กฎแห่งกรรม : ตกเบ็ด ตกกรรม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย alfed, 25 กันยายน 2017.

  1. alfed

    alfed สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    209
    กระทู้เรื่องเด่น:
    15
    ค่าพลัง:
    +135
    กฎแห่งกรรม : ตกเบ็ด ตกกรรม
    fishing.jpg
    “แม่.. หมอบอกว่า อีกหน่อยตาของพัทอาจมองไม่เห็นใช่มั้ย”
    เสียงคำพูดของลูกชาย ดังก้องวนเวียนอยู่ในหัวของฉัน ตาสองข้างเริ่มร้อนผ่าว น้ำตาค่อยๆไหลออกมา ฉันรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่หน้าอก คงเป็นเพราะความสงสาร “พัท” ลูกชายคนเดียวของฉัน
    ฉันนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับพัทในหลายๆปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือกรรมลิขิตกันแน่ คุณช่วยบอกฉันที….
    ย้อนเวลากลับไปเมื่อฉันอายุ 26 ปี ฉันได้แต่งงานกับ “พงศ์” ชายหนุ่มคนรักที่คบหากันมาหลายปี พงศ์มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ส่วนฉันทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง
    เมื่อเริ่มต้นครอบครัวใหม่ เราทั้งสองมัวแต่ยุ่งกับการสร้างฐานะของครอบครัว จนเวลาล่วงเลยไปกว่า 3 ปี ฐานะของเราเริ่มดีขึ้น และถึงตอนนั้น ฉันและสามีเริ่มคิดถึงสิ่งที่จะทำให้ชีวิตครอบครัวของเราสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นั่นคือ การมีลูก
    แต่ฉันเป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยดีมาตลอด การมีลูกตามธรรมชาติ จึงเป็นเรื่องยาก ระหว่างนั้น ฉันเพียรพยายามทำทุกวิถีทาง ทั้งการบนบาน ใครว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนขลัง เราสองคนก็พากันไปสวดมนต์อ้อนวอน หรือหมอที่ไหนเก่งเรื่องนี้ ฉันกับสามีก็ไปหา
    จนในที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำบนบานหรือเพราะหมอ ที่ทำให้ฉันสมหวัง เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ตั้งท้องลูกคนแรก
    แล้ววันที่ฉันและสามีรอคอยก็มาถึง วันที่ “พัท” ลืมตาดูโลก เขาเป็นเด็กชายตัวใหญ่ ร้องเสียงดัง หมอบอกว่า เขาแข็งแรงดี นี่ก็คงเป็นเพราะฉันพยายามกินอาหารที่มีประโยชน์ทุกอย่างตอนที่ตั้งท้อง เพราะหวังให้เขาเป็นเด็กที่มีสุขภาพดี ไม่เป็นคนที่สุขภาพย่ำแย่เหมือนฉัน
    ถึงแม้ฉันจะอยากเลี้ยงลูกด้วยตัวเองใจแทบขาด เพราะรอคอยมานาน แต่ก็จำต้องออกไปทำงานเหมือนเดิม เพราะเป็นช่วงที่ธุรกิจของพงศ์เริ่มมีปัญหา
    เมื่อครบกำหนดลาคลอด ฉันก็จ้างเด็กรับใช้ไว้คอยดูแลลูก ช่วงที่ฉันไม่อยู่ นับเป็นโชคดีของเราที่พัทเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่งอแง เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันก็จะรับช่วงดูแลเขาต่อ
    พัทเข้ามาเติมเต็มความสุขให้ครอบครัวเรา ฉันและสามีเฝ้าดูเขาเจริญเติบโต จากทารกน้อย..คลาน..นั่ง..เดิน..จนเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ พัทไม่เพียงเป็นลูกรักที่นำความชื่นใจมาให้พ่อและแม่ แต่ยังเป็นหลานรักของปู่ย่าตายายและพี่ป้าน้าอา อีกด้วย
    พัทเป็นความหวังเดียวของฉันและสามีจริงๆ เพราะหลังจากนั้น ฉันก็ไม่เคยตั้งท้องอีกเลย
    เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฉันเคยได้ยินใครบางคนบอกว่า ความสุขไม่เคยอยู่กับเราได้ตลอด เพราะความทุกข์จะต้องเกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน นี่เป็นสัจธรรมแรกที่ฉันได้เรียนรู้
    ตอนนั้นพัทอายุ 13 ปี เป็นหนุ่มน้อย หน้าตาดี เรียนหนังสือปานกลาง แต่สิ่งที่ทำให้ฉันและสามีเป็นกังวล ก็คือครูบอกว่าเขาสมาธิสั้น ฉันสังเกตได้ตั้งแต่พัทย้ายโรงเรียนใหม่ เพื่อเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 ครูประจำชั้นแจ้งให้ทราบว่า พัทไม่สนใจเรียน ชอบชวนเพื่อนเล่นขณะที่ครูกำลังสอน จนถูกทำโทษให้ออกไปอยู่นอกห้องหลายครั้ง ผลการเรียนจึงออกมาแย่
    ฉันและสามีปรึกษาหารือกันถึงเรื่องนี้ พงศ์บอกว่า เห็นทีจะต้องพาลูกไปหัดตกปลา เพราะการตกปลาจะต้องนั่งนิ่งๆ รอคอย จึงช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น ฉันเห็นด้วยกับพงศ์ และได้ข้อสรุปว่า พงศ์จะพาพัทไปหัดตกปลาทุกวันอาทิตย์
    หลังจากที่พงศ์ไปหาซื้ออุปกรณ์ เช่น คันเบ็ด เหยื่อ ได้ครบแล้ว จึงพาลูกไปหัดตกปลาที่คลองแถวบ้าน
    แรกๆ พัทรู้สึกเบื่อ เพราะตกไม่ค่อยได้ปลา แถมยังต้องคอยนาน และเมื่อตกปลาได้ แค่เอามาชื่นชมแป๊บเดียวก็ต้องถอนเบ็ดออกจากเหงือกปลา และปล่อยมันลงคลองไป
    เวลาผ่านไปสักเดือนสองเดือน ดูเหมือนว่า การตกปลาไม่ได้ช่วยให้พัทมีสมาธิดีขึ้นในการเรียนหนังสือ เพราะผลการเรียนยังคงตกต่ำ ซ้ำร้ายยังชอบหนีเรียนชวนเพื่อนไปตกปลา ทำให้ฉันและสามีกลัดกลุ้มใจมาก เวลาผ่านไป 3 ปีกับการตกปลาที่ไม่ค่อยได้ผลนัก พัทมีสมาธิขึ้นมาบ้าง เพราะในที่สุด พัทก็เรียนจบมัธยมปีที่ 3 มาได้อย่างหวุดหวิด
    จากนั้นฉันกับสามีเห็นว่า ถ้าพัทเรียนต่อมัธยมปลาย แล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็คงไปไม่รอด เราจึงตัดสินใจส่งพัทไปเรียนสายอาชีพที่โรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึ่ง
    อาจจะด้วยวัยที่เริ่มโตเป็นวัยรุ่น และได้พบกับเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ ทำให้พัทไม่สนใจที่จะตกปลาอีกต่อไป แต่เริ่มตั้งใจเรียนหนังสือ แม้เกรดจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เรียนจบภายใน 3 ปี และได้งานทำในเวลาต่อมา
    ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี ฉันและสามีรู้สึกภูมิใจในตัวลูกมาก เป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกว่า ครอบครัวของเรากลับมามีความสุขอีกครั้ง
    แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันรู้สึกเป็นห่วงลูกมากที่สุด นั่นคือ ตั้งแต่พัทเริ่มทำงาน เขามักมีปัญหาเกี่ยวกับช่องปากและโพรงจมูกเป็นประจำ เช่น เป็นแผลในปากที่เกิดจากกระดูกหมู กระดูกไก่หรือก้างปลา ทิ่งแทงเหงือก กระพุ้งแก้ม และการขบเคี้ยวที่บังเอิญกัดลิ้นตัวเอง ส่วนโพรงจมูกเกิดจากการที่พัทเป็นไซนัสอักเสบ ทำให้เขารู้สึกเจ็บในโพรงจมูก บางครั้งเจ็บร้าวไปถึงกระบอกตาและบริเวณแก้ม
    เขามักมีอาการเหล่านี้วนไปเวียนมา เกิดขึ้นซ้ำๆและบ่อยครั้ง ทุกครั้งที่เกิดอาการ เขาจะรู้สึกทรมาน และบ่นว่าเจ็บเหมือนโดนเข็มแทง
    ฉันพาไปหาหมอไม่รู้กี่สิบครั้ง ซึ่งให้ยามาทาหรือกิน แต่พอหายดี ก็มีเหตุให้เป็นอีกจนได้ ฉันรู้สึกสงสารลูกอย่างจับใจ เพราะลูกกลัวที่จะต้องเคี้ยวอาหาร จึงไม่ค่อยอยากกินข้าว ร่างกายจึงผอมลง น้ำหนักลดอย่างเห็นได้ชัด
    ฉันพยายามหาซื้ออาหารเสริมมาให้ แต่ลูกไม่ชอบกิน ฉันกับสามีก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ได้แต่ปลอบใจลูกว่า ค่อยๆเคี้ยวช้าๆ ก็คงไม่เป็นไร และอาการไซนัสคงจะหายได้ในไม่ช้า
    ไม่เพียงแต่อาการแผลในปากและไซนัสที่ทำให้ลูกต้องทุกข์ทรมาน พัทยังมีอาการสายตาพร่ามัวขณะทำงานด้วย พัทบอกว่าเป็นอยู่หลายครั้ง
    ฉันพาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาล ซึ่งหมอก็ได้ตรวจสายตา และซักประวัติ ฉันจึงเล่าเรื่องของพัทให้ฟังอย่างละเอียด หมอจึงสันนิษฐานว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพัทอาจเกิดจากการจ้องผิวน้ำยามที่แสงแดดแรงกล้าเป็นเวลานาน แสงที่ตกกระทบผิวน้ำ สะท้อนเข้าสู่ดวงตา ทำให้สายตามีปัญหา และถ้าเป็นรุนแรง อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นเล็กน้อยไปจนกระทั่งตาบอดได้
    ถ้อยคำของหมอ ทำให้ฉันหวนคิดถึงคำเตือนของแม่เมื่อหลายปีก่อน เมื่อฉันบอกว่า จะให้สามีพาพัทไปตกปลา เพื่อช่วยให้มีสมาธิในการเรียนหนังสือ แม่ได้ออกปากห้ามปรามว่า
    “คิดดูดีๆนะลูก มันบาปกรรม”
    “ก็แค่ตกเล่นๆ ไม่ได้เอามากิน ตกขึ้นมาแล้วก็ปล่อยมันไปแค่นั้นเอง” ฉันอธิบายให้แม่ฟัง
    “นั่นแหละ..ถึงจะไม่ได้ตกมากิน แต่ทุกครั้งที่เบ็ดเกี่ยวปลาขึ้นมาได้ มันจะดิ้นทุรนทุราย ยิ่งดิ้น ยิ่งเจ็บ กว่าจะถอนตะขอเบ็ดออกจากปากมันได้ คงทรมานน่าดู”
    ฉันนำคำเตือนของแม่ไปบอกกับสามี แต่พงศ์บอกว่า “คงไม่เป็นไรหรอกน่า แม่ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ตามประสาคนแก่ เธอไม่อยากให้ลูกหายหรือ”
    ด้วยความที่อยากให้ลูกมีสมาธิเรียนหนังสือได้ ฉันก็เห็นคล้อยตามสามี โดยไม่สนใจคำห้ามปรามของแม่อีกเลย
    แต่แล้ววันนี้ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า คำพูดของแม่เป็นจริง สารพัดอาการเจ็บป่วยที่ทำให้ลูกเจ็บปวดทรมานนั้น ไม่ต่างจากปลาที่ลูกตกได้
    หรือนี่จะเป็นกรรมที่ลูกชายของฉันต้องได้รับ...แล้วอีกนานแค่ไหนที่เขาจะหมดกรรม ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งเสียใจที่ตัวเองมีส่วนทำให้ลูกก่อกรรมนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจเลย



    -------------------------------------------------------------------------------------------------

    (จากนิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 149 พฤษภาคม 2556 โดย กังสดาล)​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...