ก้อนหิน

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 10 กรกฎาคม 2013.

  1. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ก็ยอมรับว่าการปฏิบัติที่มาเอาจริงเอาจังอีกครั้งเพราะเห็นทุกข์ แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้นเพราะศรัทธาต่างหาก การนับถือศาสนาต่างๆเพราะคำว่าศรัทธานี่แหละทำลายยากที่สุด กล่าวมากไปข้าพเจ้าก็ยังด้อยกว่าอีกหลายๆท่าน เอาเป็นว่านับถือความคิดและมุมมองของเจ้าของกระทู้นะ จึงได้ติดตาม
     
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เรื่องนี้เคยทำนายไว้ก่อนแล้วกับซิกเว่ย์...วันนี้ก็เป็นจริง เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้นในวงการธุรกิจนี่เองครับ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เป็นไปตามกฎของไตรลักษณ์...
     
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    มีน้องคนนึง มาบ่นให้ฟังว่า คิดถึงสิ่งที่ผมพูดเอาไว้เมื่อปีก่อนว่า ความลับทางธุรกิจ ต้องไม่บอกใคร ไม่งั้นก็จะโดนเขาเอาผลงานแล้วแนวความคิดไปใช้...
    ความที่ไม่เชื่อคำเตือน ก็ต้องเจอเข้าจนได้ครับ แล้วก็มานั่งเจ็บปวดใจ ที่โดนเขาขโมยผลงานและแนวความคิดตัวเองไป แถมยังโทรกลับมาด่าให้เจ็บใจอีก...

    อ่านข่าวเรื่องขนมไส้กล้วย แล้วก็เห็นใจนะครับ เพราะคนทำธุรกิจก็มีความหวัง มีฝัน อยากจะกระจายสินค้าไปได้ทั่วประเทศ อยากรวย ฝันมากมาย...สุดท้ายปลาใหญ่กินปลาเล็ก เขาเอาไปทำขายเอง ก็ต้องมานอนร้องไห้หนักมาก ...

    ถ้าจะบอกว่า เรื่องการหักหลังกัน ในทางธุรกิจเป็นเรื่องปกติครับ...
    พูดตรงๆแบบนี้แล้ว หลายคนอาจจะรับไม่ได้ จะเรียกร้องหาคนดี คนจริงใจ คนเสียสละ ฯลฯ...เพื่อจะได้มาทำธุรกิจร่วมกัน...รอไปเถอะครับ...หรือไม่ก็ไปหาทำงานเป็น NGO ให้กับชาวบ้านที่อมก๋อย เถอะครับ...อย่ามาทำธุรกิจเลยนะ...

    เมื่อรู้อยู่แล้วว่า ธุรกิจต้องมีการหักหลัง สิ่งที่คิดคือ จะหักหลังกันได้กี่วิธี แต่ละวิธีมีทางป้องกันยังไง นอกจากป้องกันแล้ว เตรียมการรองรับหลังจากถูกประกาศหักหลังซึ่งๆหน้ายังไง...วางกับดักล่ะ เป็นไหม? รู้จักสร้างดาบสองคม หรือกระบี่หรือเปล่าล่ะ ถ้าร่วมมือกันดี ก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน หักหลังเมื่อไรแกก็จะพังด้วยมือของแกเอง เพราะโดนคมที่2 เชือดคอตัวแกเอง...

    คิดจะทำธุรกิจ ต้องคิดไว้แล้วว่า เมื่อโดนหักหลัง จะต้องทำยังไง? เพราะมันต้องเจอแน่ๆ และคนที่ต้องระวังมากที่สุด ก็คือคนที่เราไว้ใจมากที่สุด คนที่เรารักมากที่สุด คนที่เราคาดหวังมากที่สุด แน่นอนว่าเป็นคนที่ทำให้เราเจ็บได้มากที่สุดเช่นกัน...
    ไม่ต้องหลอกตัวเองครับว่าไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก ...
    ผมเกิดมาบนพื้นฐานของความซวย...ผมมองโลกนี้ว่าจริงๆแล้วมันโหดร้ายมาก...
    แต่ในเมื่อผมยังหนีจากมันไปไม่ได้ ผมจะต้องหาวิธีอยู่กับโลกของความโหดร้ายนี้ให้ได้สิ...

    บางคนบอกว่าผมไม่มีหัวใจ...
    ผมจะบอกว่าหัวใจผมยกถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าไปแล้วตั้งแต่ครั้งวัยรุ่น...
    ผมทำธุรกิจด้วยสมอง ไม่ได้ทำธุรกิจด้วยใจ...
    ผมฝึกกรรมฐานด้วยใจ ไม่ได้ฝึกด้วยสมอง...

    ธุรกิจก็ต้องทำแบบธุรกิจ ระวังไว้ก่อน คิดแง่ร้ายเอาไว้ เพื่อหาทางป้องกัน ป้องกันแล้วก็วางแผนแก้ไข วางแผนแก้ไขแล้วก็เผื่อทางหนีเอาไว้ด้วยอีกสัก3-4ทาง...เพราะยามที่คนเราซวยขึ้นมาจริงๆ...อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ...ดังนั้น การคิดถึงความซวยที่จะเกิดขึ้นแล้วหาทางระวังป้องกันแก้ไขและช่องทางหนีเอาไว้นั้น จะทำให้เมื่อเกิดพบปะเข้ากับความซวยเข้าจริงๆ โดนหักหลัง 13 ตลบ...เราก็จะมีทางเอาตัวรอดได้บ้างครับ...
     
  4. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    คนเรามีปะปนกัน คนดีอย่าเป็นเหยื่อคนไม่ดี คนดีต้องใช้ปัญญาคิดให้รอบด้าน เคยเจอการหักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ต้องจากคนที่เรารัก ไว้ใจ ใกล้ตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดได้ไง เอาเป็นว่าอภัยไม่อยากยุ่งเกี่ยว แต่ที่เขาติดค้างเราเขาต้องคืนตามที่ควรจะเป็น ไม่ปล่อยเพราะมันคนละส่วนกัน ใจก็ใจ สมองก็สมอง ครั้งหลังเราจะคิดให้รอบด้านเหมือนท่านระมิงค์ เพราะเราก็ไม่ได้เกิดมาโชคดีทำอะไรได้ง่ายๆสบายๆ
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ถูกหลอกครั้งแรก เป็นความเลวของเขา...
    ถูกหลอกครั้งที่สอง เป็นความโง่ของเรา...

    ไม่เกี่ยวกันเลยว่าเป็นเพราะเราดีเกินไป...
    คนดีกับคนโง่ ไม่เหมือนกันครับ
    คนดี ต้องฉลาดด้วย เพราะต้องรู้ว่าถ้าทำชั่วแล้วส่งผลร้ายอย่างไรบ้าง ถ้าทำดีแล้วส่งผลอย่างไรบ้าง เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจึงเลือกที่จะป้องกันความชั่วไม่ให้มาทำร้ายเราได้ และทำความดีให้ประสบความเจริญยิ่งขึ้นต่อไป...

    ในโลกปัจจุบัน ทุกอย่างดูซับซ้อนมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจนผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ความรู้ และทฤษฎีต่างๆที่เราเคยรู้มา ตอนนี้ส่วนมากใช้การไม่ได้เสียแล้ว

    พลิกแพลงตามสถานการณ์ พูดมันก็ง่ายครับ ทำจริงๆ ต้องตั้งสติให้ดี ข่มอารมณ์ต่างๆเอาไว้ก่อน ค่อยๆคิด แล้วเขียนมันออกมา โยงแง่มูมต่างๆมาดูว่าเราจะพลาดตรงไหนได้บ้าง...

    วันที่ผมเปิดกิจการ ด้วยเงินเพียงหมื่นกว่าบาท มีโรงงานมาตามผมเข้าไปร่วมกิจการด้วยกัน ผมรู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการจะช่วยอะไรหรอก นอกจากหวังจะใช้ประโยชน์จากความรู้ความสามารถผม เมื่อเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว เขาก็จะถีบผมออกมา ในระหว่างนั้นเขาต้องหาทางยึดบริษัทฯของผมไปเป็นของเขา...
    มันเป็นรูปแบบ เดิมๆซ้ำๆซากๆ ที่จะหักหลังกัน จ้องยึดกิจการ เพราะเงินทุนเขาหนากว่า บุคลากรมีมากกว่า ที่ดิน ทรัพย์สิน ประสบการณ์กว่า40ปี ฯลฯ
    สิ่งที่เขาขาดคือ มันสมองที่จะสร้างสรรค์ให้สิ่งที่เขาฝัน สามารถทำได้เป็นรูปธรรม...

    ธรรมดาของโลกใบนี้ ไม่มีใครหรือองค์กรณ์ใดที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพียงลำพัง...
    เรามีสิ่งที่เขาต้องการ ในวันนี้...แต่วันพรุ่งนี้ เมื่อเขาได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เราจะกลายเป็นมลพิษที่ต้องถูกกำจัดทันที ผมหมายถึงทันทีจริงๆ...

    เงินหมื่นกว่าบาท จดทะเบียนบริษัทฯก็แทบหมดแล้วครับ เหลือตังค์ไม่กี่บาท ผมจึงต้องพึ่งโรงงานที่เข้ามาชวน ทั้งๆที่รู้ว่าเขาต้องการใช้ความสามารถผมเพื่อผลิตภัณฑ์ของเขา และสุดท้ายจะต้องหักหลังผมอย่างที่ผมเกริ่นให้ฟังไปแล้วข้างต้น...

    เมื่อรู้อยู่แล้วว่าต้องโดนหักหลัง ก็ต้องเตรียมผลิตภัณฑ์ของตัวเองเอาไว้ ตลาดเดิมแต่ผลิตภัณฑ์ของเราเอง ขายพ่วงกันไป ในตลาดเดียวกัน ในระหว่างนั้นก็หาผลิตภัณฑ์ใหม่ ในตลาดใหม่ด้วย

    ในที่สุดเมื่อผมถูกหักหลัง หลังผมก็ยังไม่หัก จะเหยียบผมขึ้นไป ผมก็ลื่นกว่าปลาไหล เพราะผมมีผลิตภัณฑ์ทั้งในตลาดเก่า และผลิตภัณฑ์ที่ต่างประเภทกันในตลาดใหม่ กว่าจะโดนหักหลังก็ผ่านไป 2 ปี ปีแรกผมมีรายได้รับรู้เพียง 7-8 ล้าน ในสภาพวิกฤติเศรษฐกิจ ปีที่2 รายได้รับรู้ 23 ล้านกว่าๆ โดนหักหลังมันก็เลยไม่เป็นไรแล้วครับ...

    ฝ่ายที่หักหลังผมซะอีกครับ เมื่อไปจับมือกับคู่ค้ารายใหม่ ก็ไปโดนเขาหักหลังอีกที ทั้งนี้เพราะคนเหล่านี้ก็มองครับว่า ถ้าขนาดผมช่วยเหลือให้ความร่วมมืออย่างดีแล้ว คุณยังหักหลังผมได้ คนพวกนี้เขาก็ไม่ไว้ใจโรงงานนี้อยู่แล้ว ในที่สุดแล้ว คนที่จะเข้ามาร่วมมือกับโรงงานนี้ก็มาเพื่อฉวยผลประโยชน์ เสร็จแล้วก็จากไป...

    ส่วนผมน่ะ ก็ยิ้มๆแล้วบินจากไป จะให้หวนกลับไปจับมือด้วย ก็นะ..คนดีๆเขาคงไม่ทำกันหรอก ว่าไหม?

    ร.6 ทรงตรัสไว้ว่า "แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ"
    ถ้าไม่อยากตายตั้งแต่ยังไม่ลงสนามรบ ก็จงเตรียมตัวเองให้พร้อมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2015
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    วันนี้มีคนถามเรื่องยักษ์ค้าปลีก ที่สยายปีก ครอบคลุมทุกทิศทั่วไทย ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ดังคำที่เคยประกาศไว้ว่า ทุกคนที่ตื่นนอนแล้วเดินออกจากบ้านจะต้องจ่ายเงินให้กับเจ้าสัวท่านนี้...
    เจ้าสัวจะคุมเรื่องอาหารทั้งหมด รวมถึงปุ๋ย ยา เมล็ดพันธุ์ การแปรรูปการเกษตร รถไฟฟ้า โครงข่ายสื่อสาร กำลังจะมีธนาคาร และไมโครไฟแนนท์ที่ปล่อยผ่านร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ

    น่ากลัวครับ อันตรายอย่างยิ่ง เพราะนั่นหมายถึงคนไทยทั้งหมดจะกลายเป็นหมูในอวย, ไก่ในเข่ง หรือ ลูกไก่อยู่ในกำมือ จะคลายก็รอด จะบีบก็ขี้เลอะมือ...
    ทำยังไงกันดี????

    รอเปิด AEC ครับ การแข่งขันจะกระจายอยู่ทั่วไป จีนจะเข้ามาลงทุนแข่งขันด้วย เบื้องหลังบริษัทฯที่จะเข้ามาแข่งนั้น มีเงินทุนรัฐบาลหนุนหลังอยู่ การต่อสู้แข่งขันห้ำหั่นเพื่อแย่งชิงฐานลูกค้าจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ผู้บริโภคดูเหมือนจะได้ประโยชน์อย่างสับสน งงๆ มึนๆ มีอาการเมาหมัดจากกลยุทธ์การตลาดที่หลายฝ่ายอัดกันเข้ามา คืออัดมาที่ประชาชนน่ะครับ...

    30-40ปีก่อน เจ้าสัวเป็นผู้บุกเบิกให้คนจีนมีไก่กิน วันนี้เจ้าสัวมีฟาร์มไก่ครบวงจรตั้งแต่ปลูกข้าวโพดเพื่อเป็นอาหารไก่ไปจนกระทั่งแปรรูปในขั้นตอนสุดท้าย แต่ส่วนแบ่งการตลาดกลับมีไม่ถึง 10 % ครับ ทั้งๆที่ต้นทุนในการเลี้ยงไก่ด้วยระบบอัตโนมัตินี้ มีค่าใช้จ่ายตัวละประมาณ 5 บาทเท่านั้นครับ...

    เมื่อ AEC เริ่มทำงาน ส่วนแบ่งการตลาดของเจ้าสัวจะลดลง ตลาดจะปั่นป่วน มากบ้าง น้อยบ้าง แต่จะไม่มีวันสงบอีกต่อไป สิ่งที่เจ้าสัวเตรียมการไว้คือ ซื้อหุ้นร่วมทุนกับค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากฮ่องกง เพื่อขยายการค้าให้ครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเซีย ซึ่งได้เซ็นสัญญาเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นถึงแม้ส่วนแบ่งการตลาดในไทยจะหดหายไปบ้าง ภาพรวมเจ้าสัวจะยังคงมีกิจการที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อไปครับ...

    การที่คนใดคนหนึ่ง กอบโกยทรัพยากรมาไว้กับตัวเองมากขึ้นๆๆ...นั่นหมายถึงคนจำนวนมากจะสูญเสียทรัพยากรมากขึ้นๆๆ ไปด้วย ความร่ำรวยของคนๆหนึ่ง จะดึงเอาความร่ำรวยของคนส่วนมากจากไป ดังนั้นคนส่วนใหญ่จะจนลง แม้ว่าเราจะหลับตา เอามืออุดหู แล้วตะโกนแต่คำว่า"พอเพียงๆๆๆ" จนคอแหบคอแห้ง มันก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ ....
    คำว่า พอเพียง มันต้องเอาไปใช้กับเจ้าสัว กฎุมภีร์ ทั้งหลาย..ไม่ใช่ใช้กับชาวบ้าน ที่ลำบากยากจน ปากกัด ตีนถีบ มือยึด หัวโขก...
    แต่ก็นั่นแหละนะ ไม่มีใครเขามาสนใจหรอกครับ...เราต้องจึงต้องช่วยตัวเอง และหาหนทางรอดกันเอาเอง

    ดังนั้นจึงต้องถามตัวเราเองว่า พวกเราจะเอาตัวรอดจากปรากฎการณ์แบบนี้ได้อย่างไร ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 เมษายน 2015
  7. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ทุกวันนี้ก็พยายามคิดอยู่ว่าระหว่างทรัพย์สินที่หามาได้กับหนี้สินที่มีอะไรมันมากกว่ากัน แนวโน้มนับวันชักจะเอนเอียงไปทางหนี้สินเพราะคำว่าดอกเบี้ย แล้วรถก็ลดราคา มีแต่ที่ดิน(มั้ง)ที่มูลค่ายังดีอยู่
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก ผมชอบเฝ้าดูชีวิต และพฤติกรรมของคนรอบข้าง ผมเห็นสิ่งที่เขาเหล่านั้นกระทำผ่านมา และเห็นเหตุให้ต้องเป็นไป ทั้งดี ทั้งไม่ดี และทั้งกลางๆ
    เพราะผมเชื่อว่า เราสามารถรู้และเข้าใจเรื่องบางเรื่องได้ โดยไม่จำเป็นต้องลงมือลองทำด้วยตัวเองเสียทุกเรื่อง

    บ่อยครั้ง ที่ผมเห็นคนหลายคนไม่ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ทั้งๆที่คนรอบข้างก็บอก ก็เตือน อธิบายเหตุผลต่างๆนานา ซึ่งผมก็เชื่อว่าคนเหล่านั้นก็รู้อยู่ในใจแล้วว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แต่เขาเหล่านั้นก็ตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร อยู่ดี? แล้วผลเสียก็ตามมา แล้วก็เป็นทุกข์ กลุ้มใจ ฟูมฟาย โทษผีโทษสาง โทษเวร โทษกรรม โทษคนรอบข้างที่คอยแต่จะซ้ำเติม...

    ผมมองเรื่องนี้ว่า ไม่ใช่เวร ใช่กรรม อะไรหรอกครับ ไม่เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆด้วย แต่มันน่าจะมีสาเหตุมาจาก สองสิ่งคือ...
    1. ขาดความยับยั้งช่างใจ คือรู้แล้วว่าไม่ดี แต่ไม่สามารถยับยั้งช่างใจที่จะไม่กระทำลงไปได้
    2. ขาดกำลังใจ ที่จะมุมานะ ทำให้สำเร็จ

    เมื่อขาดสองสิ่งนี้แล้ว ย่อมทำให้ชีวิต ไม่ประสบความสำเร็จ หรือประสบความสำเร็จได้ยาก หากแม้นว่าประสบความสำเร็จก็ไม่ยั่งยืน เพียงชั่วฟ้าแลบ ความสำเร็จนั้นก็ผ่านพ้นไปเสียแล้ว และกลับไปเผชิญกับชีวิตที่ทุกข์ยาก อับจน สิ้นหนทาง ต่างๆนานา ตามแต่จะสาธยายกันไม่รู้จบ....

    ผมเฝ้าดูชีวิตของคนเหล่านี้ แล้วก็ตั้งคำถามไว้ในใจว่า ชีวิตของคนพวกนี้จะจบลงยังไง ในเมื่อมันดูจะหมดหนทางแล้วจริงๆ ไม่น่าจะมีกิน มีใช้ หรือใช้ชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป ครอบครัวก็คงต้องย่อยยับตามไปด้วยแน่ๆ...

    แต่เชื่อไหมครับว่า ผมคาดการณ์ผิด ทุกครั้งไป เพราะหลายปีต่อมา ผมก็ยังเจอคนเหล่านี้ ที่ยังมีชีวิตลุ่มๆดอนๆอยู่ต่อไป คนอื่นๆอาจมองว่า ชีวิตของพวกนี้ย่ำแย่ ยับเยิน แต่ผมกลับมองว่า ...

    "ไม่ว่า ชีวิตคุณจะเป็นยังไง จะย่ำแย่ ยับเยิน แค่ไหน ต้องประสบกับสิ่งเลวร้ายยังไง พวกคุณจะผ่านมันมาได้เสมอ...เสมอ...ขอเพียงคุณอย่าคิดทำร้ายตัวเอง...แต่ละชีวิต ล้วนมีเส้นทางเดินของมัน ไม่จำเป็นต้องใหญ่โตคับฟ้า ไม่จำเป็นต้องเป็นอัจฉริยะที่ฉลาดหลักแหลม ไม่ต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบใดๆ และไม่ว่าคุณจะซวยแค่ไหน เจอกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างไร คุณจะยังคงรอด อยู่รอดต่อไปได้...แน่ๆ"
     
  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    หลายเรื่องราว เกิดขึ้นระหว่างการติดต่อกับทางวัดที่จะถวายเก้าอี้สวดมนต์
    จึงเอามาเล่าสู่กันฟังเป็นประสบการณ์ครับ...
    เรื่องราวเหล่านี้ สำหรับผมแล้ว ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่ประสบมาตั้งแต่เล็กจนโต ณ แผ่นดินสยาม...

    ระหว่างรอพบ ท่านเจ้าอาวาส วัดท่าซุง เพื่อกราบเรียนท่านว่า ผมและหมู่คณะ ได้ร่วมกันจัดทำเก้าอี้สวดมนต์เพื่อนำมาถวายวัดท่าซุง...
    ป้าท่านนึงเห็นเข้าก็บอกว่า ไม่ไหวหรอก หนัก...หนักขนาดนี้ยกไม่ไหวหรอก...
    อันนี้ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ เพราะป้าแกดูด้วยสายตา แล้วก็ตัดสินทันทีเลยว่ามันหนัก ไม่เอาหรอก....

    มีพี่ผู้ชายคนนึง กับน้าๆท่านนึง อยากขอลองนั่งดู ก็ให้ทั้งสองลองครับ เพราะเอาไปทั้งแบบผู้หญิงและแบบผู้ชายอยู่แล้ว...พี่ผู้ชาย เป็นคนขับรถให้ท่านเจ้าอาวาส แทนพี่บัง ลองแล้วก็บอกว่า..อืม..มันดีมากเลย ต้องไปเรียนท่านเจ้าอาวาส...ส่วนน้าผู้หญิง ลองแล้วบอกว่า อยากได้...ขอซื้อต่อ...พอบอกว่า ทำถวายวัดก่อนครับ น้าท่านนี้จึงขอร่วมทำบุญมาด้วย 200 บาท...
    ...........................

    ผมมีงานวิจัย พัฒนา อุปกรณ์ที่ช่วยชีวิตคน และเป็นประโยชน์ต่อสังคม ขนาดว่าเอ่ยออกไป ทุกคนจะต้องร้องอ๋อ...เพราะเคยได้เห็นมาแล้วด้วยกันทุกคนในประเทศไทยครับ แต่ทราบไหมครับว่า เมื่อแรกถือกำเนิดของผลงานต่างๆของผมนั้น จะมีคนคัดค้าน ไม่เห็นด้วย ต่อว่าให้เสียหายต่างๆนานา โดยไม่ทันได้ฟังเหตุผลและที่มาที่ไปของมันเลย...

    ผมฟังคนทั้งหลายวิจารณ์ ผมจะคิดก่อนว่า คนเหล่านี้ ในชีวิตเขา เคยทำอะไรเพื่อสังคม เพื่อชุมชน เพื่อประโยชน์ของคนต่างๆจนเป็นที่ประจักษ์หรือไม่...
    ถ้าเป็นคนที่ทำประโยชน์ให้กับสังคม ชุมชนมาก่อน คำพูดคำวิจารณ์ของท่านเหล่านี้จะมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ ที่ต้องเอามาพิจารณามาก...ซึ่งคนเหล่านี้มักจะวิจารณ์เชิงแนะนำเพื่อให้ดียิ่งๆขึ้นไป หรือเพื่อให้มีประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น...
    แต่คนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของโซเครติส พวกนี้จะค้านอย่างเดียว ไม่สนใจอะไรใดๆทั้งสิ้น ปฏิเสธและเถียงทุกอย่าง...คนจำพวกนี้ผมก็ฟังไว้ แต่ไม่ได้จะสนใจเท่าไรนัก...เพราะเนื้อหาที่ตำหนิมานั้น จะไม่มีเหตุผลรองรับ และไม่มีคำแนะนำสร้างสรรค์ใดๆ มีแต่ปฏิเสธอย่างเดียว...
     
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    เมื่อติดต่อไปที่วัดระฆัง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสท่านให้รอเจ้าอาวาส กลับจากกิจนิมนต์ แล้วรอให้ท่านจำวัตร จนกว่าจะออกมาทำวัตรอีกที 16.00 น. จึงจะเข้าไปกราบเรียนได้ ...
    ผมก็รอครับ รออยู่ในบริเวณ รอบๆกุฎิ ... เมื่อถึงเวลาต้องรอก็ต้องรอ ถ้าต้องทน ก็ต้องทน ผมตัดสินใจว่ารอจน หลวงปู่กลับจากกิจนิมนต์ จะดักรอกราบเรียนท่านทราบ...ไม่ต้องรอจะท่านตื่นจากจำวัตร ในเวลาเย็น...ซึ่งก็ได้พบ พระเดชพระคุณเจ้า ลงจากรถมาก็กราบเรียนท่านทราบ ท่านอนุญาตตามนั้น จะได้ถวายเก้าอี้สวดมนต์ ในช่วงปลายเดือน พฤษภาคม...

    .............................................................

    เมื่อติดต่อผ่านไปยังพี่ท่านนึงที่รู้จักกันมานานเกือบ20ปี พี่ท่านนี้อยู่วัดป่าบ้านตาด เพียงแค่เกริ่นนำ ก็ถูกปฏิเสธแล้วว่า พระป่าไม่ใช้ของพวกนี้หรอก ท่านไม่เอาอะไรเลย...แต่ก็ให้ส่งรูปให้ดู ... พอส่งรูปให้ดูก็ปฏิเสธว่าทางวัดไม่เอาของพวกนี้หรอก ถ้าจะถวายก็ไปที่สำนักสงฆ์ ตามที่พี่ท่านนี้แนะนำ...

    ผมเข้าใจความคิดของคนหลายๆคนที่เริ่มต้นด้วยการปฏิเสธ พร้อมกับบอกว่า พระป่าต้องสมถะ จะไม่ใช้เครื่องมือใดๆช่วย ถ้านั่งสวดมนต์ปวดก็ต้องอดทน พิจารณาความปวด จะต้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง...ซึ่งเป็นเรื่องน่าโมทนาอย่างยิ่ง...

    ในเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ทำไมผมจึงยังคิดจะถวายเก้าอี้สวดมนต์ให้กับวัดป่า...เพื่อบรรเทาอาการปวดขา ปวดเข่า ปวดเอว ทั้งๆที่มันดูไม่สมถะ ไม่เหมาะกับพระป่า...
    เนื่องเพราะผมมีมุมมอง ในบางด้านของก้อนหิน ที่จะบอกเล่าต่อท่านทั้งหลายว่า เก้าอี้สวดมนต์นี้ จะเปรียบไปก็เหมือนไม้เท้า คนหนุ่มสาว แข็งแรงดี ใครไปใช้ไม้เท้าเข้าก็น่าขำ...แต่หากคนแก่ต้องการจะเดินทางไปให้ไกลหน่อย ขาก็ไม่ค่อยมีแรงแล้ว การมีไม้เท้าช่วยพยุงก็ช่วยให้เดินได้ไกลขึ้น ถึงจุดหมายที่ต้องการได้...

    คนปกติเดินได้ดี ไม่จำเป็นต้องนั่งรถเข็นก็ไปไหนมาไหนได้ แต่หากเจ็บป่วย หรือชรามากแล้ว รถเข็นก็สามารถช่วยพาให้เดินทางไปไหนต่อไหนได้ครับ เก้าอี้สวดมนต์ก็เหมือนกับรถเข็นนี้เอง เป็นการช่วยอำนวยประโยชน์กับผู้ที่นั่งสวดมนต์นานๆแล้วปวดขาปวดเอว

    ถ้าจะบอกว่าเป็นพระป่าแล้ว ไม่ต้องใช้ไม้เท้าก็ได้ ไม่ต้องใช้รถเข็นก็ได้ เพราะอยู่ป่า ไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว ก็ถูกครับ...แต่เมื่อวัดอยู่ในเมือง พระป่าห้ามใช้ไม้เท้า ห้ามนั่งรถเข็น แล้วจะให้ท่านเดินเหินไปมาเหมือนตอนหนุ่มๆเรี่ยวแรงดีๆได้อย่างไร...คนก็เข้าใจว่าพระป่า ห้ามเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่าง อันนี้ก็ไม่น่าจะจริงนะครับ พระหลายรูปท่านนั่งรถเข็นแล้ว แต่พวกเราก็ยังเคารพในคุณธรรมของท่าน และไม่ได้ปรามาสท่านว่าติดสะดวก ติดสบายแต่อย่างใด เนื่องพระสังขารของพระคุณเจ้า แม้จะเป็นพระป่า แต่ว่าไม่ได้อยู่ในป่าจริงๆแล้ว เสื่อมถอยด้อยกำลังลงไป ไม้เท้าก็ดี รถเข็นก็ดี จึงเข้ามาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่พระคุณเจ้า...
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    บางคน กำลังใจยังน้อยอยู่ เมื่อเจ็บปวดมากๆเข้า สมาธิก็ไม่รวม สติก็ข่มทุกขเวทนาเอาไว้ไม่อยู่ ได้รับทุกข์ทรมานมาก ผมทำมาเพื่อเอื้อประโยชน์ของท่านเหล่านี้ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด เมื่อสวดมนต์ภาวนาไป ไม่เจ็บปวด สมาธิก็ทรงตัวได้ สติ สัมปชัญญะ ก็ทรงตัวได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลกับอาการปวดทางร่างกาย...

    ต่อเมื่ออินทรีย์แก่กล้าขึ้นแล้ว ก็สามารถที่จะเลิกใช้ หรือบางครั้งไม่มีก็ไม่ต้องใช้ อาศัยกำลังใจที่ฝึกฝนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ข่มเวทนาลงได้ ยกเอาเวทนานี้มาพิจารณารวมลงให้เข้าไปยังไตรลักษณ์ จนเกิดปัญญาญาณของแต่ละท่านได้

    ต่อเมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นแล้ว จะใช้อุปกรณ์นี้ต่อไปหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้เพราะในความเป็นจริงของการปฏิบัติธรรมนั้น เฉพาะศาสนาพุทธ ท่านสอนให้ปฏิบัติลงที่จิต ทรมานกิเลสก็ทรมานที่จิต จนในที่สุด ก็สำเร็จที่จิตนี่ที่เดียว ไม่ได้สำเร็จที่กายแต่อย่างใด...
    เจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงทรมานพระวรกายเป็นเวลา 6 ปี ยิ่งกว่าโยคีใดๆจะทำได้ ทั้งอดอาหาร ทั้งกลั้นลมหายใจ กำมือแน่น ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้ทรงบรรลุ เพราะการทรมานกายแต่อย่างใด...

    ในคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ได้ทรงตรัสให้สาวกทั้งหลาย พากันอดอาหาร 7วัน 15 วัน หรือทำร่างกายนี้ให้เจ็บปวดทรมาน เพื่อจะได้บรรลุธรรม แต่ทรงตรัสไม่ให้เอาแต่สุขสบาย... นั่นเรือนร้าง โน่นป่าชัฎ ฯลฯ สถานที่ปฏิบัติเหล่านี้ ไม่ได้ทรมานกาย แต่เป็นการทรมานใจจากความกลัว ให้กายวิเวก เพื่อจิตวิเวก สิ่งนี้เป็นสำคัญ...

    นั่งสมาธิจนปวดเอว ลามไปที่อกทะลุหลัง...จนเป็นเหตุให้หมอนรองกระดูกร้าว ต้องเข้าโรงพยาบาลและพักรักษาตัวอยู่แรมเดือน...
    เดินจงกรมจนหัวเข่าร้าว เสียงกระดูกแตกดังให้ได้ยิน จนทุกวันนี้ข้อเข่ามีปัญหา อาการปวดกำเริบขึ้นมา น้ำตาแทบไหล...
    เรื่องเอาชีวิตเป็นเดิมพันอะไรเนี่ย...มันเรื่องขี้ปะติ๋วครับ คนจะฝึกกรรมฐานเขาไม่มานั่งกลัวตายกันหรอกครับ..ใครฝึกกรรมฐานแล้วกลัวตายนี่ ปัญญาอ่อนมากๆ...คือมันไม่รู้กระทั่งว่าคนเกิดมามันต้องตาย...จะฝึกกรรมฐานหรือไม่ฝึก มันก็ตายด้วยกันทุกคนแหละครับ ... จะกลัวตายหรือไม่กลัวตาย ถึงเวลามันตายทุกคนครับ ไม่ใช่ว่าคุณไม่ฝึกกรรมฐานแล้วคุณจะไม่ตาย แต่ถ้าฝึกกรรมฐานแล้วคุณจะตาย คิดแบบนี้ก็ต้องปัญญาอ่อนหนักมาก...ดังนั้นเรื่องฝึกกรรมฐานเอาชีวิตเป็นเดิมพันแบบนี้ เขาไม่พูดกันแล้วในหมู่นักปฏิบัติ ยกเว้นว่าจะพูดเพื่ออวดสาวๆให้ดูเท่ห์ก็ว่าไป...

    ผลของการทนต่อความเจ็บปวดทรมานเพื่อหวังว่านี่เป็นหนทางแห่งการบรรลุมรรคผล ทั้งๆที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงทำให้ดูเป็นเยี่ยงแล้ว จนเมื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณก็ทรงห้ามไว้ ไม่ทรงสอนให้สาวกทรมานกาย แต่ให้ทรมานใจคือทรมานกิเลสในใจแทน แต่สาวกหน้าโง่อย่างผมก็ทรมานกายมาจนได้รับบาดเจ็บ อวัยวะภายในพังย่อยยับ มีร่างกายประดุจชายพิการ รูปไม่หล่อ กว่าจะเชื่อที่หลวงพ่อสอนว่าการสำเร็จไม่ได้เกิดจากการทรมานร่างกาย แต่สำเร็จที่จิต...
    "มโนบุพพังคมาธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา"
    นี่คือพุทธพจน์ ที่ยืนยันได้ครับ...ผมเองก็เป็นพยานได้ว่า การทรมานกายให้ได้รับความหิว กระหาย เจ็บปวด นอกจากเป็นการทำร้ายร่างกายแล้ว .. ไม่เป็นหนทางแห่งมรรคผล...

    ผมเข้าใจว่า เวลานี้พูดให้ใครฟัง ทุกคนก็จะเถียงสิ่งที่ผมพูดทั้งนั้นแหละครับ เพราะย้อนหลังไป 28 ปีก่อน ผมก็ไม่ฟังใครเตือนผมเรื่องนี้เหมือนกัน ผมเชื่อว่าต้องเจ็บต้องปวด ต้องทนแล้วทนอีก ถึงจะบรรลุธรรม...จนผ่านความตาย ผ่านความพิการมาได้ วันนี้ถึงได้เข้าใจว่า...การฝึกฝน กระทำลงที่จิต มีสติตามรู้ตามดูจิต ไม่ใช่ฝึกให้ทรมานร่างกายให้ได้รับความเจ็บปวด หิวโหย...

    ผมหวังว่าจะมีบางคนที่อ่านแล้วคิดตามได้...
    และก็เชื่อว่าหลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็จะด่าผมและไม่เชื่อสิ่งที่ผมกล่าว ก็เหมือนกับตัวผมเมื่อสมัยก่อนแหละครับ...ท่านก็จะได้พิการ โดยเริ่มจากระบบทางเดินอาหารก่อน แล้วจะมาเกิดขึ้นกับกระดูก หลังจากนั้นหากยังปฏิบัติธรรมต่อไปไม่เลิก ท่านก็จะเห็นอย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังตอนนี้แหละครับ...ท่านก็จะพูดอย่างที่ผมพูด ว่าการปฏิบัติทำที่จิต ไม่ใช่ต้องทรมานกาย แม้บางคนจะได้ผลดีเมื่อทรมานกาย แต่ก็ไม่ได้รับการยืนยันวิธีการเหล่านี้ในพระไตรปิฎกเลย...

    เปลี่ยนจากการทรมานกาย มาเป็นทำให้กายนี้มีอาการผ่อนคลายดีกว่า...แล้วหันมาทรมานจิต ด้วยการเอาสติไปตามรู้ ตามดู...

    ผมยังยืนยันที่จะทำอุปกรณ์เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดในการสวดมนต์และนั่งสมาธิต่อไปนะครับ แม้ว่าจะมีใครคัดค้าน ไม่เห็นด้วยก็ตาม...เนื่องเพราะผมยังหวังว่า สิ่งที่ผมทำขึ้นนี้ จะมีประโยชน์ต่อพุทธศาสนิกชนในภายภาคหน้า ซึ่งไม่ได้หมายเอาแต่เพียงว่าคนไทย ผมจะทำเพื่อพระพุทธศาสนา...เป็นสากล...
     
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ช่วงนี้มีหลายคน พากันมาปรึกษาว่าทำยังไงดี อยากจะรวย จะด้วยวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังต่างๆ จะเล่นหุ้น เล่นหวย ก็ขอให้รวยสมใจนึก ในฉับพลัน...

    เรื่องเล่นหวยให้รวยนี่ผมไม่รู้จริงๆครับว่าต้องทำยังไง...เพราะขนาดจับไม้สั้นไม้ยาว ผมยังจับไม่เคยถูกเลย..คือความน่าจะเป็นมัน 50:50 มันยังจับพลาด แล้วหวยนี่มันโอกาสถูกต่ำกว่านี้มากๆ ผมจะไปซื้อถูกเลขได้ยังไงกัน?

    เล่นหุ้นนั้น หุ้นทุกตัวมันมีการปั่น เสร็จแล้วก็ต้องมาสอนเม่าในการวิเคราะห์กราฟ เพื่อลงทุนหุ้นต่างๆ แต่ฉากหลังคือ มีกลุ่มนายทุนปั่นหุ้นกันอยู่แล้วครับ จะให้หุ้นตัวไหนขึ้น หรือตัวไหนลง เขาคุมได้... ผมก็เคยเจอกลุ่มคนพวกนี้อยู่ครับ...หุ้นตัวไหนที่มันบอกว่าพรุ่งนี้ขึ้น พอถึงพรุ่งนี้มันขึ้นตามว่าจริงๆ...ตัวไหนจะลงมันบอกให้รีบขาย ก็ลงจริงๆ...ดังนั้นถ้าไม่อยู่ในกลุ่มคนพวกนี้แล้ว อย่าไปเล่นแบบเขาเลยครับ...จะซื้อก็ถือยาวไว้กินปันผลดีกว่า...

    เรื่องความร่ำรวยนั้น...ผมก็เคยคิดจะลองว่า รวยแล้วจะเป็นยังไง...ทำไมถึงบอกว่ารวยแล้วเป็นทุกข์...จนสิ..ถึงจะเป็นทุกข์...ผมนี่จน จนเข็ด...จะขอรวยแล้วทุกข์ดูซะทีสิ ว่าจะเป็นยังไง???

    การจะทุ่มเทสร้างความร่ำรวย จากสภาพที่ไม่มีอะไรเลย เริ่มจากติดลบนั้น...
    มี 3 สิ่งที่ต้องทำคือ...
    ขยัน...
    ประหยัด...
    อดทน...

    เคยถามตัวเองไหมครับว่า รวยแล้ว จะเอาเงินไปทำอะไร?
    การจะสร้างฐานะให้ร่ำรวย แม้ว่าจะยากลำบาก ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจและมันสมองสองมือเป็นอย่างมากก็ตาม...
    แต่การจะรักษาฐานะ ความร่ำรวยนั้นไว้ให้คงอยู่นานๆ กลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า...
    และแน่นอนว่า การจะทำให้รวยยิ่งๆขึ้นไปนั้น...ยากที่สุด...

    ผมเห็นหลายๆคนที่พอเริ่มมีฐานะดีขึ้นมาบ้าง ก็จะซื้อรถยนต์...
    เริ่มกิน เริ่มเที่ยว เริ่มอยากจะสบาย ติดหรู ..
    ถ้าผู้ชายก็จะติดหญิง...ไม่งั้นก็จะมีหญิงมาติด...
    แล้วก็พังครับ...ไม่เคยรอดสักราย...

    ผมคิดว่าถ้าผมทำอย่างนั้น ผมก็พังเหมือนกัน...แต่ว่าธรรมชาติพอรวยแล้วก็อยากจะเสพสุขกันทั้งนั้นครับ...เสพสุขแล้วไม่พอก็อยากให้มีคนนับหน้าถือตา...
    พอมีคนนับหน้าถือตา ก็อยากจะมีอำนาจ...
    พอมีอำนาจแล้วมันก็ลืมตาย ลืมนรก ลืมดี...
    แล้วก็จะพบกับจุดจบอันน่าอนาถใจ...

    ในเมื่อผมเห็นวงรอบของมันแบบนี้แล้ว...เรื่องอะไรผมจะไปเดินตามสิ่งเหล่านี้ล่ะครับ..
    มีเงินผมก็เอาไปลงทุนเพิ่ม...เที่ยวเหรอ...เอาไว้ก่อนละกัน...
    ติดหญิงเหรอครับ...รู้ทั้งรู้ว่าเขาเข้ามาเพราะเงิน...ตอนเรายากจนไม่มีจะกิน ใครล่ะอยู่ข้างตัวเรา...ยามที่เรามั่งมี..คนๆนี้แหละ ที่ควรจะได้รับจากเรามากที่สุดครับ...

    อสังหาริมทรัพย์ บ้าน ที่ดิน หาเก็บเอาไว้...วันหน้าถ้าฉิบหายล่มจมขึ้นมา ยังมีที่ซุกหัวนอน ยังขายออกไปสร้างเงินได้ หรือปล่อยเช่าก็ยังมีรายได้...อะไรมันจะแน่นอนล่ะครับ...พระอาทิตย์มีขึ้นก็ยังมีวันตก...เมื่อรู้อยู่แล้วว่าพระอาทิตย์จะตก ก็ต้องเตรียมฟืนไฟ เอาไว้ให้พร้อม ...

    ติดหรู เหรอครับ...ผมอาจจะเป็นคนขี้รำคาญ ผมไม่ชอบให้ใครมารุมให้บริการมากมาย ผมชอบความเป็นส่วนตัวมากกว่า...

    แล้วมันเกิดอะไรขึ้นรู้ไหมครับ...เวลาเรามีกะตังค์...ซึ่งบางคนอิจฉาผม เขาหาว่าผมรวย..แต่จริงๆแล้วผมไม่รู้สึก...ผมว่าคนเหล่านั้นคิดไปเอง...ผมยังไม่รวย...แต่ผมก็รู้แล้วว่าทุกข์เป็นยังไง...จากทั้งที่ต้องเจอด้วยตัวเอง...ทั้งรุ่นพี่ๆที่เป็นมหาเศรษฐี เวลานั่งจับเข่าคุยกันบ้าง นั่งกินข้าวกันบ้าง...ชีวิตเบื้องหลังของเจ้าสัวทั้งหลาย...มันโหดร้ายจริงๆครับ...
    จนทำให้ผมคิดถึงคำพูดวลีนึงว่า "ยิ้มระรื่น หน้าชื่นอกตรม"

    แต่ก่อนวลีนี้พวกผมจะใช้เล่นกันเวลาที่ มีการเปลี่ยนสถานะจากแฟน เป็นเมีย...หรือเปลี่ยนสถานะจากชายโสด เป็นเจ้าบ่าว...
    แต่เมื่อต้องมาเจอกับเศรษฐี มหาเศรษฐี เจ้าสัวทั้งหลาย เจ้าพ่อ ฯลฯ...
    ต้องถอนหายใจ 10 ทีครับ...เรื่องมันเศร้ากว่าที่คิด...
    เดี๋ยวหายเศร้าแล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อนะครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2015
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ทุกข์อันดับแรกของ เหล่ามหาเศรษฐี และเจ้าสัวทั้งหลาย คือ ไม่มีคนคุยด้วยครับ...
    คนที่เข้าใกล้จะเกรงบารมี...เจอหน้าก็เกร็งแล้วครับ...จะพูดอะไรออกไปก็กลัวว่าจะทำให้ท่านไม่ถูกใจ...จะหยิบจะจับอะไรมันดูเก้งๆก้างๆ...ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้ท่านอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้...และไม่มีใครอยากคุยด้วยครับ...ยิ่งสูง ก็ยิ่งเดียวดาย...
    ลูกไปทาง เมียไปทาง เพราะยิ่งอยู่สูง ความคาดหวังในลูกเมียก็สูงตามไปด้วย จนเกิดเป็นเส้นใยอำมหิตแผ่ไปยังลูกๆว่า ต้องประสบความสำเร็จให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้ได้ ... ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย...เมื่อแรงกดดัน แม้ไม่ได้ออกมาเป็นคำพูด มันกลับรุนแรงยิ่งกว่าคำพูด...ลูกๆก็จะห่างออกไป...เรื่อยๆ...

    ท่านอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ จึงต้องหากิจกรรมที่เกาะติด เพื่อให้มีเพื่อนมีเรื่องคุย เช่น เล่นกอล์ฟ , เล่นไพ่ , เล่นพระเครื่อง ฯลฯ เพื่อแก้เหงา หรือให้มีเพื่อนที่พอจะคุยเรื่องอะไรบ้างก็ได้....

    ที่จริงแล้วการได้มีโอกาสคุยกับคนระดับนี้ มีประโยชน์มากนะครับ เราจะได้เรียนรู้ถึงวิสัยทัศน์และวิธีคิด แง่มุมบางอย่างในชีวิต ปรัชญาในการดำเนินชีวิต คติเตือนใจต่างๆ เพียงแต่ว่าเวลาคุยกับคนพวกนี้ ต้องรู้ว่า เขาไม่ชอบคนที่พูดโง่ๆ หรือนั่งครับๆอย่างเดียว เขาไม่ชอบคำถามโง่ๆ และไม่ต้องการคำตอบที่เออ ออ ห่อหมก โดยไม่คิดไตร่ตรองก่อน...

    คนจะเป็นมหาเศรษฐีได้ ไม่ใช่พระอินทร์เสกทองมากองไว้ให้หรอกนะครับ หรือจะมี4หู5ตา ถ่ายออกมาเป็นทองคำไว้ให้ อันนั้นมันในนิทาน...เรื่องจริงคือคนเหล่านี้ต้องคิดมาก และมากกว่าที่หลายๆคนคิด...ยังต้องระวังพวกเข้ามาหลอกเอาเงิน พวกเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ พวกที่ต้องการจะโกง ระวังแม้กระทั่งลูกเมียตัวเองที่จะผลาญสิ่งที่สร้างมาให้วิบัติลง คนเหล่านี้ต้องคิดหมากไว้หลายชั้น กลางคืนนอนได้ไม่กี่ชั่วโมง กลางวันกินข้าวไม่อร่อยหรอกครับ...หัวเราะไปอย่างงั้นเอง...ยิ้มเพราะสังคมเขาให้ยิ้ม...

    ผมเป็นคนที่ ท่านเหล่านี้ชอบคุยด้วย .... เพราะ....ผม....
    "คิดก่อน จึงค่อยถาม"
    "ตรองเนื้อความ ก่อนตอบ"
    "ตรวจตราให้รอบคอบ ก่อนทำ"


    ผมจึงไม่ใช่คนโง่ และน่ารำคาญ ในสายตาของคนเหล่านั้น...

    จากชายขี่เวสป้าค้าขายเหล็ก...ก้าวขึ้นมาเป็น 1 ใน 5 เสือของเอเซีย ที่มีทรัพย์สินกว่า 3 หมื่นล้านบาท...มีบ้านราคา 300 ล้าน...กลับกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว...
    ในระหว่างที่กำลังสร้างบ้านราคา 300 ล้านอยู่นั้น ... ประโยคนึงที่ท่านผู้นี้บอกผมคือ..
    "อะไรมันจะเป็นของเรา มันก็เป็นของเราอยู่วันยังค่ำ...
    อะไรที่มันไม่ใช่ของเรา ขวนขวายหามาแทบตาย สุดท้าย มันก็ต้องจากไปอยู่ดี...
    ลื้อเชื่ออั๊วสิ...อย่าไปคิดมาก"
    เพื่อนๆของท่านผู้นี้ หลายคน ถึงกับฆ่าตัวตาย ด้วยหนี้สินไม่กี่ร้อยล้านบาท...
    ท่านผู้นี้ เลือกที่จะไปไหว้เจ้า...ออกกำลังกายที่สวนลุม...เข้าเรียนวิชาฮวงจุ้ย กับอาจารย์ที่เคยเป็นซินแสให้บริษัทฯ ยามเจริญรุ่งเรือง แต่กลับย่ำยี ซ้ำเติม ในยามที่ท่านผู้นี้ ถึงวันล่มสลาย...
    อาซ้อ...ไม่เคยทิ้งอาเฮีย..ไม่ว่ายามที่จนที่สุด รวยที่สุด หรือจะวิกฤติที่สุด...
    บอกกับผมว่า "ทำธุรกิจ ลื้อจำไว้ อย่าไปกู้แบงค์...ทำเท่าที่เราทำได้...กิจการค่อยๆขยาย อย่าก้าวกระโดด..."
    ผมถามว่า เวลาที่วิกฤตินั้น อาซ้อกับอาเฮีย ทำยังไง...
    อาซ้อเล่าว่า...ที่ดินแปลงสวยๆ โฉนดเป็นตั้งๆ ทะยอยขายหมด...
    ทรัพย์สินโดนยึดไปหมด...
    กลับมาค้าขายที่ร้านเดิม ตึกแถวสองห้อง ซื้อขายเงินสด ไม่มีบัญชีธนาคาร..มีไม่ได้ เพราะถ้าเงินเข้าบัญชี แบงค์จะยึดหมด...

    ภาษิตจีนเคยกล่าวไว้ว่า"ยกได้ ก็วางได้"
    อาเฮียกับอาซ้อ คู่นี้ครับ...ที่ผมว่า น่านับถือ...
    ชีวิตที่เหมือนถูกกระชากขึ้นไปสุดฟ้า...แล้วขว้างลงมาให้ลึกสุดเหว...
    ผมว่า ... อยู่บนพื้นดิน ธรรมดาๆ จะดีกว่าไหม...
     
  14. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    หากไม่รบกวนเกินไปผมขอถามนิดนึงสิครับ ท่านนั้นไปทำอะไรหรอครับ
    จากมี 3 หมื่นล้าน ถึงกลายเป็นคนหมดตัว มีข้อผิดพลาดหรือเหตุการณ์อะไรหรอครับ
     
  15. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    อาเฮียกู้แบ๊งค์ มาลงทุน เกินกำลัง กระมังคะ

    แต่ครั้งหนึ่ง ก็เคยรวยมากๆ เคยได้รู้ว่ารวยแล้วเป็นไง ก็คุ้มอยู่นะคะ ถ้าเราปลงเป็น คุ้มค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2015
  16. พงษ์สนั่น

    พงษ์สนั่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    288
    ค่าพลัง:
    +336
    ขอบคุณ คุณราคุนะครับที่ช้วยชี้แจง
    แต่ผมสงสัย ตรงเพราะอะไรจากหาเงินได้ขนาดนั้น แล้วกลายเป็นคนไม่มีเงินจ่ายแบงค์หนะครับ
    คือธุรกิจมีคู่แข่งมากจนหาเงินไม่ได้เหมือนแต่ก่อน หรือ โดนหักเหลี่ยมอะไรมารึป่าว
    หรือธุรกิจที่ทำอยู่เป็นธุรกิจที่มีระยะเวลาในตัวอยู่แล้วหากพัฒนาต่อไม่ได้คือถึงจุดอับเลย
    คือเพราะสาเหตุอะไรธุรกิจที่ทำต่อจึงดำเนินไปต่อไม่ได้ จุดบอดของธุรกิจที่ท่านนั้นทำอยู่คืออะไร
    ผมเห็นท่านระมิงเป็นคนฉลาดและระเอียดรอบคอบ หากถามจุดบอดของธุรกิจ
    ท่านระมิงคงมีช่องทางอะไรมาแนะนำแน่ แต่ผมก็ขอบคุณในคำชี้แจงของคุณราคุนะครับ
    ไม่กู้แบงค์นี่ผมว่าก็ดีนะครับ แต่หากคนที่กู้แบงค์มาแล้ว ธุรกิจไหนไปต่อได้ธุรกิจไหนไปได้ไม่นาน
    แต่โดยส่วนตัวผมเป็นคนไม่เคยกู้แบงค์ผมก็ไม่รู้เรื่องแบงค์เลย ผมไม่ชอบยืมเงิน *-*
     
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ข้อผิดพลาดอันดับแรกของการทำธุรกิจคือ
    การเล็งผลเลิศ...คิดแต่จะได้ ไม่คิดเผื่อว่ามันพลาด...
    ทุ่มเทไปกับธุรกิจเดียว...ไม่เชื่อว่า วันนึง ธุรกิจนี้ มันจะพลาด...คือไม่เผื่อทางถอย...

    เวลาที่พระอาทิตย์สาดส่องแสงแรงจ้า...นำพาให้เหล่าผองพวกมีความหวัง ทุกคนก็จะขยายการลงทุน แบงค์จะวิ่งมาหา ให้กู้ทีละ 7000 ล้านบาท...และอนุมัติต่อให้อีก 15,000 ล้านบาท...ซื้อที่ดินขยายโรงงานไปหมื่นกว่าไร่ 7000 ล้านบาทนี่เอาไปลงทุนเฉพาะเครื่องจักรเท่านั้น...ค่าแรงค่าจ้างเดือนนึงเกือบ100ล้าน...
    ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดวิกฤติ ไม่มีใครคิดว่าจะมีเวลาที่พระอาทิตย์จะตกดิน...

    วันที่สต็อกบวม สั่งมาแล้วไม่มีคนซื้อ ลงทุนไปแล้วยังไม่ทันจะได้ทุนคืน ในทันใดนั้น แบงค์ก็จะมาทวงหนี้ในทันที และยึดทุกอย่างไป...ไม่มีทางเหลือไว้ให้ฟื้นตัว เพราะนี่คือนโยบายแบงค์...เขาจะดึงร่มกลับ เมื่อเวลาฝนตก...

    เวลาผมบอกว่า พระอาทิตย์มีขึ้น ก็มีวันตก...จะมีคนที่มาเถียงผมว่า พระอาทิตย์มีวันตก ก็มีวันขึ้น...ผมจะไม่ต่อปากต่อคำด้วย กับคนที่โอหัง กำแหง...เพราะผมรู้ว่าจุดจบคนแบบนี้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน...ที่แห่งนั้นมีซากปรักหักพังมากมาย มีศพก่ายกองอยู่นับไม่ถ้วน...มันคือศพของพวกที่ไม่เคยคิดจะเตรียมการเพื่อรองรับค่ำคืนที่มืดมิดยาวนาน...คนเหล่านี้ จึงอยู่ไม่รอดเพื่อจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น...

    ธุรกิจที่ลงทุนระยะยาว จึงได้ผลตอบแทน มักจะเป็นผลตอบแทนก้อนโต จึงต้องใช้เวลานานและเงินลงทุนมาก...ธุรกิจแบบนี้เองที่เจ๊งทีนึงก็เจ็บหนักมาก โอกาสฟื้นตัวแทบไม่มี เพราะหนี้สินจะพัวพันรุงรังมากมายซับซ้อน ...ดูภายนอกช่างดูดีครับ ข้างในนี่อกไหม้ไส้ขม...ทั้งหมุนเงิน ทั้งปัญหาเรื่องคน ฯลฯ...

    ธุรกิจที่ทำเงินระยะสั้น คือซื้อมา ขายไป หรือผลิตขายได้เงินสด เร็วๆ...ตรงนี้จึงต้องมี เผื่อว่าธุรกิจยาวๆนี้ หมุนเงินไม่ทัน ยังไงเสีย ธุรกิจที่ทำเงินได้เร็วในระยะเวลาสั้นๆ จะช่วยจุนเจือได้ แม้ว่าธุรกิจประเภทนี้จะทำเงินให้ต่อปีไม่มากนัก ไม่เท่ห์สักเท่าไร ไม่พอจะอวดญาติพี่น้อง...แต่หนี้ก็น้อยไปด้วย ความเสี่ยงก็น้อยตามลงไป...

    ธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนด้านวัสดุอุปกรณ์ แต่อาศัยสติปัญญา ประสบการณ์ ใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในการหาเงิน...ธุรกิจประเภทนี้จะไม่กระทบเมื่อเวลาวัตถุดิบขึ้นราคา...ค่าเงินเปลี่ยน ...เพราะไม่ต้องใช้วัตถุดิบใดๆ นอกจาก สมอง ประสบการณ์ connection นี่คืออาชีพ ที่ปรึกษา นักออกแบบ โบรกเกอร์ นายหน้า คนกลาง...

    สำหรับผมแล้ว ... อายุ 30 ปี ผมมีครบทั้ง 3 ประเภทของธุรกิจนี้ โดยไม่ได้ใช้เงินจากทางบ้านเลย แม้แต่บาทเดียว...ประเภทข้ามาคนเดียว...เนื่องเพราะหากว่าเกิดพลาดพลั้งอะไรลงไป...จะไม่ต้องมีใครเดือดร้อนครับ ผมจะขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว...

    นอกเหนือจากนี้ ผมยังหาความรู้ด้านอื่นๆเพิ่มเติม โดยไม่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ดีแล้ว ฉลาดแล้ว รอบคอบแล้ว ผมไม่เคยคิดเลย...ผมคิดว่า ถ้ากรณีเลวร้ายที่สุดแล้ว ผมยังต้องรอดให้ได้ ผมจะทำยังไง? ผมจึงต้องหาวิชาความรู้เพิ่มเติม จนแม้กระทั่งว่า วันหนึ่งผมต้องอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีลูกน้อง ไม่มีลูกเมีย ไม่มีใครเลยที่อยู่ข้างกาย ผมจะต้องรอด...ผมต้องรอดจนได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง...ผมทำทุกอย่างเหล่านี้ ในเวลาที่พระอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า...วันที่ทุกคนหัวร่อร่าเริง...กลับเป็นวันที่ผมกังวลว่า..หลังจากพระอาทิตย์สาดแสงแรงกล้าแล้ว...เรากำลังจะนับถอยหลังไปถึงวันที่พระอาทิตย์ตกดินแล้ว...เวลานั้นคนทั้งหลาย บอกว่าผมบ้า วิตกจริต หัดใช้ชีวิตให้มันมีความสุขบ้าง ...

    เมื่อเรารู้อยู่แล้วว่า พระอาทิตย์ต้องตกดิน ทุกธุรกิจเป็นแบบนี้เสมอ ยกเว้นรัฐวิสาหกิจที่ผูกขาด...
    สิ่งที่เราทำได้คือ เตรียมพร้อมรับการตกลงของพระอาทิตย์ เตรียมฟืนไฟเอาไว้ เตรียมตุนเสบียงอาหารเอาไว้ มีการเก็บซ่อนไว้หลายๆแห่ง...
    หรือ...
    เราจะวิ่งไปให้เร็วกว่าอัตราการตกลงของดวงอาทิตย์ เพื่อที่เราจะได้รับแสงสว่างนั้น ตลอดเวลา...นั่นคือ การสร้างธุรกิจใหม่ๆ เพื่อทดแทนช่วงที่ธุรกิจเก่าเริ่มหมดแรงไปต่อ...

    แล้วท่านผู้อ่านก็เดาถูกต้องครับ...ผมทำมันทั้งสองอย่างนี่แหละ...ทั้งวิ่งไล่ดวงอาทิตย์และกักตุนเสบียงฟืนไฟ เผื่อไว้ว่าถ้าวิ่งไล่มันไม่ทัน...

    ผมออกสำรวจตลาดใหม่ๆ...เงื่อนไขคือ โง่ แต่ มีเงิน...เพราะผมทำธุรกิจเพื่อเงิน ดังนั้น เงินอยู่ที่ไหน ผมจะไปที่นั่น...ถ้าจนแล้วขยัน แบบนี้ผมไม่ไปครับ เพราะผมไม่มีความสามารถไปแข่งขันกับคนเหล่านั้นได้...ผมมันยังกระจอกอยู่ อันนี้รู้ตัวเองนะครับ..

    ตลาดใหม่...สินค้าเดิม...แน่นอน เพราะเราถนัดไงล่ะ...
    ตลาดเดิม...สินค้าใหม่...แน่นอน เพราะเรารู้จักลูกค้าดีอยู่แล้วไงล่ะ...

    เตรียมไว้ขนาดนี้แล้ว...ถ้ายังเกิดเหตุไม่คาดฝัน พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก พระทรงเสวยมาฆะฤกษ์ ฯลฯ...ซวยขนาดว่า ยืนอยู่เฉยๆหมายังมาเยี่ยวรดขากางเกง หรือเครื่องบินตกใส่บ้าน ฯลฯ The show must go on...ต้องทำยังไง...ผมก็ยังเตรียมการเอาไว้ด้วย...

    ผมเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายครับ...แต่มองแล้วผมหาทางป้องกัน หาทางป้องกันแล้วก็หาทางแก้ไข หาทางแก้ไขแล้วก็ยังระมัดระวังผลข้างเคียงจากการแก้ไขปัญหานั้นๆเอาไว้ด้วย...เหตุผลเดียวที่ผมต้องทำเช่นนี้ เพราะว่า "ผมต้องรอด" แม้ในวันที่ทุกคนล้มลงจนหมดสิ้นแล้ว...ผมจะเป็นคนสุดท้ายที่ล้ม...และการล้มลงของผม จะต้องมีค่าตอบแทนที่คุ้มค่า...

    นี่ไม่ใช่วิถีคนกล้า...แต่เป็นวิถีทางที่นกกระจอกจะบินไปให้ไกลกว่าพญาอินทรีย์...
    สุดท้ายแล้ว นกกระจอกจะต้องตาย...แต่จะตายอย่าง"สะใจ"ที่เกิดมาชาติหนึ่ง...

    ผมสาบานได้ว่า...ผมไม่ได้เก่งกว่าพวกคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน...
    ถ้าผมทำได้...พวกคุณก็ทำได้...
    พวกคุณเกิดมาก็ตัวเปล่า...ตายไปพวกคุณก็ตัวเปล่า เอาอะไรไปไม่ได้แม้แต่บาทเดียว...
    อยากลองสู้ดูสักครั้งไหมครับ?
    สู้ให้มันสุดชีวิต...
    ไปให้มันไกลเกินฝัน...
    ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ...

    สู้ให้มันถึงคำว่า "สะใจ"
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    พี่ที่เป็นมหาเศรษฐี จากสมบัติที่พ่อทำไว้ให้จากธุรกิจค้าไม้ในอดีต มีที่ดินไปเกินครึ่งอำเภอเมือง มีทรัพย์สินมากกว่า 7000 ล้านบาท...
    ห้างสรรพสินค้า...โรงแรม...คอนโดฯ
    ที่ดินการเกษตร...
    เศรษฐีแต่งกับเศรษฐี จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีก...

    เพื่อปกป้องธุรกิจตนเอง ก็ต้องลงเล่นการเมืองท้องถิ่น...
    เมื่อมีเงินแล้ว ก็อยากมีอำนาจ...
    เมื่อมีทั้งเงิน และอำนาจแล้ว...สิ่งที่จะไม่มีคือ ความจริงใจ และ ความสุข...

    เมื่อการลงทุน ให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า...
    เมื่อเงินลงทุนจำนวนมาก ต้องพึ่งพาแบงค์...
    ต้องไหว้พระพิฆเณศ เพื่อขอให้แบงค์อนุมัติเงินกู้ทันก่อนปิดงบปลายปี...
    ต้องตัดขายที่ดินแปลงสวยๆไปเรื่อยๆ...
    เมื่อเลือดไหลไม่หยุด...
    จะล้มก็ไม่ได้ จะยืนก็อ่อนแรง...
    ก้าวเดินไปทั้งที่ไร้คนจริงใจ...
    รอบกายมีแต่คนจ้องจะแสวงหาผลประโยชน์ เหมือนเห็บ เหมือนปลิง คอยดูดเลือด...
    ......

    ผมว่า ตอนผมยืนขายน้ำลำใย เฉาก๊วย น้ำแข็งใส เพื่อหาค่าเทอม ค่าหนังสือ...ยังดูจะมีความสุขกว่าชีวิตพี่มหาเศรษฐีท่านนี้...และอีกหลายๆท่าน ที่ไปไหนมาไหนต้องมีมือปืนตามไปด้วย อีก คันรถนึง...

    กินอาหารอร่อยเลิศพิศดารเพียงใด...ก็กินได้เพียง อิ่มหนึ่ง...
    ขับรถหรูแค่ไหน ก็ขับได้ทีละคัน ร่วมกันบนถนนเดียวกันกับรถคันอื่นๆ และถึงที่หมายเหมือนกัน...
    ใส่เสื้อผ้าจะหรูเพียงไหน ก็ใส่ได้ทีละชุด บังแดด บังฝนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงเนื้อผ้าและฉลากที่ติดไว้ตรงปกเสื้อ...

    มหาเศรษฐีที่ต้องวิ่งหาเงินมาจ่ายแบงค์ให้ทัน ทุกๆเดือน...
    ต้องรักษาหน้าและสถานะภาพเอาไว้ ไม่ให้ใครดูถูก...
    ต้องอยู่ในฐานะนักการเมือง ที่มีแต่คนวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือและแสวงหาผลประโยชน์..
    ต้องแสวงหาผลประโยชน์จากการเล่นการเมือง...
    เมื่อเล่นการเมืองวันนี้....สักวันนึง ก็จะต้องมีวันที่โดนการเมืองเล่น...

    ผมว่านะ....ขายเต้าฮวย..ดีกว่า...มีความสุขกว่าเยอะครับ...
     
  19. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,641
    อ่านถึงตรงซวยยืนอยู่ดีๆมีหมามาฉี่รดรองเท้า ทำให้นึกถึง ตอนสมัยเรียน ยืนสวดมนต์หน้าเสาธง หมามาดมๆแล้วยกขาฉี่ใส่ทันที (ซวยจริงๆ)
    เรื่องหาอาชีพสำรองก็คิดอยู่เหมือนกันค่ะ แต่มีข้อจำกัดเยอะมาก มองไปตามตลาดร้านค้า ก็เห็นขายกันเกลื่อนกล่าน เจ้งกันหลายต่อหลายคน ทำเลไม่ดีจริง กำลังซื้อก็น้อย จนถึงขาดทุน คิดแล้วก็ปวดหัวค่ะ .ขนาดจะปิ้งลูกชิ้นอยู่กับบ้าน ยังมีปัญหาว่า บ้านไม่ติดถนน ToT.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 มิถุนายน 2015
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,993
    ถ้าเราทำแบบที่คนอื่นๆเขาทำกัน...ให้เก่งยังไง เราก็ทำได้แค่ดีเสมอเขาเท่านั้น...แล้วสุดท้ายก็หนีไม่พ้น คือ เจ๊ง ครับ...
    ............................................
    เวลาผมจะทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร ผมจะตั้งคำถามก่อนว่า "เงินอยู่ที่ไหน" และ "ทำยังไงถึงเอาเงินตรงนั้นมาได้"

    กลยุทธ์ทางการตลาด ต้องเปลี่ยนไปตลอด ไม่สามารถนำมาใช้ได้เสมอไป...
    วันก่อนทำสำเร็จ วันนี้ไม่ได้หมายความว่าทำด้วยวิธีเดียวกันแล้วจะสำเร็จ...

    เสียดายก็ตรงที่ผมคิดกลยุทธ์ออกแล้ว แต่เล่าให้ฟังไปในเวลานี้ไม่ได้...จนกว่าพันธะกิจจะลุล่วงไปแล้ว..ถึงจะเอามาเล่าได้ครับ...

    ผมมีทำผลิตภัณฑ์สนุกๆร่วมกับน้องสาวก๊วนกวนคนหนึ่งครับ...ทำแก้เครียด หรือว่าทำเอาสนุกๆ...เพื่อทดสอบพฤติกรรมตลาด...
    ก็มีเรื่องขำๆให้ได้เล่าสู่กันฟังอยู่เกี่ยวกับอาอี๊ ที่บ้านมีกิจการหลักร้อยล้านเห็นจะได้ แต่ขี้เหนียว ได้ใจจริงๆ....

    จนทำให้นึกถึงวลีที่มีท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง พูดให้ผมฟังว่า...

    "คนจนรักศักดิ์ศรี คนจนถึงได้จน"
    "คนรวยรักเงิน คนรวยถึงได้รวย"

    ไว้จะมาเล่าให้ฟังนะครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...