การพิจารณาขันธ์ 5 ด้วยปัญญาวิปัสนา

เมื่อพิจารณาขันธ์ ๕ อยู่ด้วยวิปัสสนา ดังเช่น เห็นรูปขันธ์เป็นเหมือนกับต่อมน้ำ ตั้งขึ้นแล้วก็ดับไป เห็นเวทนาเป็นเหมือนกับฟองแห่งน้ำ เป็นก้อนวิ่งเข้ามากระทบฝั่งแล้วก็สลายเป็นน้ำตามเดิม เห็นสัญญาเป็นเหมือนพยับแดด ดูไกลๆ คล้ายกับเป็นตัวจริง เมื่อเข้าไปถึงที่อยู่ของมันจริงๆ แล้ว พยับแดดนั้นก็หายไป เห็นสังขารเหมือนกับต้นกล้วยซึ่งหาแก่นสารในลำต้นสักนิดเดียวย่อมไม่มี เห็นวิญญาณเปรียบเหมือนมายาผู้หลอกให้จิตหลงเชื่อ แล้วตัวเจ้าของหายไปหลอกเรื่องอื่นอีก ดังนี้เป็นต้น เป็นพยานขององค์วิปัสสนาปัญญาให้เห็นแจ้งว่า สัตว์ที่มีขันธ์ ๕ ต้องเหมือนกันดังนี้ทั้งนั้น ขันธ์มีสภาวะเป็นอยู่อย่างนี้ทั้งนั้น ขันธ์มิใช่อะไรทั้งหมด เป็นของปรากฏอยู่เฉพาะของเขาเท่านั้น ความถือมั่นอุปาทานย่อมหายไป มิได้มีวิปลาสที่สำคัญว่าขันธ์เป็นตนเป็นตัว เป็นอาทิ

 

อนุโมทนา สาธุ

แต่กว่าจิตจะเห็นสภาวะปรมัตถ์ดังกล่าวพวกนี้จริงๆ ก็ต้องเดินทางกันไม่น้อยทีเดียว

 

ภาวนาต้องได้ฌาน4ก่อน(อัปปนาสมาธิ)จนจิตเป็นหนึ่งเดียว(จิตอุเบกขา) พิจารณาจนตัดสังโยชน์1-3ได้ก็เป็นโสดาอริยะ
พิจารณาต่อในราคะ จนตัดได้ ก็ได้สกิทานา พิจารณาต่อจนตัดโทสะได้ ก็ได้อนาคามี
พิจารณาวางได้ทั้งหมดก็ตัดโมหะสังโยชน์6-10ได้ บรรลุเป็นพระอรหันต์

 

ในพระไตรปิฎกมีบอกเอาไว้ บางท่านอาจจะมีวิปัสสนา นำสมถะ บางท่านอาจจะมีวใถะ นำวิปัสสนา แล้วแต่จริตของแต่ละคน

แม้ในยุคพุทธกาลเอง ก็มีผู้ที่สำเร็จจากการที่สะสมบุญบารมีมาเต็มแล้ว พอได้ฟังธรรมเหมือนเติมน้ำหยดสุดท้าย ก็เกิดปัญญาหลุดพ้นได้ในทันที

ดังนั้นแล้ว การที่คุณเอากิเลสของตัวเอง อัตตาของตัวเอง มาแสดงแบบนี้ มันอาจจะทำลายกำลังใจของผู้ปฏิบัติแนวอื่น ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ฌาน 4

บาปกรรมนี้แหละ จะติดตัวคุณไป และขัดขวางการเข้าถึงมรรคผลของตัวคุณเองนะ... พิจารณาให้ดี ก่อนจะแสดงอะไรด้วยความคึกคะนอง

 

แหม...ว่าจะไม่แล้วเชียว....
พระพุทธองค์ใช้กำหนดลมหายใจแล้วเข้าถึงฌาน4 ยกสมถะขึ้นเป็นวิปัสสนาแล้วบรรลุธรรมด้วยวิธีนี้....วิธีเดียว..
...ต่อมาเกิดครูบาอาจารย์มากมาย...เป็นตามจริตกรรมฐาน40กองขึ้นมา
เมื่อค้นคว้าไปแล้วได้ความว่า พวกที่นอกครู ส่วนใหญ่อัฐธาตุไม่เป็นพระธาตุ ไม่ใสเหมือนแก้ว....แล้วเราจะไปรู้ได้อย่างไรว่า แนวทางอื่นๆอีก39แนวทางนั้น ได้ผลลัพธ์จริง....
ก็ได้แต่คาดเดากันไป...
แต่แนวทางกำหนดลมหายใจและใช้คำ พุทโธ กำกับนี่ พิสูจน์ได้ว่า มีพระธาตุเกิดจริง เห็นได้พิสูจน์ได้ว่า เป็นพระธาตุจริงๆไม่มีข้อสงสัยใดๆ
...แต่ผมสงสัยว่า กรรมฐานอื่นๆอีก39วิธีการนั้น สร้างพระอรหันต์ได้จริงหรือ....เพราะไม่ได้ใช้ตามแนวทางพุทธองค์...

 

ไม่ใช่แนวทางการสอนของพระพุทธองค์

 

ฌานสูตร
[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ตติยฌานบ้าง จตุตถฌานบ้าง อากาสนัญจายตนฌานบ้าง ฯลฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เพราะอาศัยเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌานบ้าง ฯ
ก็ข้อที่เรากล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
เพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เป็นโรคเป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร ไม่มีสุข เป็นอาพาธ เป็นของผู้อื่น เป็นของชำรุด ว่างเปล่า
เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว เธอย่อมโน้มจิตไปเพื่ออมตธาตุ
ว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง
ความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัดความดับ นิพพาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความ
สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ
จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป
ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนนายขมังธนู หรือ
ลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงรูปหุ่นที่ทำด้วยหญ้าหรือกองก้อนดิน ต่อมาเขาเป็นผู้ยิงได้ไกล
ยิงไม่พลาด และทำลายร่างใหญ่ๆได้แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล
สงัดจากกาม ฯลฯบรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ...
ว่างเปล่าเป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้วย่อมน้อมจิตไปเพื่อ
อมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ... นิพพาน เธอตั้งอยู่
ในปฐมฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ข้อที่เรากล่าวว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายเพราะอาศัยปฐมฌานบ้าง ดังนี้นั้น
เราอาศัยข้อนี้กล่าวแล้ว ฯ

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๓๔๑/๓๗๙

 

ต่อมน้ำ พยับแดดคืออะไรครับ

 

ที่ว่ามานี้เข้าใจผิดนะ
ถ้าเป็นศิษย์สาย พุทโธ จริง ให้กลับไปศึกษาใหม่ ว่า ครูบาอาจารย์ สอนอะไรกันแน่ ที่พูดมานี้ ถากแค่เปลือก เท่านั้น!!!

 

หยุดการแสดงแล้ว...นี่แหละหนา อาจารย์มหาบัวถึงเรียกเป็นพวกหนอนตำรา...
..ไอ้จะลงมือปฏิบัติจริงเพื่อรู้ด้วยตนเอง วาสนาก็แสนไกล...เฮ้อ...

 

ที่เรียกว่าหนอนตำรา นี่คือท่าน NARKA หรือผมครับ?

 

ต่อมน้ำ อุปมาหยดน้ำ
พยับแดด ภาพไอระเหยของน้ำ อาทิ ไอระเหยน้ำในท้องถนนเมื่อมองจากระยะไกลเหมือนมีขึ้นจริง แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับสลายไปหาได้ปรากฏดังสายตาเห็นไม่ หรือภาพโอเอซิสในท้องทะเลทรายแห้งผาก แต่ในความเป็นจริงแล้วหาได้มีปรากฏไม่ นิมิตขึ้นด้วยรูปวิญญานของผู้เห็นเอง

 

ที่นี่วุ่นวายหนอๆ....
ท่านอินทรบุตร...การกล่าวอ้างว่าเป็นหนอนตำรานั้น คือ ตัวข้าพเจ้าเอง มิเป็นผู้อื่น..
แต่พออ้างตัวตน ว่าเป็นตนเองแล้ว ก็ให้ละอายยิ่งนัก ว่าที่แท้ มันไม่มีตัวตน มันเป็นเพียงขันธ์5 เท่านั้น ที่มิใช่ตัวเรา...ท้ายสุดมันก็เป็นอนัตตา ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปตามธรรมชาติ แต่จิตที่ยังมิสิ้นกิเลศ ก็ยังหมุนเวียนเกิด ดับๆต่อไป.....
..ผมเคยกราบเรียนถามอาจารย์พระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดโสมฯธรรมยุตว่า คนที่ฟังพระพุทธองค์เทศนาแล้วบรรลุธรรมโดยมิได้ภาวนา ทำได้หรือ เพราะเหตุใด...ท่านอาจารย์เมตตาอธิบายว่า ทำได้ เพราะเขาใช้วิปัสสนาคิดตามคำสอนไปด้วย จึงสามารถบรรลุธรรมในขั้นต่างๆของอริยะได้...ซึ่งในความหมายคือ เขามีบุญเต็มเปี่ยมมาเก่าก่อนแล้วนั่นเอง..
..คำตอบนี้ คงเป็นข้อยืนยันได้ว่า"แนวทางฌาน4นั้น ก็ไม่ใช่แนวทางเดียวที่จะบรรลุธรรม แต่ก็มีแนวทางอื่นๆอีกมากมาย เพียงว่าขอให้ได้เพียงปฐมฌานก็อาจเพียงพอแล้วก็ได้
สรุปคือจะภาวนา หรือไม่ภาวนา แต่จิตเป็นสมาธิแล้วเป็นวิปัสสนาได้ ก็ได้ตามวาสนาบารมีเดิมแล้ว เอวัง ฮา

 

สาธุ...
คำว่าสมาธิ สมาธิระดับจะทำให้เกิดปัญญาทางวิปัสสนาได้ สัมมาสมาธิ
ไม่ใช่สมาธิที่จะต้องนั่งนิ่งๆ เฉยๆ แต่เป็นสมาธิที่ใช้ชีวิตทางโลกปกติไปได้ และทรงสภาวะแห่งสมาธินี้ไปพร้อมกัน

ขอให้ท่าน NARKA ประสบสภาวะสมาธิที่ว่านี้ครับ