ครั้งหนึ่งในชีวิตบนดินแดนนรก-สวรรค์ ของ...วารุณี สวัสดิภักดิ์

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย @^น้ำใส^@, 23 พฤศจิกายน 2009.

  1. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,673
    :cool:ครั้งหนึ่งในชีวิตบนดินแดนนรก-สวรรค์ ของ...วารุณี สวัสดิภักดิ์
    <HR SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->[​IMG]

    วันก่อน "คม ชัด ลึก" ได้นำเสนอเรื่องราวของทั้งชีวิตของ วารุณี สวัสดิภักดิ์ เมื่อครั้งเคยเป็นคนที่ไม่เชื่อต่อสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ โดยเฉพาะเรื่องการมองเห็นภพภูมิ หรือตาทิพย์ หูทิพย์ อยู่มาวันหนึ่งวิบากกรรมตามทันทำให้ตนเองสูญเสียการได้ยิน ความรู้สึกขณะนั้นสูญสิ้นไม่มีอะไรให้หวังอีกต่อไป จิตใจฟุ้งซ่านไม่มีที่ยึดเหนี่ยว คิดมากอยากจะฆ่าตัวตาย และสิ่งนี้ได้ทำแล้วโชคดีที่สามี (ถวัลย์ เก็งวินิจ) ตามไปทันทำให้รอดตาย ต่อมาสามีได้พาเข้าวัดไปพบกับพระครูญาณวิศิษฎ์ (หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก) เจ้าอาวาสวัดธรรมสถิต อ.เมือง จ.ระยอง ในขณะนั้น

    จากตรงนี้ถือเป็น จุดเริ่มต้นที่ทำให้วารุณีรู้ เรื่องราวเกี่ยวกับกรรมชาติที่แล้ว รวมทั้งเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถึงแม้จะเป็นการสัมผัสเห็นด้วยจิตและสมาธิของตนเอง เพื่อไม่อยากให้ทุกคนประมาทกับบาปบุญ ดังนั้น จงรีบเร่งเพียรภาวนา ไม่เช่นนั้นทุกอย่างในชีวิตอาจสายเกินไป สภาวะจิตทำให้เราเดินสายกลางที่อาจเป็นเรื่องจริงและไม่จริง และย้ำว่าพระจะคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติธรรมเสมอ

    แม้ว่าเธอจะได้ช่วย เหลือคนให้พ้นทุกข์แล้ว วารุณีก็ไม่เคยใช้สิ่งเหล่านี้แสวงหาประโยชน์ใดๆ เพียงมีคำสอนให้กับตัวเองว่า ไอ้บ้า ไอ้บอ ไอ้ยก ไอ้ยอ ไอ้ปอ ไอ้ปั้น อย่าเอามันมาเป็นเพื่อน เพราะไอ้พวกนี้จะทำให้เราเผลอลืมตัว และลำดับต่อจากนี้เป็นความรู้สึกของผู้ที่ได้สัมผัสกรรมด้วยจิตกับวารุณี

    นาง ศรีนวล จันทพัฒน์ กล่าวว่า เวลาผ่านมาประมาณ ๒๐ ปีแล้ว ในเดือนตุลาคม ๒๕๔๔ ได้ไปร่วมงานทำบุญทอดกฐินสามัคคีที่ จ.ระยอง ไปกับเพื่อนหลายคน และได้ไปพักที่กุฏิของเพื่อนคนหนึ่งที่ปลูกไว้เพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม เวลาไปวัด ระหว่างนั้นเองวารุณีได้บอกว่า มีวิญญาณดวงหนึ่งมาปรากฏให้เห็นเป็นผู้ชาย ต้องการจะสื่อสารผ่านฝากกับดิฉัน พร้อมระบุลักษณะของวิญญาณให้ฟัง

    เมื่อ รับฟังว่าเป็นพ่อจริง บวกกับให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น วารุณีได้ถามว่า พ่อเป็นข้าราชการใส่ชุดสีกากี มีเหรียญเงินรูปเสด็จพ่อ ร.๕ เหรียญใหญ่ ที่มีไว้สำหรับติดหน้าอก เห็นพ่ออยู่ในที่มืดมากได้รับความลำบากมาก วารุณีบอกว่านอกจากแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลแล้ว ต้องไปหาวิธีทางศาสนาเอาเอง เพื่อให้วิญญาณของพ่อได้รับบุญที่ทำอันนี้

    วันหนึ่งได้ไปเลี้ยง อาหารเพลพระที่วัดพิเรนทร์ ย่านวรจักร โดยได้เล่าเรื่องที่ประสบให้กับหลวงพ่อ (พระคำนวณ) ได้ฟัง ท่านได้แนะนำให้ให้ถวาย******บพระธรรม และหนังสือพระธรรม ที่ใช่ในการสวดพระอภิธรรมครบชุด คือ กระถางธูป เชิงเทียน แจกันดอกไม้ ตาลปัตร อาสนะ พร้อมอุทิศไปให้กับพ่อที่ชื่อ นายสด จันทพัฒน์

    "วัน ต่อมาก็ได้ให้คุณวารุณีช่วยติดต่อพ่อในภพภูมิที่เจอใหม่อีกครั้งว่า แล้วมาคราวนี้คุณวารุณีบอกว่าวิญญาณดวงนั้นได้พ้นจากความทุกข์ในความมืดแล้ว ลอยขึ้นไปและมีแสงสว่างนวลรอบๆ ตัว ดวงหน้ายิ้มแย้ม นั่นแสดงว่าได้เปลี่ยนภพภูมิดีขึ้นกว่าเก่าแล้ว"

    เช่นเดียวกับความ รู้สึกของนางราชาวดี เล่าว่า มีอยู่มาวันหนึ่งได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนและหลานสาวลูกของพี่ชายคน หนึ่ง พวกเราได้ถ่ายรูปร่วมกัน เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วได้เอารูปถ่ายที่ได้ไปเที่ยวมา เอาไปให้เธอดูตามประสาเพื่อนฝูง พอวารุณีดูรูปแล้วก็เอามือชี้ไปที่หลานสาว แล้วถามว่า คนนี้เป็นใคร เพราะผู้หญิงคนนี้มีเงาดำคาดอยู่ที่หน้า แต่รูปจริงๆ แล้วไม่มีเงาดำคาด

    เธอเองได้บอกให้ไปเตือนหลานสาว ระวังตัวไว้ เวลาผ่านไปประมาณ ๖ เดือนให้หลัง หลานสาวคนนี้ก็ตายด้วยโรคมะเร็งฉับพลันแบบไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเขาเป็นโรค มะเร็งตับ ๑ ปีต่อมา พี่สาวคนโตของตัวเองก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และได้ถามวารุณีว่า สัมผัสกับผู้ตายได้บ้างไหม คำตอบที่ได้ก็คือ

    " เห็นพี่สาวของตัวเองร้องไห้เป็นห่วงกังวลเรื่องเงินสิบล้านบาท รู้สึกงงมากเพราะไม่รู้มาก่อนว่าพี่สาวมีหนี้สินอะไรบ้าง ลูกทุกคนของเขาก็ตกใจมาก ไม่มีใครรู้เรื่องมาก่อน เธอสื่อผ่านมาเพื่อให้น้องช่วยเหลือและใช้หนี้ที่เป็นอยู่กับธนาคารด้วย"

    ขณะ ที่ น.ส.เบญจวรรณ ศิริสุขสมบูรณ์ อาชีพค้าขาย กล่าวต่อว่า ครั้งแรกที่มาพบวารุณีกับเพื่อน ก็ไม่ค่อยมีความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับเรื่องราวของกรรมอะไรมากนัก ความรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที เมื่อคุณวารุณีทักขึ้นว่ามีผู้หญิงนุ่งขาวยืนอยู่ด้านหลัง ก็ได้บอกไปคงเป็นอาจารย์ที่สวดมนต์อยู่บ้าน แต่ทำไมคุณวารุณีถึงรู้ แม้แต่เรื่องหนี้สินธนาคารทำไมเธอถึงล่วงรู้ ขนาดรู้กระทั่งว่าย่าถูกโกงที่ดินตั้ง ๕๐๐ ไร่

    "พี่เขาก็พาไปไหว้ ทำบุญ แล้วพี่เขาก็ถามขึ้นมาว่ามีคนหนึ่งหน้าแป้นๆ กลมๆ ขาวๆ ตาสวยๆ พี่ก็ถามว่าใคร แล้วพี่ก็บอกไปว่าผู้หญิงคนนั้นคือป้าของพี่เอง โดยป้าคนนี้ได้มาขอบคุณที่เราได้ไปทำบุญให้ที่วัดพระแก้ว มันเป็นเรื่องแปลกอย่างมาก ที่พี่ยังไม่เคยได้คุยกับพี่เขามาก่อนเลย แล้วความคิดของพี่ก็เปลี่ยนไปเมื่อได้เจอกับตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ"

    นอก จากนี้ พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี กล่าวเสริมว่า ศาสนาพุทธยังเป็นศาสนาแห่งมนุษยนิยม มีความมั่นใจในศักยภาพของมนุษย์ที่จะช่วยตัวเองให้พ้นทุกข์ และมีความสุขที่แท้จริงได้ด้วยการกระทำของตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยอำนาจภายนอก ตัว ดังเห็นได้จากคำสอนเรื่องกฎแห่งกรรม หรือกรรมนิยาม ที่ให้กรรมของคนแต่ละคนเป็นสิ่งกำหนดชะตากรรมของผู้กระทำ ในทำนอง

    หว่าน พืชไว้อย่างไรย่อมได้รับผลอย่างนั้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ความสุขและความทุกข์ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์เอง ศาสนาพุทธเรียกการกระทำที่เป็นบ่อเกิดของความสุขและความทุกข์ว่า กรรม การใช้เจตนาเป็นฐานสำคัญของการกระทำที่เป็นกรรม มีผลให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งทางสายกลาง ไม่สุดโต่งเกินความจริง

    อย่าง ไรก็ตาม ผู้อ่านที่สนใจสามารถติดตามเรื่องราวในหนังสือ มิติซ้อนมิติ ของ วารุณี สวัสดิภักดิ์ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักพิมพ์ช่อแก้ว ๑๒๗/๒๘ หมู่ ๘ ซอยติวานนท์ ๒๗ ถนนติวานนท์ ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี โทร.๐-๒๕๘๘-๒๓๘๕, ๐-๒๙๕๐-๐๐๔๔ กด ๐

    0 เรื่อง สุทธิคุณ กองทอง 0
    0 ภาพ นัทพล ทิพย์วาทีอมร 0

    ที่มาจากหนังสือพิมพ์ :
    [​IMG]

     
  2. @^น้ำใส^@

    @^น้ำใส^@ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    2,330
    ค่าพลัง:
    +4,673
    ปัญหาโลกแตกอย่าง หนึ่ง ซึ่งมีข้อถกเถียงที่ไม่มีวันสิ้นสุด คือ "นรก สวรรค์ ชาติที่แล้ว ชาติหน้า มีจริงหรือไม่" แต่ก็มีเหตุผลหนึ่งที่ดีที่สุดคือ "นรก สวรรค์ ชาติที่แล้ว และชาติหน้า เป็นกลอุบายอย่างหนึ่งที่ให้คนทำความดี ละเว้นจากความชั่ว เพื่อสังคมมนุษย์จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข"

    แต่สำหรับ นางวารุณี สวัสดิภักดิ์ ผู้เขียนหนังสือ มิติซ้อนมิติ เชื่อว่า นรกและสวรรค์มีจริง โดยให้เหตุผลของการเขียนหนังสือในครั้งนี้ว่า

    "ถึงแม้จะเป็นการสัมผัสเห็นด้วยจิตและสมาธิของตนเองก็ตาม การเขียนหนังสือ มิติซ้อนมิติ เรื่องจริงเล่าสู่กันฟัง เพื่อไม่ให้ทุกคนประมาทกับบาปบุญ ดังนั้นจงรีบเร่งเพียรภาวนา ไม่เช่นนั้นทุกอย่างในชีวิตอาจสายเกินไป"

    นางวารุณี เล่าว่า โดยปกตินิสัยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่เชื่ออะไรยากต่อสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ โดยเฉพาะเรื่องการมองเห็นภพภูมิ หรือตาทิพย์ หูทิพย์ นอกจากจะไม่เชื่อแล้ว ยังต่อต้าน และบ่อยครั้งที่หลีกเลี่ยงจะไม่เข้าอย่างเด็ดขาด

    อยู่มาวันหนึ่ง วิบากกรรมตามทัน ทำให้ตนสูญเสียการได้ยิน ความรู้สึกขณะนั้นสูญสิ้นไม่มีอะไรให้หวังอีกต่อไป จิตใจฟุ้งซ่านไม่มีที่ยึดเหนี่ยว คิดมากอยากจะฆ่าตัวตาย

    ถือว่าโชคดีที่สามี (ถวัลย์ เก็งวินิจ) ตามไปทันเวลา บนสะพานกรุงธนฯ แถวบางพลัด ก่อนที่จะกระโดดแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ดูโลกมาจนถึงทุกวันนี้

    ต่อมาสามีได้พาเข้าวัดไปพบกับ พระครูญาณวิศิษฎ์ (หลวงพ่อเฟื่อง โชติโก) เจ้าอาวาสวัดธรรมสถิต อ.เมือง จ.ระยอง ในขณะนั้น

    สาเหตุที่สามีพาเข้าไปกราบหลวงพ่อเฟื่อง ก็เพราะเขาเห็นว่า ภรรยาดูเศร้าซึม จนตัวเขาเองหมดปัญญาที่จะปลอบโยน วันนั้นหลวงพ่อเฟื่องได้ไปถึงวัดพร้อมกับสามีและเพื่อนรุ่นพี่อีกคนหนึ่ง สามีพาเข้าไปในห้องโถงกว้างพอประมาณ ที่หลวงพ่อเฟื่องได้ใช้เป็นที่รับแขกสอนการนั่งสมาธิภาวนา และมีห้องพักสำหรับจำวัดอยู่ในตัว มีลูกศิษย์มานั่งสมาธิภาวนากันหลายคน สามีได้บอกกับหลวงพ่อเฟื่องว่า ภรรยาหูดับ ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่วันนี้ยอมลดทิฐิมาวัดได้แล้ว

    นางวารุณี เล่าต่อว่า ก่อนหูจะดับไม่ได้ยินเสียอะไรเลยนั้น มีปัญหาครอบครัวกัน ทะเลาะกับสามีมาตลอด เพราะสามีชอบไปวัดที่ต่างจังหวัดทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อไปช่วยท่านพ่อสร้างเจดีย์ สร้างโบสถ์ สร้างองค์พระบนเขา โดยตนเองไม่ชอบ และมีความเห็นว่าที่สามีทำมันมากเกินไป ทำให้เกือบเกิดการหย่าร้างกัน เป็นเหตุทำให้ต่อต้านสามี ทำให้ชื่อเสียงของนางวารุณีจึงเป็นที่รู้จักของลูกศิษย์คนอื่นๆ ในวัดที่รู้จักสามีเป็นไปในทางลบ มองว่าร้ายกาจ และตัวเองก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง

    อย่างไรก็ตาม หลังจากมาหัดนั่งสมาธิ ทำให้เกิดจุดหักเหจากที่เคยต่อต้านสามีก็เลิกต่อต้าน และเริ่มค้นหาความอัศจรรย์ของจิต ทุกวันนี้เวลาล่วงเลยมานานกว่า ๒๐ ปี ก็ไม่เคยลืมเหตุการณ์เกี่ยวกับพลังจิตที่ได้พบในครั้งแรก ทำให้ปัจจุบันนี้เข้าใจแล้วว่า เรื่องการนั่งสมาธิให้ผลแบบไหน

    "เรื่องของพลังจิตเป็นอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ธรรมปัญญาสมาธิแตกต่างจากนิมิตพลังจิตแบบไหน ทุกวันนี้กล้าพูดได้ว่า ธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ไม่มีอะไรเปรียบเทียบ และจะไม่ขอกลับไปเป็นคนหยาบมืดบอด เปรียบเหมือนบัวในตมเหมือนก่อนหน้านั้นอีกต่อไป" นางวารุณี กล่าวพร้อมกับเล่าต่ออีกว่า

    ต่อมาหลวงพ่อเฟื่องได้สร้างเจดีย์บนยอดเขาเสร็จแล้ว ท่านจึงดำริจะสร้างโบสถ์ด้านล่างของเจดีย์ถือเป็นช่วงที่เข้าวัดเป็นประจำ วันหนึ่งวารุณีได้ไปกราบหลวงพ่อเฟื่องเหมือนเคย ประมาณ ๕ ทุ่มจึงได้สะกิดสามีให้กลับ หลวงพ่อเฟื่องคงสังเกตเห็นจึงเรียกสามีให้เข้าไปใกล้ แล้วก็พูดเบาๆ ว่า อย่าเพิ่งกลับ หลังจากนั้นหลวงพ่อเฟื่องให้นั่งสมาธิต่อหน้า

    ในการนั่งสมาธิครั้งนี้นั้น นางวารุณี บอกว่า จิตใจสงบได้ง่าย ภาวนาพุท-โธ จับลมแบบอานาปานสติตามที่ท่านพ่อสอน เวลาผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงก็เกิดภาพนิมิต เหตุการณ์ที่มองเห็นช่างเหมือนกับดูหนัง เห็นตนเองยืนอยู่ที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี กว้างใหญ่สุดลูกตา อากาศขณะนั้นเย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาว มองเห็นต้นโพธิ์ใหญ่ใบเขียวสด ที่โคนต้นโพธิ์เห็นพระสงฆ์รัศมีเปล่งปลั่ง ผิวพรรณเหลืองอร่าม ห่มจีวรเหลืองสุกใส ศีรษะมองไกลๆ เขียวเหมือนพระเพิ่งปลงผมใหม่ๆ มีแสงนวลเย็นตาเป็นรัศมีรูปวงกลม รอบองค์ท่านมีพระสงฆ์มีรัศมีเปล่งปลั่งใกล้เคียงกันนั่งล้อมเป็นวงกลม

    ขณะที่มองเห็นนั้น ความรู้อิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูก จิตใจพลังสดชื่นจนไม่สามารถอธิบายได้ ใกล้เคียงกับอาการของจิตที่เกิดขึ้นในขณะนั้นกำลังมองภาพเบื้องหน้าเพลินๆ ก็ได้ยินเสียงบอกว่า นั่นคือภาพของ พระอริยบุคคล ที่กำลังเทศนาสนทนาธรรม เมื่อหันไปที่เสียงบอก ก็เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง ในความรู้สึกเวลานั้นคิดว่าเป็นหลวงพ่อเฟื่องแต่ใบหน้าไม่เหมือนกัน จึงนั่งลงยกมือไหว้ และพระสงฆ์รูปนั้นได้พูดตอบมาว่า "ลุกขึ้นเถอะ จะพาไปเที่ยวดูคนที่ทำผิดศีลธรรมที่ถูกลงโทษจะได้สะดุ้งกลัวต่อบาป"

    ทันใดนั้นจึงลุกขึ้นยืน พระองค์นั้นยืนอยู่ข้างหน้า แผ่นดินที่ยืนอยู่ลอยได้เหมือนลิฟต์ ผ่านสถานที่ต่างๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก็มาหยุดตรงหน้าประตูไม้ใหญ่โตสูงเทียมภูเขา มีคนเฝ้าไม่ใส่เสื้อ นุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดง ตัวใหญ่โตเกือบเท่าประตู เห็นเพียงแค่ขามองไม่เห็นใบหน้า เมื่อเขามองเห็นพระสงฆ์องค์นั้น เขาย่อตัวลงมาพร้อมนั่งพนมมือคุกเข่าไหว้พระสงฆ์ พูดเสียงก้องกังวานว่า

    "นมัสการพระคุณเจ้า ลงมาถึงภพภูมิคนบาป ประสงค์สิ่งใดหรือ ?"

    พระสงฆ์รูปนั้นก็ตอบกลับไปว่า "พาเขามาดูคนที่ทำบาปผิดศีลธรรมเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ ตายไปแล้วได้รับโทษอย่างไร" คนที่เฝ้าประตูพนมมือพร้อมกับพูดว่า "ชมได้แต่อย่านาน" พระสงฆ์พยักหน้าแบบรับรู้ ประตูจึงเปิดออกได้เองโดยที่ไม่เห็นมีใครมาเปิด

    นางวารุณี เล่าต่อว่า ทันทีที่ประตูเปิดออกให้เห็นกระทะใบใหญ่เกือบเท่าภูเขา หรืออาจใหญ่ประมาณหินก้อนมหึมา ๓ หรือ ๔ ก้อน ที่ใช้เป็นขารองรับกระทะช่างใหญ่โตมาก เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงร้อนแรงจนความรู้สึกเหมือนกับร่างของตนเองแทบละลาย พระสงฆ์องค์นั้นยืนสงบนิ่ง ชั่วอึดใจความร้อนเริ่มคลายลงจนเป็นปกติเหมือนไม่ได้อยู่ใกล้ไฟ ทำให้มองเห็นภาพเบื้องหน้าได้ชัดเจน

    กระทะใบใหญ่นั้นมีน้ำมันที่กำลังเดือดพล่าน ภายในกระทะนั้นเต็มไปด้วยมนุษย์ ต่างพากันร้องโหยหวนตะเกียกตะกายจะออกจากกระทะใบนั้น แต่ก็ออกไม่ได้ บางคนตักน้ำเดือดๆ ใส่ปากตนเอง เสียงร้องที่โหยหวนของคนที่อยู่ในนั้น เห็นแล้วน่าสยองขวัญมาก ความรู้สึกตอนนั้นไม่รู้สึกกลัวใดๆ จึงได้ถามชายร่างใหญ่นั้นว่า คนที่ถูกต้มในกระทะเขาทำผิดอะไร ถึงได้ถูกต้มและตักน้ำร้อนกรอกปากตนเอง

    เขาก็ตอบกลับมาว่า "คนพวกนี้เมื่อมีชีวิตอยู่ชอบกินเหล้า ชอบคอรัปชั่น ชอบนินทา ชอบให้ร้ายคนอื่น ชอบโกหก ชอบยุให้เขาทะเลาะกัน ชอบพาคนอื่นให้เดินผิดทางธรรม ปากอย่างใจอย่าง เมื่อตายแล้วต้องรับโทษแบบนี้"

    เรื่องราวทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งที่นางวารุณีเขียนไว้ในหนังสือ มิติซ้อนมิติ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สำนักพิมพ์ช่อแก้ว ๑๒๗/๒๘ หมู่ ๘ ซอยติวานนท์ ๒๗ ถ.ติวานนท์ ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี โทร.๐-๒๕๘๘-๒๓๘๕, ๐-๒๙๕๐-๐๐๔๔ กด ๐

    ที่มาจากหนังสือพิมพ์ :
    [​IMG]
    <!-- / message --><!-- sig -->__________________
     
  3. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, Thonburi]มิติซ้อนมิติ[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, Thonburi] ผม เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเรื่องลึกลับและลี้ลับ เมื่อสามสิบปีก่อน ผมสะสมหนังสือประเภทมนุษย์ต่างดาว ไสยศาสตร์ และ เรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ เอาไว้มากมายเป็นร้อย ๆ เล่ม มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หนังสือบางเล่มก็เขียนอย่างดีมีหลักฐานน่าเชื่อถือมาก แต่บางเล่มก็เขียนแบบเดาสุ่ม ตอนนั้นผมนำเรื่องเหล่านั้นมาเขียนเผยแพร่ไปหลายตอน แต่เขียนไปเขียนมาก็รู้สึกว่าเนื้อหาที่เขียนไม่ได้ให้ความรู้อะไรแก่ผู้ อ่าน อีกทั้งเรื่องที่เขียนนั้นผมก็ไม่ได้ประสบมาด้วยตัวเอง อย่างเช่นเรื่อง UFO ผมก็ไม่เคยเห็น แม้จะพยายามเลือกที่นั่งในเครื่องบินให้ใกล้หน้าต่าง แล้วคอยมองดูท้องฟ้าเสมอ ๆ ก็ไม่เคยพบเห็นจานบินสักลำ ในที่สุดผมก็เลิกเขียน แต่ยังอ่านอยู่[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, Thonburi] เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมไปพบหนังสือเรื่อง มิติซ้อนมิติ ของคุณวารุณี สวัสดิภักดิ์ เข้า จึงซื้อมาอ่านแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องนำมาแนะนำให้อ่านกัน[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, Thonburi] คุณวารุณีเป็นชาวพุทธ์ซึ่งเดิมไม่ค่อยจะสนใจทำบุญทำทานมากนักจนกระทั่งวัน หนึ่งเกิดปัญหาหูดับฟังอะไรไม่ได้ยิน สามีของคุณวารุณีจึงพาเธอไปเข้าวัดและหัดนั่งสมาธิกับท่านพ่อซึ่งเป็นพระ ภิกษุที่มีศีลาจาวัตรงดงาม เมื่อหัดนั่งสมาธิได้แล้วคุณวารุณีก็ได้ประจักษ์ว่าตนเองสามารถติดต่อและ เห็นอีกภพภูมิหนึ่งได้ สามารถรู้ปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งเกิดความสังหรณ์ใจล่วงหน้าว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นได้ นั่นรวมไปถึงกรณีที่คุณวารุณีเห็นว่าท่านพ่อจะมรณภาพหลังจากสร้างพระอุโบสถ เสร็จ ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, Thonburi] ข้อเขียนของคุณวารุณีในเล่มนี้ผู้อ่านหลายคนอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ผมเองกลับเห็นว่าเป็นความกล้าหาญของคุณวารุณีที่นำเรื่องเหล่านี้มาบอก เล่าให้เรารับทราบกัน ผมเองเชื่อในเรื่องการตายแล้วเกิด (รวมทั้งตายแล้วสูญ) เชื่อในเรื่องภพภูมิต่าง ๆ และเชื่อว่าคนที่มีความสามารถในการมองทะลุภพภูมิอย่างคุณวารุณีนั้นมีอยู่ จริง เพียงแต่การบอกให้คนอื่นทราบนั้นอาจจะถูกคนที่ไม่เชื่อหัวเราะเยาะเอาได้[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, Thonburi] ความ เชื่อในเรื่องเหล่านี้มีมาคู่กับคนไทยนานหลายร้อยปีมาแล้ว แต่ความเชื่อนั้นจะต้องเชื่อให้ถูกต้องตามหลักการของพุทธศาสนา ยกตัวอย่างเช่น การเชื่อเรื่องกรรม ก็ต้องเข้าใจให้ถูกว่า กรรมมีส่วนกำหนดให้เรามาเกิดและดำรงอยู่ในสภาพปัจจุบันก็จริงอยู่ อย่างไรก็ตามการกระทำของเราตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นกรรมเหมือนกัน และ การกระทำนั้นก็มีส่วนกำหนดให้เราเป็นสิ่งที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้ด้วยไม่ใช่ กรรมในอดีตชาติอย่างเดียว ดังนั้นเราจะต้องคิดดี พูดดี ทำดี เพื่อให้เกิดเป็นการกระทำที่ดี ซึ่งก็จะทำให้เป็นกรรมใหม่ที่จะส่งผลต่อ ๆ ไปในทางที่ดีแก่ตัวเรา[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, Thonburi] ยกตัวอย่างเช่น บางคนเกิดมาสมองดีมีความจำดีเรียนอะไรก็รู้ตามได้รวดเร็ว นั่นอาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่งของกรรมในอดีตชาติ แต่ถ้ามาในชาตินี้ไม่ได้พยายามขวนขวายเรียน ไม่ได้ตั้งใจเรียน ก็จะไม่สามารถทำคะแนนได้ดีจนกระทั่งเป็นดุษฎีบัณฑิตได้ อีกนัยหนึ่งก็คือ กรรมในอดีตอย่างเดียวไม่สามารถทำให้คนเป็นด็อกเตอร์ได้ ต้องอาศัยการศึกษาอย่างจริงจังและคร่ำเคร่งด้วย แต่ก็อีกนั่นแหละ แม้จะมีกรรมในอดีตชาติที่ส่งเสริมผลักดันให้ได้เรียน แม้จะศึกษาอย่างคร่ำเคร่งมากมายซึ่งเป็นกรรมที่เกื้อหนุนส่งเสริมมากมาย แต่ก็อาจจะไม่สามารถได้ปริญญาเอกได้ เพราะมีกรรมอื่นในอดีตมาขัดขวาง และบางคนอาจจะมีอุปฆาตกรรมจากอดีตมาตัดรอนพรากชีวิตไปโดยไม่ทันจะจบด้วยซ้ำ[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, Thonburi] ย้อนกลับมาที่หนังสือเรื่องมิติซ้อนมิติอีกครั้ง หนังสือนี้ความจริงมีสองส่วน ส่วนที่คุณวารุณีเขียนเองส่วนหนึ่ง และ ส่วนที่ทางสำนักพิมพ์ได้ขอให้ผู้ที่คุณวารุณีเคยช่วยเหลือได้ส่งเป็นเรื่อง เข้ามาร่วมตีพิมพ์ด้วย ผมจะไม่วิจารณ์เนื้อหาที่คุณวารุณีและผู้อื่นเขียนในที่นี่ แต่อยากจะเชิญชวนให้ลองหาซื้อมาอ่านกันเองก็แล้วกัน
    [/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, Thonburi]ข้อมูลจาก
    [/FONT]
    IT Idea for Spiritization by Dr.Kanchit Malaivongs
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif, Thonburi]
    [/FONT]
     
  4. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    สาธุๆๆๆ ผมก็เป็นศิษย์อาจารย์วารุณีครับ ท่านจะไปอินเดีย1-22ธ.ค.นี้แล้วครับ
     
  5. banyen9000

    banyen9000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    105
    ค่าพลัง:
    +288
    สวัสดีคะมีเบอร์โทรอาจารย์ไหมคะ ขอหน่อยคะขอบคุณคะ
     
  6. ซ้อจิตต์

    ซ้อจิตต์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +63
    ขอบคุณค่ะ คุณน้ำใส ที่นำสิ่งที่ดีๆมามอบให้
    สำหรับเตือนใจผู้อ่านทุกคน
    อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
     
  7. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ธรรมะจากอาจารย์ยาย
    บ่อยครั้งที่อาจารย์ยายได้บอกลูกหลานภวันตุเตอยู่เสมอ เรื่องการมองดูตนเอง ว่า
    จงมองและค้นหาตนเองให้เจอ อย่ามองดูคนอื่น อย่าส่งจิตออกนอกกายสามสิบสอง ที่สำคัญอย่าเข้าข้างตนเองว่าเป็นคนดี กิเลสยังมี ไม่มีใครดีหรอก คนจะต่างกันก็ตรงแค่ดีมากหรือดีน้อย. เลวมากหรือเลวน้อยเท่านั้นเอง. เราอาจจะปกปิดใครๆได้แต่ไม่สามารถปิดบังใจตนเองได้ ดังนั้นจงอย่าเสียเวลาค้นหาคนอื่น ควรตั้งใจค้นหาความจริงในกายสามสิบสอง และใจของตนเองดีกว่า. แล้วจะพบธรรมของพระพุทธเจ้า นี่คือคำสอนของอาจารย์ยายที่มอบให้ลูกหลานภวันตุเตทุกคน แฮปปี้เห็นว่ามีความสำคัญมากกับผู้ปฏิบัติธิธรรม จึงขออนุญาติท่าน นำคำสอนนี้มาเผยแพร่ให้ญาติธรรมในเฟสได่อ่าน เพื่อพิจารณา และน้อมนำไปปฏิบัติเพื่อพบพระธรรมอันบริสุทธิ์ขององค์พระศาสดา สาธุครับ ...แฮบปี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...