@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    สาเหตุสำคัญที่ทำกรรมฐานแล้วกำลังใจไม่เพิ่ม

    ..." ตัวเรานั่นแหละ ตัดกำลังใจตัวเราเอง เพราะ ไปติดอารมณ์โลก"....



    ...." ทุกอย่างจบที่เรา ไม่ต้องโทษใคร คนดีเค้าไม่ตีใคร ".....
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    เรียนเชิญสวดมนต์กับหลวงตาม้า ที่กรุงเทพฯ วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2559

    [​IMG]

    [​IMG]





    พุธที่ 28 ธ.ค....ร่วมสวดมนต์กับหลวงตาม้าและถาม-ตอบธรรมะ...ณ วัดอรุณราชวราราม กทม. เวลา 18.00 น.เป็นต้นไปค่ะ...สาธุค่ะ
    "สวดมนต์ แผ่เมตตา อนุโมทนาบุญ อ่อนน้อมถ่อมตน"
    *************************
    เรียนเชิญสวดมนต์กับหลวงตาม้า ที่กรุงเทพฯ
    วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2559
    เวลา : 18:00 - 21:00 น.
    กิจกรรม : สวดมนต์รอบเย็น และถาม-ตอบธรรมะ พร้อมสวดมนต์รอบค่ำ
    สถานที่ : วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) บริเวณลานกลางแจ้ง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าพระปรางค์วัดอรุณฯกรุงเทพมหานคร
    สอบถามเพิ่มเติม โทรฯ : 083-644-5162, 096-242-3959
    -->>แผนที่ https://goo.gl/maps/rFnf4aD2TQz
    -->>พิกัด 13°44'37.1"N 100°29'20.6"E
    ═════════
    >> รับฟังการถ่ายทอดสดได้ที่ วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) : ถ่ายทอดสดการสวดมนต์และแสดงธรรมของหลวงตาม้า
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    [​IMG]
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    พุทโธ อัปปมาโณ

    พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า
    "หลวงปู่ปาน สร้างพระเครื่องจากคำข้าว
    โดยคายคำที่อร่อยออกมาตากแห้ง และตำเป็นผง
    ปั้นเป็นองค์พระหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว
    ท่านสั่งหลวงพ่อฤๅษีให้จัดเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่
    เพื่อทำการบวงสรวงอัญเชิญเทวดา
    และพระท่านมาสงเคราะห์

    หลวงพ่อท่านเรียนถามหลวงปู่ปานว่า
    "พระองค์เล็กแค่นั้นเอง ทำไมหลวงพ่อต้องสั่ง
    เครื่องบวงสรวงชุดใหญ่ด้วย ?"

    หลวงปู่ปานท่านมองหน้า
    แล้วว่า "เรื่องของพระแกคิดว่ามีเล็กหรือวะ?"
    จำไว้นะ..คำว่า "พระ" ไม่มีเล็ก

    หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ สร้างพระของขวัญ
    องค์ประมาณปลายนิ้วชี้ โยมบางคนรับไปแล้วบอกว่า
    "หลวงพ่อ..องค์เล็กแค่นี้เอง จะคุ้มครองไหวหรือ ?"
    ปรากฏว่าคืนนั้น โยมนิมิตเห็นพระของขวัญ
    ขยายใหญ่โตเต็มฟ้า ถามว่า "แค่นี้พอไหม ?"

    พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ
    จะเล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่กำลังใจของเรา
    ว่ายึดมั่นหรือไม่"

    พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๔
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    เคล็ดการสวดคาถาเงินล้าน จากหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ที่ท่านเมตตาแนะนำไว้มาฝากครับ

    เมื่อปี๒๕๒๘พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้ขอให้บรรดาลูกหลานใช้พระคาถาเงินล้านเพื่อเสริมสร้างความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตพระท่านก็อนุญาตให้เราจะสังเกตได้ว่าใครก็ตามที่ทำพระคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอความคล่องขัดในการดำเนินชีวิตจะมีน้อยกว่าคนอื่นเขาขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอเพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญาคนจะเป็นอภิญญาได้จะต้องมีความจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้งๆเมื่อท่านทั้งหลายได้ทำจริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก อย่างเช่นว่าอาจจะภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ เป็นต้นก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา

    โดยเฉพาะอาตมานั้น ตั้งแต่ท่านบอกมา ใช้การภาวนาจากที่เคยใช้อยู่ ๙ จบก็เพิ่มมาเป็น ๓๐ จบ....

    จากที่ใช้ ๓๐ จบ แล้วรู้ว่าเวลามันเหลืออีกเยอะ ก็เพิ่มเป็น ๓๐๐จบ.......
    ไล่มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบเป็น๑,๒๐๐ จบ เป็นต้น
    การท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย เป็นการเน้นคุณภาพไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ เรื่องของคาถาถ้าทำด้วยความเคารพจริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒เดือนผลก็จะเกิดขึ้น
    credit:


    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาโปรด ท่านบอกว่า "ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน ทรงอารมณ์โดยไม่เคลื่อนเลยวันละ ๑ ชั่วโมงจะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ทำได้"

    ญาติโยมทั้งหลายนั้นแม้จะทราบว่าคาถาเงินล้านเป็นของดีแต่ไม่ค่อยจะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยต่อเนื่องบางคนก็มาบ่น บอกว่ามีความลำบากในการทำมาหากินมาก อาตมาก็บอกคาถาเงินล้านให้ไปใช้เขาบอกว่าเขาภาวนาเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ถามว่า "โยมภาวนาวันละกี่จบ ?"โยมบอกว่า"๑ จบ"อาตมาก็อยากจะบอกว่า"จบเห่"คนอยากรวยทำงานวันละ ๑ นาที ขนาด ๒๔ ชั่วโมงทำ ๘ ชั่วโมงยังไม่ค่อยจะพอกินเลย จึงได้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายไปเพิ่มจำนวนขึ้นทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ โดยให้ยึดที่ ๑๐๘ จบ เป็นหลักเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่แต่บ้านเราเท่านั้น เศรษฐกิจโลกก็พลอยแย่ไปด้วยถ้าหากว่าเราอาศัยบารมีพระยึดท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริง ๆ ทำแบบมอบหมายถวายชีวิตจริง ๆขอยืนยันว่าทุกอย่างก็จะเป็นจริงไปด้วย

    ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ทำไป ๆเหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆจนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้นญาติโยมทั้งหลายจำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆหากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกายถ้าตรงจุดพอเหมาะพอดีมันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเหวที่ไม่มีก้นแบบที่หลวงปู่สดท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลงไปก็จะไปได้เรื่อย ๆ อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่าไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้คาถาบทนั้นจะมีผลมาก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้ถ้าทำถูกไม่ต้องไปท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกินนั้น
    **
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าใจถึงวิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้านเพื่อให้เกิดผลสูงสุดที่จะพึงมีพึงได้ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง แต่ไม่ใช่เกร็งเวลาหายใจเข้า นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุดลมหายใจของเรา ให้อยู่ตรงนั้น นั่นคือศูนย์กลางกาย
    ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ ให้เป็นศูนย์กลางของเราเสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรงจุดนี้เลยแต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะแผ่ว ๆอยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงจะมีความคล่องตัวมาก จะทำงานใหญ่ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ

    ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหาจุดกึ่งกลางของเราที่พอดีโดยไม่ต้องเกร็งตัวเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเราให้ลงไปที่กึ่งกลาง ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ เท่านั้นให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา
    credit: พลังจิต
     
  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    844_414319038638115_992318909_n.jpg
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    “...เครื่องประดับขัติยะนารีทั้งหลาย มีแก้วแหวนเงินทอง เป็นตัณหากามคุณ เหมือนดั่งน้ำผึ้งแช่ยาพิษ.. สำหรับนำความทุกข์มาใส่ตัว โดยบ่มีประโยชน์สิ่งใดเลย

    แม่น้ำคงคา ยมนา อิรวดี มหิ มหาสรพู ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ แม่น้ำนี้ แม้นจักเอามาอาบให้หมดทั้ง ๕ แม่นี้.. ก็บ่ อาจจะล้างบาป คือความเดือดร้อนภายในให้หายได้

    ลมฝนลูกเห็บแม้นจะตกลงมาหลายห่า เย็นและหนาวสักปานใด ก็บ่อาจเย็นเข้าไปถึงภายใน ให้หายจากความทุกขเวทนาได้ ศีล ๕ เป็นอริยทรัพย์ เป็นต้นเหตุแห่งความบริสุทธิ์.. เป็นน้ำทิพย์สำหรับล้างบาป คือความเดือดร้อนภายในให้หายได้

    เมื่อศีลบริสุทธิ์แล้ว สมาธิ ความตั้งมั่นก็จะมีมา แล้วให้ปลุกปัญญา ปัญญาก็จักเกิดมีขึ้นได้.. คือ ให้หมั่นรำลึกถึงตัวตนอยู่เสมอว่า บ่ใช่ตัว บ่ใช่ตน จนเห็นแจ้งด้วย ปัญญาของตน จึงเป็นสมุทเฉทประหาน กิเลสหมดแล้ว จิตเป็นวิมุติ หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลได้...”

    พระครูบาศรีวิชัย


    e0b884e0b8a3e0b8b9e0b89ae0b8b2e0b8a8e0b8a3e0b8b5e0b8a7e0b8b4e0b88ae0b8b1e0b8a2.jpg
     
  11. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    14956643_1802051563407633_2503772267539845552_n.jpg
     
  12. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    13507011_1736814019931388_657748111611472764_n.jpg
     
  13. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    15873246_1221324021280034_792755281919928259_n.jpg




    15894501_1221324971279939_451246823152424655_n.jpg





    "เราทุกคนรู้ว่าตัวเองต้องตาย แต่เราไม่เคยเรียนวิธีตายกันเลย
    เอาแต่เรียนเรื่องนอกตัว"

    "รู้ไปหมด รู้ทุกอย่าง ไม่รู้อยู่อย่างเดียวคือความจริง"

    "ขึ้นชื่อว่าความดีแล้วทำไปเถอะ ใครรจะรู้หรือไม่รู้อย่าไปคิด..
    ความดีที่เราทำ มันก็จะอยู่กับเราตลอดนั่นแหละ"

    "ไม่ต้องรอให้ใครมาทำบุญให้ตอนเสียชีวิตไปแล้ว
    ทำเอาเองตอนที่มีชีวิตอยู่นี่แหละ"


    เอาให้มันรู้สักชาตินึง"

    #หลวงตาม้า
     
  14. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    15781054_1214063495339420_6174304180023365789_n.jpg
     
  15. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    ถามว่า ในปัจจุบันนี้ ถ้าว่ากันตามหลักการ ปฏิบัติแบบมโนมยิทธิมีสายปฏิบัติไหนที่ใกล้เคียงที่สุดต้องบอกว่าแบบธรรมกายใกล้เคียงที่สุด
    ธรรมกายนั้นจริงๆแล้วเป็นต้นแบบของมโนมยิทธิ
    เนื่องจากว่า ธรรมกายนั้นมีพื้นฐานมาจากกสิณ โดยเฉพาะอาโลกกสิณ คือการกำหนดลูกแก้ว ส่วนมโนมยิทธินั้น เป็นการใช้ผลของกสิณ คิดให้ดีๆนะ อย่างหนึ่งเริ่มตั้งแต่สร้างเหตุ ส่วนอีกอย่างหนึ่งใช้ผลเลย

    ถ้าจะเปรียบไปแล้ว ก็เหมือนกับเราสร้างบ้าน ธรรมกายจะเริ่มตั้งแต่ถมพื้นที่ ออกแบบ วางแปลน เทฐานรากขึ้นมา จนกระทั่งสร้างเป็นบ้านเสร็จ เรียบร้อย ส่วนมโนมยิทธินั้น เป็นลูกคนรวย ควักเงินในกระเป๋าไปซื้อบ้านสำเร็จรูป ก็มีที่อยู่เหมือนกันใช่ไหม แต่ถ้าเอาพื้นฐานแล้วจะสู้ธรรมกายไม่ได้ เพราะว่าธรรมกายเริ่มจากนับหนึ่งมาเลย จะมีความมั่นใจกว่ามาก เพราะเริ่มต้นมาจากพื้นฐาน

    แต่ถ้าหากเราซักซ้อมจนคล่องตัวท้ายสุดก็จะเหมือนกัน เพราะว่ามาจากหลักเดียวกัน คือพื้นฐานของกสิณ เพียงแต่ว่ามโนมยิทธินี้ในอดีตเราทำได้ ปัจจุบันไม่ได้ทำ ก็แค่มาย้อนทวนของเก่า มีเงินเต็มกระเป๋าแต่เปิดใช้ไม่เป็น ครูจะมีหน้าที่บอกว่า ต้องเปิดกระเป๋าอย่างไรเท่านั้น แต่ถ้าธรรมกายนี่เราต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ หาเงินมาเองเลย เพราะฉะนั้น.....พื้นฐานจึงแน่นกว่ามาก....

    ในพระไตรปิฎกมีตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คือ....พระจูฬปันถกเถระ....พระบาลีบอกว่า มโนมยิทธิของพระ จูฬปันถกเถระ นี้ เป็นเอตทัคคะ คือเลิศที่สุดในหมู่สาวกทั้งปวงของพระพุทธเจ้า สามารถถอดกายในออกมาอยู่ตรงหน้าของตัวเองได้เหมือนอย่างกับถอดใส้หญ้าปล้องหรือว่าชักดาบออกจากฝักกลายเป็นอีกองค์หนึ่งอยู่ข้างหน้าเลยและท่านสามารถกำหนดได้มากถึง 1,000 องค์ แล้วทั้ง1,000 องค์นั้นสามารถทำงานคนละอย่างกันด้วย

    จากหนังสือกระโถนข้างธรรมาสน์ฉบับพิเศษ หน้า 62/63 พระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน กาญจนบุรี
     
  16. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    บวชเพื่ออะไร?
    "หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ
    สอนหลวงพ่อปานวัดบางนมโค"






    หลวงพ่อสุ่นท่าน แนะนำถึงวิธีการบวช หลวงพ่อปาน
    “ปานเอ๊ย การบวชนี้เป็นของยากนะลูกนะ แต่ไม่ยาก
    จนเกินไป เจ้าจะบวชจะต้องจำตรงนี้ไว้ก่อน”
    ท่านกางหนังสือเจ็ดตำนานให้ดูถึงตัวขานนาคว่า
    นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา
    แปลว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อทำให้แจ้ง
    ซึ่งพระนิพพาน “ นี่เราอย่าบวชเป็นทาสกิเลสตัณหานะ
    คิดว่าเวลาบวชน่ะบวชเข้ามาแล้วนะ ปาน โลกธรรม
    ต้องทิ้งให้หมดนะ อย่าเกาะนะ ถ้าเกาะมันตัวเดียว
    ไม่เป็นพระเลย ถึงแม้ว่าจะห่มผ้าเหลืองโกนหัวก็ตาม
    จะถือว่าเรามีศีลน่ะไม่จริง โลกธรรม 8 ประการมีอย่างนี้
    จะพูดให้ฟังนะ คือ
    1. อยากรวย คือ อยากมีลาภอยากรวย เมื่อได้ทรัพย์
    มาแล้วดีใจคิดว่าเรามีทรัพย์ เราจะสะสมเป็นทรัพย์สินให้มาก
    2. ถ้าทรัพย์หมดเสียใจ
    3. อยากมียศ อยากมียศถาบรรดาศักดิ์ ได้ยศมาแล้วปลื้มใจ
    4. เมื่อยศหมดไปเสียใจ
    5. นินทา เมื่อได้รับคำนินทาแล้วเดือดร้อน
    6. ถ้าได้รับคำสรรเสริญก็ยินดี
    7. มีสุขในกามารมณ์ มีความเพลิดเพลิน
    8. มีความทุกข์ก็หวั่นไหว
    สิ่งทั้งหลายเหล่าอื่นไม่ต้องจำ จำว่า
    1. บวชพระจงอย่ารวย อย่าสะสมเงิน ถ้าไม่มีเงินก็จงอย่าเดือดร้อน ไม่เป็นไร บ้านเราไม่ต้องเช่า ข้าวเราไม่ต้องซื้อ ชาวบ้านเขาหาให้ อย่าหวังรวย ถ้ารวยแล้ว ไม่ใช่พระ บวชสักกี่ร้อยพรรษาก็ไม่ใช่พระ ถ้าเราจะรวยต้องรวยด้วยศีลด้วยธรรม รวยด้วยบุญบารมี เงินได้มาเท่าไรทำเป็นสาธารณประโยชน์ให้หมด เหลือกินเหลือใช้ตามความจำเป็นแล้วใช้เป็นส่วนสาธารณประโยชน์ให้หมดอย่าให้มันเหลือ นี่จงอย่ารวย
    รายการที่ 2. อย่ารับยศ ถ้าจำเป็นจะต้องรับยศ อย่าเมายศ จงคิดว่าเราเป็นพระ เราบวชเพื่อพระนิพพาน ยศถาบรรดาศักดิ์มันเป็นโลกธรรม มันเป็นตัวถ่วง ตัวกิเลส ยศเป็นกิเลส ลาภเป็นกิเลส สรรเสริญเป็นกิเลส ความสุขในกามารมณ์เป็นกิเลส ถ้าเราพอใจในเหตุ 4 อย่างนี่ เราไม่ใช่พระ ถ้าขืนบวชเท่าไรก็ไม่ใช่พระ มันจะตกอเวจีมหานรก จงจำไว้ จงจำไว้ แล้วก็อย่าทำนะ
    อย่าฝืนไปเกาะตามนั้น คิดอย่างเดียวว่าเราบวชเพื่อพระนิพพาน





    15622197_1497584656936924_906402614739466289_n.jpg


     
  17. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    สัปดาห์ก่อนได้โทรคุยกับปู่โพธิสัตว์เรื่องหลวงปู่ใหญ่ ก็ยังรู้สึกมีข้อสงสัยในใจหลายอย่าง วันก่อนระหว่างสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน ก็สวดไป คิดเพลินๆไป ก็เคลิ้มๆไปว่า... (เป็นความฝันนะครับ อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ปฏิบัติและพิสูจน์จนเข้าใจแจ่มแจ้งด้วยตนเอง)

    มีเสียงมาบอกว่า "เธอสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆหลายรอบเกินไปนะ เวลาเริ่มทำสมาธิ ให้สูดลมหายใจลึกๆ 3 ครั้งพอ ครั้งแรกนึกถึงพระพุทธ ครั้ง 2 นึกถึงพระธรรม ครั้งที่ 3 นึกถึงพระสงฆ์ ใจจะลดความฟุ้งซ่านได้ดีขึ้น จากนั้นให้กำหนดภาพพระมาสงบไว้กลางกายแล้วพิจารณาสภาวะเอา..."

    ผมก็เลยลองทำตามที่เสียงนั้นบอก ก็รู้สึกได้ว่าสงบเบาสบายดีขึ้น และเมื่อลองกำหนดภาพพระไว้กลางกาย ภาพพระนั้นก็ค่อยๆสว่างขึ้นๆ เห็นเป็นภาพพระสงฆ์รูปหนึ่ง ผอมมากเหมือนเห็นแต่ซี่โครง แต่มีแสงสว่างสีทองแผ่ออกมารอบตัวท่าน

    ผมเลยกำหนดจิตน้อมใจไปกราบท่าน ก็เห็นว่าท่านกำลังผูกเชือกสีแดงๆอยู่ในมือ แล้วท่านก็บอกว่า

    พระ - นี่เรากำลังสอนธรรมะนะ เธอเข้าใจไหม

    ผม - ธรรมะอะไรครับ เชือกคือธรรมะอะไร

    พระ - การประคองจิตในโลกนี้ ต้องทำให้เหมือนการผูกเชือกนี้นะ เธอเห็นไหมว่าเราผูกยังไง

    ผม - ก็ผูกเป็นเหมือนโบว์ครับ

    พระ - ใช่ มันมั่นคงไหม

    ผม - ก็พอใช้ได้ครับ ผูกได้ไม่หลุด

    พระ - แล้วมันดึงออกยากไหม

    ผม - ก็ไม่ยากครับ ดึงกระตุกปลายทีเดียวก็หลุด

    พระ - นั่นล่ะ ทำจิตอย่างนั้น ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราก็ต้องผูกกับโลก ต้องทำอะไรไปกับชาวโลกเขา ต้องทำงาน ต้องมีญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ต้องมีสมบัติมีหน้าที่ต่างๆ แต่ต้องทำให้เหมือนเชือกนี้คือ ผูกกับโลกไว้แบบให้รู้ตัว ว่าเราผูกไว้เพื่อประคองตนอยู่ในโลกเฉยๆ ไม่ยึดติดในโลก ถึงเวลามีปัญหามีทุกข์อะไรขึ้นมา เราก็สามารถกระตุกจิตเราออกจากสิ่งนั้นได้ทันที ใช้ปัญญากระตุกจิตออกมาว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเรา มันก็แค่ทำไปตามหน้าที่ นั่นล่ะ เราก็อยู่กับมันได้ งานก็ไม่เสีย ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงก็ไม่เสีย และเราก็ไม่ต้องไปทุกข์กับมัน

    ผม - อ้อ ครับ แต่มันจะมั่นคงเหรอครับ ผูกแบบกระตุกได้

    พระ - มั่นคงสิ เพราะเราใช้ปัญญานำก่อน เรารู้ก่อนแล้วว่า ของพวกนี้ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เราก็ถอยออกมาครึ่งทาง ไม่ไปผูกกับมันเต็มที่ เวลาทำอะไร เราก็จะเห็นกว้างไกลกว่าคนอื่น เข่้าใจโลกกว่าคนอื่น ไม่ทุกข์เหมือนคนอื่น เพราะเราไม่เอากิเลสเข้าไปพันมันไว้ คนในโลกส่วนใหญ่เค้าผูกกับโลกแบบไม่มีเงื่อนกระตุกนะ เค้าเป็นเหมือนเชือกยาวๆ เธอเคยเห็นไหม พอวางกองๆกันไว้ มันก็พันกันไปกันมา

    ผม - เคยเห็นครับ บางทีพันกันแน่นกว่าเงือนตายอีก ดึงยังไงก็ไม่ออก

    พระ - นั่นล่ะน่ากลัว เพราะคนเราไม่เข้าใจความจริง ชีวิตนี้มีแต่ตัวเราของเรา ก็สรา้งเส้นเชือกของความคิด ฟุ้งซ่านไปเรื่องต่างๆยาวเหยียด ยิ่งคิดมาก เชือกก็ยิ่งยาวมาก ก็ยิ่งพันกันได้ง่ายขึ้น และแกะออกยากขึ้น บางคนเห็นเชือกพัน คือรูู้สึกว่าตัวเองเริ่มทุกข์ ก็พยายามดึงเชือกออก แต่มันไม่ได้ทำเงื่อนกระตุกไว้แต่แรกไง ไม่ได้ใช้ปัญญาเข้าไปหยุดกิเลส ทำความเข้าใจความจริงว่ามันไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเราตั้งแต่แรก มันก็เลยแก้ปัญหาไม่ได้จริง ยิ่งแก้ยิ่งพัน ยิ่งแก้ยิ่งผูกแน่น ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ บางคนแก้ปัญหาไม่ได้ทำยังไง เอากรรไกรมาตัดเชือกเลย เชือกนั้นก็เสียทั้งเส้น ใช้งานไม่ได้ ก็พวกฆ่าตัวตายไง แก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย เสียชีวิตไปเปล่าๆ แล้วก็พันกันทุกข์อีกเหมือนเดิม หนีทุกข์ไม่ได้ จะดึงก็ไม่ออก จะตัดก็ไม่ได้ มันเลยทุกข์นะมนุษย์ ทั้งที่จริงๆแล้วมันไม่มีอะไร มันทุกข์กันไปกับความคิดของตัวเองที่ยิ่งคิดยิ่งพันกันยุ่งไปหมด

    ผม - ก็จริงนะครับ แต่เงื่อนกระตุกนี่ต้องทำยังไงครับ ต้องวางจิตยังไงถึงจะเป็นเงือานกระตุกให้กับจิต ไม่ให้ไปติดโลก ทุกข์พันกับโลกเกินไปแบบที่หลวงพ่อสอน

    พระ - พระไง เวลาจะทำอะไร นึกถึงพระไว้ก่อน ทรงอารมณ์ของพระไว้ น้อมภาพพระไว้ในใจ สวดมนต์ภาวนาไว้ในใจเสมอ จะยืนเดินนั่งนอนทำอะไร ให้น้อมพระไว้ในใจก่อนจะคิดจะทำอะไรทุกครั้ง ทำให้มันชินไว้ พอเราวางพระไว้ในจิตก่อนเสมอ ก็เท่ากับเราเตรียมเงื่อนกระตุกไว้ให้กับจิตแล้ว ถ้าเกิดมีเรื่องออะไรที่จะทุกข์ขึ้นมา มันก็ไม่ทุกข์มาก เพราะใจมันเริ่มต้นด้วยพระก่อน ใจมันอยู่กับความดีมาก่อน มันไม่พันไปกับความทุกข์มาก หรือเวลาจะคิดจะทำอะไร พอเรานึกถึงพระก่อนทำทุกครั้ง มันก็จะมีปัญญาจะคิดจะทำแต่ในสิ่งที่ดี ไม่ไปทำความชั่วที่จะหาปัญหาความทุกข์ต่างๆมาผูกใจเราให้วุ่นวายไปกว่าเดิมอีก ง่ายๆแค่นี้เอง นี่ล่ะคือไตรสรณคมน์ ใจอยู่ในไตรสรณคมน์ คือทำอะไรให้นึกถึงพระก่อน ให้พระเป็ฯเงือนคอยกระตุกใจจากโลกไว้ก่อน

    ผม - ทำแค่นี้เองเหรอครับ บางคนเห็นเขาต้องไปฝึกวิปัสสนา ถือศีล อยู่วัด ทำพิธีอะไรให้เยอะไปหมด

    พระ - มีแค่นี้ล่ะ ถ้าใจอยู่กับพระจริง เธอก็มีทุกอย่างล่ะ ใจอยู่กับพระ ใจมันก็มีศีลในตัวเอง ใจอยู่กับพระ ใจมันก็ภาวนาในตัวเอง จะเอาอะไรล่ะ พระท่านมีคำตอบทุกอย่างทั้งทางโลกทางธรรม เอามันแค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว จะไปทำอะไรซีับซ้อนมากมาย คนเดี๋ยวนี้ชอบทำอะไรซับซ้อนเกินไป เขาให้ฝึกธรรมะเพื่อแก้เชือกออก ก็ดันไปผูกมันให้ซับซ้อนขึ้นไปอีก ไม่เห็นเหรอ สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องเทศน์อะไรมาก เขาฟัง แล้วเขาก็ปฏิบัติ ก็หมดทุกข์เลย ก็นิพพานเลย ก็จิตดวงเดียวกันนี่ละ จิตคนสมัยนั้นกับสมัยนี้ มันก็จิตเดียวกัน ไม่ได้มีอะไรยาก จะไปทำให้มันยากทำไม เาอใจไว้กับพระนี่ ให้ใจมันเป็นพระนี่ จบแล้ว เอาอะไรมากมาย

    ผม - ก็จริงครับ ของจริงต้องง่ายและได้ผลจริงนะครับ ไม่ต้องซับซ้อนลึกลับอะไรมากมาย

    พระ - ใช่ เอาง่ายๆ ถ้ายากมันก็ทุกข์สิ จะดับทุกข์ดันไปสรา้งทุกข์ใหม่ มันจะดับเมื่อไหร่ พระทานสว่างสงบเย็น อยู่กับพระก็สว่างสงบเย็น ก็มีแค่นั้น ขอแค่ทำให้จริงเถอะ ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เพราะทำไม่จริง ทำเหลาะๆแหละๆ พอทำแล้วไม่เห็นผลก็เลิก ไปโวยวายว่าไม่ดีจริง ไม่ใช่วิธีจริง คนสมัยก่อนเขาฟังสั้นๆ แล้วเขาเอาไปทำจริงนะ ทำจิรงทำจัง ทำไม่ได้ก็ไม่บากหน้ามานั่งประเหลาะอยู่หน้าครูบาอาจารย์ให้วุ่นวายท่านเหมือนในปัจจุบัน เขาอายอาจารย์นะ เขาเอาไปแล้วน้อมใส่ใจ เอาไปทำทุกวันทุกเวลาจนได้จริงๆ แล้วถึงได้กลับมากราบครูบาอาจารย์ ไม่ต้องมากันบ่อยๆ ธรรมะมันอยู่ทุกที่ ในตัวเธอก็มีครบทั้งแปดหมื่นสี่พันธรรมขันธ์ ท่านบอกแล้วก็ไปทำให้ถึงจริง ทำที่ไหนก็ได้ ทำไปสิ อย่าหยุด จะกินข้าว จะนั่งขี้ ก็ให้ใจมีพระไว้ แล้วพระท่านจะไปไหน ใจอยู่กับพระ มันก็เห็นธรรม ตัวเรามันก็เป็นสงฆ์ละ นี่ไง ครบไตรสรณคมน์ ถึงไตรสรณคมน์ ปิดอบายภูมิล่ะ นรกไม่รับล่ะ รับไม่ได้ ยมบาลห้ามลง

    ผม - สาธุครับ เป็นกำลังใจในการปฏิบัติมากๆเลยครับ ผมคงต้องพยายามปฏิบัติให้มากกว่านี้

    พระ - ดีแล้ว แล้วมีอะไรอีก อยากรู้อะไร เรื่องของเราเหรอ

    ผม - อุ้ย หลวงพ่อรู้เหรอครับ

    พระ - ถ้าไม่รู้ จะมาทำไมล่ะ ก็มาบอกให้ฟังนี่ล่ะ เอ็งมันติดขี้สงสัยเหลือเกิน หลายภพหลายชาติ อยากรู้ไปหมด ทำไปเถอะ นู่นล่ะ ถึงพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ สัพพัญญูญาณนู่น ถึงจะรู้หมด เอ้าว่าไง จะถามอะไร

    ผม - คือ ผมอยากรู้เรื่องหลวงปู่ใหญ่ครับ เพราะผมยังสงสัยว่า บางคนก็ว่าท่านเป็นอรหันต์ บางคนก็ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์ ซึ่งถ้าเป็นโพธิสัตว์ ผมก็งงๆว่า โพธิสัตว์ ท่านน่าจะรีบเกิดรีบตายสรา้งบารมีบ่อยๆมากกว่า แต่นี่ท่านอยู่กันยาวเป็นพันๆปีเลย

    พระ - อื้อ สายนี้นะ เค้ามีหลายครูบาอาจารย์นะ เริ่มต้นทาง ท่านเริ่มจากอาจารย์ใหญ่นะ พระมหากัสสปะนะ ท่านเป็นพระอรหันต์ที่อธิษฐานพุทธภูมิมานานก่อนจะลา และยังมีความเกี่ยวเนื่องกับพระศรีอาริย์มาก ท่านเลยต้องรับงานดูแลพระศาสนาให้ครบ5000 ปีตามพทุธทำนาย แม้ท่านสิ้นไปแล้ว ลูกศิษย์ท่านก็เลยต้องทำงานต่อจากอาจารย์ท่าน

    ผม - แสดงว่าต้นสายลป.ใหญ่เป็นพระอรหันต์

    พระ - ใช่ แต่สายนี้นะ ถึงเป็ฯพระอรหันต์ ก็ต้องเป็นพุทธภูมิเก่ามาก่อน แล้วมาลาเอาทีหลัง เพราะเป็นงานใหญ่ ใช้กำลังมาก ไม่งั้นทำงานดูแลพระศาสนาไม่ได้หรอก งานใหญ่

    ผม - แสดงว่าสายนี้มีทั้งอรหันต์และโพธิสัตว์รวมๆกันเหรอครับ

    พระ - ใช่ รวมๆกัน บางท่านก็เป็ฯอรหันต์ที่อธิษฐานอยู่ช่วยงานจนจบศาสนา บางท่านก็เป็นโพธิสตัว์มาทำงานสรา้งบารมีโดยเฉพาะ
    ผม - แล้วถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ทำไมท่านไม่เกิดตายตามปกติล่ะครับ จะได้มีรูปลักษณ์ในการสรา้งบารมีมากๆ เห็นโพธิสัตว์ส่วนใหญ่จะทำแบบนั้น

    พระ - ไม่ได้หรอก เพราะงานนี้เป็นงานต่อเนื่อง คือเราจะคงพระศาสนาให้ครบ 5 พันปี งานมันมีตลอด งานหนักๆทั้งนั้น ถ้าเรามัวเวียนเกิดเวียนตาย มันทำงานไม่ทัน ถ้าไปเกิดใหม่ แล้วกว่าจะโต กว่าจะฝึกวิชา กว่าจะรู้เรื่อง กว่าจะทำงานได้ พอดีงานพังกัน มันไม่ได้ จึงต้องอธิษฐานอยู่กันยาวนะ อยู่กันยาวๆให้ครบอายุพระศาสนาเลย

    ผม - โห อย่างนี้ก็แสดงว่ามีพระโพธิสัตว์อายุยาวๆหลายพันปีด้วย ผมนึกว่ามีแต่อายุไม่ยาวมาก แล้วเกิดตายสรา้งบารมีบ่อยๆ
    พระ - มีหมดล่ะ โพธิสตัว์มีทุกรูปแบบ เพราะเราต้องผ่านทุกอย่าง ต้องทำงานทุกอย่าง

    ผม - แต่แบบนี้ไม่เสียเวลาแย่เหรอครับ ชาตินึงอยู่กันหลายพันปีเลย ในขณะที่โพธิสตัว์ท่านอื่น 100 ปีเกิดทีตายที คงได้สรา้งบารมีหลายอย่างมากมายกว่าไหมครับ

    พระ - ไม่หรอก นี่เป็นหน้าที่ อายุหลายพันปีมันจะนานอะไรล่ะ เธอไม่เห็นเหรอ ในศาสนาพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อายุท่านเป็นหมื่นๆปีกันทั้งนั้น นี่เราอยู่แค่ไม่กี่พันปี มันน้อยมากนะ และเราก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร เพระางานนี้ต้องใช้บารมีใหญ่ ใช้กำลังมาก ได้บารมีมาก เป็นการสรา้งบารมีในการรักษาพระศาสนาเลยนะ น้อยที่ไหนกัน ผู้เป็นโพธิสัตว์ ถ้าจะเอาให้เต็มภูมิ ต้องผ่านงานแบบนี้กันทั้งนั้นล่ะ สักวันถ้าเธอไม่ทิ้งงานทางสายพุทธภูมิ เธอก็ต้องมาทำงานแบบเรา เผลอๆอาจจะอยู่นานกว่าเราอีกก็ได้ มันต้องผ่านทั้งนั้นละ โพธิสตัว์ไม่มีใครมานั่งคิดนะว่า งานนนี้ได้มากได้น้อย งานนี้ได้กำไรหรือขาดทุน เราทำงาน งานไหนเป็ฯบุญเราทำทุกงาน เราไม่ประมาทในบุญกุศล งานเล็กงานใหญ่ บุญน้อยบุญมากเราต้องเก็บทั้งหมดทุกรูปแบบ เพราะเราต้องสอนคนสอนเทวดาทั้งสามแดนโลกธาตุ ไม่เคยทำงานมาทุกอย่าง จะไปสอนเขาทุกอย่างได้ยังไง

    ผม - ก็จริงครับ แต่ถ้าทำงานแบบนี้ ก็ดูแปลกกว่าโพธิสัตว์ทั่วไปหน่อยตรงที่ โพธิสัตว์ทั่วไป ท่านมักจะอยู่ในโลก เจอคนเยอะๆ คอยช่วยเหลือคนนั้นคนี้ สร้างวัดสร้างพระให้คนกราบไหว้ แต่สาย ลป.ใหญ่นี่เจอคนยากมาก ไม่ได้เจอใครเลย

    พระ - เจอสิเจอ เราจอบ้าง แต่เราไม่เน้นบารมีหลักทางนั้น ตอนนี้เราเน้นบารมีหลักทางรักษาพระศาสนา ใครผ่านมาในข่ายในญาณของเรา เราก็พิจารณา ถ้าโปรดได้ ก็ไปโปรดอยู่บ้าง ถ้าเคยเกี่ยวข้องกัน ก็ไปหาอยู่บ้าง บางทีก็ไปตามพวกๆกันให้เข้ามาเรียน ให้ออกไปเป็นครูบาอาจารย์ ไปสอนผู้คน เพียงแต่เราไม่ได้เน้นเจอคนในการสรา้งบารมีในชาตินี้ ไว้ชาติอื่นก็ยังได้เจอคนอีกนับไม่ถ้วน ชาตินี้เราทำงานตรงนี้ก่อน

    ผม - แล้วถ้าต้องอยู่นานๆแบบนี้ ทำไมไม่อยู่เป็นเทวดาไปเลยล่ะครับ อายุจะได้ยาวๆ ไม่ต้องลำบากในการทรงธาตุขันธ์ด้วย

    พระ - ไม่ได้หรอก เทวดาท่านมีแต่นามไม่มีรูป ท่านช่วยได้แค่สนับสนุนผู้ที่มีำลังอยู่แ้ลว แต่งานเรามันอยู่ในโลก โลกนี้มีทั้งรูปและนาม ถ้าเราไม่มีรูปคือร่างกาย มันก็รักษารูปไม่ได้ ปรับโลกไม่ได้ มันต้องอาศัยร่างกายในการผ่านจิตออกไปดูแลรักษาโลก ดูแลพระศาสนา มันต้องใช้สังขารร่างกายด้วย ใช้จิตเฉยๆเหมือนเทวดาไม่ได้

    ผม - ใช้ยังไงครับ ใช้จิตผ่านธาตุในการรักษาพระศาสนา

    พระ - พวกเราส่วนใหญ่ จะหาป่าหาถ้ำที่สงบ ไม่มีใครรบกวน มีเทวดาเฝ้ารักษา แล้วเข้าสมาบัติ แผ่ข่ายญาณออกไปทั่วโลกนะ เพื่อปรับโลก เพื่อปรับคน ให้ยังคงสภาพอยู่ได้ ให้ยังอยู่ในบุญกุศลความดี ให้ไม่ลำบากจนเกินไป ให้ไม่มีภัยพิบัติที่รุนแรงเกินไปจนคนทุกข์ยากลำบากตายไปหมด มันต้องทำหลายอย่างนะ ไม่ใช่นั่งเฉยๆ โลกมันเป็นไปตามกรรม แล้วคนมันทำกรรมอะไรกันมั่งล่ะ กรรมชั่วมันเยอะขึ้นทุกวันนะ ภัยพิบัติมันจึงรุนแรงขึ้นทุกวัน ถ้าพวกเราไม่ขึงข่ายญาณไว้ช่วยปรับสภาพแล้ว ที่เอ็งเห็นๆภัยพิบัติทุกวันนี้นี่ มันจะแรงกว่านี้อีกหลายร้อยเท่านะ แต่พวกเราพยายามช่วยเอาไว้บางส่วน อันไหนมันเกินกรรมมากนัก ก็ต้องปล่อยให้เกิด แต่ก็พยายามรักษาไว้ ไม่ให้มันหนักเกินไป ไม่งั้นพระศาสนามันอยู่ไม่ได้นะ เราก็ต้องทำ

    ผม - โอ้โห แสดงว่าหลวงพ่อต้องทำงานปิดทองหลังพระมากๆ เป็นงานท่ไม่มีใครรู้เลยว่าที่นั่งสบายได้อยู่ทุกวันนี้เพราะใคร

    พระ - เราไม่มีเวลามาคิดหน้าพระหลังพระหรอก มันเป็ฯหน้าที่เพื่อรักษาพระศาสนา มันเป็นงานในการสรา้งบารมี เราก็ทำของเราไป ใครจะรู้ไม่รู้ ไม่เกี่ยวกับเรา ใครดีเราก็รักษา ใครไม่ดีก็ไปตามกรรม เราก็ช่วยได้เท่านี้ รักษาคนดีเอาไว้เพื่อต่ออายุพระศาสนา

    ผม - แต่เห็นคนชั่วก็เยอะขึ้นทุกวันนะครับ คนดีก็ตายไปเยอะ

    พระ - ใครมันก็สู้กรรมไม่ได้นะ เราก็ช่วยได้แค่ไม่เกินกรรม เอ็งคอยดูเถอะ ต่อไปที่มีภัยพิบัติมากขึ้น นั่นคือกรรมมันตามมาแล้ว คราวนี้จะพิสูจน์ล่ะ ใครไม่ดีจริงมันอยู่ยากล่ะทีนี้ ของเค้าตามมาแล้ว ไอ้คนชั่วน่ะ ผลกรรมดีในอดีตมันยังไม่หมดเฉยๆ แต่ตอนนี้มันจะแรงแล้วนะ ผลกรรมมันตามแล้ว เพราะยุคนี้กำลังอยู่ช่วงเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนแล้ว เพราะต้องปรับให้อยู่ต่อได้ครบพระศาสนา และวางข่ายงานไว้สำหรับศาสนาพระศรีฯในอนาคตด้วย ยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายอย่างมาก เอ็งอย่ารู้เลย ทุกข์เปล่าๆ ปฏิบัติดีไปเถอะ ความดีจะคุ้มภัยเอ็งและคนรอบข้าง ต่อแต่นี้ไป ใครไม่ดีอยู่ยาก ข้าขอยืนยัน

    ผม - สาธุครับ ผมก็จะพยายามทำดีให้มากยิ่งๆขึ้นไปครับ จะได้แบ่งเบาภาระหลวงพ่อได้ด้วย อ้อ มีอีกคำถามที่สงสัยครับ พระสายหลวงปู่ใหญ่นี่ ท่านเป็นชาวอะไรครับ อินเดียเหรอครับ เพราะอยู่มาตั้งแต่สัมยพระมหากัสสปะ

    พระ - มีหมดนะ ท่านมีกันหลายรุ่น อินเดียก็มี ไทยก็มี พม่าก็มี พวกเราวางข่ายกันไปเรื่อยๆนะ ดุงคนที่เคยสร้างบารมี เคยอธิษฐานทำงานมา ให้มาฝึกวิชา ให้มาช่วยกันทำงาน งานนี้ใหญ่นะ รักษาทั้งโลกนะ รักษาพระศาสนา ทำกันคนเดียวไม่ไหวหรอก

    ผม - งั้นหลวงพ่อเป็นชาวอินเดียไหมครับ

    พระ - หลวงพ่อเป็นคนสุโขทัยนะ อยู่มาตั้งแต่สมัยนั้น แล้วครูบาอาจารย์ก็มาเรียกตัวไปฝึก เรียกมาทำงาน ก็อยู่มาตั้งแต่นั้น
    ผม - แล้วทำไมผมเห็นคนที่เขาว่าไ้ด้วิชาจากสายหลวงปู่ใหญ่ ถึงใช้วิชาเป็นตัวขอมกันล่ะครับ ก็ต้นสายมาจากอินเดียบ้าง พม่าบ้าง ไทยบ้าง

    พระ - เอ้อ แล้วแต่บางองค์หรอกนะ ต้นทางริงๆสมัยก่อน เราก็ฝึกอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์กันตามปกตินะ ไม่ต้องไปลงอักขระพิธีอะไรหรอก จิตมันมีกำลัง มันก็ทำได้หมดทุกอย่างล่ะ แค่นึกก็ได้แล้ว แต่เราก็ทำไปตามโลกนะ บางพวกบางคนไปบอกมันว่า เอ้า เสร็จแล้ว เป่าพ่วงเดียวเสร็จแล้ว มันเสียกำลังใจไง มันไม่เชื่อ แต่ถ้ามีลงอักขระซะหน่อย แหม มันดูขลังขึ้นมาทันที เราก็เลยใส่ๆไว้ให้ลูกศิษย์นิดหน่อย จะได้ดึงคนได้ ดึงศรัทธาได้ แต่ของจริงเขาไม่ต้องมีคาถาอะไรหรอกนะ พวกเรานึกกันทันที ก็เกิดทันที ไม่งั้นเราจะทำงานกันได้ยังไง งานใหญ่ๆทั้งนั้น มัวแต่ท่องคาถา มันจะไปทันอะไรเล่า พายุใหญ่ๆจะมาถล่ม ขืนนั่งท่องอยู่ ก็พอดีล่ะ บ้านเมืองพังหมด ช่วยไม่ทันนะ มันต้องนึกแล้วใช้ได้เลย ทำได้เลย ไอ้อักขระอะไรนั่น มันเอาใจชาวโลกเขาเฉยๆ จะได้เป็นกำลังใจนะ

    ผม - แล้วหลวงพ่ออยู่กันในถ้ำวัวแดงจริงไหมครับ ที่เขาเล่าลือกัน

    พระ - เอ้อ นั่นมันทางผ่านเฉยๆ มันเป็นประตูทางผ่านที่เราอธิษฐานไว้เฉยๆ มีหลายถ้ำนะ ที่เราอธิษฐานไว้ แต่ทุกถ้ำมันจะมาโผล่สุดท้ายที่ถ้ำนี้ล่ะ ปลายทางคือถ้ำของพระมหากัสสปะนะ ที่เก็บสังขารของท่านไว้รอการเผาจากพระศรีอารย์ ที่ว่าไปเจอๆพวกเราน่ะ บางครั้งก็แค่กายทิพย์หรอก เพราะเราไม่ค่อยได้ออกไปไหน งานใหญ่คือกางข่ายเพื่อดูแลพระศาสนาอยู่ที่นี่ ต้องใช้กำลังมาก แต่ถ้าใครผ่านมาในข่ายญาณ แล้วเห็นว่าเกี่ยวเนื่องกับเรา เอามาฝึกฝนได้ เอามาช่วยงานได้ เป็นโพธิสัตว์ที่ช่วยงานได้ เราก็จะไปพบ ไปด้วยกายทิพย์บ้าง กายจริงแยกไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไปแต่กายข้างในนะ กายนอกไม่ค่อยไปล่ะ เราตั้งฐานกันอยู่ในถ้ำเป็นส่วนใหญ่

    ผม - แต่บางคนเขาว่ากันว่าเห็นหลวงพ่อเป็นคนจริงๆ จับต้องเนื้อตัวได้ด้วย เหมือนคนจริงๆเลย

    พระ - ถ้าจิตมีกำลังมาก มันทำได้หมดล่ะ จิตที่เข้มข้นมาก มันก็มีกำลังมาก จะให้เห็น จะให้จับต้ิองได้ จะให้พูดตอบได้ มันทำได้หมดล่ะ ถึงได้บอกไงว่าจิตเป็ฯแก้วสารพัดนึก ฝึกไปเถอะ แล้วจะเข้าใจ มัวไปนั่งคิดวิเคราะห์ จินตนาการ มันไม่เข้าใจหรอก

    ผม - สาธุครับ แล้วอาจารย์ของหลวงพ่อล่ะครับ เพราะหลวงพ่อเป็นชาวสุโขทัย ก็แสดงว่าหลวงพ่อไม่ทันหลวงพ่อพระมหากัสสปะ

    พระ - เอ้อ ไม่ทันนะ ไม่ทันท่าน แต่ทันลูกศิษย์ท่าน หลวงพ่อเรียนกับลูกศิษย์ท่านนะ เป็นชาวอินเดีย ถ้าอยากเจอก็หมั่นปฏิบัติไป สักวันท่านอาจจะมาหานะ แต่ต้องปฏิบัติให้ดีกว่านี้อีกมากนะ เพราะท่านจะดุมาก ถ้ายังเหลาะๆแหละๆแบบนี้ ท่านไม่มาหรอก เสียเวลางานท่าน ไปปฏิบัติไป อย่ามาถามมากเลย เดี๋ยวทำแล้วก็รู้เอง ทำให้จริงเถอะ อยากเจอใคร อยากรู้อะไรก็รู้ได้หมดล่ะ ขอแค่ทำตามที่ข้าสอนไว้ ใจนึกถึงพระ พิจารณาพระธรรมในกาย แล้วเราก็กลายเป็นสงฆ์ ไตรสรณคมน์นะ อยู่ในใจเรากายเรานี้เอง เอาให้ถึงก่อน แล้วอยากรู้อะไรก็จะรู้เอง ไม่ยากหรอก ที่ยากเพราะทำไม่จริงเฉยๆ ถ้าทำจริง ต้องรู้จริง เข้าใจนะ


    cr. รอบทิศ ไวยสุศรี
     
  18. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    15977523_391080727895658_3844870165383660319_n.jpg
     
  19. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    15965571_1421944497818519_1182845157888703428_n.jpg





    #เทพแพ้ใจคนมีความเพียร

    แรกเริ่มสร้างพระ หมอเผชิญอุปสรรคหลายอย่าง แต่โชคดียามเผชิญปัญหา ทำให้เห็นน้ำใจของมิตรสหาย

    หลายคนทิ้งไป เพราะมองว่า ไม่มีวันสำเร็จ

    แต่หลายคนอยู่เป็นกำลังใจ

    เมื่อไหร่จะเสร็จ ถูกถามแบบนี้ก็ตอบยากเพราะตนเองก็ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่

    หลายครั้งท้อ แต่ถอยไม่ได้

    วันหนึ่งอ่านเรื่องราวพระมหาชนก พระโพธิสัตว์ว่ายน้ำโดยไม่รู้ว่า ฝั่งอยู่ไหน

    มีเพียงความเชื่อมั่น ว่าจะต้องว่ายถึง

    ว่ายทุกวันจนล่วงไปเจ็ดวัน

    นางมณีเมขลาเห็นดังนั้น เกิดความเลื่อมใสในความเพียรของพระโพธิสัตว์

    เหาะลงมาอุ้มลอยไปจนถึงฝั่ง

    อ่านแล้วมีกำลังใจ ปรับเปลี่ยนวิธีคิด

    ที่ผ่านมาเราเอาแต่ร้องขอ ออกเดินสายหาคนทำบุญ เหนื่อยยากมากมาย บางครั้งต้องตามใจคน เอาใจคนจนเลยเถิดเพื่อเงินบริจาค

    เราจะเริ่มใหม่ ไม่ใชวิธีแบบนั้นอีก

    ข้าพเจ้าจะสวดพุทธคุณ คาถาเงินล้าน ๑๐๘ ตั้งแต่บัดนี้ ด้วยความเพียรนี้เมื่อมีพลังเพียงพอ หากสิ่งนี้เป็นความดี เป็นความบริสุทธิ์ ขอเทพเทวดาจงมาช่วยข้าพเจ้าด้วยเทอญ

    ....ผ่านไปหลายปี....สวดซ้ำไปซ้ำมา..

    ....มองไปอีกที...พระเสร็จแล้ว...

    อยากสร้างบารมี สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเชื่อ ความเพียร ความกตัญญู ที่สำคัญต้องยืนอยู่บนขาตนเองให้ได้

    นี่คือคำสอนที่หมอได้จากการทำงานครั้งนี้

    หมอพายุพล
    ๑๐ มกราคม ๖๐


    https://www.facebook.com/payupons
     
  20. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,103
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    กิเลส 16 ชนิดที่แฝงมากับการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค....

    1. อภิชฌาวิสมโลภะ
    เห็นใครโพสภาพบ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูๆ อาหารดีๆ ภาพการพักผ่อนในโรงแรมสวยๆ ภาพชีวิตหรูหรา ก็เกิดความรู้สึกอยากได้เหมือนอย่างเขา เกิดความไม่พอใจชีวิตของตนเอง เกิดความโลภ เกิดความทุกข์ หดหูใจว่าทำไมหนอ ชีวิตคนอื่นจึงดีกว่าชีวิตของตนเอง นานวันเข้าก็พัฒนาไปสู่ความโลภ อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัว รู้สึกอยากจะโพส อยากจะอวดเหมือนอย่างเขาบ้าง

    2. พยาบาท
    เปิดเฟสส่องดู เห็นคนที่ตนเกลียดมีความสุข ก็คิดหมั่นไส้อยู่ในที แต่เมื่อเปิดดูแล้ว เห็นคนที่ตนเกลียดมีความทุกข์ หรือมีปัญหาก็รู้สึกยินดีพอใจ

    3. โกธะ
    ใครโพสสิ่งใดไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับความคิดของตัว ก็นึกโกรธ จับโยงความคิดผู้อื่นมาปะทะกับความคิดของตนเอง จนกลายเป็นความทุกข์ใจ

    4. อุปนาหะ
    เมื่อโกรธ เพราะคิดเห็นต่างกัน ก็ผูกใจเกลียดคนๆ นั้น โดยไร้เหตุผล

    5. มักขะ
    เห็นใครทำความดีก็นึกหมั่นไส้เขา เห็นคำสอนปราชญ์ คำสอนพระ คำสอนศาสดา คำสอนผู้รู้ใดๆ ที่ไม่เข้ากับความคิดของตน ก็นึกดูแคลน พยามใช้ความคิดของตนหักล้าง ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เขานำเสนอนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์

    6. ปลาสะ
    ไม่เคยชื่นชมใคร เห็นใครโพสอะไรก็ไม่พอใจไปหมด ฟาดงวงฟาดงาไปหมด เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด

    7. อิสสา
    จิตเกิดความอิจฉาจนทนไม่ได้ ต้องพิมพ์ ต้องแสดงออกด้วยการเสียดสีประชดประชัน โพส เม้น วิจารณ์ด้วยความไม่สุภาพ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ใดๆ

    8. มัจฉริยะ
    เมื่อนำเสนอใดไปแล้ว วันหนึ่งมีผู้อื่นนำความคิดของตนไปดัดแปลง ก็นึกเสียดาย เกิดความทุกข์ นึกหวงความรู้ของตนขึ้นมาในที

    9. มายา
    ยึดติดอยู่กับโลกมายา ตั้งใจโอ้อวดให้ผู้อื่นเกิดความอิจฉา
    ฝังตัวอยู่หน้าคอม ไปไหนมาไหน เปิดดูโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
    ยึดติดกับยอดไลค์ ยอดเม้น ยอดแชร์
    หลงอยู่ในมายาของโลกโซเชียล
    ไม่สามารถหยุดติดต่อกับโลกโซเชียลได้นานๆ
    พึ่งพาโลกโซเชียลสร้างความสุขแบบปลอมๆ ให้กับตนเอง

    10. สาเถยยะ
    โพสสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง สร้างภาพว่าตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเองไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย นำไปสู่การยึดติดกับภาพลักษณ์ที่ตนสร้างขึ้น ต้องฉลาดอยู่ตลอดเวลา ต้องแสนดีอยู่ตลอดเวลา ต้องสวยต้องหล่ออยู่ตลอดเวลา ภาพลักษณ์ต้องดูดีอยู่ตลอดเวลา ที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็นำมาซึ่งความทุกข์ในชีวิตจริงของตนเอง

    11. ถัมภะ
    เมื่อมีใครแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง รีบโต้เถียงในทันที จ้องแต่จะเถียง โดยไม่ได้นำความคิดนั้นมาตรึกตรองจนเกิดปัญญา โพสระบายความในใจอย่างไร้เหตุผล ไหลไปตามอารมณ์ของตนเป็นใหญ่ บ่นตลอดเวลา ระบายอารมณ์อยู่ตลอดเวลา

    12. สารัมภะ
    คอยแต่จะเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น แข่งดีแข่งเด่นกับเขา เขามีคนกดไลค์กี่คนแล้ว เรามีกี่คนแล้ว เขามีเพื่อนกี่คนแล้ว มีคนเม้น คนแชร์กี่คนแล้ว ทำไมของเขามีเยอะ ทำไมของเราจึงมีเท่านี้ ตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะกันในเรื่องไร้สาระ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ

    13. มานะ
    เมื่อมีคนกดไลค์มากๆ มีคนชื่นชมมากๆ ก็หลงว่าตนเก่ง ตนดีกว่าเขา ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกคนย่อมมีทั้งด้านดีและไม่ดี มีสิ่งที่เชี่ยวชาญและสิ่งที่โง่เขลา มีสิ่งที่พิเศษ และสิ่งที่ธรรมดา เมื่อหลงตนมากเข้า อัตตาตัวตนก็ขยายตัวใหญ่ขึ้น เกิดเป็นมานะทิฐิว่า ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ ข้าคือคนสำคัญ

    14. อติมานะ
    เมื่อคิดว่าตนดีกว่าใคร ก็เริ่มดูถูกผู้อื่น เริ่มพูด เริ่มเม้น เริ่มแสดงความคิดเห็นประชดประชันว่าตนดีกว่าเขา

    15. มทะ
    เสพติดคำชื่นชม ปล่อยให้ใจฟูไปกับคำชมทั้งวัน คุยแต่ว่าวันนี้มีใครมาชมบ้าง พัฒนาไปสู่ความมัวเมาต่อคำสรรเสริญเยินยอ

    16. ปมาทะ
    ใช้เวลาอยู่ในโลกโซเชียลนานเกินไป จนไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในชีวิตจริง ละเลยการงาน ครอบครัว สุขภาพ หมดเวลาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจอโทรศัพท์ ทำให้ชีวิตจริงตกต่ำลงเรื่อย
    =======================================
    ข้อคิด!!!
    การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นมีประโยชน์ก็จริง แต่ต้องใช้อย่างมีสติ ใช้อย่างรู้เท่าทัน ควรมีการบริหารจัดการเวลาในการใช้ และใช้ให้ถูกกาลเทศะ หากเราหลงอยู่กับมันมาก หรือยึดติดกับมันมากเกินไป สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็อาจกลับมาสร้างความทุกข์ให้เราได้ในภายหลัง

    ทุกวันนี้มีคนจำนวนมากที่ตกเป็นทาสของโลกโซเชียล
    ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนที่มีการศึกษา คนไร้การศึกษา
    ทั้งคนเก่ง และคนไม่เก่ง
    ทั้งคนธรรมดาและคนดังต่างๆ
    ตราบที่เราไม่ได้ใช้มันอย่างมีสติ
    มันย่อมกลืนกินชีวิตของเราไปสู่โลกเสมือนจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
    คนทุกวันนี้ไม่มองหน้ากันแล้ว
    เพราะเรามองหน้าจอกันตลอดเวลา
    ในหนึ่งปี เราแทบนับครั้งได้ว่ามองท้องฟ้ากี่ครั้ง
    แม่อยู่กับลูก นั่งมองจอ
    ลูกอยู่กับแม่ ก็นั่งมองจอ
    อ่านคำชมบนจอเสร็จ มานั่งเถียงกับคนครอบครัวต่อ
    ทุกวันนี้โลกเป็นอย่างนี้
    ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว.

    ป.ล. กิเลสทั้ง 16 ข้อนี้
    นำมาจากหลักธรรมอุปกิเลส 16 ของพระพุทธเจ้า
    แสดงให้เห็นว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้า
    เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาล เป็นสัจจะ
    เป็นของจริงที่นำมาสอนใจตน
    และสอดส่องความเป็นไปของสังคมได้ทุกยุคทุกสมัย
    ในบทความนี้ แม้ไม่ได้ถอดมาเหมือนซะทีเดียว
    แต่ยังคงใช้กรอบหลักธรรมเดิม
    โดยดัดแปลง ให้เข้ากับสิ่งที่เห็นๆ กันอยู่ในโลกโซเชียล
    กิเลสทั้ง 16 ตัวนี้ เมื่อเกิดกับใครแล้ว
    พระพุทธเจ้าท่านเตือนไว้ว่า
    จะนำไปสู่ความขุ่นมัวในเบื้องต้น
    หากไม่พยายามสะสาง จะนำไปสู่ความทุกข์
    และพัฒนาไปเป็นความชั่วในรูปแบบอื่นๆ
    ถ้าเราไม่หลอกตัวเองจนเกินไปนัก
    เห็นได้ว่า ทุกวันนี้กิเลสทั้ง 16 ตัวนี้
    ได้ยึดพื้นที่ทั้งหมดในโลกโซเชียลไปเรียบร้อยแล้ว!!!

    ที่มา...พศิน อินทรวงค์...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2017
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...