กระทู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการปรามาส ผมรวบรวมมาให้หมดเเล้วในกระทู้นี้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย วิญญาณนิพพาน, 2 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    รักเคารพศรัทธาในพระธรรม พระพุทธ พระสงฆ์ที่อยู่ใน[สารคุณ]ครับ


    สำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่ไม่อยู่ในสารคุณ ถ้าพูดผิดกล่าวผิดแสดงธรรมผิดหลัก[สัมมาทิฏฐิ]ไม่ลึกซึ้งกว้างขวาง เป็นเหตุให้คนหลงก็ควรแยกแยะดีชั่วตำหนิให้เป็นข้อๆไป ไม่ใช่ผิดแล้วไม่รู้จักยอมรับผิด ในเรื่องอื่นก็เหมือนกันครับ ก็เพื่อรักษาประโยชน์สุขของมหาชนส่วนรวม ใครรู้ตัวว่าผิดก็แก้ไขทั้งคำพูดและการกระทำ นี่คืออริยะวินัยครับ

    ถ้าไม่สามารถให้ผู้ร้อยเรียงบันทึกถ้อยคำ พิจารณาธรรมที่ควรเผยแผ่ ไม่ควรแสดงธรรมใดหรือการปฎิบัติใดๆที่คิดว่าดีกว่า คำตรัสขององค์สมเด็จพระบรมมหาศาสดา เพราะท่านได้ตรัสไว้ดีแล้ว ตามมงคลสูตร และคิริมานนทสูตร [ยกเว้นกรณีพิเศษ:การปฎิบัติบูชา:ซึ่งเป็นของยาก เช่นการตัดศรีษะถวาย ถือวัตรปฎิบัติอุกฤษฎ์ เป็นต้น]

    คุณผิดผมฟัน สัมพันธ์ ยันเดิม ดีส่วนใดชื่นชมครับ ปฎิบัติไม่ดี คิดไม่ดี มั่วนิ่มมา ว่ากันไปตาม ถ้าปรามาสพระรัตนตรัยแล้วต้องถึงคราวิบัติฉิบหาย สำหรับบุคคลที่รู้ และไม่รู้ก็ตาม นี่ไม่ใช่ศาสนาไม่ใช่ที่พึ่งอันพึงน้อมมาปฎิบัติและเข้าใจแล้วล่ะครับ ใครคิดผิด คิดใหม่ได้ครับ จะเอาแค่พอใจในศาสนาไม่ได้ ต้องครอบคลุม ไม่อย่างนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงได้ถูกขนานนามเป็น พระบรมมหาศาสดาเอกของสหโลกธาตุได้อย่างไร?

    ถ้าจะเอาแต่บาปกรรมมายกแสดงกล่าวขวัญให้เกิดความหวาดกลัว ข่มขู่ให้ปฎิบัติตาม ถ้าไม่ทำตามไม่ศรัทธา จงไปนรกจงไม่ได้ผุดได้เกิด มิกลายเป็นแพ้เดียร์ถีย์ลัทธินอกรีตแล้วหรือครับในพระธรรมคำสั่งสอน เรื่องป้องกันการปรามาสศาสนาลัทธิความเชื่อไหนก็มี

    โปรดพิจารณา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2015
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ชี้ชัดที่สุดของ{พระสัพพัญญู}คือผู้รอบรู้ทุกสิ่ง


    ผู้ที่ไม่รู้จักไม่เข้าใจในศาสนา แต่อยากจะอภิปรายให้ความเห็นที่ไปที่มาของศาสนา เป็นคนพาลพาโลหาใช่เป็นบัณฑิต




    "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทรงเป็นพระสัพพัญญูคือเป็นผู้รอบรู้อย่างยิ่ง ทรงล่วงรู้ทั้งหมดแม้แต่เหตุเกิดของทุกศาสนา ทรงทราบที่มาและที่ไปจุดมุ่งหมายสูงสุดของทุกคำสอน รู้กรรม รู้เผ่า รู้พันธุ์ รู้ชาติ รู้ตำรา คำสั่งสอนของทุกศาสนาทั้งในที่ลับปกปิดสูญหายและที่แจ้งเปิดเผยไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งไปกว่ามายาคติที่สร้างภพสร้างชาติ ของผู้เป็นเจ้าลัทธิศาสนาชนชาตินั้นๆ พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาเป็นทางสายเอกเพียงทางเดียว เป็นทางตรงไม่มีสอง ไม่มีสองสถานะคือทำลายและสาปแช่งกล่าวให้ร้ายผู้อื่นผู้ใดและมีความอ่อนโยนเมตตารักอ่อนโยนอย่างบริสุทธิ์ใจ อุปมาดั่งเหรียญสองด้านนั้นด้วย นั่นมิใช่ฐานะ!ไม่ใช่ความหมายของคำว่า"ศาสนา"

    " ศาสนาที่แท้จริงเมื่อปฎิบัติตามย่อมส่งผลให้มีความเจริญเพียงอย่างเดียว ไม่มีตกต่ำเลย และเมื่อไม่รู้ไม่ปฎิบัติตาม ศาสนาที่แท้จริงนั้นก็ไม่ได้ส่งผลลงโทษสาปแช่งดูหมิ่นให้ใครเสียหาย นี่จึงเรียกว่าได้ศาสนาอันเป็นที่พึ่งอย่างจริงแท้ "

    ฉนั้น "ศาสนาใดที่เป็นอยู่อย่างนั้น หรือไม่มีศาสนาไว้เป็นที่พึ่งนับถือเลย หรือเขาจะนับถือตนเองเป็นที่สุด ก็ช่างเขาเถิด" ใครชอบแบบนั้นก็ถือเอาตามกันไป

    แต่#อสัทธรรม#และ*สัทธรรมปฎิรูป* อย่าได้มา กล้ำกรายแผ่นดิน[พระสัทธรรม] ดินแดนนี้

    พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาไม่ได้มีบัญญัติการลงโทษและสาปแช่ง กับผู้ที่ไม่ได้เห็นตามชอบใจตามเอาไว้ อย่างเดียรถีย์เข้าใจ

    ศาสนาพุทธซึ่งเป็นพระศาสนาของ"พระธรรมราชา" คือราชาแห่งธรรมทั้งมวล ธรรมที่เป็นทางสายกลางและหลุดพ้นเพียงหนึ่งเดียวในสหโลกธาตุในอนันตริยะจักรวาล นอกจากนั้นไม่มีธรรมที่หลุดพ้นจากความทุกข์ได้


    ฉนั้นคำสั่งสอนของความเชื่อใด ที่ยังหวังให้ผู้อื่นเสวยความสุขสบาย ในสรวงสวรรค์นั้นอยู่ เป็นผู้สั่งสอนผู้อื่น ให้แสวงหาความทุกข์ในรูปแห่งความสุขนั้นด้วย จึงไม่รู้จักความสุขความทุกข์อย่างแท้จริง เมื่อไม่รู้จักทุกข์ และทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ย่อมไม่ได้พบกับความสุขอันเป็นบรมสุขที่แท้จริงมีแต่ในพระนิพพานเพียงเท่านั้น เป็นความสุขอันแท้จริงที่ไม่ใช่มายาคติปรุงแต่งสร้างเสริมกันขึ้นมา เชื่อเถิดว่า " ความเบื่อหน่าย เกิดขึ้นได้ในทุกๆที่ทุกๆสถานะ ยกเว้นเพียงสถานะเดียว "คือรสแห่ง[วิมุติสุข]อันเป็นบรมสุขของ[พระนิพพาน] เป็นยอดโอชารส เหนือสภาวะปรุงแต่งทำเทียมทั้งมวล


    วาทีสูตรนี้ แม้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด ด้วยอรรถพยัญชนะ เสียง รูป ถูกต้องเพียงไร เหล่าเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายผู้ห่างไกลพระธรรม ต่อให้พบพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางได้ประโยชน์อะไร?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    "ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อันละเอียดอ่อนแห่งกระแสธรรม จะมีสำหรับผู้มีความเคารพรักและศรัทธาอย่างแรงกล้า"


    "พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรงส่งเสริมและคาดหวังปราถนาให้เกิดวิบากกรรมกับผู้ใด" ปถุชนและท่านสาธุชนเหล่าพุทธบริษัท๔ทั้งหลายนั้นต้องเข้าใจตามและต้องพึ่งตนเองเข้าสู่รสพระธรรม เพราะเหตุแห่งการเกิดทุกข์ทั้งหลายนั้นแล ที่ตนได้กระทำผิดพลาดไป บุญส่วนบุญ กรรมก็ส่วนกรรม (อนัตริยกรรมที่พลาดพลั้งทำไปแล้ว ไม่สามารถเจริญในธรรมชั้นโลกุตระได้ แต่สามารถเพียรพยามยามศึกษาหาความเจริญ สร้างกุศลเพื่อเกื้อหนุนชาติภพใหม่ได้ เป็นฐานะที่ต้องยอมรับสภาพในผลกรรมที่สร้าง เช่น กรณี พระเจ้าอชาตศัตรู) แต่หากได้ที่พึ่งที่ดีปฎิบัติตนดีเพื่อ - เพิ่ม, เลิก, เจริญ ในการ [ทำความดี ไม่ทำความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส] ไปจนถึงคราสำเร็จธรรมนั่นแล้ว ถึงแม้มีกรรม รออยู่เบื้องหน้าให้หนักหนาสักปานใด ก็สามารถหลีกเร้นหนีพ้นผลกรรมนั้นได้


    "แต่ในที่นี้หมายถึงการยอมรับผลของการกระทำ ด้วยใจทรนงซื่อตรงอ่อนโยนเชื่อมั่น ในการสำนึกผิดบาปตามเหตุผลอันควร ประดุจเรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกที่ทรงยึดมั่นแสดงไว้เป็นตัวอย่าง เพราะรู้และสำนึก แม้มีฤทธิ์หนีทำลายพ้นเหตุและการณ์ร้ายใดๆได้ ก็ไม่ฉวยโอกาสทอดทิ้งภาระกรรม นี่คือองค์คุณของพระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์คุณ



    อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕


    ชราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะติโต

    เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้

    พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต

    เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้

    มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต

    เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้

    สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว

    เราจักพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจทั้งหลาย

    กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท

    เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น

    กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ

    เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์

    กัมมะปะฏิสะระโน ยัง กัมมัง กะริสสามิ

    เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้

    กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา

    เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม

    ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ

    เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น

    เอวัง อัมเหหิ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง

    เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล
    .


    "ในหมู่พุทธบริษัทสาธุชนใด ที่ขัดเกลาตนมีจิตใจอ่อนโยน ซื่อตรงบริสุทธิ์ปฎิบัติดีแล้ว ย่อมเป็นผู้ได้รับผลก่อน"

    บัณฑิตย่อมฝึกตน อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา ...

    ผู้ฝึกตนได้เป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ทนฺ โต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ ...

    ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ.


    https://youtu.be/G_mmgqIwbes
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ไม่ควรพิจารณาให้เป็นอื่น นอกจากการเห็นใจและเข้าใจ เหล่าพุทธบริษัทที่ปฎิบัติตามธรรมดีแล้วด้วยกันตามองค์คุณกัลยาณมิตร เมื่อมีฐานะธรรมอันสมบูรณ์บ้างแล้วก็ควรหาโอกาส ทำหน้าที่อนุเคราะห์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์สาธุชนทั้งหลายนั้นด้วย จึงจะเป็นการดี

    หากจะตั้งปัญหาถามก่อนว่า อะไรคือทางให้พบสาระ?
    ก็ตอบโดยอาศัยพระพุทธภาษิตนี้เป็นหลักว่า สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเห็นถูก
    อธิบายว่า ความเห็นชอบย่อมนำไปสู่การกระทำชอบและพูดชอบ
    ตลอดถึงความพยายามชอบ

    มิจฉาทิฏฐิเป็นยอดโทษฉันใด สัมมาทิฏฐิก็เป็นยอดคุณฉันนั้น

    บุคคลผู้มีสัมมาทิฏฐิประจำใจจึงเหมือนมีกุญแจไขเข้าไปในห้วงอันเต็มไปด้วยสาระ
    ส่วนคนมีมิจฉาทิฏฐิประจำใจ หาเป็นเช่นนั้นไม่
    มีแต่จะเดินเข้ารกเข้าพง นำชีวิตไปสู่ความล่มจมล้มเหลว
    เปรียบด้วยเรือ สัมมาทิฏฐิก็เป็นหางเสือให้เรือแล่นไปในทางอันถูกต้อง
    หลีกหินโสโครกและอันตรายต่างๆ


    ผลกระทบตามยุคสมัยมันโหดร้ายในกาลฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
    ชัดเลย

    ขอบคุณที่นำมาให้รับทราบกันนะครับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  6. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    เมื่อข้าพเจ้าปรามาสพระรัตนตรัย

    ปรามาสพระรัตนตรัย และไปบ้านสายลมเป็นครั้งแรก

    นับตั้งแต่เราจิตตั้งมั่นใน ทาน ศีล ภาวนา ครบองค์ประกอบของความดี มันเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น เรานั้นทั้งรักและเคารพในพระรัตนตรัยเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับเริ่มเจริญมรณานุสติ คือระลึกถึงความตาย เรานั้นมอบกายถวายชีวิตเพื่อเป็นพุทธบูชาแก่พระรัตนตรัยทุกวัน

    แต่ไฉน .......มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา......เผลอเมื่อใด......จิตมันคิดเอง.....คิดปรามาสพระรัตนตรัย.......คิดไปได้ ทั้ง ๆ ที่เรากำลังสวดมนต์ ถวายอาหารและดอกไม้แด่พระพุทธรูป มันแทรกขึ้นมาระหว่างเรากำลังแสดงความเคารพพระรัตนตรัยทุกครั้ง เป็นทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง และยามเราเผลอหรือไม่เผลอก็แล้วแต่ มันแทรกขึ้นมาดื้อ ๆ เลยค่ะ มันคิดว่า “ ให้พระพุทธรูปมาลอดอยู่ตรงหว่างขา ” ดูสิคะ....... จิตมันเลวได้ขนาดนั้นเลยค่ะ

    เรานั้นมันมีสติทุกครั้งที่คิดนั้นแหละค่ะ แต่มันแทรกขึ้นมาแบบดื้อ ๆ คิดทุกครั้งต้องรีบก้มกราบเพื่อขอขมาพระรัตนตรัย เป็นมากถึงขนาด ขณะขอขมายังไม่ทันเสร็จเลย มันก็ดันแทรกความคิดบ้า ๆ มาขณะกราบนั้นแหละ จิตนี่มันเลวจริง ๆ .เราต้องทนทุกข์เพื่อยื้อยุดฉุดกระชาก ไอ้ความคิดชั่ว ๆ อยู่อย่างนี้นานนับปี ทีนี้มันทุกข์ทรมานมาก ตรงที่ว่าเราไม่สามารถจะเล่าให้ให้ใครฟังได้ ไม่กล้าจะปรึกษาใครเลยด้วยค่ะ ก็ใครในโลกนี้มันจะเลวได้โล่ห์เหมือนเราบ้าง......ขืนเล่าก็คงมีแต่คนประณาม นรกกินกบาลแหงเลยยายคนนี้ และเราเองนั้นก็กลัวตกนรกเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องทนอมทุกข์อยู่อย่างนั้นเป็นปี ๆ

    จนกระทั่งมาที่บ้านสายลม เลขที่ 9 ซ.8 ถ.พหลโยธิน เป็นครั้งแรก ที่บ้านสายลมแห่งนี้เป็นบ้านของ มรว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านอุทิศบ้านเพื่อเป็นสถานปฏิบัติธรรม โดยมีพระจากวัดท่าซุงมาสอนกรรมฐานและรับสังฆทานทุกวันเสาร์และอาทิตย์ของต้นเดือนค่ะ

    เรามาถึงก็ได้ถวายสังฆทาน และได้เข้าฝึกมโนมยิทธิกับ อ. ที่เป็นฆราวาสเป็นครั้งแรก ทันทีที่ อ.เห็นหน้าเราปุ๊บ อ.บอกว่า นี่เธอทำไมถึงซนขนาดนี้ ไปทั่วเลยนะ ไปปีนกำแพงวิมานเล่นด้วย เราก็ ฮึ อ.รู้ได้งัยนี่ แถมยังเถียง อ. กลับไปอีกว่า ก็นั่นมันบ้านหนูเองนี่คะ หนูปีนบ้านตัวเองก็ผิดหรือคะ อ.ก็เมตตาสอนกลับมาว่า เวลาเราจะไปไหน มาไหน ทุกที่ทุกสถานล้วนมีผู้ดูแล เราควรจะมีมารยาทและมีสัมมาคารวะต่อท่านที่ดูแลเขตนั้นด้วย

    เราก็มาตระหนักในภายหลังว่า เรานี่เปรียบเสมือนคนป่าที่ไม่เคยได้รับการอบรมมารยาท เพราะเราไปเองแบบสะเปะสะปะ ไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะไม่เคยปรึกษาใครเลย และไม่เคยถามใครเลยด้วย เรานี่เป็นคนที่ไร้การศึกษาชัด ๆ

    พอหลังจากฝึกมโนมยิทธิเสร็จแล้วก็มานั่งอยู่ตรงที่เขาถวายสังฆทานกัน คนก็เยอะมาก สถานที่คับแคบไปถนัดตาเลย คนหลายพัน ทยอยเข้าทยอยออก แต่เนื่องจากเรายังไม่อยากกลับ อยากจะถามพระท่านว่า ไอ้อาการที่เราต้องทนทุกข์ที่ปรามาสพระรัตนตรัยทุกวัน จะทำอย่างไร แต่หาโอกาสไม่ได้ เนื่องจากคนมาถวายสังฆทานมาก แม้กระทั่งที่ยืนยังแทบจะหาไม่ได้ คนต่อคิวยาวเหยียด แย่งกันเดินเบียดเสียดยัดเยียด เจ้าหน้าที่ต้องเคลียร์คนเข้าคนออกแบบเร็วที่สุด พระท่านก็ไม่ว่าง

    เราไม่รู้จะทำอย่างไร โอกาสจะถามท่านได้นั้นเป็นศูนย์ เราพกความหวังมาจากบ้านเต็มเปี่ยมว่าเราจะมาถามพระให้ได้ รู้สึกผิดหวังมาก เดินคอตกมานั่งอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ คนอื่นเขามากันเป็นครอบครัวบ้าง เป็นกลุ่มบ้าง เป็นคณะบ้าง อันตัวเรานั้นหัวเดียวกระเทียมลีบ เดินทางมาจากต่างจังหวัดเข้า กทม.แต่ละครั้งต้องใช้เงินหลักหมื่น จะมาบ่อย ๆ ก็ไม่ได้ เรานั้นบุกเดี่ยวมาที่นี่ด้วยความหวังเดียวอันเป็นที่พึ่ง พอรู้ตัวว่าต้องผิดหวังแน่แล้วก็มานั่งทำใจอยู่คนเดียวหน้าห้องน้ำ

    และแล้ว.......จู่ ๆ มีเสียงประกาศจากไมค์โดยหลวงพ่ออนันต์ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงรูปปัจจุบันว่า “ คนที่มีอาการปรามาสพระรัตนตรัยนั้นหนะ ให้ขอขมาพระรัตนตรัยบ่อย ๆ และทุก ๆ วัน เนื่องจากอาการแบบนี้เป็นกันทุกคน เพราะเรากำลังจะเดินไปสู่ความดี จะมีมารมาขวางไว้ เขากลัวว่าเราจะเป็นคนดี.....เพราะเรากำลังจะได้ดี....

    เพียงเท่านี้ โอ หลวงพ่อเจ้าขา น้ำตาลูกไหลพรากอาบแก้ม....เดินฝ่าฝูงชนไปคุกเข่าต่อหน้าหลวงพ่อ แบบไม่เหลือความอายใด ๆ ไปก้มกราบแทบเท้าหลวงพ่ออนันต์ ท่ามกลางสายตานับร้อย.....พร้อมสะอึกสะอื้น.....หลวงพ่อเมตตาลูกเหลือเกิน หลวงพ่อพูดปลอบว่า " เราทำดีแล้วนะลูก " และหลวงพ่ออนันต์ ก็เหมือนกับรับคำพูดจากใครที่มองไม่เห็นอยู่ และหันมาบอกกับข้าพเจ้าว่า “หลวงพ่อฤาษีบอกว่า ทำดีแล้วนะลูก จิตละเอียดและสะอาดขึ้นแล้ว เรากำลังจะพ้นบ่วงมาร”

    ดิฉันนั้นสุดจะซาบซึ้งไม่อาจหาคำพูดใด ๆ ในโลกมาพรรณนาถึงความเมตตาของ หลวงพ่อฤาษี ได้ พ่อไม่เคยทอดทิ้งลูกเลยสักครั้งค่ะ .....นับแต่บัดนั้นมา ติดขัดคับข้องอารมณ์เมื่อใดท่านเมตตาสงเคราะห์ลูกทันที เราก็ไม่เคยออกห่างจากสายวัดท่าซุงเลย

    เรานั่งปลื้มปีติอยู่จนกระทั่ง 2 ทุ่ม หรือ 4 ทุ่ม นี้แหละไม่แน่ใจ จำไม่ค่อยได้ค่ะ มีการกล่าวถวายสังฆทาน สวดมนต์ และเจริญกรรมฐานแบบสุขวิปัสโก พร้อมกันค่ะ

    ก่อนหน้านี้อันความรู้ของเรานั้น เราเข้าใจว่าสังฆทาน คือเราถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปที่อยู่บนโลกนี้เท่านั้น แต่ในขณะที่กล่าวคำถวายสังฆทานนั้น พอถึงคำว่า “ขอพระสงฆ์จงรับ” ที่บริเวณพระพุทธรูป และรูปปั้นหลวงปู่ปาน หลวงตาแสง และ หลวงพ่อฤาษีนั้น ทันใดนั้น.......มีพระสงฆ์หนุ่มรูปงาม ห่มจีวรสีกลัก เหมือนกันทุกรูป นั่งเรียงแถวน่ากระดาน มากมายยาวจนสุดลูกหูลูกตา พนมมือรับพร้อมเพรียงกันอย่างเป็นระเบียบและสวยงาม
    ตั้งแต่บัดนั้น เราก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมา คือ ไม่ใช่แค่พระสงฆ์ทุกรูปที่อยู่บนโลกนี้เท่านั้น แต่เป็นพระสงฆ์ทุกรูปที่อยู่บนโลก พระสงฆ์ที่อยู่ในโลกทิพย์ รวมถึงพระสงฆ์ทุกรูปที่เข้าพระนิพพานไปแล้วด้วย

    เราพึ่งจะถึงบางอ้อ ........มิน่าล่ะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงได้บอกว่า สังฆทานนั้น อานิสงส์หาประมาณมิได้ เป็นเช่นนี้เองหนอ......

    เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า บนเส้นทางการเดินทางไปอยู่กับพระพุทธเจ้าเมื่อข้าพเจ้าตาย
    สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในกระทู้ ผีอำ ในห้องผีค่ะ

    http://palungjit.org/threads/เมื่อข้าพเจ้าปรามาสพระรัตนตรัย.549385/
     
  7. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ?temp_hash=f3e4ee314a3d8e57df4cff8b9653d89e.jpg

    หมั่นขอขมาพระรัตนตรัย...คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    “หมั่นขอขมาพระรัตนตรัยเข้าไว้มาก ๆ นะ การที่มีจิตสงสัยในธรรม
    ก็เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย การปรามาสของพวกเจ้านี้ มิใช่แต่เพียงชาตินี้
    ชาติก่อน ๆ มาก็ปรามาสเช่นกัน จิตจึงมีความดื้อ แสวงหาโลกุตรธรรมได้ยาก
    กว่าคนอื่น มีมานะกิเลสสูง มีความปรารถนาจะตรัสรู้ด้วยตนเองมาก่อน
    แนวทางกรรมที่ก่อเอาไว้ด้วยตนเอง จึงมาขวางมรรค ขวางผล ที่จักมาต้องการ
    ในชาติปัจจุบัน เพราะฉะนั้น จงหมั่นขึ้นมากราบขอขมาพระรัตนตรัยให้เป็นประจำ”

    ....จากหนังสือธรรมะหลวงพ่อ (ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๑) ธรรมะบางตอนของหลวงพ่อฤๅษี (พระราชพรหมยาน) หน้า 81...

    http://palungjit.org/threads/หมั่นขอขมาพระรัตนตรัย-คำสอนสมเด็จองค์ปฐม.551899/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.4 KB
      เปิดดู:
      64
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2017
  8. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ขันธมาร คือ อาการที่ร่างกายของตนเองคอยขวางไม่ให้ทำความดี

    ถาม : อยากมาทำบุญ แต่เกิดอาการป่วยปัจจุบันทันด่วน ?

    ตอบ : เขาเรียกว่า ขันธมาร ร่างกายของตนเองคอยขวางไม่ให้ทำความดี

    ถาม : ต้องแก้อย่างไรคะ ?

    ตอบ : ต้องดื้อไป ถึงตายก็จะไป ถ้าอย่างนั้นบ่อย ๆ พอเขารู้ว่าขวางไม่ได้ก็จะเลิก เจ้าพวกนี้กลัวคนหน้าด้าน ถ้าหน้าด้านตื๊อเข้าไป เมื่อรู้ว่าขวางไม่อยู่เขาก็เลิก ไม่รู้จะขวางทำไม เสียเวลา เขาก็ไปหาทางอื่นแทน

    ถาม : ใจเผลอคิดปรามาสครูบาอาจารย์อยู่บ่อย ๆ เป็นโทษไหมคะ ?

    ตอบ : นั่นเป็นใจคิด เราก็ขอขมาไปเรื่อย ๆ เจ้าพวกนี้ต้องการจะกวนเราให้ขุ่น ก็คือถ้าใจเราไปพะวักพะวงตรงนั้น การปฏิบัติก็จะไม่ก้าวหน้า เพราะฉะนั้น..เราไม่ต้องไปใส่ใจหรอก คิดว่าถ้าสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราไม่ทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อโดนชักนำด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม ถึงได้คิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เราก็ตั้งใจขอขมาพระ ขอบ่อย ๆ พวกนี้พอรู้ว่าทำให้เราสะเทือนไม่ได้ก็เลิก เขาต้องการจะกวนน้ำให้ขุ่น ในเมื่อกวนแล้วไม่ขุ่นก็ไม่รู้ว่าจะกวนไปทำไม ?

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖

    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3713&page=3

    http://palungjit.org/threads/ขันธมาร-คือ-อาการที่ร่างกายของตนเองคอยขวางไม่ให้ทำความดี.497490/
     
  9. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    [​IMG]

    เมื่อจิตวิปริตดูหมิ่นพ่อแม่ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์

    เมื่อจิตวิปริตดูหมิ่นพ่อแม่ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ : ปุจฉา-วิสัชนากับพระไพศาล วิสาโล

    ปุจฉา ๑ : หนูมีเรื่องทุกข์ใจอย่างมาก อายที่จะให้ใครรู้ อยู่ดี ๆ หนูก็เป็นอะไรไม่รู้คุมตัวเองอยู่ หนูเป็นคนรักพ่อแม่มากและก็เชื่อเรื่องบาปบุญ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีจิตอีกจิตมันด่าบิดามารดา คิดไม่ดีกับพระพุทธรูปพยายามกดมันจนเหนื่อย อีกจิตนึงก็สั่งไม่ ๆ ๆ หนูเป็นได้ยังไงคะทั้ง ๆ ที่หนูไม่เคยคิดและไม่ใช่คนแบบนั้น ช่วยหาทางออกให้หน่อยสิคะ ทรมานมาก ๆ เพราะกลัวบาป

    ปุจฉา ๒ : กราบนมัสการครับ ผมมีปัญหาที่ไม่กล้าถามใคร มันรบกวนใจผมมานานแล้วครับ คือ หลายครั้งผมเผลอนึกลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระสงฆ์ รวมไปถึงพระพุทธเจ้าด้วย มันเป็นๆ หาย ๆ ครับ ทั้ง ๆ ที่ผมก็มีความเคารพพระรัตนตรัยเป็นอย่างมาก แต่ห้ามตัวเองก็ไม่ได้ ยิ่งห้ามยิ่งคิด ลองปล่อยก็ยิ่งเลยเถิด พอเกิดแต่ละครั้งจะกลัวมากครับว่าจะบาปหนัก บางครั้งยิ่งกลัวก็ยิ่งคิดดูหมิ่นมากขึ้น ทั้งเขกกะโหลกตัวเอง อะไร ๆ ก็แล้ว บางครั้งถึงกับร้องไห้ เหมือนคุมตัวเองไม่ได้

    คำถามผมคือ ทำไมผมถึงเป็นเช่นนี้ครับ มันเป็นกรรมเก่าอะไรหรือไม่ครับ มีคำอธิบายไหมครับ และผมจะแก้ไขอย่างไรได้บ้างครับ ?

    วิสัชนา: อาการที่คุณทั้งสองเล่ามานั้น เมื่อเกิดขึ้นกับใคร ย่อมทำให้รู้สึกผิดรวมทั้งรู้สึกแย่กับตัวเอง ถึงกับมองตัวเองเลวร้าย เพราะคิดว่าไม่มีใครที่เป็นเหมือนกับตัว แต่ที่จริงอาการดังว่านั้นเกิดขึ้นกับคนเป็นจำนวนไม่น้อย มีหลายคนมาปรึกษากับอาตมาในเรื่องนี้ มีทั้งคนแก่และวัยรุ่น ชายและหญิง จนทำให้อาตมาเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่กลับเป็นเรื่องธรรมดาด้วยซ้ำ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเปิดเผย ว่าตัวเองมีอาการแบบนี้ จึงทำให้เกิดความเข้าใจไปว่าเป็นเรื่องประหลาดวิปริตหากเกิดกับใครก็ตาม

    ที่น่าสังเกตก็คือ อาการแบบนี้มักเกิดกับคนที่สุภาพเรียบร้อย สนใจใฝ่ธรรม หากเป็นอย่างที่ตั้งข้อสังเกต ก็เป็นไปได้ว่า อาการดังกล่าวเกิดจากความรู้สึกต่อต้านของกิเลสภายใน (ซึ่งมีกับทุกคน) เพราะคนเรามีทั้งความใฝ่ดีและใฝ่ต่ำ มีทั้งมโนธรรมและความเห็นแก่ตัว มีทั้งเมตตาและโทสะ ทั้งสองฝ่ายนี้จะต่อสู้กันอยู่ภายในเสมอ ดังนั้นพอใครอยากทำความดี ก็จะมีแรงต่อต้านขัดขืนอยู่ภายใน ยิ่งพยายามทำความดี กิเลสภายในก็จะดิ้นรนขัดขืนและท้าทาย จึงเกิดความคิดลบหลู่พระพุทธเจ้าและพ่อแม่ขึ้นมาในใจ พูดอีกอย่างหนึ่ง นี่เป็นความพยายามของมาร ที่ต้องการรบกวนขัดขวางไม่ให้เราทำความดี

    ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไรก็ตาม สิ่งที่ผู้คนมักกระทำกันเมื่อมีความคิดลบหลู่ผุดขึ้นมาในใจ ก็คือ กดข่มมัน พยายามบังคับจิตไม่ให้คิด ซึ่งก็ยิ่งเท่ากับเพิ่มกำลังให้แก่มัน อะไรก็ตามที่เราพยายามกดข่มผลักไส มันก็ยิ่งผุดยิ่งโผล่ อะไรก็ตามที่เราถูกสั่งไม่ให้คิด เรากลับคิด (เคยมีการทดลองให้อาสาสมัครนั่งในห้องคนเดียว โดยมีกติกาว่าจะคิดอะไรก็ได้ ยกเว้นอย่างเดียวคือ ห้ามคิดถึงหมีขาว ถ้าคิดถึงหมีขาวเมื่อไหร่ ให้กดกริ่งทันที ปรากฏว่า ไม่ทันไรเสียงกริ่งก็ดังระงมจากห้องต่าง ๆ ที่อาสามัครนั่งอยู่) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่คุณทั้งสองพบว่า ยิ่งกดข่มบังคับไม่ให้คิดลบหลู่ ความคิดลบหลู่ก็ยิ่งอาละวาด

    ทางออกก็คือ อย่าไปสนใจมันเวลามันเกิดขึ้น แค่รับรู้เฉย ๆ โดยไม่ต้องพยายามกดข่มผลักไสมัน มันจะเกิดกี่ครั้ง ก็ช่างมัน อย่าไปรู้สึกต่อต้านปฏิเสธมัน อย่าไปเกลียดความคิดนี้ด้วยซ้ำ รวมทั้งอย่าเกลียดตัวเองด้วยเมื่อมีความคิดดังกล่าวเกิดขึ้น แค่ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นในใจเราก็พอ พยายามวางใจเป็นกลางหรือวางเฉย ต่อความคิดดังกล่าวนี้คือวิธีการหนึ่งที่พระพุทธองค์และพระสาวกรับมือกับมารที่มาก่อกวนด้วยการแปลงกายในรูปลักษณ์ต่าง ๆ คือ บอกมารว่า มารผู้ใจบาปเรารู้จักท่าน ท่านอย่านึกว่าเราไม่รู้จักท่าน เพียงเท่านี้มารก็ยอมแพ้และหายตัวไปเพราะมีคนรู้ทันมันแล้ว พระพุทธองค์และพระสาวกไม่ได้ทำอะไรมากกว่าบอกให้มันรู้ว่า ท่านรู้ทันมันแล้ว

    ดังนั้นเพียงแค่รู้เฉยๆว่ามีความคิดลบหลู่เกิดขึ้นก็พอ รู้เฉย ๆ หมายถึง รู้โดยไม่ทำอะไรกับมัน รู้แล้วก็ไม่สนใจมัน ไม่นานมันก็จะหายไปเอง อันเป็นธรรมดาของความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ที่เกิดแล้วก็ดับไปในที่สุด เราเพียงแต่ปล่อยให้มันดับไปเอง แต่หากไปกดข่มบังคับผลักไสมันก็เท่ากับตกหลุมพรางของมัน หรือต่ออายุให้มัน ทำให้มันมีกำลังรังควานเราได้เรื่อย ๆ

    การมีสติสำคัญมาก เพราะสติจะช่วยให้รู้เท่าทันมัน ไม่เผลอกดข่มมันหรือเป็นทุกข์เพราะมัน และช่วยให้วางใจเป็นกลางต่อมันได้ ขณะเดียวกันขันติ หรือความอดทนก็จำเป็น เพราะอาการแบบนี้กว่าจะหายต้องใช้เวลา คุณต้องอดทน ไม่รีบร้อน อย่าหวังว่ามันจะหายไว ๆ ใหม่ ๆ มันจะพยายามก่อกวนคุณหนักกว่าเดิม เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากคุณ แต่ถ้าคุณไม่สนใจมัน มันจะอ่อนแรงไปในที่สุด

    http://www.komchadluek.net/detail/2...8%A7%C8%D1%A1%B4%D4%EC%CA%D4%B7%B8%D4%EC.html
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.7 KB
      เปิดดู:
      638
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กันยายน 2015
  10. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    อีก clip ครับ พอดีไปเจอมา ฟังกันได้เลยครับ อนุโมทนาครับ

    <iframe width="420" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/TMZdNpjjYdw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  11. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    [​IMG]

    สำหรับคนที่อยู่ดี ๆ อยากด่าพระขึ้นมาเฉย ๆ

    “อยู่ ๆ มันเกิดอยากด่าพระขึ้นมาเฉย ๆ
    โดยไม่มีเหตุผล”

    หลวงพ่อฤๅษีท่านก็หัวเราะ
    กล่าวว่า ยังรู้เรื่องอยู่ ก็ยังไม่เป็นไร
    ระวังให้ดี พ่อเคยเป็นมาแล้ว
    เผลอ ๆ ด่าพระพุทธเจ้าเข้าให้
    เอ็งต้องพยายามเบรกอารมณ์ของจิตตัวนี้ให้ดี ๆ
    อยู่ ๆ มันเกิดอยากด่าพระขึ้นมาเฉย ๆ
    โดยไม่มีเหตุผล และไม่ทันได้คิดตั้งสติด้วย

    (ฟังท่านแล้วซักกลัว ถามว่า
    หากเกิดอารมณ์แบบนี้แล้วจะแก้ไขอย่างไร ?)

    ก็ให้รีบกำหนดรู้ลมหายใจ
    ควบมรณานุสสติ
    คิดว่าความตายมันเข้ามาถึงแล้วในขณะนี้
    คือขณะเกิดปรามาสพระรัตนตรัย
    ถามจิตมันว่า..เอ็งลงนรกแน่ตายคราวนี้
    ให้จิตมันเห็นภาพนรกควบคู่กันไปด้วยเลย
    รับรองชะงักอยู่ที่ใช้ความตายนี่แหละ
    จิตมันจะชะงักตีตื้นขึ้นมา
    ก็ให้รีบจับภาพพระขึ้นกราบขอขมาพระรัตนตรัย
    มันเกิดบ่อยเราก็ต้องทำบ่อยให้มันชิน
    จิตจะได้มีกำลังต่อสู้กับอารมณ์ปรามาสพระรัตนตรัย
    อย่าท้อถอยเพราะมันเป็นของจริง
    กิเลสมารมันจะเข้ามาเล่นงานเอ็งทุกอย่าง
    รวมทั้งขันธมารด้วย ต้องรู้จักแก้
    ต้องรู้จักต่อสู้กับอารมณ์
    ขันธมารก็เหมือนกัน
    ปวดตรงไหน
    เจ็บตรงไหน
    เอาจิตผ่าออก
    แยกส่วนออกให้หมด
    ถ้าระงับไม่ไหว ก็หลบเข้าฌานเสียบ้าง
    ตั้งใจไว้เลยขันธมารอย่างนี้
    ขอทนเป็นชาติสุดท้าย เอ็งตายเมื่อไหร่
    ข้าขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น"

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    http://palungjit.org/threads/สำหรับคนที่อยู่ดีๆอยากด่าพระขึ้นมาเฉยๆ.564751/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.8 KB
      เปิดดู:
      580
  12. tiwasd

    tiwasd สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    ขอขอบคุณทุกคนนะครับที่เอาความรู้มาแบ่งปันขออนุโมทนาด้วยครับ ตัวผมเองก็เป็นแต่เมื่อขอขมาพระรัตนตรัยแล้ว ก็พยายามจับภาพพระ พยายามนึกภาพกราบไว้พระท่าน ก็สบายจิตขึ้นเยอะครับ
     
  13. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    ยินดีเสมอครับ ครับ ดีแล้วครับคุณ tiwasd ขอให้ทําต่อไปนะครับ เป็นกําลังใจให้ครับ
     
  14. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    จิตเป็นอกุศล

    ผู้ถาม : "เวลาจิตคิดจะทำความดี แต่ก็มีจิตหนึ่งชอบแทรกแซงให้เป็นอกุศลอยู่เสมอ ขอให้หลวงพ่อแนะนำวิธีแก้ไขให้ด้วยเจ้าค่ะ..?"

    หลวงพ่อ : "แก้แล้วก็ไข ๒ อย่าง ใช่ไหม ก็ใช้สติสัมปชัญญะเข้าควบคุมว่าอะไรมันดีหรือไม่ดี เป็นของธรรมดานะ ถ้าเราจะต่อต้านกับกิเลสตัวไหน กิเลสตัวนั้นมันจะเกิด แบบนี้มีด้วยกันทุกคน ที่พระพุทธเจ้าให้ฝึกสมาธิมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ก็ตัวนี้แหละ ค่อย ๆ ทำไปนะ เวลาใดที่อารมณ์มันเผลอเราก็ยอมมัน พอรู้สึกตัวว่าสิ่งที่ทำไปแล้วมันผิด ไม่ควรทำก็ยับยั้งหาทางภาวนา หรือพิจารณาต่อไป ไม่ช้ามันก็จะเผลอใหม่ แต่ว่ามันจะเผลอช้าลง ๆ จนกระทั่งไม่เผลอ ถ้าจิตเป็นฌานสมาบัติ สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตัวนี้แหละจะไม่เผลอ..."

    หลวงพ่อพระราชพรหมยานตอบปัญหาธรรม
    จาก : ธัมมวิโมกข์ ฉบับ ๒๖๓ หน้า ๖๒

    http://palungjit.org/threads/จิตเป็นอกุศล.556389/
     
  15. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
     
  16. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    คิดไม่ดี จะหยุดคิดได้อย่างไร ?
     
  17. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    วิธีรับมือกับความคิดแย่ ๆ ในหัว
     
  18. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
     
  19. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    คนจะก้าวเข้าใกล้ความดี มารเขาก็กันสุดชีวิต

    77777-jpg.jpg

    <<< คนจะก้าวเข้าใกล้ความดี มารเขาก็กันสุดชีวิต >>>

    ถาม : เป็นอะไรไม่ทราบค่ะ ชอบปรามาสพระรัตนตรัย เมื่อก่อนไม่เป็น แต่ตอนนี้เป็น ?

    ตอบ : เรื่องปกติ..คนจะก้าวเข้าใกล้ความดี มารเขาก็กันสุดชีวิต เพราะถ้าเรายังปรามาสพระรัตนตรัยอยู่ เราก็ก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ถ้าคนไม่ได้เดินใกล้ประตู เขาไม่กันให้เสียเวลา เพราะฉะนั้น..เขารู้ว่าเราใกล้ความดี เขาถึงกันเรา

    ให้เราตั้งหน้าตั้งตาขอขมาพระไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่หวั่นไหว รู้ทัน เราขอขมาพระไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจ เขารู้ว่ากันเราไม่อยู่ เขาก็ปล่อย เขาแค่กวนน้ำให้ขุ่น ถ้าเรามัวแต่ไปขุ่นและกังวลอยู่ เราก็ไม่ก้าวหน้าเสียที

    ถ้าสติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ เราไม่คิดไม่ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าเราไม่หวั่นไหว ขอขมาไปเรื่อย เขาทนคนหน้าด้านไม่ไหว ก็ถอยไปเอง หลังจากนั้นก็ไม่มาอีก เพราะเขารู้ว่าทำให้เราหวั่นไหวไม่ได้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

    http://palungjit.org/threads/คนจะก้าวเข้าใกล้ความดี-มารเขาก็กันสุดชีวิต.636371/
     
  20. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,312
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,002
    พอดีผมไปเจอกระทู้ใหม่มา อ่านกันดูต่อได้เลยครับ อนุโมทนาครับ

    ท่านห้ามไม่ให้คิดชั่วอย่างไรครับ ?

    5c7a705e-ee6d-4b78-9373-f9278736bd7b-jpeg.jpg

    ถาม : ท่านห้ามไม่ให้คิดชั่วอย่างไรครับ ?
    ตอบ : ก่อนหน้านี้ห้ามไม่ได้เลย จินตนาการบรรเจิดมาก แต่พอเห็นทุกข์เห็นโทษเข้า ก็รู้จักหยุดตัวเอง หลังจากนั้นพอกำลังสมาธิของเราดีขึ้น ก็ห้ามได้ พอไม่ได้ทำนาน ๆ ก็ชักลืม ก็คือลืมไปว่าจะคิดชั่วอย่างไร

    อันดับแรก สติของคุณต้องมีก่อน ถ้าคุณไม่มีสติก็จะเพลิดเพลินเจริญใจไปกับการคิดชั่ว คราวนี้พอมีสติแล้ว จะหยุดให้ได้ก็ต้องมีกำลังของสมาธิ เพราะถ้ากำลังสมาธิไม่พอ คุณก็ไม่สามารถหักห้ามกำลังความคิดของตัวเองได้ หลังจากที่ห้ามอยู่แล้ว คุณก็ไม่สามารถที่จะฆ่าให้ตายขายให้ขาด ก็ต้องมีปัญญาพิจารณาให้เห็นว่าถ้าเราคิดไปแล้วจะเป็นทุกข์เป็นโทษแก่เราอีกยาวนานเท่าไร ก็จะเกิดความรู้สึกเข็ดแล้วก็เห็นชัดว่า นี่คือสาเหตุที่สร้างทุกข์ให้แก่เราแล้วก็ปล่อยวาง

    ในเมื่อปล่อยไม่ไปสร้างเหตุ ความทุกข์ก็ไม่เกิด แล้วคราวนี้ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ พอจะคิด สติก็จะรู้เท่าทันขึ้นมา ก็จะเตือนตัวเองว่า ถ้าคิดดีจะเป็นอย่างนี้ ถ้าคิดไม่ดีจะเป็นอย่างนี้ แล้วเขาก็จะเลือกแต่ด้านที่ดีเอาไว้

    อย่างนี่ก็เป็นกระติกน้ำธรรมดา แต่ถ้าเราคิดว่าตอนนี้อากาศร้อน ได้น้ำแข็งเสียหน่อยก็ดี โลภมาแล้วใช่ไหม ? นั่นแหละ..โลภแล้ว วันก่อนใส่น้ำเอาไว้ คนอื่นมาถึงแดกหมดแล้วก็ไม่ใส่คืนให้เราด้วย โทสะเกิดแล้ว หรือวันนั้นสาวเขาอุตส่าห์แช่น้ำไว้ให้เราอย่างดี อ้าว...ราคะเกิดอีกแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างอยู่ที่เราคิดจริง ๆ เพราะฉะนั้น..พอเห็นปุ๊บว่าคิดแล้วจะเป็นโทษอย่างไร ก็จะหยุดทันที ในเมื่อหยุด กระติกก็เป็นวัตถุอย่างหนึ่ง ทำอะไรเราไม่ได้หรอก นี่บอกข้ามไปเยอะแล้ว

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘
    ที่มา : www.watthakhanun.com


    https://palungjit.org/threads/ท่านห้ามไม่ให้คิดชั่วอย่างไรครับ.719451/
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...