การหลอกลวงแต่ละประเภทจะให้ผลกรรมยังไงคะ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย blanking, 26 มิถุนายน 2016.

  1. blanking

    blanking สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2015
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +8
    รบกวนถามท่านผู้รู้หน่อยค่ะ
    อยากอยากทราบว่าผลกรรมของการหลอกลวงแต่ละประเภทต่อไปนี้ต่างกันหรือไม่ และให้ผลยังไงคะ
    1. หลอกลวงแบบตั้งใจ และทำให้ผู้ถูกหลอกเดือดร้อน เช่น การหลอกเอาทรัพย์สิน เป็นต้น
    2. หลอกลวงแบบตั้งใจสืบหาความจริงบางอย่าง แต่ไม่ได้ทำให้ผู้ถูกหลอกเดือนร้อน เช่น แกล้งทำเป็นคนอื่นแล้วไปถามหาความจริงบางอย่างจากผู้ถูกหลอก แบบประเภทจับผิดแฟน โดยไปแกล้งหลอกถามจากคนใกล้ตัวเขา
    3. หลอกลวงแบบดารา นักแสดง เพราะในชีวิตจริง นักแสดงนั้นๆอาจจะไม่ใช่แบบที่แสดงออกมา เขาแค่ทำตามบทที่ได้รับ อันนี้ผู้หลอกลอกคงเต็มใจให้หลอกนะคะ ฮ่าๆๆ
    การหลอกลวงทั้งสามแบบนี้ต่างกันหรือไม่คะ และให้ผลยังไงกับคนที่ทำคะ
    ขอบคุณค่ะ
     
  2. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    แตกต่างกันไปตามระดับของปัจจัยดังนี้
    1. สภาวะจิต
    2. ผลกระทบจากการกระทำ

    กรณีตัวอย่างแรก จงใจกระทำ ไม่สนว่าใครจะเดือดร้อน ในใจนั้นชั่วเต็มขั้น กรณีที่สอง จำใจต้องทำ ในใจลึก ๆ อาจไม่ใช่คนชั่วร้ายนัก กรณีที่สาม เป็นดาราก็เหมือนกันตัวอย่างที่สอง อาจจะต่างกันแค่เป้าหมายและผลกระทบเล็กน้อย

    ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องของจิตใจ ถ้าเป็นคนเลว คนชั่ว ก็บาปมาก โอกาสไปนรกก็มาก ตอนยังไม่ตายก็มักพบกับความทุกข์อยู่แล้ว เพราะโลภอยากได้ของคนอื่นอยุ่เรื่อย คนชั่วไม่รู้จักพอหรอก แต่ถ้าคนจำใจทำ รู้ว่าไม่ดีแต่ต้องทำ เพราะจำเป็น มันก็ความชั่วเหมือนกัน ตายไปตอนจิตเศร้า ๆ ก็ตามมหาโจรไปเลย จะแตกต่างก็แค่ ประเภทนี้ยังกลับตัวได้ ถ้าไม่ทำให้จิตเศร้าหมองโดยการเที่ยวคิดแต่สิ่งไม่ดีที่เคยพลาดทำลงไป ก็อาจจะพ้นนรกได้เหมือนกัน ประเภทสาม ดารา อันนี้ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะดาราจะคิดแค่ว่ามันคืองาน เราแสดงละคร มีผู้เสพละคร เสพสื่อ อยู่ที่เขาจะมองเรา โอกาสตกนรกแทบไม่มี ยกเว้นดาราขี้อิจฉา

    แต่ทว่า ผลการกระทำที่เราได้กระทำกับผู้อื่นนั้นยังมีอยู่ แม้เราจะไม่ตกนรก แต่ผลกรรมไม่ว่ากระทำด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา ย่อมมีผล ถ้าเผลอก่อความเดือดร้อนกับใครไว้ ก็เตรียมรอรับกรรมได้เลย ทั้งในชาติที่กระทำ และในชาติต่อไป ทั้งในสวรรค์หรือนรก
     
  3. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    แตกต่างกันไปตามระดับของปัจจัยดังนี้
    1. สภาวะจิต
    2. ผลกระทบจากการกระทำ

    กรณีตัวอย่างแรก จงใจกระทำ ไม่สนว่าใครจะเดือดร้อน ในใจนั้นชั่วเต็มขั้น กรณีที่สอง จำใจต้องทำ ในใจลึก ๆ อาจไม่ใช่คนชั่วร้ายนัก กรณีที่สาม เป็นดาราก็เหมือนกันตัวอย่างที่สอง อาจจะต่างกันแค่เป้าหมายและผลกระทบเล็กน้อย

    ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องของจิตใจ ถ้าเป็นคนเลว คนชั่ว ก็บาปมาก โอกาสไปนรกก็มาก ตอนยังไม่ตายก็มักพบกับความทุกข์อยู่แล้ว เพราะโลภอยากได้ของคนอื่นอยุ่เรื่อย คนชั่วไม่รู้จักพอหรอก แต่ถ้าคนจำใจทำ รู้ว่าไม่ดีแต่ต้องทำ เพราะจำเป็น มันก็ความชั่วเหมือนกัน ตายไปตอนจิตเศร้า ๆ ก็ตามมหาโจรไปเลย จะแตกต่างก็แค่ ประเภทนี้ยังกลับตัวได้ ถ้าไม่ทำให้จิตเศร้าหมองโดยการเที่ยวคิดแต่สิ่งไม่ดีที่เคยพลาดทำลงไป ก็อาจจะพ้นนรกได้เหมือนกัน ประเภทสาม ดารา อันนี้ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะดาราจะคิดแค่ว่ามันคืองาน เราแสดงละคร มีผู้เสพละคร เสพสื่อ อยู่ที่เขาจะมองเรา โอกาสตกนรกแทบไม่มี ยกเว้นดาราขี้อิจฉา

    แต่ทว่า ผลการกระทำที่เราได้กระทำกับผู้อื่นนั้นยังมีอยู่ แม้เราจะไม่ตกนรก แต่ผลกรรมไม่ว่ากระทำด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา ย่อมมีผล ถ้าเผลอก่อความเดือดร้อนกับใครไว้ ก็เตรียมรอรับกรรมได้เลย ทั้งในชาติที่กระทำ และในชาติต่อไป ทั้งในสวรรค์หรือนรก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 มกราคม 2017
  4. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    ความเชื่อกับความหลง นี้จะอยู่ไกล้ๆกัน
    ศรัทธาจริตนี้ไม่ได้แปลว่าเชื่อคนง่าย แต่จะเชื่ออะไรอย่างเป็นเหตุเป็นผล
    เพราะบุคคลท่านนี้ๆกล่าวมีเหตุผลจริงๆเขาถึงจะเชื่อ จะไม่ค่อยมองหลายแง่มุมเพราะเหตุผลหลักๆของเขามีอยู่
    โมหะจริตนี้จะเชื่อง่ายใครว่าอะไรมาก็จะเชื่อโดยไม่ค่อยจะประกอบด้วยเหตุผล
    โทสะจริตนี้จะเชื่อในเหตุผลแต่จะปักหลักเหตุผลนั้นอยู่ในตัว ศรัทธาที่มีจากเหตุผลภายนอกนั้นจึงมีน้อย
    วิตกจริตนี้จะรับฟังเหตุผลนั้นได้หลากหลาย แต่จะหาเหตุผลที่มาลงล็อคกับตัวเองนั้นได้ช้า
    เพราะต้องการความครอบคลุมที่แน่นอน จึงทำให้ตัวเองนั้นแน่นอนช้าหน่อย
    ราคะจริตนี้มีความเชื่อที่เป็นเหตุผลละเอียดละออ แต่อาจจะไม่ฟังเหตุผลที่ค้อนข้างมาแรง
    พุทธะจริตนี้มีเหตุผลอยู่ในตัวและรับฟังเหตุผลได้หลายแง่หลายมุม และไม่ปักหลักเหตุผลที่อยู่ในตัวเอง
    หากเหตุผลภายนอกนั้นดีกว่า เหตุผลแบบเป็นกลาง

    เหตุผล+ความเชื่อ+ความคิดเห็น นั้นก็เปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะพาเราไปในทิศทางไหน
    การไปหลอกเขาก็คงต้องดูก่อนว่าหลอกเขาไปทางไหนหละ?
    สิ่งที่ทำๆอยู่ย่อมเกิดเป็นนิสัยเล็กๆน้อย จากเล็กๆน้อยๆ ย่อมเกิดจนกลายเป็นความเคยชินต่อนิสัยนั้นๆ
    จากนามธรรมก็ส่งผลจนมาเป็นรูปธรรม ส่งผลต่อการอยู่ร่วมกับสังคมและการดำเนินชีวิต
    และกำลังใจในการทำทาน ซึ่งหากยังไม่ถึงพระนิพพาน ก็ยังต้องไปเสวยผลนั้นๆต่อ

    การหลอกนั้นสร้างความหลง แต่ความหลงนั้นก็ช้วยสร้างความรู้
    คนเจ็บป่วยนั้นต้องการยา หากได้ยาไม่ตรงนั้นอาจทำให้เกิดพิษ แต่ในพิษบางตัวนั้นอาจช้วยแก้พิษอีกตัวนึงได้
    และพิษจากการเคยได้ยาผิดมานั้น เราอาจจะเรียกได้ว่าเราได้ยามา
     
  5. mayamo

    mayamo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +120
    ตอบ ตามความรู้สึกของผมเองและจากการอ่านพบเจอในหนังสือครับ
    1.หว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้นง่ายๆก็คือโกหกหลอกลวงกับใครผลนั้นมักจะกับมาหาที่ตัวเราวันหนึ่งเราก็จะโดนคนอื่นมาโกหกหลอกลวงเรากลับเช่นข่าวที่เคยเกิดขึ้นกับ หมอเผ่าซึ่งถูกน.ส.เปรมิกาในขณะนั้นกับเพื่อนหลอกลวงว่าเคยเป็นสามีภรรยากันมา99ชาติหมออยู่ในช่วงมีปัญหาด้านจิตจึงหลงเชื่อเลยถูกนางกับเพื่อนหลอกลวงให้ซื้อรถยนต์ให้และเงินอีกหลายล้านบาท ปัจจุบันคดีถึงที่สุดแล้วศาลตัดสินให้นางต้องติดคุก4ปีกว่าและคืนเงินให้หมอเผ่า 8 ล้านกว่าบาทเป็นผลกรรมทั้งดีทั้งชั่วนะครับที่จะให้ผลกับเรา
    2.น่าจะเหมือนข้อ 1.
    3.เคยอ่านหนังสือพบพระพุทธเจ้าท่านตอบนายตาลปุตผู้ซึ่งเป็นดาราดังสมัยพระองค์ว่านักแสดงหรือดารามีนรกเป็นที่ไปหากตายจากการเป็นมนุษย์(อันนี้หาอ่านได้ครับ)
    หากไม่ถูกต้องขออภัย รอผู้ที่มีความรู้จริงๆตอบอีกทีครับ
     
  6. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    เป็นคำถามที่ดี .. เพราะผมยังเจอคนที่ทำบุญตักบาตร
    แต่ความประพฤตินั้นยังเข้าใจว่าหลอกคนถ้าจับไม่ได้ ถือว่าไม่ผิด

    ก็ไม่รู้ว่าเข้าใจ พระธรรมกันหรือป่าว หรือว่านับถือเป็นพิธีเพื่อมีสังคมเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...