การปฏิบัติธรรมต้องทำจิตสบายๆ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 5 พฤษภาคม 2024.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,770
    กระทู้เรื่องเด่น:
    64
    ค่าพลัง:
    +225,412
    18519426_742966689214119_4613583027858744738_n.jpg

    การปฏิบัติธรรมต้องทำจิตสบายๆ



    นี่การปฏิบัติให้เข้าถึงฌานสมาบัติก็ดี จะทิพพจักขุญาณก็ดี มโนมยิทธิก็ดี จะถึงพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีก็ดี เราก็ต้องทำจิตสบายๆ คืออย่าให้มันเครียดเกินไป อย่าทรมาน

    เห็นท่ามันจะง่วง มันจะปวด มันจะเมื่อย ถ้าปวดเมื่อยก็นั่งก็นอนซิ นอนไม่ชอบใจเราก็ยืน ยืนไม่ชอบใจเราก็เดิน นั่งขัดสมาธิไม่ชอบใจก็นั่งพับเพียบ นั่งพับเพียบไม่ชอบใจก็นั่งยองๆจะได้ขี้ง่ายหน่อย ฮึ! หรือไม่อย่างนั้นก็ไปนั่งเอน นั่งห้อยขา มันยังไงก็ได้ทั้งนั้น มันไม่จำเป็นต้องนั่งปึ๋ง!

    ฉันได้มาฉันไม่ได้ท่านั่งขัดสมาธิ ไอ้ได้ท่านั่งขัดสมาธิมันมีเท่าไรไม่รู้นะ นึกไม่ออก ไอ้นั่งถ้าได้ในลักษณะขัดสมาธินี่ เข้าใจว่าจะได้ตั้งแต่พื้นฐานต้นจนกระทั่งถึง ผรณาปีติ ปีติตัวสุดท้าย ตอนนั้นไม่ใช่ท่านั่งเลย ท่านอนกับท่าเดินนี่มากที่สุด

    ถ้าพูดถึงส่วนที่ได้มาน่ะ นี่เวลาทำก็ทำ ถ้าจะนั่งก็ต้องนั่งแบบสบายๆ ก็ไอ้จะไปเที่ยวนรกคราวแรกแล้วก็เที่ยว เอาเที่ยวเองครั้งแรก นั่นจะไปที่ จังหวัดสมุทรสาคร

    ไอ้คนเขามาคุยด้วย โอ้ย! มันก็คุยเรื่องตีไก่ กัดปลา กัดอะไร โอ้ย! คุยกันเพียบหมด ไม่รู้อะไร ลักกันบ้าง ขโมยกันบ้าง ว้า! เราก็นั่งฟัง เอ๊ะ! มันจะคุย ไอ้เราก็เป็นพระมันเสือกมาคุยเรื่องนี้ โยม! ก็ฟังไม่ไหว พอดีบ้านเขามีชานหลัง มีระเบียงบันไดข้างหลัง

    เดี๋ยวก็บอกโยมอากาศมันร้อน ขอไปนั่งเล่นหลังบ้านหน่อย แล้วก็นั่งเล่นหลังบ้าน นั่งห้อยขา ลมพัดมาเย็นสบาย มันเหมือนคล้ายๆกับนั่งพิงตุ่ม ฮึ! (หัวเราะ) ก็หากินท่านั้นอยู่เรื่อย นั่งลมพัดเย็นสบาย

    เออ..จิตสบายดี ก็ดี เดี๋ยวทรงอานาปาสักนิด จับฌานสักหน่อยให้จิตเป็นสุข ไอ้พวกนั้นมันคุยเสียงดังเดี๋ยวก็ไม่ได้ยินเสียงมันขี้เกียจฟัง ฟังแล้วฟังทีไร มันพูดทีไรประตูนรกเปิดทุกที ไอ้เราก็เพลิน พอสบายๆ พอจับอารมณ์สบายๆ ก็ไม่ตั้งใจจะไปไหน ตอนนั้นจับ "อานาปานุสสติ" และ "พุทธานุสสติ" ควบสองปื้ดเท่านั้นเอง มันปื้ด..อ้าว! ดิ่งลงไปปื้ดหนึ่งถึงเลย พอถึงอะไรนี่อะไรหว่า..มันเหมือนกับผืนแผ่นดิน ไอ้ความรู้สึกว่านี่ "อเวจีมหานรก" ตามความรู้สึกน่ะ มันบอกเลยเพราะอารมณ์มันเป็นทิพย์

    อเวจีนี่เดินๆไป เออ..อเวจีมันก็เหมือนผืนแผ่นดินธรรมดา

    เอ๊ะ! มันเป็นอเวจีได้อย่างไร พอเดินๆไปมันมีปล่องแค่นี้ มันมีสภาพเหมือนปล่องเราก็ เอ๊ะ! ไอ้อเวจีมันมีเท่านี้ ทำไมไม่เห็นมีคน ลองไปดูลงปล่อง นั่นมันไปแบบละเอียด ถ้าไปจริงๆ มันปื้ดเข้าไปเลย ไอ้นี่มันไม่ตั้งใจลงไปนรก โอ้โฮ! นี่มันใหญ่กว่าโลกมนุษย์ไม่รู้เท่าไหร่น่ะ ไอ้โลกมนุษย์นี่ ปัทโธ่ ไปวางมุมไหนก็ได้มองไม่เห็นหรอก ใหญ่มาก..

    ไอ้สถานที่ต้อนรับคนทำความชั่วนี่ แหม..พระยายม ท่านจัดไว้รโหฐานกว้างขวางใหญ่โตนะโยมนะ! ไม่ต้องวิตกกังวลนะ (หัวเราะ) ถ้าไม่มีที่อยู่ไม่เป็นไร เขาจัดสรรไว้เสร็จเรียบร้อย

    พอลงไปไอ้จิตมันคล่องกับการเรียนบาลีก็เลยอยากจะดูเทวทัต ก็ไปถึงเทวทัต ไอ้นี่แหละ โอ้โฮ! แดงแหงแก๋ กระดูกก็แดงฉาน! ไฟมันเหมือนแสงนี่ไม่มีเปลวมันละเอียดมันพุ่งมาทั้ง 6 ทิศ ทิศไหนบ้าง ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศล่าง ทิศบน มันเหมือนกับเอาสี่เหลี่ยมขัง หอกก็เสียบซะไม่มีล่ะ

    โอ้โฮ! เล่าตามบาลีบอก "คนที่ลงอเวจีมัน อจลัง"

    ไอ้คำว่า "อจลัง" แปลว่า ไม่มีการเคลื่อนหวั่นไหว ไม่มีการดิ้นรน ไม่มีการขยับเนื้อขยับตัว ไอ้เราก็นึกว่า เอ๊ะ! อเวจีมันหนักที่สุด ทำไมมันนั่งสบายๆ ที่ไหนได้ หัวหอกเสียบก้นหมด ไอ้หอกไม่เสียบเฉยๆ ฝานี้พุ่งมาจากฝานี้ มาติดฝานี้ ทะลุมาติดฝานี้ ไอ้ล่างติดข้างบน ไอ้บนติดข้างล่าง ว้า! มันขยับไม่ได้เลย

    เห็นท่านเทวทัต ก็เลยเป็นห่วงเพื่อนอีกคน ท่านโกกาลิกะ คู่หูกัน กลัวใครจัดแกนั่งเหยียดขาชันเข่า นึกว่าซวยจัด ไอ้หอกก็เสียบหมด ดูกระดูกก็แดงฉาน! ดูไปดูมา เอ๊ะ! เผลอไปก็ไม่ได้ตั้งเวลา ไม่ตั้งใจจะไปนี่

    เดี๋ยวลุงอิน ลุงอินไม่ใช่ พระอินทร์ นะ นี่ตาเทวดาอิน ชื่อ "หลวงตาอิน" แกเป็น "เทวดาชั้นจาตุมหาราช" อยู่ปากทางช่วงระหว่างทางสวรรค์ พรหมโลก โลกมนุษย์ แกยืนอยู่ตรงนั้น แกก็ไปเรียกท่านๆ กลับเถอะ! อ้าว! กลับไปไหนล่ะ มาเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวอะไรล่ะ สางแล้วพระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว ทำไมพระอาทิตย์ต้องขึ้นเร็วจริงว่ะ! (หัวเราะ) ไปดูเดี๋ยวเดียวพระอาทิตย์จะขึ้นเสียแล้ว ดูเวลาก็ไม่เยอะ

    อย่างอเวจีนี่มีอายุ 1 กัป มันก็แย่เดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง เราไปอยู่นั่น 2 นาทีได้หรือเปล่า ใช่ไหม มันคงไม่ถึง 2 นาทีแล้วก็กลับ

    พอกลับมาก็ปรากฏว่าไอ้หมอนั่น (ร่างกาย) นั่งพิงเสา ดีไม่หล่นใต้ถุนนะ นั่งห้อยขาพิงเสา ห้อยขาพิงเสาอยู่ข้างๆ เอาตัวแตะๆ นิดหนึ่ง เวลานั่งๆ อย่างนั้นนะ พิงเสาอยู่ ใช่ไหม ก็ไปแตะมันหน่อย ก็ยังดี ก็ปรากฏว่าพอมาพวกที่มาไปหมดแล้ว มันจะดันถึงสว่างได้อย่างไร

    ท่านเจ้าของบ้านก็บอก "เอ๊ะ! ท่านเห็นหลับสนิทจังเลย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น"

    เราก็บอก แหม..มันง่วงนี่ว่าอย่างไร เพลียมาก เห็นคุยอยู่กับตีไก่และขโมยกัน ก็ไม่รู้จะคุยว่าอย่างไร ไปด้วยก็ไม่ได้ ไอ้เราก็นั่งพิงเสาสบายๆ นี่อารมณ์ที่มันจะไปได้ ถ้าเราตั้งใจไว้ก่อนแล้วก็ทำ เวลาหลับแล้วก็ทำไป ถ้าจิตมันเข้าถึงจุดนั้นปั๊บมันจะไปตามจุดที่เราต้องการ

    อย่างพวกที่ฝึก มโนมยิทธิ อยู่นี่ ตั้งใจไว้จุดเดียวคือ พระจุฬามณี เวลาเดินไปเดินมาก็ภาวนาคาถาเรื่อยไป ก็นั่งๆถ้านั่งนึกได้ก็ว่าไป บูชาพระนอนๆนึกได้ก็ว่าไปเท่านี้ พอจิตเข้ามุมปั๊บ! ปื้ด..ไปจุดนั้นทันที

    นี่ก็เหมือนๆกับอย่างพวกนี้ อย่าง รัชนี ก็ดี จิตรลดาพวกที่ได้แล้ว ถ้าใครเขามาคุยเรื่องอะไรตั้งแต่ตอนเช้า เราก็สงสัยจริงหรือไม่จริงนะ เวลาไปเจริญกรรมฐานใครถามอะไรก็ตอบไป ทั้งๆที่เราก็ไม่สนใจอะไร พอถึงสมเด็จฯ ท่านจะพูดทันที ท่านจะได้ดีมีประโยชน์


    (จากธัมมวิโมกข์ เล่มที่ 241 เดือนเมษายน2544 หน้า 10-12)
     

แชร์หน้านี้

Loading...