การนั่งสมาธิ วิปัสนา กรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย พันตา, 4 มิถุนายน 2009.

  1. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    คำกล่าวของพระสังหราชจะบอกอะไร

    ใคร คือ บุคคลที่อยู่ในข่ายมีอายุได้ 100 ปีได้ ก็คือ พวกทำฌาณ

    แล้วทำ ฌาณ มันควรได้ปัญญาแล้วจริงหรือ ถ้าเป็นจริง พระสังฆราช
    จะกล่าวเตือนออกมาทำไมว่า ทำแต่ฌาณก็เป็นเพียงโมฆะบุรุษเท่านั้น

    เป็นบุคคลที่ว่างเปล่า ผ่านไป 129 ปีก็ว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น

    ว่างเปล่าจากอะไร ก็จากการเจริญวิปัสสนาไม่เป็น ไม่ได้ทำวิปัสสนานั่นเอง

    ดังนั้น สมถะ(ฌาณ) และ วิปัสสนา เป็นองค์ธรรมที่ไม่ได้แนบเป็นเนื้อเดียวกัน

    เป็นองค์ธรรมคนละอย่าง พระสังฆราชกล่าวแยกจำแนกออกให้ดูชัดเจน
    อย่างนั้นก็ด้วยความเมตตา กรุณายิ่งแล้ว จะไปว่า พระท่านกล่าวแยกเพราะ
    ใช้ความเข้าใจของท่าน ไม่ซื่อต่อพุทธพจน์หรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2009
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646

    คุณนิวรณ์.....ผมขอแหล่งอ้างอิงตรงนี้หน่อยสิครับ.....
     
  3. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ดีนะที่บอกสมาธิเป็นหินรับมีด.....อ่านผ่านๆนึกว่าหินทับหญ้า.......ถ้าหินทับหญ้า.....หญ้าไม่ตายนี่..........555
     
  4. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    ชื่อหนังสือ วิธีสร้างบุญบารมี โดยสมเด็จพระสังฆราชฯ
     
  5. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ง่ะ ก็ขึ้นกับว่า มีแต่หิน เจริญแต่หิน หรือเปล่า

    ยิ่งบางคน เห็นว่าการเจริญหิน ย่อมได้มีดด้วย ก็ต้องตรึกกันหน่อยหละ

    แต่ถ้ามีมีดนะ ต่อให้ไม่มีหิน ขูดเอาตามเม็ดกรวดทราย(ขณิกสมาธิ)
    มันก็พอมีผลหละนะ คมนิดคมหน่อยก็พอตัดกิเลสได้ พอตัดกิเลสได้
    ก็รู้ว่ามีปัญญา พอรู้ว่ามีปัญญา ก็รวบรวมเม็ดทรายที่ละเอียดอัดแน่น
    (หินทรายลับมีด)ขึ้นมา การวิปัสสนาจึงให้ผลเร็ว แค่ชั่วเวลาช้างกระ
    ดิกหูก็มีผลกว่าทำสมาธิมา100ปี หรือทำสมาธิเพื่อมีอายุ 100

    * * * *

    ที่มาของบทความก็ มาจาก พลังจิต ลิงค์นี้

    http://palungjit.org/threads/ภาวนา-โดย-สมเด็จพระญาณสังวร-สมเด็จพระสังฆราช-สกลมหาสังฆปริณายก.189747/

    ถ้าต้องการพิสูจน์ ให้ใช้คำว่า "สมาธิ แบบเด็ก ๆที่เพิ่งหัดตั้งไข่" อันเป็นสำนวนเรียบ
    ง่ายที่พอจะชี้ ผลงานพระลิขิตขององค์สังฆราช ใน Google ก็จะพบว่า มีปรากฏหลาย
    ที่ แต่ละที่ อ้างอิงไปที่พระสังฆราชเหมือนกัน
     
  7. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ท่าน นิวรณ์ ผมอ่านสิ่งที่ท่านวิเคราะห์ แล้วบอกคำเดียวว่า ท่านยุติเถอะ
    เพราะเหมือนท่านกำลังจุดไฟ เผาตัวเอง เหมือน คนที่ยกดาบไม่ขึ้น แล้วยังจะคิดฟันเพราะด้วยความที่ใจสู้ เหมือน นักชกญี่ปุ่นที่ชกกับเขาทราย มันยับเยินแล้วก็ยังจะสู้

    การทำลาย ความหวังของคน เป็นเรื่องน่าเศร้าใจ แต่ทำยังไงได้ ถ้าหากว่า ความหวังของคนนั้นมันเป็นเรื่องลมๆแล้ง
    ผมทราบดีว่า การลบหลู่คุณท่าน ของคนอื่น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ ก็ทำอย่างไรได้ หากว่า เขาทั้งคู่พากันไปผิดทาง

    ในสมัยพุทธกาล ถ้าจะสังเกตุ จริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ จะเห็นได้ว่า พระศาสดาชอบให้คนสอน ข้อนี้ดูได้จาก ท่่านไปเรียนวิชชา สมาบัติกับพระอาจารย์ของท่าน
    และท่านเอาคำสอนของอาจารย์มาปฏิบัติ จนได้สมาบัติ 8 แล้วท่านเห็นว่ายังไม่พ้นทุกข์
    ท่านขอให้พระโมคคัลลานะแสดงธรรมให้ท่านฟัง ท่านขอให้พระสารีบุตรแสดงธรรมให้ท่านฟัง
    นี่ แสดงให้เห็นว่า จริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ คือ ฟังคนอื่นสอน แม้ พระ ผู้จะมาเป็นพระศรีอาริยเมตไตร ก็บวชในสำนักพระพุทธเจ้าโคตมะมาก่อน ก็นอบน้อมฟังคำศาสดาโดยไม่เคยสนใจในปัญญา มากกว่าเชื่อในสิ่งที่พระโคตมะตรัสรู้แล้ว

    ดังนั้น คุณสมบัติ ที่ควรมีในพระโพธิสัตว์ คือ ศรัทธาฟังและน้อมไปในทางปฏิบัติอันดับแรก แล้ว เอากำลังใจ และ ผลที่เดินมา ค้นคว้าหาทางที่ตั้งอยู่บนฐานเดิมที่ดี

    ตรงกันข้าม นิสัยแห่งเทวทัต คือ พยาบาท ผูกเวร ตามเป็นมารต่อพระศาสดา ขัดขวางการทำดี ไม่ฟังใคร ไม่ทบทวน นั่นเป็นนิสัยแห่งกิเลส ไม่ใช่นิสัยแห่ง พระโพธิสัตว์
    ดังนั้น นิสัย มานะ ดื้อ สอนยากฝึกยาก นี่ เป็นนิสัยของ คนที่ฝึกได้ยาก

    คนฝึกง่าย นั่นแหละ คือ คนที่แข็งแกร่งจริง เพราะเขาสามารถเอาชนะกิเลสในใจตน เดินหน้าไปตามทางลำบาก ตามที่คนรุ่นก่อนเขาวางไว้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าโง่ที่ไปฝึกทางเดิมๆ ซึ่งยาก เพราะว่า พระศาสดาท่านก็ฝึกสมาบัติ 8 มาก่อน ทีนี้ไม่ได้หมายความว่าคนฝึกไปจะต้องไปห้าม การพิจารณาด้านปัญญา ไม่ได้ไปห้ามว่า เธอฝึกทางนี้ เธอก็อย่าไปคิดไปพิจารณา อย่าไปฝึกสติ แบบนี้ไม่ใช่

    แต่ มองลงไปตรงๆ เดินไปตามทางตรงๆ นั้นแหละ แต่ที่ให้เพิ่มเติมคือ มหาสติปัฎฐาน
    กิน เดิน ยืน นั่ง นอน คอยระลึกตน ระลึกอารมณ์ แล้วจะก้าวหน้า

    จำเอาไว้ว่า คนโบราณกาล ที่ผ่านมาเขาสร้างฐานให้เราไว้ดีแล้ว เราควรจะทำฐานของเราให้ได้เท่าท่าน แล้วต่อยอดจากฐานนั้นขึ้นไปให้ถึงปลายทาง ไม่ใช่ ลบฐานเดิมทิ้งหมด แล้วก่อ สิ่งที่ไม่มีฐานให้เราได้พักพิงเลย

    การปฏิบัติธรรมและ การศึกษาทุกอย่าง เปรียบเหมือน การปีนเขา แต่ละจุดเราต้องคอยมีตัวยึดเพื่อไม่ให้ตก หากว่าก้าวพลาด จุดที่จะยึดได้เราก็ต้องเห็นผลเห็นความแน่นหนามั่นคงของสภาวะนั้นแล้ว จับเอาสภาวะนั้นคอยเป็นฐานไม่ให้เราพลัดหลง

    เช่นเดียวกัน สมาธิ ที่เป็นผล ก็เหมือนเป็นจุดพัก ไม่ให้เราพลัดหลง เวลาที่ปัญญาก้าวไปเกิน เวลาที่หมดแรงอ่อนแอ เวลาที่ก้าวพลาด มันจะได้มีจุดพัก ก็ขอฝากไว้เท่านี้
     
  8. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    แหม กำลังจะชักชวน คุณภานุเดช ดูอีกที

    ดูสิ่งที่พระสังฆราชท่านกล่าว จะเห็นว่า มีการระบุว่า สมถะ นั้นยังไม่ใช่สมาธิที่หวัง
    ผลในพระพุทธศาสนา ....

    ตรงนี้ ต้องดูกันดีๆ พระสังฆราชพูด ก็เหมือนที่ พระปราโมทย์พูด ก็แปลว่าพระปราโมทย์
    ก็เจริญรอบตามบาทพระสังฆราช และทำธรรมโฆษณ์สนองคุณท่านอยู่

    ทำไมต้องดูดีๆ ก็เพราะ ต้องอ่านข้อความต่อไปให้จบกระแสความ แต่พวกที่ขี้
    อิจฉา พวกไม่รู้จักการอ่าน จะตัดเฉพาะแต่ส่วนที่เป็นประโยชน์ในการปรักปรำ และ
    ละไม่พูดในสิ่งที่ท่านพูดที่เหลือ ก็จะกลายเป็นว่า พระสังฆราช และ พระปราโมทย์
    ตำหนิการทำฌาณ

    แล้วแยก สมถะ ออกจาก วิปัสสนา เป็นการทำลายพุทธพจน์

    แล้วหลอกล่อด้วยการอ้าง อุปมาอุปไมยเหมือนในพระไตรปิฏกเพื่อหลอกล่อให้เชื่อ
    ให้หันมาทำวิปัสสนาเป็นหลัก ( เข้าใจคำว่า เป็นหลักไหม )

    แล้วยกการหลอกล่อนั้นเป็นกริยาของสำนักเทวทัต

    ก็ต้องดูกันให้ดี ว่าใคร .....ผูกเวร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2009
  9. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ก็ถ้าเช่นนั้น ท่านนิวรณ์ ก็ลองยก ปัญญา ที่พระปราโมทย์สอนมาดูซิว่า ปัญญาที่ พระปราโมทย์ท่านว่าไว้อย่างไร
     
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    แล้วคุณภาณุเดชก็ดูนะ อย่าทำแบบนี้ พอจนแต้ม ไม่รู้จะพูดอะไร

    ก็ทำทีเป็นถามหา ข้อมูลเพิ่มเติม

    เป็นคุณภาณุเดช จะแกล้งทำทีไขสือ ไม่รู้ แบบนี้ไหมว่า ข้อมูลเพิ่ม
    เติมนั้นหาได้จากที่ไหน

    ทำไมเขาหวังให้ผมหาข้อมูลเพิ่มเติมให้เขารู้ไหม ก็เพราะเขาจะกระ
    ทำกริยาแบบเดิม คือ หาช่องผิดเล็กๆน้อยๆ ที่พึงหวังได้จากการยก
    ธรรมมาแสดง เขารู้อยู่ว่า 99.99 ผมไม่มีทางยกมาได้ทั้งหมด มัน
    จะต้องขาดๆ เกินๆ แล้วเขาก็จะอาศัยช่องเล็กๆน้อยๆ เพื่อตำหนิ

    จริงๆ แล้ว คุณภาณุเดช ก็ฉลาดพอที่จะกลับไปอ่าน บทความคำสอน
    ของพระสังฆราชบทนั้นให้เต็มๆ ก็จะพบว่า ท่านก็สอนเหมือนที่หลวง
    พ่อปราโมทย์สอนนั้นแหละ ที่เหมือนนี้ ก็อย่าตีความเอามาเป็นประ
    เด็นว่า พระสังฆราช เทียบเท่า พระปราโมทย์ อีกหละ ให้ดูไปว่าของ
    ที่แท้นั้นย่อมกล่าวออกมาแล้วไม่ต่างกัน
     
  11. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    คุณธรรมจิต

    ผมคิดอยู่แล้วล่ะครับ ว่าคุณจะต้องตอบมาในลักษณะแบบนี้ แบบ ตอบแต่ละประโยค

    เอาเป็นว่า สุดแท้แต่คุณจะคิดเถอะ

    จากคำตอบของคุณ

    ผมก็ทำหน้าที่ของผมแค่นี้ คงจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้

    สาธุ

    และผมก็นึกคำตอบที่คุณจะตอบไว้อยู่แล้ว
     
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    สมเด็จพระสังฆราชฯ<!-- google_ad_section_end --> ...กล่าวไม่ผิดเลย...แม้แต่วรรคเดียว.........
     
  13. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    อ้างอิงจาก หนังสือ แก่นธรรมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    ของพระปราโมทย์
    ผมยกบางท่อนมาถามท่านนิวรณ์ว่า ท่านว่า คำรับรองและคำพยากรณ์ที่ผมขีดเส้นใต้นั้นหมายถึงอะไร

    ท่านคิดว่า ถ้าพระปราโมทย์ไม่ได้ธรรม จะเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรมอันไม่มีในตนหรือไม่

    การพูดเป็นนัยยะ เพื่ออวดอ้างก็เท่ากับเป็นการมุสา ไปแล้ว

    ท่านนิวรณ์ลองอธิบายแก้ต่างในข้อนี้ซิ
     
  14. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ท่านนิวรณ์ ช่วยอธิบายคำที่กำกวม แบบนี้ให้คนโง่อย่างผมฟังหน่อยว่า สรุปว่า จิตว่างไม่มีจริง แต่ จิตว่างจากการเสวยอารมณ์ได้

    ขอโทษนะครับ เดี๋ยวใครอย่าลืมเตือนให้ผมพูดเรื่อง จิตและอารมณ์ด้วย
     
  15. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    คุณธรรมจิต
    ส่วนเรื่องที่คุณแย้งผม ลองไปหาอ่านดูก็ได้ ว่า คำอธิบาย ที่มีคนอธิบาย ไปในแนวทางไหน

    อย่างบทความที่คุณเอกวีร์ ยกมาให้ คุณลองอ่านดูก็ได้ ว่า วิปัสสนา กับ สมถ ที่พระสังฆราช เทศน์ไว้ เป็นอย่างไร

    และหนังสือ อีกมากมาย

    ก็กล่าวไปในแนวทางเดียวกัน กับ ที่ผมเขียนไว้

    พึ่งเจอคุณนั่นแหละ ครับ

    สงสัยคุณจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่

    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2009
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    ง่ายครับ

    แต่ต้องเข้าใจหลักการก่อนนะว่า จิตเป็นธาตุรู้

    อะไรที่จิตไปรู้ เขาเรียก อารมณ์

    เมื่อ จิตรู้อารมณ์แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องเสวยอารมณ์นั้น (ก็ไปเสวยอารมณ์อย่างอื่นแทน)

    จิตว่าง คืออะไร ก็เหมือนเดิม จิตคือธาตุรู้ ความว่างคืออารมณ์ที่จิตไปรู้ ก็แปลว่า จิตไม่
    มีทางที่จะไม่ทำหน้าที่รู้อารมณ์ คือ มันไม่มีทางหยุดหน้าที่ในการรู้(มันไม่ว่างงาน)
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    "....แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนจะมีความรู้ความเข้าใจในอริยสัจแห่งจิตเทียบเท่าหลวงปู่ "

    นี่ก็ดูเอาละกันว่า ทั้งๆที่ยกมาเพียงน้อยนิด แต่ก็ยังอุตสาห์อ่านไม่จบ
    กระแสความ
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,923
    ค่าพลัง:
    +9,200
    ข้อนี้ ลองมาดูกัน เอาตรรกะง่ายๆ คนหนึ่ง โดนด่าคำเดียวกัน คนหนึ่งไม่โกรธ คนหนึ่งโกรธ นี่เพราะจิตมันทำหน้าที่มันเองหรือครับ

    แล้วถ้าเช่นนั้น เราจะถอนอนุสัยกันได้หรือ

    พระพุทธเจ้าสอนอะไร สอนให้ ทำสมาธิ นี่ สรุปว่าไม่สามารถทำอะไรกับจิตได้หรือ
     
  19. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    ไม่ได้เข้าข้างคุณเอกวีร์ นะครับ

    แต่ที่คุณเอกวีร์ อธิบายจิตว่าง อธิบายถูกแล้วจริงๆ

    คุณขันธ์ครับ (ไม่ได้สร้างศัตรูกับคุณนะ)

    ถ้าคุณถามข้างๆคูๆ ไปเรื่อยๆแบบนั้นเหมือนกับตาบอดคลำช้าง ก็ไม่มีวันสิ้นสุดหรอกครับ แต่ถ้าคุณลองปฏิบัติดูแล้วก็จะรู้ว่า สิ่งที่คุณเอกวีร์ อธิบาย คืออะไร

    ถ้าถามผมว่า ทำไมถึงรู้

    บอกได้เลยว่า เพราะปฏิบัติมาเป็นแบบนั้นจริงๆๆ

    แต่ก่อนผมก็สงสัย และ ว่า อริยมรรค หรือ การรู้แจ้งเป็นอย่างไร นึกภาพไม่ออก
    ก็จะมีคำถามสงสัยแบบคุณ อยู่นี่แหละ

    แต่ถ้าหากคุณปฏิบัติถึง รับรองได้เลยว่าคำถามนี้จะหมดไป

    เราอย่ามาเสียเวลานั่งเถียงเลย

    ต่างคนก็ต่างปฏิบัติในสิ่งที่ตนคิดว่าถูกไปเถอะครับ

    เป็นกัลยาณมิตรกันดีกว่า อย่ามาทะเลาะกันเลย

    มาแลกเปลี่ยนความคิด ทางธรรมะ แ่ต่ไม่ใช่เพื่อเอาชนะกันเถิด เพราะถ้าเราทำเช่นนั้น การที่คุณปฏิบัติธรรมะ มา ก็ไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลย เพราะ คุณก็ยังให้กิเลส เป็นตัวนำคุณอยู่ ทะเลาะกันอยู่ ไม่ได้ทำให้โทสะ เบาบางลงเลย อย่างนี้การปฎิบัติธรรมะก็ไม่มีประโยชน์

    ผมเชื่อว่า ทุกคนมีจิตใจดี และ ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้อง (เพราะถ้าคุณเป็นคงไม่ดี คงไม่มาเข้าเว็บธรรมะ หรอก จริงไหม) เพียงแต่ อาจมองไม่เหมือนกัน

    การที่เรามีความเห็นอะไรไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องทะเลาะกัน หรือ เป็นศัตรูกันนี่ครับ

    การแลกเปลี่ยนความคิดทางธรรมะ เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ดีงาม อย่าทำให้สิ่งนี้กลายเป็น สกปรก แปดเปื้อน ที่รวมของกิเลส และ โทสะ เลย

    เรามาแลกเปลี่ยนความคิด ด้วยเห็นว่าเป็นกัลยาณมิตรดีกว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2009
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,979
    ค่าพลัง:
    +3,259
    คนละเรื่องครับ

    พระท่านยังชี้ในประเด็นเดิม ประเด็น จิตมีหน้าที่รู้ ในฐานะเป็น ธาตุรู้

    ไม่มีใครจะไปแทรกแทรงให้จิต มันหยุดหน้าที่รู้ได้ เพราะทันทีที่เข้า
    แทรกแซง นั่นก็คือ ใช้จิตไปรู้ ไปทำหน้าที่อย่างใดหย่างหนึ่งอยู่ แบบ
    อินกับการกระทำนั้น(เจตนา) ทำให้มองไม่ออกว่ากำลังใช้หน้าที่รู้ของจิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...