จิตที่มีสติคุ้มครองย่อมมีความสุข

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 27 ตุลาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ทางเอก ; จากต้นสายถึงปลายทาง

    โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 ตุลาคม 2551 15:06 น.


    สติเป็นองค์ธรรมสำคัญของการเจริญสมถะและวิปัสสนา ถ้าขาดสติเสียอย่างเดียว อย่าว่าแต่จะเจริญวิปัสสนาไม่ได้เลย แม้กระทั่งการทำสมถะก็ทำไม่ได้ แต่เพื่อนนักปฏิบัติหลายท่านละเลยสติ แล้วไปให้ความ สำคัญกับสมาธิ นับว่าให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นปลายทางมากกว่าสิ่งที่เป็นต้นทาง เพราะสมาธิที่ขาดสติคุ้มครองย่อมจะเป็นมิจฉาสมาธิ หรือไม่มีสมาธิเลย เช่นการนั่งสมาธิแบบลืมเนื้อลืมตัวจนจิตเคลิบเคลิ้มขาดสติ แล้วเที่ยวรู้เห็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นนั้น ไม่ใช่การเจริญสมถกรรมฐานในทางพระพุทธศาสนา ส่วนสมถกรรมฐานในทางพระพุทธศาสนาจะต้องมีสติประคองจิตไว้กับอารมณ์กรรมฐาน จิตจึงจะไม่ฟุ้งซ่านซัดส่ายไปสู่อารมณ์อื่นแล้วเกิดความสงบขึ้นได้ แต่ถ้าผู้ใดให้ความสำคัญกับสติ สตินั้นแหละจะทำให้ศีล สัมมาสมาธิ และปัญญาของผู้นั้นเกิดขึ้นได้ แต่ก่อนที่เราจะสนทนากันถึงเรื่องนี้ เรามารู้จักกับสติกันก่อนดีกว่า

    <!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->ความหมายของสติ<!--colorc--><!--/colorc--> องค์ธรรมของสติได้แก่สติเจตสิก คือความระลึกรู้อารมณ์และยับยั้งจิตมิให้ตกไปในอกุศล หรือความระลึกอารมณ์ที่เป็นกุศลคืออารมณ์รูปนาม หรือความระลึกได้ที่รู้ทันอารมณ์

    สติเจตสิก (๑) มีความระลึกได้เนืองๆ ในอารมณ์ คือมีความไม่ประมาทเป็น ลักษณะ (๒) มีการไม่หลงลืมคลาดเคลื่อนเป็นกิจ (๓) มีอารักขาเป็นผล(เรื่องอารักขา นี้ บางตำรากล่าวว่าเป็นการอารักขาอารมณ์ แต่ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเป็นการอารักขาจิตไม่ให้ตกไปในอกุศลมากกว่า ดังพุทธภาษิต ในธรรมบทที่ว่า สุทุทฺทสํ สุนิปุนํ จิตเป็นสภาวะที่เห็นได้ยาก ละเอียดยิ่งนัก ยตฺถ กามปาตินํ มักใฝ่ในอารมณ์ตามที่ใคร่ จิตฺตํ รกฺเขถ เมธาวี ผู้มีปัญญาจึงควรรักษาจิตไว้ให้ดี จิตฺตํ คุตฺตํ สุขาวหํ เพราะจิตที่คุ้มครองได้แล้วนำสุขมาให้) และ (๔) มีถิรสัญญา คือมีการจำอารมณ์ได้แม่นยำเป็นเหตุใกล้ให้เกิด อนึ่งหากขาดสติเสียแล้ว สัมมาสมาธิจะมีไม่ได้เลย และเมื่อไม่มีสัมมาสมาธิ ปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

    อารมณ์ที่สติระลึกได้นั้นไม่จำกัดว่าต้องเป็นอารมณ์ปรมัตถ์ เพราะสติอาจจะระลึกได้ในอารมณ์บัญญัติอยู่เนืองๆ ใน ขณะที่เจริญสมถกรรมฐานก็ได้ หรือจะระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์คือรูปนามอยู่เนืองๆ ในขณะที่เจริญวิปัสสนากรรมฐานก็ได้ สติที่ระลึกได้ในอารมณ์บัญญัติเรียกว่า สติ ส่วนสติที่ระลึกได้ในอารมณ์รูปนามเรียกว่า สัมมาสติ (หมายเหตุ คำว่าสติในหนังสือเล่มนี้เกือบทั้งหมดหมายถึงสัมมาสติ )

    สติธรรมดาเกิดขึ้นโดดๆ โดยไม่ต้อง มีปัญญาก็ได้ แต่สัมมาสติต้องประกอบด้วยสัมมาสมาธิและปัญญาเสมอ เพราะสัมมาสติต้องเกิดร่วมกับองค์มรรคที่เหลือทั้ง ๗ เสมอ

    <!--coloro:#0000FF--><!--/coloro-->ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงเรื่องที่ว่าสติมีหน้าที่อย่างไร และเมื่อสติทำหน้าที่นั้นแล้ว จะเกิดผลเป็นอย่างไร

    ที่กล่าวว่าสติมีความไม่หลงลืมคลาดเคลื่อนเป็นกิจนั้น หมายความว่าสติมีหน้าที่ระลึกได้ถึงอารมณ์ที่กำลังปรากฏ โดยไม่หลงลืมให้อารมณ์นั้นปรากฏอยู่โดยสติไม่ รู้เท่าทัน สติก็คล้ายกับยามที่จะต้องไม่หลับ ยาม พอมีใครแปลกปลอมเข้ามาในพื้นที่รับผิดชอบ สติหรือยามจะต้องระลึกได้ทันที ถ้าระลึกไม่ได้ก็คือหลงลืมคลาดเคลื่อนจากการทำหน้าที่ไป

    ที่กล่าวว่าสติมีการอารักขาเป็นผลนั้น หมายความว่าเมื่อใดที่สติเกิดขึ้น เมื่อนั้นสติจะรักษาจิตไม่ให้ตกไปสู่บาปอกุศล จิตในขณะนั้นจะเป็นจิตในฝ่ายกุศลทันที ทั้งนี้สติจะเกิดร่วมกับจิตในฝ่ายอกุศลไม่ได้เลย

    จิตในฝ่ายกุศลย่อมมีเวทนาได้เพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือโสมนัสเวทนาหรือความรู้สึกเบิกบานใจ กับอุเบกขาเวทนาหรือ ความรู้สึกเป็นกลางๆ ซึ่งอุเบกขาเวทนา ก็จัดได้ว่าเป็นความสุขในตัวเองได้เช่นกัน เพราะไม่ถูกกระทบกระทั่งด้วยโทมนัสเวทนาหรือความรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งนี้โทมนัสเวทนาย่อมเกิดร่วมกับโทสมูลจิตอันเป็นอกุศลจิตเท่านั้น

    ดังนั้นทันทีที่มีสติ จิตย่อมเป็นจิตในฝ่ายกุศล เมื่อจิตเป็นกุศล จิตย่อมจะมีความ สุข เมื่อจิตมีความสุขอยู่ในตัวเองโดยไม่ต้องอิงอาศัยอารมณ์ภายนอก จิตก็ย่อมตั้งมั่นหรือมีสัมมาสมาธิ คือไม่ฟุ้งซ่านหรือไม่แล่นหลงไปเที่ยวแสวงหาอารมณ์ภาย นอกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ จิตย่อม จะเกิดความรู้สึกตัว ตั้งมั่นอยู่กับเนื้อกับตัว แม้สติจะระลึกรู้อารมณ์รูปนามที่ปรากฏทางทวารใดๆ จิตก็สักว่ารู้อารมณ์รูปนาม นั้น โดยไม่แล่นหลงเข้าไปยึดถือคลุกคลีพัวพันกับอารมณ์นั้น คล้ายกับคนที่ยืนสังเกตการณ์อยู่บนที่สูงและปลอดภัย ไม่ มีความหวั่นไหวแม้แต่กับข้าศึกหรือกิเลส ที่เดินผ่านไปในทุ่งโล่งเชิงเขาโดยไม่เข้ามาข้องแวะกับผู้ที่มองดูอยู่บนยอดเขา ผู้สังเกตการณ์นั้นย่อมจะเห็นพฤติกรรมของผู้ที่ผ่านทางไปมาตามความเป็นจริง การรู้ถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของรูปนามโดยทำตัวเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ นี้แหละคือการเจริญวิปัสสนา เป็นเหตุให้เกิดปัญญารู้ลักษณะของรูปนามตามความเป็นจริงว่าเป็นไตรลักษณ์ และปล่อยวางความยึดถือรูปนามได้ในที่สุด

    อนึ่งการมีสตินั้นไม่เพียงแต่จะเป็นต้น ทางของการเจริญปัญญาเท่านั้น หากแต่ยัง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันด้วย เพราะเมื่อใดที่จิตเกิดสติ เมื่อนั้นจิตจะมีความสุขในตัวเอง การเจริญสติจึงสามารถเจริญไปได้ด้วยความสุข ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ทรมานแต่อย่างใด เพราะถ้าเจริญสติแล้วเกิดความทุกข์ จิตจะตั้งมั่นและเกิดปัญญาไม่ได้เลย




    http://www.manager.co.th/dhamma/viewnews.a...D=9510000118439

    <!--IBF.ATTACHMENT_2111126--><!-- THE POST -->
     
  2. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระ ดี ๆ มาให้อ่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพบูรณะศาลาการเปรียญวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=153325<O:p</O:p
     
  3. ริมน้ำไนล์

    ริมน้ำไนล์ ริมน้ำไนล์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    342
    ค่าพลัง:
    +34
    จิตที่มีสติคุ้มครองย่อมมีความสุข
    อนุโมทนาสาธุค่ะ ข้อมูลที่ได้รับสูงค่ายิ่ง
     
  4. vilawan

    vilawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    836
    ค่าพลัง:
    +1,432
    การมีสตินั้นไม่เพียงแต่จะเป็นต้นทางของการเจริญปัญญาเท่านั้น

    หากแต่ยัง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันด้วย อนุโมทนา สาธุ
     
  5. อุดรเทวะ

    อุดรเทวะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,925
    ค่าพลัง:
    +130
    ผมมีความเชื่อแบบนั้นเหมือนกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...