือความตระหนี่เหนียวแน่นให้สลายตัวไป ไม่ยังงั้นทำไม่ได้หรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท<O:p</O:p
    อีกประการหนึ่งคนที่ตั้งใจจะให้ทาน หวังผลในทานบารมี ถ้าเราจะให้ทานด้วยวัตถุ เราก็ต้องเพียรหาวัตถุเข้ามานี่วิริยบารมีก็ตามมา ถ้าหากว่าเราจะให้ทานเป็นอภัยทานคือกำลังใจไม่ประกาศเป็นศัตรูกับใคร เราต้อองมีความเพียรตัดความโกรธ ตัดความพยาบาท นี่เป็นอันว่าการให้ทานครั้งเดียว วิริยบารมี วิ่งตามเข้ามาอีกแล้ว<O:p</O:p
    ต่อไปบารมีที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่าขันติ คือความอดทน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ วัตถุทานที่เราจะได้มาบรรดาท่านบริษัททุกท่าน เราต้องหามาด้วยความเหนื่อยยาก เราหามาด้วยความลำบากอย่างยิ่ง กว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงจะมีเงินจะมีของ ต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยประการทั้งปวง ถ้าไม่อดทนในการหาละก็เราไม่มีวัตถุในการให้ทาน นี่เป็นเรื่องของทาน ขันติบารมี วิ่งเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง<O:p</O:pตานี้ขันติ ความอดทนที่ต้องเสียทรัพย์สินที่หามาได้โดยยาก นี่มันมีความสำคัญมากบรรดาพุทธบริษัท แต่ขาด ขันติบารมี แล้วหยิบอะไรไม่ได้ คิดว่าแหมของสิ่งนี้ซื้อมาแพง กว่าเราจะมีเงินซื้อก็มีความลำบากมีความยุ่งยากด้วยประการทั้งปวง จะให้เขาทำไมหนอ ใจไม่สบาย ตอนนี้ก็ต้องขัตติเข้าข่ม อดทนเข้าไว้<O:p</O:p
    ว่าเราอดเปรี้ยวเพื่อกินหวาน เราให้วัตถุทานเพื่อหวังพระนิพพาน ซึ่งเป็นความสุขในเบื้องหน้า หรือถ้ากล่าวกันโดยย่อก็คิดว่าให้ทานนี่หวังผลในความร่ำรวยอย่างอาฬวีเศรษฐี หรือ ทานัง สัคคโส ปาณัง เราให้ทานนี่เพื่อต้องการไปสวรรค์ เป็นเทวดาเป็นนางสวรรค์สบายๆ มีวิริยะความเพียรเข้ามาข่มขี่ ตัองมีปัญญาเข้ามาปลอม มีวิริยะความเพียรเข้ามาข่มชี่ ตัดมัจฉริยะความตระหนี่ให้มันพังพินาศไป<O:p</O:p
    ทีนี้บารมีต่อไป สัจจบารมี เราตั้งไว้แล้วนี่ ว่าเราจะให้ทาน เราทำกิจการงานทั้งหมดเพื่อนิพพาน เพื่อหวังสวรรรค์ เพื่อหวังพรหม เพื่อหวังความร่ารวย เราก็ต้องให้จนได้เราจะไม่ยอมเสียสัจจะความจริงใจ เอาเข้าแล้ว นี่ทานตัวเดียว ควบสัจจบารมีเข้าอีก<O:p</O:p
    ต่อไปอธิฐานบารมี ตัวนี้ตั้งใจไว้ว่า นี่เราจะต้องให้ทานเพื่อเป็นการทำลายความโลภให้หมดไปจากใจ คือว่าเราจะให้ทานเพื่อความอยู่เป็นสุขในชาติปัจจุบัน หรือว่าให้ทานเพื่อความปรารถนาว่า ผลของทานนี้นั้นสามารถจะส่งผลให้ไปสวรรค์ได้<O:p</O:p
    ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงกล่าวว่า<O:p</O:p
    ทานัง สัคคโส ปาณัง<O:p</O:p
    ทานย่อมเป็นบันไดให้ไปสวรรค์<O:p</O:p
    นี่เราตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้ว<O:p</O:p
    ว่าคุณธรรมทั้ง ๓ ประการ คือ<O:p</O:p
    ๑. เกิดเป็นมนุษย์ที่มีความร่ำรวย<O:p</O:p
    ๒. เกิดเป็นเทวดา<O:p</O:p
    ๓. เข้าพระนิพพาน<O:p</O:p
    เราตั้งอธิฐานไว้แล้ว เกิดมาชาตินี้ต้องจับจุดเอาจุดนี้ให้ได้ จุดใดจุดหนึ่งที่เราต้องการ เมื่อจิตอธิฐานตั้งใจไว้จริงให้ได้ จุดใดจุดหนึ่งที่เราต้องการ เมื่ออธิฐานตั้งใจไว้จริงๆปักหลักให้ตรงเป๋ง อย่างนี้มันจึงจะให้ทานได้<O:p</O:p
    ถ้ากำลังของเราไม่มี คือคิดแล้วมันมีความโลเล ไม่ตั้งจิตตรงไว้ในกาลก่อนว่าปรารถนาในการให้ทาน ผลของทานมันก็จะกลายเป็นอะไรล่ะ เป็น ศรัทธาเต่า ผลุบเข้าผลุบออก ดึงออกมาแล้วก็กลับยัดเข้าไปใหม่ นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ทานตัวเดี่ยวอธิฐานบารมีวิ่งเข้ามาอีก เหลือตัวเดียวคือ อุเบกขาบารมี<O:p</O:p
    อุเบกขาบารมี ตัวนี้จะเข้ามาสนับสนุนตรงไหน ก็ตรงที่ให้ไปแล้วซิบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าความขัดข้องใจอะไรมันเกิดขึ้น เช่นเรามีอยู่ ๕๐๐ เราให้ทานไป เสีย ๒๐ บาท มันเหลือ ๔๘๐ บาท ทีนี้มีกิจที่จะพึงต้องทำมันเกิดขึ้นโดยไม่ได้คิดไว้ เกิดมีความจำเป็นต้องใช้เงินสัก ๕๐๐ บาท แต่ว่าจิตของเรานี้เชื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ว่าทานเป็นผลของความสุข ความเดือดร้อนมันเกิดขึ้นแล้วซิ สตางค์ ๒๐ บาทนี่มันไม่พอดีนี่<O:p</O:p
    ถ้าเราให้ทานไปเสียเราก็มีจ่ายพอดี แต่นี่เราบังเอิญนี้มันมาทีหลัง คิดให้ทานไปเสียก่อน แต่เราเชื่อองค์สมเด็จพระชินวร คิดว่า ช่างมันเถอะ ความลำบากเพียงแค่ ๒๐ บาท ไม่เป็นไร ไหนๆๆเราก็ต้องใจไว้แล้ว ความทุกข์ร้อนนิดหน่อยมันจะเป็นไรไป เพราะผลที่เราให้ไปมันมีประโยชน์มากกว่านั้น<O:p</O:p
    คือถ้าเรามีบุญบารมีของเรายังอ่อน จะต้องเร่ร่อนไปในวัฏสงสาร เราก็จะเกิดเป็นมนุษย์ ที่มีความสมบูรณ์ได้ ถ้าบารมีของเรามีขึ้นหน่อยแล้วไซร้ เราก็สามารถจะเกิดบนสวรรค์ได้ เอาล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พูดเรื่องของทานวันนี้ก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • lp034.jpg
      lp034.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.8 KB
      เปิดดู:
      5,251
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2008
  2. อกนิษฐกา

    อกนิษฐกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +117
    สาธุ สาธุ ฟังง่าย เข้าใจง่ายเสมอ คำสอนขององค์หลวงพ่อเรา บุญที่ลูกทำขอส่งผลให้ลูกได้ไปอยู่กับองค์หลวงพ่อในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ ลูกไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว สาธุ สุทินนัง วะตะเมทานัง อาสาวะ คะยาวหัง นิพพานังปัจจะโยโหตุ
     
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ขออนุโมทนากับบทความดีๆ และขออนุญาตเอาไปโพสต์ห้องกฎแห่งกรรมนะครับ
     
  4. RK94

    RK94 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +163
    quote///
    จอมบงการของกิเลสก้ได้แก่กิเลส ๓ ประการ คือ <O:p</O:p
    โลภะ ความโลภ<O:p</O:p
    โทสะ ความโกรธ<O:p</O:p
    โมหะ ความหลง
    ทาน ๓ ระดับคือ <O:p</O:p
    ๑. ทาสทาน เวลาที่เราจะให้ทาน เราก็ให้ของเลวกว่าของที่เรากินเราใช้
    <O:p</O:p
    ๒. สหายทาน เวลาที่เราให้เราก็ให้ของเสมอกับที่เรากินเราใช้<O:p</O:p
    ๓. สามีทาน เวลาที่เราจะให้เราให้ของดีกว่าที่เรากินเราใช้

    จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา<O:p</O:p
    ก่อนที่จะเราจะตาย ถ้าจิตเราเศร้าหมองละก็มีหวังทุคติ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เกิดเป็นคนก็หาความสุขไม่ได้

    ทานัง สัคคโส ปาณัง<O:p</O:p
    ทานย่อมเป็นบันไดให้ไปสวรรค์
    <O:p</O:p
    นี่เราตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้ว<O:p</O:p
    ว่าคุณธรรมทั้ง ๓ ประการ คือ<O:p</O:p
    ๑. เกิดเป็นมนุษย์ที่มีความร่ำรวย<O:p</O:p
    ๒. เกิดเป็นเทวดา<O:p</O:p
    ๓. เข้าพระนิพพาน

    quote///<O:p</O:p


    นิพพานัง ปรมังสุขขัง
    ขออนุโมทนาด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    โมทนากับทานของทุกๆ ท่าน


    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับตอนนี้ก็จะขอนำบุคคลตัวอย่าง ที่ปฏิบัติ เนื่องในการเจริญพระกรรมฐานและบรรลุมรรคผลมาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายได้รับทราบ
    เพราะว่าการปฏิบัติพระกรรมฐาน เรามักจะเข้ามักจะกันว่าต้องทำอย่างนั้นบ้าง ต้องทำอย่างนี้บ้าง จึงจะบรรลุมรรคผล บางก็มีความรู้สึกว่า คำสอน ที่ผมสอนไปมากๆ และดูเหมือนว่า คำสอนมันจะล้น เราจะต้องปฏิบัติตามเสียทุกอย่าง จึงจะบรรลุมรรคผล ถ้ามีความรู้อย่างนี้ ก็รู้สึกว่า จะหนักใจ สำหรับบรรดาท่านพุทธบรรดาท่านนักปฏิบัติ<O:p</O:p
    แต่ความจริง การปฏิบัติตามคำสอนพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากเรามีใจจริงแล้ว ก็สามารถบรรลุมรรคผลจะจับพระธรรม หมวดใดหมวดหนึ่งมาปฏิบัติ ก็มีโอกาสจะบรรลุมรรคผลเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติทุกอย่าง แต่ว่าที่พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้มาก ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามอัธยาศัยของบุคคลผู้ปฏิบัติ เพราะว่ามีอัธยาศัย มีกำลังใจไม่เสอมกัน ถ้ามีกำลังใจดีๆ ตั้งใจจริง พระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีอะไรยาก และรู้สึกว่ายาก เพราะว่า ตนเองสร้างความยากและรู้สึกว่ายาก เพราะว่า ตนเองสร้างความยากให้ขึ้นในจิต <O:p</O:pต่อไปนี้ เราก็มาดูตัวอย่าง ถึงบุคคลที่เขาปฏิบัติได้ดี ชั่วเวลาคือเดียว ก็สามารถทำได้ และท่านผู้ผู้นี้ความรู้สึกอย่างไร มีการปฏิบัติแบบไหน
     
  6. อิทธิปาฏิหาริย์

    อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,834
    ค่าพลัง:
    +1,472
  7. seahero

    seahero เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +602
    โมทนาด้วยครับ กับการให้ธรรมทานในครั้งนี้ เป็นเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ มีสาระมากครับ ขออนุญาตเก็บไว้อ่านกันลืมนะครับ
     
  8. อรรัชช์ฐาน์

    อรรัชช์ฐาน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    299
    ค่าพลัง:
    +437
    [​IMG] โมทนาสาธุ...ขอไปด้วยคนน๊า(smile)
     
  9. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    กุศลผลบุญใด ๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศให้<O:p</O:p


     
  10. โกสโล

    โกสโล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +50
    ขอกราบอนุโมทนาครับ สาธุ

    ถ้าผมตายเมื่อไหร่ ขอไปอยู่กับหลวงพ่อด้วยคนนะครับ

    กุศลผลบุญใดๆที่ข้าพเจ้าได้ทำมาตั้งแต่อดีตชาติตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน
    ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้กับทุกๆท่าน
    ขอท่านทั้งหลาย ได้รับกุศลผลบุญของข้าพเจ้าด้วยเทอญ
     
  11. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูง ในส่วนแห่งธรรมทาน กับท่านเจ้าของกระทู้ครับ
     
  12. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,306
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ขอบคุณครับหลวงพ่อ
     
  13. Mr.Kim

    Mr.Kim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    3,036
    ค่าพลัง:
    +7,028
    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
    <!-- / message -->
     
  14. chai8383

    chai8383 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,032
    ค่าพลัง:
    +6,348
    ลิงค์ธรรมะในเว็บต่างๆของหลวงพ่อ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=714 หนังสือธรรมะ (จำหน่ายที่ตึกรับแขก)
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=716
    ซีดี - วีซีดีธรรมะ (จำหน่ายที่ตึกรับแขก)<o:p></o:p>
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=901 รวมซีดีคำสอนหลวงพ่อจากเว็บไซด์ต่างๆ<o:p></o:p>
    http://www.watthasung.com/wat/forumdisplay.php?fid=50 บทสวดมนต์<o:p></o:p>
    http://www.watthasung.com/wat/forumdisplay.php?fid=49 สมบัติพ่อให้<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://palungjit.org/threads/เธฃเธงเธกเธซเธ™เธฑเธ‡เธชเธทเธญเธ„เธณเธชเธญเธ™เธ‚เธญเธ‡เธซเธฅเธงเธ‡เธžเนˆเธญเธžเธฃเธฐเธฃเธฒเธŠเธžเธฃเธซเธกเธขเธฒเธ™.24126/ <o:p></o:p>
    รวมหนังสือคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://palungjit.org/threads/เธชเธฒเธฃเธšเธฑเธ-เธฃเธงเธกเธšเธเธ„เธงเธฒเธก-เธ‚เธญเธ‡เธซเธฅเธงเธ‡เธžเนˆเธญ-เธเธตเนˆเธœเธกเนเธ„เธขเน‚เธžเธชเน„เธงเน‰-เธˆเธฐเน„เธเน‰เธซเธฒเธ‡เนˆเธฒเธขเน†.119666/ <o:p></o:p>
    รวมบทความ ของหลวงพ่อ ที่ joezaaaa โพสไว้ จะได้หาง่ายๆ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://palungjit.org/threads/สารบัญ-รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำและธรรมะที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์-”.124421/<o:p></o:p>
    รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำและธรรมะที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ โพสโดย teporrarit<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=zeedhama&month=25-10-2008&group=2&gblog=1 <o:p></o:p>
    ศูนย์พุทธศรัทธา อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://www.praruttanatri.com/meditation_club/ <o:p></o:p>
    ชมรมสมาธิ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://www.putthawutt.com/html/actrule.html<o:p></o:p>
    รวมหนังสือหลวง

    <o:p></o:p>

    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://thaisquare.com/Dhamma/sound/index.html <o:p></o:p>
    เสียงคำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และ แจก ซีดี<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://www.thaisquare.com/Dhamma/book/prawat_luangpopan/content.html<o:p></o:p>
    ประวัติหลวงพ่อปาน เขียนโดยหลวงพ่อ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://www.luangpor.com/ <o:p></o:p>
    เสียงคำสอนหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และ ขอ ซีดีได้ครับ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://scripturn.com/tag_%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99.html <o:p></o:p>
    วีดีโอ คำสอนหลวงพ่อ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://www.youtube.com/profileuser=alinodreamworld&view=videos&start=20<o:p></o:p>
    วีดีโอ คำสอนหลวงพ่อ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    http://palungjit.org/threads/รวมคำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ-99836.html <o:p></o:p>
    รวมคำสอนหลวงพ่อ โพสโดยคุณ mahaasia<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    และสุดท้ายครับ<o:p></o:p>
    http://palungjit.org/forums/รวมคําสอนเรื่องนิพพานของพระผู้ปฎิบัติดี-[.10/FONT]115676.html <o:p></o:p>
    รวมคําสอนเรื่องนิพพานของพระผู้ปฎิบัติดี โพสโดยคุณ ลูกวัดท่าซุง<o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2009

แชร์หน้านี้

Loading...