ทำไมพระอริยะเบื้องสูง จึงต้องผ่านธรรมปฏิบัติเกี่ยวกับกรมกำหนัดและกามสัญญา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 15 มีนาคม 2009.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p>


    [​IMG]


    สมเด็จองค์ปฐมปัจจุบัน ทรงพระเมตตาสอนไว้เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2535 ที่วัดท่าซุง มีความสำคัญสรุปได้ดังนี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับท่านเจ้าของกระทู้ที่นำพระธรรมคำสอนมาเผยแพร่
    เป็นธรรมทาน สาธุครับ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2009
  3. สน2550

    สน2550 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    369
    ค่าพลัง:
    +280
    ขอโมทนากับเจ้าของกะทู้นี้ที่คัดลอกพระธรรมคำสอนนำมาให้อ่านให้ศึกษา
    สาธุ ขอโมทนา
     
  4. ศิลปินชนบท

    ศิลปินชนบท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    773
    ค่าพลัง:
    +1,678
    อนุโมทนาสาธุค่ะ วันนี้ยังอ่านไม่จบเดี่ยวพรุ่งนี้มาต่อ
     
  5. catthongmuan

    catthongmuan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +26
    เจริญอสุภกรรมฐาน

    โอว่ากายาช่างงามนัก
    งามสักซากศพกลิ่นตลบฟุ้ง
    หนอนเจาะตาหมาลากหัวแมงวันมุง
    น้ำหนองคลุ้งคาวเลือดกลิ่นเหมือนส้วม
    โอ้น้ำเลือดน้ำหนองมันสมองเกลื่อน
    ตายแค่ไม่กี่เดือนร่างบวมท้วม
    อืดพองอืดพองชิ้นส่วนรวม
    เผาเหลือกระดูกกร้วมกรอบหุ่นดี
    เนื้อโดนไฟหนังปูดปูดแตกปริ
    ใบหน้าสีเขียวเหลืองบูบเบ้บี้
    เนื้อแข็งแข็งเย็นชืดไร้ชีวี
    คือธาตุสี่ประชุมเป็นร่างสัตว์คน
    งามงามงามงามงามศพงามยิ่ง
    หอมหอมหอมหอมจริงยิ่งกว่าส้วม
    สวยสวยสวยใส้กองพองอืดบวม
    เลือดเกรอะท่วมอีแร้งทึ้งหมาไนแทะ
    ยิ้มแสยะตาถลนหนองทะลัก
    แจ้งประจักษ์คือร่างเราทั้งหลาย
    เช้าทำงานผัดหน้าศพก่อนไป
    ส่องกระจกนี่ไงถุงอุจจาระ

    สำหรับคนราคะจริตคงช่วยได้บ้าง
    ถ้าต้องการผลชะงัดกรุณาอ่านหลายๆเที่ยวแล้วนึกภาพตามบทร้อยกรอง
    ความจริงมีภาพประกอบ แต่คิดว่าไม่ควรนำมาเผยแพร่ หากมีกำลังใจเข้มพอ
    ลองคลิกเข้าไปดูที่ www.geocities.com/pic_asupa/ - 75k
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2009
  6. rain....

    rain.... สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +7
    สาธุ สาธุ
    อนุโมทนา วันทามิ
    ขอนำไปเผยแผ่ต่อไป สาธุ สาธุ



    rabbit_jump
    โดดเดี่ยว แต่ไม่เคยเดียวดาย
     
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ก็ต้องเดินไปตามมรรคแต่ขั้น

    เจริญมรรคเบื้องต่ำ

    เจริญมรรคเบื้องสูง เป็นที่สุด ผลของมัน คือวาง
     
  8. llxE

    llxE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    523
    ค่าพลัง:
    +2,896
    ดีหลายคับ
     
  9. ปรานต์

    ปรานต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +668
    เห็นชอบด้วยครับ สาธุ
     
  10. เมตตาวิหารี

    เมตตาวิหารี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    671
    ค่าพลัง:
    +437
    เป็นธรรมของสัตตบุรุษ ที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตนครับ

    อนุโมทนาสาธุครับ
     
  11. seahero

    seahero เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +602
    โมทนาด้วยครับ ถูกใจพระธรรมเทศนาบทนี้มากเลยจี้ตรงใจดำมากๆ อิอิ
     
  12. orvet49

    orvet49 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +82
    [​IMG][​IMG][​IMG]สาธุ อนุโมทามิ[​IMG][​IMG][​IMG]
     
  13. กรรมเหนือกรรม

    กรรมเหนือกรรม Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2009
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +60
    สาธุ ดีมากๆ เลยค่ะ จะได้รู้เท่าทันจิตว่า "กามสัญญา" นั้น ไม่ได้มีด้านเดียว
     
  14. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,077
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,669
  15. joeycoles

    joeycoles เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +457
    คำกล่าวใดย่อมไม่ศักสิทธิ์เลย ถ้าผู้กล่าวไม่ได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง
    แม้คำกล่าวจะทำให้บรรลุ แต่ผู้จะบรรลุต้องบรรลุด้วยการกระทำ
    อย่างไรขอ สาธุด้วยคนครับ
     
  16. ธัมมนัตา

    ธัมมนัตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,516
    ค่าพลัง:
    +9,769
    สาธุ

    กามสัญญาก่อให้เกิดความกำหนัดต่อ ๆ ไป ก่อภพเกิดชาติอีกมิรู้จบ

     
  17. avatan

    avatan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +365
    อ่านพระธรรมของหลวงพ่อ ทีไร กินใจทุกที..... สุดยอดมากครับ อ่านแล้วเหนภาพ
    สาธุ สาธุ...
     
  18. ธ.เธียรไท

    ธ.เธียรไท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    612
    ค่าพลัง:
    +1,735
  19. Nunclub

    Nunclub เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    130
    ค่าพลัง:
    +321
    ทำไมพระอริยะเบื้องสูง<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>​

    จึงต้องผ่านธรรมปฏิบัติเกี่ยวกับกามกำหนดและ กามสัญญา<O:p></O:p>
    <CENTER>
    </CENTER> สมเด็จองค์ปัจจุบัน ทรงพระเมตตาสอนไว้เมื่อ เดือน สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่วัดท่าซุง มีความสำคัญดังนี้<O:p></O:p>
    ๑. ขนาดเจ้าผู้มั่นคงแล้วในอธิศีลสิกขา ยังถูกเวทนาแห่งกามรุกเร้า จนรักษาความดีไม่ได้ในบางขณะจิต แล้วในบุคคลที่ไร้ศีลเล่า จะหาความดีได้อย่างไร ในขณะถูกเหตุแห่งกามเข้าครอบงำ เพราะเหตุนี้พระอริยะเจ้าเบื้องสูง จึงต้องมีธรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการศึกษากามนี้ เจ้าจงตามตถาคตมาดูเถิดว่า กามนี้ยังจิตบุคคลผู้ลุ่มหลงแล้ว มีจุดหมายปลายทางไปยังที่ใดบ้าง<O:p></O:p>
    ๒. กาม แปลว่าความทะยานอยาก บิดา - มารดาอยากสมสู่ วิญญาณสัตว์ก็อยากจุติ กอบขึ้นมาด้วยน้ำกามเป็นเลือดเนื้อ เป็นอัตตาให้ได้ควรแก่การยึดถือ จนกระทั่งออกจากครรภ์มารดาด้วยเนื้อกายเปล่าเปลือย ในวินาทีแรกที่ออกมาดูโลก ก็จักต้องมีปัจจัย ๔ เป็นเครื่องรองรับ ดีหรือเลวก็สุดแล้ว แต่ความอยากของบิดา-มารดาจะปรนเปรอให้ตามความคิดเห็นของตน อันจะพึงมีแก่บุตรตามหน้าที่ ยัดเหยียดสิ่งที่พึ่งมีให้แก่บุตรได้ยึดเอาไว้เป็นอัตรา ตามประสาของผู้ซึ่งไม่รู้ถึงกามภัย ซึ่งแยกออกได้ ๒ กรณี คือ ความทะยานอยากของกาย และความทะยานอยากของใจ<O:p></O:p>
    ๓. การศึกษาจึงเริ่มจาก ๒ จุดนี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่นำจิตวิญญาณของสัตว์ให้ล่องลอยอยู่ในกามาวจรภพ อย่างมิรู้จบสิ้น ด้วยเหตุยึดกามนี้ว่าเป็นของดี เป็นของประเสริฐ อันเป็นเหตุให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นตามทิฐิแห่งตน ต่อภพ ต่อชาติ ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด<O:p></O:p>
    ๔. การเกิดในเทวโลก พรหมโลก ก็เพราะความทะยานอยากของจิต ด้วยติดอยู่ในความดีก่อนจะตาย บารมีธรรมทำไว้อย่างไรก็ไปตามนั้น ตถาคตจึงเรียกสถานที่เหล่านั้นว่ากามาวจรสวรรค์ หากจิตไม่ชอบสถานที่นั้น ก็จะไปเกิด ณ ที่นั้นมิได้เลย การเกิดในหมู่สัตว์ก็เช่นกัน ล้วนแล้วแต่ติดบ่วงกามทั้งสิ้น โดยมิรู้เท่าทันความทะยานอยากของจิตและกาย<O:p></O:p>
    ๕. การเกิดในอบายภูมิ๔จากดวงจิตของผู้ที่มิได้รับการอบรม ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายได้รับสัมผัส ก็ก่อให้เกิดความทะยานอยากของกายและจิต หลงติดบ่วงกาม ปรุงแต่งดีเลวให้เกิด เช่น อยากจะกินเต่า เกิดตายขณะนั้นก็ไปเกิดเป็นเต่าได้ กำลังครุ่นคิดถึงกลิ่นเหม็นเน่าของอสุภะ แม้จิตจะรังเกียจ แต่ขณะนั้นจิตเศร้าหมอง หากตายตอนนั้นก็เกิดเป็นหนอนเป็นแมลงที่เกาะกินซากเน่าได้ บุคคลที่คิดละเมิดศีล แล้วนำกายไปทำให้เกิดผลตามที่ตนคิด ตายไปก็ไปเกิดในอบายภูมิ ๔ เป็นสัตว์นรก เป็นต้น ความยินดียินร้ายแห่งกาม มีอยู่เป็นปกติในปุถุชนที่มากอยู่ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม มีภพ-ชาติเป็นเครื่องยึดผูกมัดเหล่าสัตว์ ให้เวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่สิ้นสุด<O:p></O:p>
    ๖. โลกนี้ไม่เที่ยงเพราะมันพร่องอยู่เป็นนิจ ขันธโลกก็เช่นกัน เราต้องเติมธาตุ ถ่ายธาตุให้กับมันตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย ขันธโลกมีความทะยานอยากอยู่เป็นปกติ อาการพร่องของขันธโลกมีแต่ทุกขเวทนา และบังคับให้เราต้องระงับทุกขเวทนาแก่มันทุกครั้งอย่างมิรู้จบสิ้น เหตุเพราะจิตคนพร่องอยู่เป็นนิจจากตัณหา ไม่รู้เท่าทันเวทนาแห่งกาย<O:p></O:p>
    ๗. การรู้สัมผัสในอายตนะกำหนัด ก่อให้เป็นตัณหาปรุงแต่งขึ้นในจิต ทำให้เกิดความทะยานอยากไปกับ สัมผัสในอายตนะกำหนัดนั้นๆ กำหนดดีเลวขึ้นในสัมผัสนั้น ๆ สร้างความพอใจและไม่พอใจให้เกิด เมื่อยามขันธโลกแตกดับ ก็จะไปตามคตินั้น ๆ การมีกายจึงต้องเสพกามคุณ ๕ ให้เป็นไปตามปกติของอายตนะสัมผัส แต่ในบุคคลผู้มุ่งรักษาศีล สมาธิ ปัญญาอันตั้งมั่นแล้ว จักไม่มัวเมาในการเสพกาม ต้องการพ้นจากการเสพกาม เพื่อยังจิตให้ถึงพระนิพพานจุดเดียว<O:p></O:p>
    ๘. อายตนะสัมผัสแห่งพระอริยเจ้า จักไม่มีการเกิดดับอีก ต่อไปในภายภาคหน้าทั้งปวง ด้วยตากระทบรูป สำรวมจิตและกายมิให้ติดบ่วงกามอัน คือ ความทะยานอยากให้เกิดปรุงแต่งได้ ทำนองเดียวกัน หูกระทบเสียง จมูกได้กลิ่น จนถึงจิตกระทบธรรมารมณ์ (ดีหรือเลว) ก็สำรวมจิตและกายมิให้ติดบ่วงกาม คือ ความทะยานอยาก ให้เกิดปรุงแต่งได้<O:p></O:p>
    ๙. สภาพแห่งเมถุนธรรม คือ ความทะยานอยากของกาย (กายหิวกาม) ตามวัยปกติของกายที่ผลิตน้ำกาม การกระตุ้นของฮอร์โมน ทำให้อาการกายกำหนัดกำเริบ บุคคลผู้ไม่รู้เท่าทันกองสังขารนี้ ก็ถูกอาการกระทบให้เกิดอารมณ์ จิตกระสันทะยานอยากปรุงแต่งไปในการกระทบสัมผัสนั้น ๆ กามเมถุนจึงเสมือนม่านกั้นหนาทึบและกว้างไกล หากจิตผู้ใดหลงใหลติดบ่วงแล้ว ย่อมเหมือนนั่งอยู่คนละฝั่งกับพระนิพพาน<O:p></O:p>
    จากนั้น พระพุทธองค์ทรงพระเมตตาสอน โทษของกาม ๖ อย่าง มีความสำคัญ ดังนี้<O:p></O:p>
    ๑. เหมือนสุนัขแย่งชิ้นกระดูกที่ไม่มีเนื้อติด ในสมัยที่ร่างกายสร้างความกำหนัดแล้ว เนื้อ-นมก็แตกพาน รูปร่างก็เปลี่ยนไปจากวัยเด็ก เข้าสู่ความเป็นหนุ่มสาว ตาเห็นรูปจิตก็เกิดความทะยานอยาก เกิดความอยากในกามกำหนัด ฉุดจิตให้ลุ่มหลงในกาม อยากได้บุคคลผู้ต้องตาต้องใจนั้นมาเป็นสมบัติของตน อันปุถุชนทั่ว ๆ ไปย่อมมีทัศนคติเดียวกัน คือนิยมความสวยงาม แต่ขันธโลกมันสวยไม่จริง สภาพของมันคือ ถุงไถ้ที่หุ้มขี้ แต่ไม่มีใครเห็น จึงมีการรุมทึ้งแย่งชิงกัน เป็นเจ้าของแห่งถุงหุ้มขี้นั้น มิได้ผิดกับสุนัขแย่งชิ้นกระดูกที่ไม่มีเนื้อติดนั้นเลย<O:p></O:p>
    ๒. เหมือนเหยี่ยวที่คาบชิ้นเนื้อไว้ในปาก แต่ยังมีเหยี่ยวตัวอื่นคอยมาแย่งชิ้นเนื้อนั้น หมายถึง บุคคลที่ก้าวล่วงล้ำเสพเมถุนธรรมแล้ว ย่อมยึดในอัตตาของคู่เสพกามว่าเป็นของตน แต่ก็มิอาจกลืนกินคู่เสพกามให้เข้าไปอยู่ในท้องของตนได้ จึงมีสภาพประดุจเหยี่ยวที่คาบเอาชิ้นเนื้ออยู่คาปาก จึงล่อตาล่อใจให้บุคคลอื่นที่ต้องการในชิ้นเนื้อนั้น มาทำการยื้อแย่งไปได้ สังคมแห่งกามมันเป็นเช่นนี้อยู่เป็นปกติ เนื่องด้วยปุถุชนส่วนใหญ่ ไร้ซึ่งศีล-ธรรมคุมจิต จึงกล้าที่จะล่วงละเมิดในกาเมสุมิจฉาจาร ด้วยหลงอยู่ในบ่วงแห่งความทะยานอยากของจิตและกายเป็นที่ตั้ง<O:p></O:p>
    ๓. เหมือนถือคบเพลิงวิ่งทวนลม กล่าวคือ หลังจากจุดไฟในกามราคะให้เกิดขึ้นแล้ว องคชาติล่วงไปในอวัยวะเพศหญิงแล้ว ก็ยังความเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เปลวไฟถ้าทวนลม ความร้อนก็แผดเผาผู้ซึ่งยึดมั่นในอัตตา การเกิดนั้นอย่างหนัก ต่อลูก หลาน เหลน ไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จิตของปุถุชนยึดมั่นขันธโลกว่าเป็นอัตตา จึงไม่ยอมปล่อยวางภาระแห่งขันธโลกนั้น เสมือนหนึ่งผู้ถือคบเพลิงวิ่งทวนลมนั้นเอง แต่ความทุกข์นั้นปุถุชนย่อมไม่รู้เท่าทัน ยังคงหลงในรสกามสัมผัสว่าเป็นสุขทุก ๆ ครั้งที่ร่วมประเวณีกัน จึงเป็นสันตติผูกสัตว์ให้เกิดต่อเนื่องไปในกามาวจรภพอย่างไม่สิ้นสุด จึงยากที่จะหลุดจากการกำถือคบเพลิงนั้นได้<O:p></O:p>
    ๔. เหมือนโดดลงไปในหลุมถ่านเพลิง กล่าวคือ ไฟราคะเป็นของร้อน แต่บุคคลที่ยังหนาอยู่กับกิเลสเข้าใจว่าเป็นของเย็น จึงเสพกามกับหญิงนั้น ก็เหมือนโดดลงไปในหลุมถ่านเพลิงมีพันธะทางกายสัมผัส มีครอบครัวเกิดอย่างต่อเนื่องกันไป ครอบครัวใหญ่ขึ้น ๆ เท่ากับมีภาระแบกขันธโลกไว้มาก การกระทบกับสัทธรรม ๕ อันมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบ มีความปรารถนาไม่สมหวังก็ย่อมมีมาก จึงยังความเศร้าใจไม่พอใจให้เกิด บางคราวบางขณะลูกหลานเกิดหลงเข้าใจผิด คิดว่าไฟราคะเป็นความสุข ก็สร้างความดีใจให้เกิดขึ้น จิตของปุถุชนก็ล่วงไปในเมถุนธรรม จึงติดบ่วงของความทะยานอยากอย่างแท้จริง เดี๋ยวยินดี เดี๋ยวยินร้ายหาความสงบไม่ได้ ร้อนรุ่มอยู่ในอารมณ์ตัณหาตลอดเวลา ถ้าหากดับขันธ์ในตอนนั้น ย่อมไปเสวยกรรมตามอารมณ์สุขหรือทุกข์ ซึ่งก็ยังไม่เที่ยง เป็นของร้อนอยู่ดี<O:p></O:p>
    ๕. ยืมของเขามาใช้แล้วเขามาตามทวงคืน หมายถึงร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ บวกอากาศธาตุและวิญญาณธาตุ โดยมีจิตเป็นเครื่องรักษา การยึดมั่นว่าเป็นเขา เป็นเรา ตามอุปาทานปรุงแต่งจิต (ยึดว่าร่างกายเป็นเรา) เมื่อมีการร่วมประเวณีกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็ยึดว่าขันธโลกนี้มันเป็นเราเป็นของเรา จนทำให้เกิดลูก หลาน เหลนสืบไป แล้วก็ยึดขันธโลกเหล่านั้นว่าเป็นของตน ๆ แต่ที่สุดอัตภาพร่างกายนี้เสมือนยืมเขามาใช้ วาระกรรมมาถึงก็ต้องคืนเขาไป กลับไปสู่ธาตุ ๔ ดังเดิม เสพกามมากเท่าใดอัตตาเพิ่มมากเท่านั้น ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็น ให้รู้ถึงความจริงที่ตถาคตตรัสไว้เป็นสัจธรรมว่า เกิดมาเท่าใด ตายหมดเท่านั้น ธาตุ ๔ เกิดในที่ใด ย่อมดับในที่นั้น<O:p></O:p>
    ๖. เหมือนคนที่เก็บผลไม้ที่น่ากินไว้อย่างทะนุถนอม ติดตาติดใจ แต่ก็เน่าในที่สุด กล่าวคือ โดยอาศัยความทะยานอยากในกามเป็นต้นเหตุ คนจึงมีการร่วมประเวณีกัน แล้วต่างก็ยึดขันธโลกของกันและกันว่าเป็นของเรา แต่ก็มิสามารถจะกลืนกินเข้าไปอยู่ในท้องของตนได้ จึงมีสภาพเหมือนเก็บผลไม้ที่ตนชอบไว้อย่างทะนุถนอม แต่ทุกสิ่งในโลกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณญาณ มีทุกขัง อนิจจัง อนัตตาเป็นที่ตั้ง จะถนอมอย่างไรก็เจ็บป่วย ก็แก่ ก็ตายเป็นธรรมดาฝืนไม่ได้ ยิ่งฝืนก็ยิ่งทุกข์มากขึ้น<O:p></O:p>
    จากนั้นทรงสรุปเป็นคำสั่ง ดังนี้<O:p></O:p>
    ๑. เพราะฉะนั้น หากเจ้าอยากล่วงพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็จงหมั่นศึกษาโทษของกามให้ประจักษ์เถิด จุดนี้หมดไปจากจิตที่หลงปรุงแต่งคิดว่าเป็นสุขเมื่อใด เท่ากับตัดความทะยานอยาก (ตัณหา) ในการเกิดอีกต่อไป ขอให้มั่นใจในมรรคผลแห่งการปฏิบัติเถิด<O:p></O:p>
    ๒. จงหมั่นศึกษาทั้งภาคปริยัติและภาคปฏิบัติ เพื่อทำให้เกิดผล โดยทบทวนธรรมที่ตถาคตแนะนำนั้น ๆ ให้เข้าใจ สิ้นความสงสัยแล้ว จึงนำเอาธรรมนั้นไปปฏิบัติให้เกิดผลที่ตนเอง<O:p></O:p>
    ๓. ศึกษาอาการของกายได้ที่กาย ศึกษาอาการของจิตได้ที่จิต โดยให้ศีล สมาธิ ปัญญา คุมสติของจิต อย่าให้ลุ่มหลงเข้าไปในอายตนะนั้นๆ <O:p></O:p>
    ๔. ข้อที่ ๕ และข้อที่ ๖ (ยืมของเขามาใช้ แล้วเขามาตามทวงคืนและเหมือนคนที่เก็บผลไม้ที่น่ากินไว้อย่างทะนุถนอม ติดตา ติดใจ แต่ก็เน่าในที่สุด) ให้หมั่นพิจารณาถึงสภาพของขันธโลกให้มาก ๆ เวทนากายและจิตจะระงับได้ด้วยสัทธรรม ๕ และไตรลักษณญาณ จักชำระจิตมิให้หลงใหล<O:p></O:p>
    พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม
     

แชร์หน้านี้

Loading...