เรื่องเด่น กสิณกับอานาปานุสสติกรรมฐาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 1 ธันวาคม 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    cats-08.jpg

    เรื่องกสิณกับอานาปานุสสติกรรมฐาน

    หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง ตอบปัญหาธรรม


    ผู้ถาม:- “หลวงพ่อครับ กสิณนี่เป็นมโนภาพใช่ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “กสิณไม่ใช่มโนภาพนะ กสิณนี่ต้องใช้นิมิตตรง”
    ผู้ถาม:- “ต้องใช้ดูวัตถุ ใช่ไหมครับ…?”
    หลวงพ่อ:- “ใช่ ต้องใช้ดูวัตถุแล้วจำภาพ ไม่ใช่มโนภาพ ถ้าเราจะตั้งก็ได้ แต่เป๋ ถ้าดูวัตถุยังไม่ค่อยจำ นี่เล่นมโนภาพ ระวังกสิณโทษจะเกิด

    อย่างเราเจริญปฐวีกสิณ จะต้องเอาจิตจับไว้เฉพาะปฐวีกสิณอย่างเดียว ถ้าภาพอื่นข้ามาแทรกต้องตัดทิ้งทันที นั่นเขาถือว่าเป็นกสิณโทษ จนกว่ากสิณกองนั้นเข้าถึงฌาน ๔ แล้วก็คล่องตัว จึงจะย้ายไปเป็นกสิณกองอื่นต่อไป

    ถ้ากสิณกองต้นเราได้แล้ว ถ้าภาพอื่นเข้ามา เราตัดเลย เพราะว่าเราเจริญปฐวีกสิณ ดูดิน ถ้าบังเอิญกสิณอย่างอื่นเข้ามาแทน เช่น กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ มันแจ่มใสกว่า เราจะยึดเอาไม่ได้ ต้องตัดทิ้งทันที จนกว่ากสิณกองนั้นจะจบถึงฌาน ๔ ให้มันคล่องจริง ๆ ไม่ใช่แต่ทำได้นะ

    คำว่าคล่องจริง ๆ หมายความว่า ถ้าเรากำลังหลับอยู่ ถ้าเราตื่นขึ้นมา เราจะจับฌาน ๔ ถ้าคนกระตุกพั้บเราจับฌาน ๔ ได้ทันที กสิณกองนั้นจึงชื่อว่าคล่อง

    ถ้าเหน็ดเหนื่อยมาแต่ไหนก็ตาม ถ้าจะจับฌาน ๔ ต้องได้ทันทีทันใด เสียเวลาแม้แต่ ๑ วินาที ใช้ไม่ได้ ถ้าคล่องแบบนี้ละก็กสิณอีก ๙ กอง เราจะได้ทั้งหมด ไม่เกิน ๑ เดือน เพราะว่าอารมณ์มันเหมือนกัน เปลี่ยนแต่รูปกสิณเท่านั้น

    ฉะนั้นการได้กสิณกองใดกองหนึ่ง ก็ต้องถือว่าได้ทั้ง ๑๐ กอง เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ยาก ของเหมือนกัน แต่เพียงแค่เปลี่ยนสีสันวรรณะเท่านั้นเอง มันจะขลุกขลักแค่ครึ่งชั่วโมงแรก เดี๋ยวก็จับภาพได้ แล้วจิตก็เป็นฌาน ๔ นี่เราฝึกกันจริงๆ นะ ถ้าฝึกเล่นๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง”

    ผู้ถาม:- “การปฏิบัติพระกรรมฐาน ถ้าเราจะไม่ใช้กสิณ แต่เราใช้กำหนด อัสสาสะ ปัสสาสะ ได้ไหมครับ…?”

    หลวงพ่อ:- “ได้ ถือว่าอัสสาสะ ปัสสาสะ คือลมหายใจเข้าออก

    คือ จริตของคน พระพุทธเจ้าทรงจัดแยกไว้เป็น ๖ อย่าง คือ ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธจริต และก็พระพุทธเจ้าตรัสพระกรรมฐานไว้ ๔๐ แต่ว่าเป็นกรรมฐานเฉพาะจริตเสีย ๓๐

    อย่างพวก ราคะจริต ถ้าใช้ อสุภ ๑๐ กับ กายคตานุสสติ ๑ เป็น ๑๑
    และพวก โทสะจริต มีกรรมฐาน ๘ คือ มีพรหมวิหาร ๔ แล้วก็กสิณอีก ๔ สำหรับกสิณ ๔ คือ กสิณสีแดง กสิณสีเหลือง กสิณสีเขียว กสิณสีขาว

    สำหรับ วิตกจริตกับโมหะจริต ให้ใช้กรรมฐานอย่างเดียวคือ อานาปานุสสติ อย่างที่โยมว่า อัสสาสะ ปัสสาสะ

    แล้วก็ ศรัทธาจริต ใช้กรรมฐาน ๖ อย่าง คือ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ แล้วก็เทวตานุสสติ

    ต่อไปเป็น พุทธจริต พุทธจริตนี่ก็มีกรรมฐาน ๔ คือ มรณานุสสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุตธาตุวัตถาน อุปสมานุสสติ

    รวมแล้วเป็น ๓๐ เหลืออีก ๑๐ เป็นกรรมฐานกลาง

    ฉะนั้นการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าหากเดินสายสุกขวิปัสสโก จะต้องใช้กรรมฐานให้ถูกกับจริต ถ้าไม่ถูกกับจริต กรรมฐานนั้นจะมีผลสูงไม่ได้ เพราะไม่มีกำลังหักล้าง

    ทีนี้ถ้าหากว่านักเจริญกรรมฐานทั้งหมด ไม่ต้องการอย่างอื่น จะใช้อานาปานุสสติก็ได้ ถ้าคนทุกคนคล่องในอานาปานุสสติกรรมฐาน จะมีประโยชน์

    เมื่อป่วยไข้ไม่สบาย เมื่อทุกขเวทนามันเกิดขึ้น ถ้าใช้อานาปาเป็นฌาน ทุกขเวทนามันจะเบามาก จะไม่มีความรู้สึกเลย นี่อย่างหนึ่ง

    แล้วก็ประการที่สอง คนที่ชำนาญในอานาปาจะรู้เวลาตายของตัว แล้วก็จะรู้ว่าตายด้วยอาการอย่างไร

    แล้วก็ประการที่สาม อานาปานุสสติสามารถควบคุมกำลังฌาน สามารถเข้าฌานได้ทันทีทันใด ประโยชน์ใหญ่มาก”

    ผู้ถาม:- “เมื่อกำหนดลมหายใจด้วย ภาวนาด้วย สมาธิมันวอกแวกๆ ครับ…”

    หลวงพ่อ:- “ก็แสดงว่าจริตของคุณโยมหนักไปในด้าน วิตกจริต กับ โมหะจริต ฉะนั้นคนที่มี วิตกจริต ต้องใช้ อัสสาสะ-ปัสสาสะ ไม่ต้องภาวนา ขืนภาวนาแล้วยุ่ง พระพุทธเจ้าทรงจำกัดไว้เลยว่า เรามีจริตอะไรเป็นเครื่องนำ ต้องใช้เป็นกรรมฐานอย่างนั้นเฉพาะกิจ ถ้าใช้ผิดก็ไม่ได้ ผลมันไม่มี ที่โยมถามก็เหมาะสำหรับคุณโยม”

    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๖๐-๖๒
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)



    ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยาน
     
  2. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628
  3. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    สาธุค่ะ ได้ประโยชน์มากทีเดียวค่ะ กำลังค้นหาว่าทำไมถึงนั่งภาวนา ไม่ได้ ต้องฝึกกรรมฐานให้ถูกกอง
    ถูกจริต ขอบคุณค่ะ
     
  4. นรวร มั่นมโนธรรม

    นรวร มั่นมโนธรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +113
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    /\ /\ /\ ขออนุญาตเพิ่มเติมเรื่องกสิณครับ
    ที่ท่านบอกว่า ได้กองเดียวที่เหลือจะได้เอง
    เพราะว่าฐานกำลังสมาธิมันเท่ากันครับ
    กสิณสีและกสิณกลาง ต่างที่เอกลักษณะของ
    พลังงานของกสิณกองนั้นๆและความหนาแน่น
    ของพลังงานพื้นฐานครับ..

    และหลักสำคัญก็ตามที่ท่านแนะ
    คือควรตั้งเป้าไว้ว่า จะฝึกกองไหน
    ก็เอากองนั้นให้สำเร็จไปเลย
    และเรื่องนิมิตหลอกที่มักจะสวยกว่า
    กองที่เราฝึกมันจะเริ่มมาในช่วงแรกๆเป็นปกติครับ
    ซึ่งท่านได้แนะทริคไปแล้ว......

    แต่จะขอแนะทริคที่สำคัญอีกอย่างเลย
    ที่มีผลต่อการจะฝึกสำเร็จหรือไม่สำเร็จ
    ก็คือ สูงไปก็ไม่ได้ ต่ำกว่าก็ไม่ได้ หรือไกลไปก็ไม่ได้
    ใกล้ไปก็ไม่ได้
    ตรงนี้เราต้องหาเอาเองครับ

    คำว่าสูงไปก็ไม่ได้ ต่ำกว่าก็ไม่ได้ ขยายความคือ
    เพราะถ้าคุณสะสมกำลังมาเพียงพอที่จะถึงระดับ
    ใกล้ๆฌาน ๔ ตามที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ได้
    หมายถึงคุณผ่านอุคหนิมิตมาแล้ว และเข้าออกอุคคนิมิต
    บ่อยๆจนมันมีกำลังส่งต่อให้ไปถึงระดับปฏิภาคนิมิต
    ได้แล้วนะครับ
    โดยปกตินี้ ถ้าถึงกำลังระดับนี้ จิตมันจะซนและชอบ
    เตลิดไปเที่ยว หรือข้ามไปสภาวะของอรูปฌานครับ
    หรือไม่คุณก็จะถูกปฏิภาคนิมิต มันดูจิตคุณ ออกไป
    สถานที่ใดๆก็ได้ ในจักรวาลนี้ครับ...
    ดังนั้นเราจึงต้อง สร้างกำลังสติทางธรรมในชีวิตประจำวัน
    ให้มันต่อเนื่องจริงๆและสร้างกำลังสมาธิสะสมให้เพียงพอ
    ในระหว่างวัน ด้วยการนั่งสมาธิสะสมมากหน่อย บ่อยขึ้น
    อาจจะครั้งละ ๕ ถึง ๑๐ นาทีต่อวัน เพื่อนำกำลังสมาธิสะสม
    กับกำลังสติทางธรรมที่ได้ ในระหว่างวันนั้น มาหนุนเพื่อ
    การควบคุมจิตไม่ให้มันหนีไปไหนครับ (ถ้าไม่ทำอย่างที่
    แนะนำ ประกันได้ว่า ไม่มีทางเอาจิตตัวเองอยู่ในกายได้
    แน่นอนครับ ).

    ส่วนที่บอกไกลไปก็ไม่ได้ ใกล้ไปก็ไม่ได้
    คือหากว่าใครก็ตามที่จะไป
    ทางด้านการนำผลของกสิณในทางพลังงานของกสิณ
    มาใช้งานให้ได้นั้น. มีความจำเป็นที่คุณจะต้อง
    เข้าถึงปฏิภาคนิมิตในกำลังระดับสูงให้ได้ก่อนนะครับ
    (ไม่ใช่สภาวะแบบตอนเข้าห้องน้ำ แล้วลืมตาเห็นนะครับ
    หรือเดินๆอยู่แล้วเห็นที่นักปฏิบัติหลงตัวเองกันมาเยอะนะครับ
    เพราะตรงนี้มันแค่สภาวะของจิตที่ทำงานได้ ในระดับอุปจารสมาธิ สภาวะแบบนี้ ปั่นชาตินี้ยันชาติหน้า ก็ไม่เกิดกำลังจิตครับ
    เอาไว้ซ้อมปั่นเฉยๆครับ เผลอๆจะคิดว่าตัวเองได้ฌาน ๔
    หลงสภาวะหลงสมาธิกันไปเลย ประกันได้ว่าจะฮาตลอดชาติ
    เพราะจะหลงตัวเองอย่างคาดไม่ถึง ใครบอกก็ไม่ได้ครับ)
    พอเข้าถึงปฏิภาคนิมิตในกำลังสมาธิระดับสูงได้แล้วนั้น
    ด้วยกำลังสติทางธรรมและกำลังสมาธิสะสม จะรักษาให้จิต
    เรารักษาระยะห่างระหว่างจิต กับ ปฏิภาคนิมิต ที่จะลดความ
    สว่างลงในขณะที่เรากำลังจะใช้จิตปั่นมันได้ครับ.....
    อย่าไปปั่นด้านขวานะครับ ไม่มีประโยชน์ต่อการสร้างกำลังจิตครับ
    เพราะด้านขวามันปั่นง่าย เพราะร่างกายเรามีแร่เหล็ก
    อยู่ในเส้นเลือดดำด้านขวาเป็นปกติครับ .....
    ท่านต้องเกร๊ง กล้ามตะรูด ปั่นให้มันหมุนซ้ายให้ได้นะครับ

    และจำให้ดีๆ ระยะที่เหมาะสม คือ เหมือนเรายืนบนระเบียง
    ชั้นสองและก้มมองลงที่พื้นชั้นล่าง ถ้าไกลไปแม้ปลอดภัย
    แต่บังคับอย่างไรก็ไม่หมุด เข้าใกล้ไปก็จะโดนดูดอีก...

    ถ้าทำตรงนี้ พอลืมตา จิตจะมีความสามารถเข้าถึง เรียกพลังงาน
    กสิณกองต่างๆและเล่นกับพลังงานภายในภายนอกได้เอง
    เป็นปกติ เพราะเป็นผลที่เกิดปกติของการฝึกครับ...


    แต่สำหรับใครที่ทำแบบที่หลวงพ่อแนะนำนั้น
    ตามบทความที่เจ้าของกระทู้นำมาลงได้นั้น.....
    จะเป็นแนวอฐิษฐานจิตเพื่อให้เกิดผลนะครับ
    ซึ่งบอกได้เลยว่า ยากมากพอตัว
    นึกภาพออกไหม อฐิษฐานจิตภายในลมหายใจเดียว
    แล้วเกิดผล กับหายใจครั้งเดียวแล้วใช้พลังงานกสิณได้
    มันคนระเลเวลกันเลยนะครับ และถ้าท่านชอบ
    ซึ่งท่านจะต้องมีความเฉลียวหรือฉลาดหน่อย
    ในเรื่องของการอฐิษฐานจิตเป็นทุนครับ.....

    แต่ถ้าในกำลังระดับใช้งานได้ ภาพที่ปรากฏในระดับ
    อุปจารสมาธิก็ถือว่าใช้งานได้ทั่วไปแล้วครับ
    จะต่างกันที่ความละเอียดในการเห็นภาพก็แล้วแต่
    ว่าจิตใครเคยสะสมครับ....ซึ่งมันเป็นกระบวณการ
    ถ่ายเทพลังงานกลับไปกลับมาระหว่างจิตกับภาพครับ
    ซึ่งในระดับพระเกจิ ตรงนี้จะเป็นร้อยๆเที่ยวในวินาทีครับ
    อย่างเราทั่วๆไปได้ซักครั้งก็หล่อแล้วครับ
    หรือเอาให้มันใช้งานได้ก่อนหรือฝึกสำเร็จให้ใช้งานได้
    ก่อนก็พอก่อนจะไปนึกถึงระดับท่านๆครับ....

    ถ้าจะใช้งานด้านพลังงานกำลังระดับฌาน ๓ พอครับ
    ไม่เหมือนทางอฐิษฐานจิตที่ต้องอาศัยกำลังระดับฌาน ๔
    เพื่อหนุนก่อนที่จะเกิดผลนะครับ.....
    เพราะใช้งานด้านกำลัง สภาวะฌาน ๔ ไม่เหมาะครับ
    เพราะจิตมันขาดกับกาย มันจะแช่ๆนิ่งๆ ไม่มีประโยชน์ครับ

    ปล.ทริคอีกอย่างนะครับ ไม่ว่าท่านจะเจอกิริยาอะไรก็ตาม
    ไม่ว่า ทางตา หู จมูก กาย ลิ้น จิต และไม่ว่ามันจะพิศดาร
    อลังการงานสร้างระดับโลก หรือระดับจักรวาลแค่ไหนก็ตาม
    หรือในขณะฝึกจะเกิดความสามารถแปลกประหลาดพิศดาร
    อะไรก็ตามเกิดขึ้นกับเรา ขอให้คำว่า
    ห้ามๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สนใจทุกๆกิริยา
    จนกว่าจะใช้งานได้จริงๆ ไม่ว่าจะด้านอฐิษฐานจิต
    หรือด้านพลังงาน.........

    และอนาคตค่อยเอากำลังตรงนี้ เพื่อไปเป็นฐานหนุนให้จิต
    เราสะอาดขึ้น ไม่ว่าจะไปทางด้านปัญญาทางธรรม
    หรือปัญญาญานอะไรก็แล้วแต่วาระครับ

     

แชร์หน้านี้

Loading...