ฉบับที่ ๓๐ เดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 5 สิงหาคม 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=760 align=center border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#ffffff height="100%"><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21>[​IMG]</TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺปญฺโญ
    เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
    ถาม : ในฤกษ์พรหมประสิทธิ์ จะมีวันที่มีปัญหา ?
    ตอบ : เขาเรียกว่า ดิถีพิฆาต คือมันไม่เหมาะ เหมือนกับว่าเราเป็นมด แบกข้าวได้เม็ดหนึ่ง แต่เขาโยนมาให้กระสอบหนึ่ง แล้วมดแบนไหมล่ะ ? คือมดมันอยากได้ข้าวสารเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าอะไรบางอย่างมันเกินกำลังเกินบุญ
    ถาม : (ถามเรื่องพระวินัย)...ถ้าเกิดว่ามีพระที่เป็นปาราชิกอยู่แม้แต่องค์เดียวในหมู่สงฆ์....?
    ตอบ : มาระยะหลังเขาตีความเอา ถ้าองค์สงฆ์ครบ ต่อให้มีพระที่เป็นปาราชิก หรือสังฆาทิเสส ก็ไม่ถือว่าเสียสังฆกรรม แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้ คือถ้าอยู่ก็เท่ากับเป็นอนุปสัมบัน (ผู้ที่ศีลน้อยกว่า) อยู่ในนั้นเลย ต่อให้ครบองค์สงฆ์ก็ใช้ไม่ได้ อย่างของเรานี้เป็นปัจจันตประเทศ คือนอกเขตมัธยมประเทศ ถือว่าห้ารูปก็ครบองค์สงฆ์ที่จะบวชพระได้ ถ้าเกิดว่ารูปที่หกเป็นปาราชิก หรือสังฆาทิเสสมา ต่อให้ครบองค์สงฆ์ จริง ๆ แล้วมันก็เสียสังฆกรรม มีอนุปสัมบัน (ผู้ที่ศีลน้อยกว่า) อยู่ในท่ามกลางสังฆกรรมนั้น แต่ระยะหลังเขาพยายามจะตีความว่าให้มันเยอะเข้าไว้เผื่อว่าถ้ามีใครเป็นอาบัติ ที่เป็นครุอาบัติอยู่ด้วย เขาถือว่าไม่เสีย อย่าไปตีความตามจะพาเราเดี้ยงอีก
    ถาม : แล้วของทุกอย่างที่จะใช้ต้องประเคนไหมครับ ?
    ตอบ : ของที่จะใช้ให้โยมเขาถวายแล้วประเคนทีเดียว แต่ถ้าของที่จะบริโภค เขาเรียกว่ากาลิก มีทั้งยามะกาลิก ยาวะกาลิก สัตตาหะกาลิก ยาวชีวิก ของที่จะใช้ได้ระหว่างอรุณถึงเที่ยง เช่น พวกอาหารต้องประเคนทุกครั้งที่เราจะกินลงไป เพื่อกันไว้ว่าเป็นของขาดประเคน ส่วนสัตตาหะกาลิกนี่เจ็ดวันประเคนที ส่วนยาวะชิวิกนี่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเภสัช เช่น ปัณณเภสัช ใบไม้เป็นยา มูลเภสัช รากไม้เป็นยาก็ถือว่าประเคนครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต
    ถาม : (ถามเรื่องคาถา)
    ตอบ : ถ้าเขาต้องการความสำเร็จก็ สัมปฏิจฉามิ ,ถ้าต้องการปัดเคราะห์ก็ใช้ ภะสัมสัมวิสะเภทะ ,ถ้าเกี่ยวกับเรื่องเรียนเรื่องศึกษาก็ใช้ อิติปิโส แก้วยอดฟ้า พวกนั้นแหละ มันจะมีเกี่ยวกับพวกปัญญาแล้วแต่สิ่งที่เขาขอ ว่าเขาจะขอเรื่องอะไร มันไม่เหมือนกัน
    ถาม : (เรื่องเงินทำบุญ)
    ตอบ : ถ้าเขาตั้งใจเป็นสังฆทาน ก็ไว้ในส่วนของสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานก็ได้ ดูถ้ามีตู้หยอดก็หยอดไป ถ้าไม่มีหลวงพ่อท่านว่า อันดับแรกเอาเข้าโรงครัว เป็นค่าอาหารพระ เณร คือว่าเป็นสังฆทานอยู่แล้ว อันดับที่สองก็แบ่งให้ใช้ในวิหารทานคือการก่อสร้างทั่วไป อันดับที่สามก็ค่อยเหลือเอาไว้ใช้ในฐานะของส่วนตัว อย่างเช่นว่าเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นค่ายานพาหนะ เป็นค่าอาหาร
    ถาม : .............................
    ตอบ : หลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ เป็นอาจารย์ที่ร่วมสมัยกับหลวงปู่ปาน สมัยนั้นเขาใช้คำว่าวิชามันยันกัน คือว่าต่างคนต่างมีดี ไม่ด้อยกว่ากัน หลวงพ่อเดิมท่านเก่งยันต์มหากาฬ ใครไปก็สักติดกระหม่อมให้ แต่หลวงปู่ปานท่านเก่งยันต์เกราะเพชร ถึงเวลาท่านเป่าทีก็ยกศาลาเลย ถ้าเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วไปสักยันต์มหากาฬ หลวงปู่เดิมท่านบอกว่าไม่ต้องแล้ว ที่เอ็งได้แต่ก็เหลือดีแล้ว ส่วนใครที่สักยันต์มหากาฬ ถ้าไปร่วมเป่ายันต์เกราะเพชร หลวงปู่ปานท่านก็บอกว่าไม่ต้อง
    ท่านเป็นอาจารย์รุ่นไล่ ๆ กัน แต่ว่าหลวงปู่ปาน ถ้านับแล้ว ถือว่าอายุน้อย เพราะว่าหกสิบเอ็ดย่างหกสิบสองก็มรณภาพแล้ว หลวงปู่เดิมนี่พอ ๆ กับหลวงปู่จง อยู่กันลืม หลวงปู่เดิมนี่เขาเรียกหลวงพ่อสี่ศอก ท่านสูงสองเมตรพอดีเป๊ะเลย โยมไปสร้างกุฏิให้ท่านกว่าสองเมตร ท่านนอนหัวยันตีนยันพอดีเลย
    หลวงปู่เดิมนี่แหละที่ท่านเอามีดหมอ มีดหมอสมัยก่อนใช้ในการรักษาโรค คราวนี้มาถึงยุคหลวงปู่เดิมนี่ ท่านทำเพื่อให้เขาติดตัวไว้ได้ ก็เลยกลายเป็นว่าติดตัวก็เป็นมหาอำนาจ ใช้ในการรักษาโรคก็ได้ ใช้ในการขับไล่พวกไสยศาสตร์ก็ได้ พวกเสือสางสมัยก่อนมันหนังเหนียว แต่มันกลัวลูกศิษย์หลวงพ่อเดิม ถ้าหากว่าพกมีดหมอนี่ เสียบเมื่อไรก็ยุ่ยเมื่อนั้นแหละ ทำอยู่ตั้งหลายขนาด ตั้งแต่ใบเก้านิ้ว ลงมาเจ็ดนิ้ว ห้านิ้วมีหมด จนกระทั่งเล็ก ๆ เหมือนปากกา
    แล้วลูกศิษย์ท่านที่เป็นควาญช้างสมัยก่อนเยอะ ถือมีดหมอแทนที่จะเอาขอสับ ก็เอาสันมีดหมอตีกบาล มันก็ยอมแล้ว คราวนี้เรื่องของรอยเท้านี่ รอยเท้าที่ให้เขาบูชา ท่านก็พิมพ์ให้เขา ๆ จนกระทั่งมันมีงานหนึ่ง ซึ่งรู้สึกว่าเขาต้องใช้มากเป็นพิเศษ ถ้าขืนปั๊มก็ลมใส่พอดี ท่านก็บอกว่ายกมาทั้งถาดนั้นแหละ ยกมาแล้วท่านก็เอาเท้าจุ่มครามแล้วก็วาง แล้วเอามือตบหัวเข่า มันติดทะลุจนถึงผืนสุดท้ายนั่นแหละ ยิ่งกว่าซีร็อกอีก วิชานี้เรียกว่า นะ ปัด ตลอด
    หลวงพ่อท่านบอกว่า เคยเห็นหลวงปู่ปานทำอยู่ครั้งเดียว ช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพาที่ไทยรบกับฝรั่งเศส หลวงประธานถ่องวิจัย มากับกำนันเถา เอาผ้ามาเป็นถาดเหมือนกัน บอกว่าจะออกรบจะขอยันต์ คราวนี้มันเป็นเรื่องรีบด่วน ปกติแล้วผ้ายันต์วัดบางนมโค หลวงปู่ปานท่านให้พระอาจารย์เจิม เป็นคนเขียน พออาจารย์เจิมเขียนเสร็จ หลวงปู่ปานถึงเอาไปปลุกเสกอีกที
    พอเรื่องด่วน หลวงปู่ปานก็เลยบอกหลวงพ่อว่าไปเอาไม้เท้ามา หลวงปู่ปานเคาะเปรี้ยงเดียว ยันต์ติดหมดทุกแผ่นเหมือนกัน ไม่รู้ว่ายันต์มาจากไหน เราเห็นผ้าขาว ๆ นี่แหละ แต่ตีทีเดียวติดหมด วิชานี่เรียกว่า นะ ปัด ตลอด
    เมื่อท่านมรณภาพ หลวงพ่อไม่ทันได้เรียนเอาไว้ ก็ได้ข่าวว่ามีลูกศิษย์หลวงปู่อีกคนหนึ่ง เป็นลิเก ได้วิชานะ ปัด ตลอด ตัวนี้ไว้ ปรากฏว่าต่างคนต่างตาย เลยไม่ได้เรียนวิชาอีกตามเคย คือลิเกนี่เขาหยุดหน้าฝน ช่วงนั้นพระเข้าพรรษา แล้วการที่จะไปไหนในพรรษา พระท่านให้ในกรณีจำเป็น เรียกว่า สัตตาหะกรณียะ แล้วไปได้ไม่เกินเจ็ดวัน กำหนดไว้เลยว่าต้องเป็น พ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วย ไปเพื่อรักษาพยาบาล เพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึก ไปเพื่อห้าม วัดพังไปหาสัมภาระมาซ่อมวัด แล้วก็ได้รับกิจนิมนต์ไปเพ่อเจริญศรัทธา เรียนไม่ทัน
    สมัยนี้เอะอะ ก็สัตตาหะกรณียะ ไม่รู้ขาดพรรษากันมั่งหรือเปล่า คราวนี้ในเมื่อลิเกเขาหยุด หลวงพ่อก็ไม่ได้เรียน พอออกพรรษาเขาก็ตระเวณรับงานต่อไปเรื่อย ต่างคนต่างตายไป หลวงพ่อท่านบอกว่าเจ้าของโรง ที่เล่นเป็นตัวเอก ก็คือนายโรงใช่ไหม ถึงเวลาจะทำแป้งขึ้นมา แล้วว่าคาถาตามวิธีครูบาอาจารย์บอกแล้วก็เป่าไป มันก็วิ่งไปเรื่อย จนกว่าจะมีอะไรขวางหน้ามันก็จะไปติดอยู่ตรงนั้น ถ้ามีสามกิโลอยู่ข้างหน้า มันก็ไปยันสามกิโลนั่นแหละถึงได้ติดอยู่ด้านโน้น อย่างนั้นแล้วแป้งไปอยู่ทิศไหน คนก็จะมาทิศนั้นมากที่สุด
    สมัยก่อนเขามีการเสกธง ถ้าเห็นธงต้องมา เสกกลอง ถ้าได้ยินเสียงกลองต้องมา ก็ตัวนี้แหละ นะ ปัด ตลอด ก็จะมาทางด้านนั้น คราวนี้หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้เรียนไว้ อาตมาก็ไม่ได้เรียนไว้ วิชานี้ไม่สามารถที่จะทำได้ แต่ว่าเคยรู้มาว่าถ้าจะเรียน นะ ปัด ตลอด เขาจะเข้าไปในป่าช้า เขียนตัว น เอาไว้บนฝาโลง ว่า คาถา ภาวนาตามแบบแล้วตบ ไปติดที่กะโหลกศีรษะของผีตายในโลง ถ้าสำเร็จนี่ ต้องเอาผ้าขาววางไว้ใต้โลงแล้วตบทะลุลงไปที่ผ้าขาวแทน
    สมัยหลังมีหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย ที่ระยอง ก็คงสมัยใกล้เคียงกันนี่แหละ แต่ว่าเป็นรุ่นหลังมานิดหนึ่ง อันนั้นเอาขมิ้นชันจารหัวให้แม่ ถ้าลูกอยู่ในท้องติดหัวลูกด้วย ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะทำได้ แต่ถ้าดูยันต์เกราะเพชรน่าจะเป็นส่วนหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าถ้าเป่าแม่ก็ติดลูกด้วยใช่ไหม เพียงแต่ว่าที่จะโชว์ออกมาให้เห็นต้องเป็นลูกชายคนแรก หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร เกิดมามีแต่ให้จริง ๆ มีแต่คนมาให้ท่านปั๊มรอยเท้าทั้งวัน ปั๊มจนกระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงจะปั๊ม นั่งแปะอยู่กับพื้นมันก็ยังจะเอาอีก ไม่มีก็ให้เป่าหัวให้ ให้เขกหัวให้ ให้ถ่มน้ำลายใส่หัว คนเขาถามว่าหลวงพ่อครับ ถึงขนาดนี้แล้วยังจะทำให้เขาอีกเหรอครับ ท่านบอกว่าใช้หนี้มัน ก่อนนี้ท่านเคยเกิดเป็นคนเลี้ยงช้าง ไปตกปลอกช้าง ก็คือว่ามัดขาช้างเอาไว้ คราวนี้ต้องไปใช้หนี้ให้เขาจับขาปั๊มอยู่ทั้งวัน
    หลวงพ่อเดิมท่านทำประโยชน์ตั้งแต่แรกจนถึงวินาทีสุดท้าย ท่านรู้เวลาตายของตัวเอง แต่ว่าท่านก็ไม่บอกใคร ท่านเตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อย พอเวลาใกล้จะสิ้นลมท่านถามครั้งสุดท้ายว่าน้ำในสระเต็มไหม ? ลุกศิษย์ก็บอกว่าปีนี้เป็นหน้าแล้ง เหลือไม่ถึงครึ่ง ท่านถามใช้จนถึงหน้าฝนไหม ? ก็บอกว่าไม่ พอเสร็จแล้วท่านก็หลับตาเข้าสมาธิ เมฆมา ฝนตกหนักจนกระทั่งน้ำเต็มสระ ฝนหยุดท่านก็หมดลม สงเคราะห์จนถึงวินาทีสุดท้ายจริง ๆ ฝนตกขนาดน้ำเต็มสระนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย ว่ากันเป็นชั่วโมง ๆ หลวงพ่อเดิม พุทธสโร ถัดมาก็มีหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว หลวงพ่อน้อย วัดหนองโพธิ์ รุ่นหลัง ๆ ถัดจากหลวงพ่อกัน หลวงพ่อน้อยนี่ไม่รู้ว่ามีใครบ้าง หลวงพ่อกัน มรณภาพไปแล้ว หลวงพ่อน้อยไม่รู้ยังอยู่หรือเปล่า ?
    ถาม : การที่เราฟังเทปธรรมครับ ถ้าเกิดเราทำอะไรไปด้วยได้ไหม ?
    ตอบ : จริง ๆ คือว่าให้ตั้งใจฟังด้วยความเคารพ ถ้าไม่ใช้สมาธิจริง มันจะฟังได้ไม่ตลอด การที่ทำงานไปอะไรไป บางทีมันไม่ได้สนใจเสียด้วยซ้ำไป จะกลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัยไป
    ถาม : แล้วอิริยาบถในการฟังจะฟังอย่างไร ?
    ตอบ : ไม่มีปัญหา จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ได้
    ถาม : แล้วประเภทอยู่ในโบสถ์แล้วใส่หมวก ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นพวกคริสต์ หรือ ฮินดู ไม่เป็นไร มันเป็นระเบียบการถือของศาสนาเขา แต่ถ้าหากว่าบุคคลอื่น ๆ เขาใส่หมวกให้เขาถอดหมวกเสีย ถ้ามีผ้าคลุมหัวให้เอาผ้าลงเสีย ถ้าหากว่าเขายังทำอยู่ก็อย่าไปสนทนาธรรมด้วย เพราะมันเป็นการไม่เคารพ ยิ่งประเภทขัดสมาธิคุยกับพระนี้ อยากจะเตะให้หงายท้องไปเลยเชียว
    ถาม : แล้วลักษณะเดินกระโย่ง โคลงกาย สั่นศีรษะเป็นอย่างไร ?
    ตอบ : ก็เหมือนกับย่องเบานึกออกไหม โคลงกายก็โยกตัวไปโยกตัวมา สั่นศีรษะก็รู้อยู่แล้ว พูดไปอย่าไปสั่นหัว ลักษณะนั้นถ้าเด็กพูดกับผู้ใหญ่ก็ถือว่าไร้มารยาท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พูดกับพระก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
    ถาม : แล้วอนามาสคืออะไร ?
    ตอบ : คือ เงิน ทอง สิ่งที่ใช้แทนเงิน ทอง รัตนชาติทุกอย่าง อนามาส คือ ไม่ควรจับ ผู้หญิง วัตถุที่เนื่องด้วยกายหญิง เช่น เส้นผม เสื้อผ้า รูปที่ทำเป็นรูปผู้หญิง เครื่องประโคมทุกอย่าง หรือเครื่องดนตรีทุกชนิด ศาสตราอาวุธทุกชนิด เครื่องมือจับสัตว์ทุกชนิด แล้วก็ผลไม้และข้าวเปลือกทึ่เกิดอยู่กับต้น กลัวจะไปขโมยเขา ถึงไม่ให้จับ
    ถาม : แล้วถ้าไปจับเข้า ?
    ตอบ : จริง ๆ มันดูเจตนาของเรา ที่ท่านห้าม ห้ามเพราะว่ากันการสะสม กันการมีจิตกำหนัด
    ถาม : ...........................
    ตอบ : การลาพุทธภูมิใช้ธูปห้าดอก เทียนขาวห้าดอก บัวขาวห้าดอก ตั้งใจลาหน้าหิ้งพระ
    ถาม : การอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แม้กลางแจ้งก็ไม่ได้ ?
    ตอบ : ไม่ได้ คือว่าการอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ถ้าคนอื่นไม่ได้ยินว่าเรา คุยเรื่องอะไรกัน ถึงอยู่กลางแจ้ง เรียกว่าที่ ลับหู ถ้าหากว่าอยู่ในที่มุงที่บังพร้อมไม่เห็น เรียกว่าที่ลับตา ก็ปรับอาบัติทั้งคู่ ถ้าหากว่าเขาโจทย์ขึ้นมาด้วย อาบัติอะไรก็ปรับตามนั้นเลย บอกปาราชิกก็ปาราชิก สังฆาทิเสสก็ สังฆาทิเสส ปาจิตตีย์ก็ปาจิตตีย์ หรือว่ารับว่าต้องอาบัติอะไรก็ปรับตามนั้น อันนี้มันเกิดจากพระอุทายีนั่นแหละ อันนี้นางวิสาขาท่านโจทย์ขึ้นมา ก็ท่านเป็นพระโสดาบันเรื่องที่ท่านโจทย์ขึ้นมาเชื่อถือได้
    ถาม : ถ้าเกิดเอ่ยชื่ออาหารนี้ ท่านจะไม่รับ ?
    ตอบ : ยกเว้นได้รับอานิสงส์กฐินให้ฉันคณะโภชนาคือสิ่งที่เจ้าภาพเขาประกาศบอกชื่ออาหารแล้วร่วมฉันเกินสี่รูปได้ แต่ถ้าไม่ได้อานิสงส์กฐินฉันได้แค่สามองค์เป็นอย่างมาก เกินนั้นแล้วต้องอาบัติทุกคำที่กลืน
    จริง ๆ แล้วเกิดจากสมัยก่อนเวลาพระมหากษัตริย์หรือมหาเศรษฐีนิมนต์ก็ดี อย่างเช่นบอกว่าจะเลี้ยงข้าวมธุปายาส ได้ยินอยากกินขึ้นมา ก็ตะบี้ตะบันแย่งกันไป อย่าลืมว่าพระสมัยก่อนไปกันทีสามร้อย ห้าร้อย เจ้าภาพเลี้ยงไหวไหมล่ะ ? ท่านก็เลยต้องกำหนดห้ามเอาไว้ ไม่ฉะนั้นออกชื่อโภชนะ หรือว่าบ้านนี้เลี้ยงอาหารดี ก็แย่งกันไปอีก ถ้าไม่ถึงคิวของตัวเอง ถ้าไม่กิจนิมนต์ให้ก็ไปด่าเขาอีก ไปโกรธเขาอีก หาเรื่องลงนรก
    ถาม : ถ้าเกิดว่าพระวิดพื้น ออกกำลังกาย ?
    ตอบ : ได้ แต่อย่าให้โยมเห็น ทำในกุฏิ อย่าให้เขาเห็น ออกกำลังกายออกได้อยู่หรอก แต่จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าพระเดินจงกรม ภาวนาอยู่มันหนักกว่าออกกลังกายเสียอีก เพราะเขาเล่นกันเป็นวัน แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปวิดพื้นล่ะ ?
    ถาม : แล้วเวลาบิณฑบาต ต้องวางอารมณ์อย่างไรครับ ?
    ตอบ : จริงแล้ว ต้องจับภาพพระหรือทรงอารมณ์ภาวนาไว้ได้ตลอดยิ่งดี แต่มันยาก อาตมาเองปล้ำอยู่เป็นพรรษา กว่าจะทำได้ตลอด ส่วนใหญ่มันจะเผลอแว๊บหลุด พอเผลอก็เกาะใหม่
    ถาม : แล้วเวลาที่โยมใส่บาตรจะอวยพร ?
    ตอบ : ตั้งใจอธิษฐานว่า ขอให้โยมที่สงเคราะห์เรา เป็นผู้มีความเป็นอยู่คล่องตัว มีปรารถนาที่สมหวังทุกอย่าง
    ถาม : พระโพธิสัตว์ที่รอตรัสรู้กำลังใจท่านเทียบเท่าพระอรหันต์หรือเปล่า ?
    ตอบ : ถ้าหากท่านที่บารมีเต็ม รอตรัสรู้จริง ๆ ส่วนใหญ่อารมณ์ใจจะเทียบเท่าพระอรหันต์ แต่ละเอียดกว่ากันเยอะนะ เพียงแต่ว่ารู้เท่าทันกิเลส สามารถป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นในใจได้ของท่านเท่ากับพระอรหันต์เพียงแต่ไม่ได้ตัดขาดทีเดียว
    ถาม : แล้วเวลาบวชครับ จะรู้ได้อย่างไรว่าองค์ไหนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ องค์ไหนเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ?
    ตอบ : องค์ไหนอาวุโสน้อยกว่าเป็นพระอนุสาวนาจารย์ องค์ที่อาวุโสมากกว่าเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ถ้าหากว่านั่งหันหน้าตามอุปัชฌาจารย์ องค์ที่อยู่ขวามือจะเป็นพระกรรมวาจาจารย์ องค์ที่อยู่ซ้ายมือ จะเป็นพระอนุสาวนาจารย์ แล้วส่วนใหญ่อนุสาวนาจารย์จะเป็นคนให้อนุศาสน์ มี ๘ อย่าง แบ่งเป็นนิสสัย คือเครื่องที่พระต้องอาศัย ๔ อย่างคือ นุ่งห่มผ้าบังสุกุล ถือบิณฑบาตเป็นวัตร อยู่โคนต้นไม้ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า และอกรณียกิจ ๔ อย่างที่พระทำไม่ได้เด็ดขาดเลยก็คือ เสพเมถุน ลักของเขา ฆ่ามนุษย์ให้ตาย อวดอุตริมนุษยธรรมที่ไม่มีในตน องค์นั้นจะเป็นผู้ให้อนุศาสน์ เรียกอนุสาวนาจารย์ อีกองค์ก็เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    ถาม : (ถามเรื่องสร้างธงท่านปู่)
    ตอบ : สร้างก่อนได้ แต่ตอนเสกต้องทำให้ถูกพิธีกรรม โดยเฉพาะธงท่านปู่นี้มีเครื่องบวงสรวงที่ไม่เหมือนใคร คือ ต้องมีผ้าขาวคู่หนึ่ง ถ้าจะเอามาเข้าพิธีก็เอาผ้าขาวมา ๒ ผืน ใส่พานมา ซ้ายผืน ขวาผืน ทางเดียวกันก็ไม่ได้ด้วย
    ถาม : แล้วเวลาพระให้พร จะเลือกบทไหนดี ?
    ตอบ : แล้วแต่ มันจะมีจำกัดเหมือนกัน อย่างเช่นว่าอันไหนที่เป็นงานศพก็จะให้บท อะทาสิเม อะกาสิเม ญาติมิตตาฯ บางทีเขาตัดเอาครึ่งเดียว ขึ้น อะยัญจะโข ทักขิณาทินนาฯ มันก็เป็นครึ่งหลังของบทอาทาสิเม ถ้าหากเป็นงานมงคลทั่ว ๆ ไป ส่วนใหญ่ก็ใช้มงคลจักรวาฬน้อย ถ้าหากเป็นเรื่องการถวายสังฆทานใช้บท อัคะโต เว ปะสันนานัง
    ถ้าหากว่าเป็นของที่ถวายตามกาลอย่างเช่นว่า ถวายกฐิน ถวายผ้าอาบน้ำฝน ใช้บท กาเล ทะทันติ สะปัญญา ถ้าหากว่าให้พรคนป่วย มารดน้ำมนต์ ต้องการให้หายก็ขึ้นบท โส อัตถะลัทโธ เขาจะมีเฉพาะของเขาเหมือนกัน ถ้าหากว่าเขาถวายอาหารก็ กุตตา โภคาฯ แต่ละบทจะใช้ในโอกาสและวาระ เราจะมั่วก็ได้ เพราะโยมเขาไม่รู้ แต่ถ้าเจอโยมที่เขารู้เดี๋ยวเขาท้วงมาจะขายหน้าเขา
    ถาม : แล้วเวลาที่เราให้พรจะทำอารมณ์อย่างไร ?
    ตอบ : ก็ตั้งใจนึกถึงพระเลย นึกว่าพระท่านว่าเองเลย นึกถึงภาพพระท่านสวดเองเลย ง่ายดี
    ถาม : สำหรับโยมอุปัฏฐากนี้สามารถขอทุกอย่างได้ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วก็ เอาแค่สมควร ขอแค่ที่จำเป็นของพระ ไม่ใช่ว่าโยมอุปัฏฐากปวารณาแล้ว ก็ขอสะบั้นหั่นแหลกเลย อย่างนั้นจะไม่ใช่พระ ขอในสิ่งที่สมควรแก่สมณะวิสัย จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรให้ขอมากไปกว่าจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานะเภสัช เท่านั้นแหละ
    จีวรชุดหนึ่งก็ใช้กันจนลืมไปเลย บิณฑบาตก็บิณเองอยู่ทุกวันใช่ไหม เสนาสนะก็ที่อยู่อาศัย ให้อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น คิลานะเภสัช ยารักษาโรค ถ้าหากว่าป่วยไข้เป็นโรคเฉพาะก็ขอโยมได้ หรือไม่ก็ไปหาหมอ หมอก็จัดให้อยู่แล้ว
    ถาม : แล้วเรื่องการสอนธรรมะ จะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรมไหม ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของการสอนกัน ที่เขาว่าอุตริมนุสธรรม อย่างเช่นว่า ฌาน วิโมกข์ วิมุติ สมาธิ สมาบัติ ห้ามบอกกล่าวกัน มิฉะนั้นจะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม ถ้าหากว่าเรามีจริงกล่าวถึงได้ ถ้าเป็นการสอนธรรมกัน ถ้าไม่ใช่การสอนธรรมกัน กล่าวเพื่ออวดไม่ได้
    ถาม : (เรื่องทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน)
    ตอบ : ถ้าหากว่าฝันไม่เป็นไร แต่หากว่าเสียดสีกับผ้าหรือกระทบกับผ้าแล้วเป็นเองไม่เป็นไร ยกเว้นตั้งใจจะทำ ถ้ามันหลุดออกมาจากปัสสาวะเองก็เรื่องของมัน ยกเว้นแต่ตั้งใจ เรื่องของธรรมะเขาตรงไปตรงมา คำว่าแกล้งทำ ก็คือตั้งใจทำ แกล้งฆ่าสัตว์ให้ตาย ก็ตั้งใจให้ตาย แกล้งทำน้ำอสุจิให้เคลื่อน คือตั้งใจให้มันเคลื่อน
    ถาม : แล้วถ้าเกิดเรื่องการกล่าวเตือนพระภิกษุ ?
    ตอบ : ไม่ต้อง*****ยุ่งเลย โดยเฉพาะพระใหม่ มันทะเลาะกันมาเยอะต่อเยอะแล้ว เพราะว่าต่างคนต่างรู้ดีนั่นแหละ เป็นหน้าที่ของครูบาอาจารย์เขาจะตักเตือนเอง
    ถาม : ของอะไรที่เราสามารถใช้เป็นส่วนตัวได้บ้าง ?
    ตอบ : ถ้าเป็นของที่ใช้ตอนเป็นฆราวาสนั้น เป็นของเราถึงเวลาสึกแล้วเอากลับมาได้ แต่ถ้าเป็นของที่เขาตั้งใจใช้ในการบวชอย่างเช่นว่า จีวรก็ดี ผ้าห่ม หมอน อะไรพวกนี้ ของทุกอย่างที่เป็นของสงฆ์ไปของทุกอย่างที่ออกจากโบสถ์มา รับจากโยมมาก็ดี เป็นของสงฆ์ทั้งหมด ถ้าต้องการต้องชำระหนี้ทำราคาปัจจุบัน
    ถาม : (ถามเรื่องการฉันเภสัชในเวลาวิกาล)
    ตอบ : ไม่ใช่อิ่มนะ เนยใส เนยข้น....น้ำอ้อย ไม่ใช่ฟาดกันพุงกาง ถ้าสมัยหลวงพ่อน้ำร้อนหนึ่งแก้ว น้ำตาลหนึ่งช้อนชาแค่นั้นแหละ ท่านให้เอาอย่างนั้นจริง ๆ ถามว่าทำไมต้องน้ำร้อนครับ ท่านบอกว่าน้ำร้อนทำให้กระเพาะมันขยายตัว มันจะไม่บีบเข้ามาทำให้ไม่รู้สึกหิว น้ำตาลก็เพิ่มสารอาหารที่มันอยากได้เข้าไปหน่อยหนึ่ง
    ถาม : เมื่อไรห่มดองกับห่มคลุม ?
    ตอบ : ห่มดองใช้กับวาระที่สำคัญ เช่นว่า สวดมนต์ ทำวัตร กรรมฐาน แล้วก็เข้าหาพระผู้ใหญ่อย่างนี้ ถ้าผ้าคลุมนี้ใช้เวลาออกนอกวัด ถ้าหากว่าออกนอกวัดห่มดองไปก็ใช้ได้ แต่เป็นทางการจนเกินไป เหมือนกับให้เกียรติเขาเต็มที่ ห่มเสียครบชุด เต็มยศ แต่จริง ๆ แล้วออกข้างนอกให้ห่มคลุม อยู่ในวัดให้ห่มเฉวียงบ่า คือ ปล่อยแขนข้างหนึ่ง ถ้าหากว่างานสำคัญของวัดก็ห่มดองพาดสังฆาฏิเข้าไป แต่ถ้าพระธรรมยุตติ เวลาออกข้างนอกท่านก็เอาสังฆาฏิซ้อนกับจีวรแล้วห่มไป แต่บางองค์ท่านห่มคลุมแล้วเอาสังฆาฏิพาดไหล่ไปด้วย
    ถาม : ถ้าจะไปข้างนอกต้องบอก ?
    ตอบ : จำเป็นต้องบอก นี่เป็นศีลพระเลย ต้องบอกผู้ปกครองเอาไว้ ถ้าเจ้าอาวาสไม่อยู่ก็ต้องบอกผู้ที่ทำการแทน ไม่อย่างนั้นก็โดนอาบัติศีลขาดเลย
    ถาม : คำว่าไม่เอื้อเฟื้อหมายถึง ?
    ตอบ : คือไม่เคารพ คำว่าเอื้อเฟื้อความหมายก็คือเคารพและปฏิบัติตาม ไม่เอื้อเฟื้อตามพระวินัยก็คือไม่เคารพ ไม่ปฏิบัติตามคือประเภทผิดแล้ว ผิดอีก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD align=right><TD width=15 background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=15 height=11>[​IMG]</TD><TD align=middle width="100%" background=images/down.gif height=11></TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top colSpan=5></SELECT></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width=680 align=center border=0><TBODY></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/b2.gif height="100%">
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=760 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=290 background=images/footleft.gif></TD><TD vAlign=top width=445 background=images/footcenter.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21>[​IMG]</TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : (ถามเรื่องพินทุ)
    ตอบ : ให้ทำทันทีตั้งแต่ออกจากโบสถ์มา คำว่า พินทุนั้นแปลว่า วงกลม เขาว่าให้มีขนาดไม่เล็กกว่าแววหางนกยูง นั่นคือเท่าหัวแม่มืออย่างนี้ จะได้เป็นเครื่องหมายที่ชัดเจน ได้รู้ว่าเป็นของเรา
    ถาม : ............................
    ตอบ : อันนี้เราดูตัวเองได้ คือว่ามันจะดีแค่ไหนก็ตาม เขาไม่ให้ยินดีกับผลอันนั้น ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป ถ้าคิดว่าอันนี้เราทำได้แน่ ศีลห้าเราทำได้แน่ ขยับขึ้นไปศีลแปด ทดลองดู
    ถาม : ..............................
    ตอบ : หลวงพ่อท่านบอกว่ากาญจนบุรี มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง โดดเดี่ยวไม่เข้าเทือกกับเขาลูกใดเลย ภูเขาลูกนั้นตั้งแต่กึ่งกลางเขาออกไปสิบห้ากิโลเป็นทองคำหมด อาตมางมเจอ เป็นโยมงมเจอไหมล่ะ ? ก็ท่านบอกอย่างนี้ยังเจอเลย นี่สุพรรณ เล็กกว่าเมืองกาญจน์ตั้งเยอะ เมืองกาญจน์แค่ทองผาภูมิอำเภอเดียวใหญ่เท่ากับสมุทรสาคร สมุทรสงครามและสมุทรปราการรวมกัน แล้วที่เหลือมันใหญ่แค่ไหนล่ะ ? สุพรรณเล็กกว่าตั้งเยอะ
    ถาม : .............................
    ตอบ : เอาอย่างนี้แล้วกัน ตระเวนไปตามวัดสายหลวงพ่อ อย่างหลวงพ่อโหน่งที่ปัจจุบันเรียกวัดอัมพวัน ที่สองพี่น้อง หลวงพ่อโหน่งกับหลวงพ่อขอมนี่วัดจะอยู่ใกล้ ๆ กัน วัดหลวงพ่อโหน่งตอนนี้มีศพหลวงพ่อทองใบที่เป็นลูกศิษย์ตายแล้วไม่เน่าอยู่ แต่หลวงพ่อโหน่งเขาเผานะ ถัดไปอีกนิดหนึ่ง หลวงพ่อขอมวัดไผ่โรงวัวก็ไม่เน่าเหมือนกัน หรือไม่ก็เลยไปโน้นเลย หลวงพ่อเนียม วัดน้อย ก็ได้ หลวงพ่อปลื้ม วัดสวนหงส์ไม่รู้เขาจะเผาหรือเปล่า ? เพิ่งมรณภาพเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง เอาลักษณะนี้แหละ ไปตระเวนดู อยากได้หรือเปล่าจะพาไปขุด ?
    ถาม : ไม่อยากได้ค่ะ แต่อยากรู้ว่ามีจริง ๆ หรือเปล่า ?
    ตอบ : มีจริง ๆ จ้ะ ตอนแรกก็คิดว่าฝันไปหรือเปล่า ก็เลยให้เพื่อนทหารไปเอาเครื่องมือวัดแร่ไปเช็ค ก็เป็นเรื่องจริง คือมันเยอะจนน่ากลัว ในชีวิตไม่เคยเจอทองธรรมชาติอะไรอย่างนั้นมาก่อนเลย มันเป็นแบบทรายจ้ะ ตักขึ้นมาเป็นทรายเลย แต่ว่ามันเป็นทอง มันเป็นเม็ดเล็ก ๆ ละเอียด ๆ ตอนแรกคิดว่าจะเป็นก้อน อย่างเป็นก้อนอย่างเก่งก็สักปลายนิ้วเท่านี้ อาตมาเป็นพระเลยขนไม่ได้
    ถาม : อ่านแล้วรู้สึกว่าท่านทำง่ายมากเลย ?
    ตอบ : ถ้าเอาจริงเอาจัง มันง่าย มันสำคัญว่าเราเอาจริงหรือเปล่า ? บางอย่างต้องทำให้พอดี เกินก็ไม่ได้ ขาดก็ไม่ได้ ถ้าหากว่าเกินพอดีมันทรมานร่างกายจนเกินไป ร่างกายถ้าได้รับการทรมานมากจิตใจก็จะกระวนกระวาย กังวลอยู่ตรงนั้น มันก็ไม่ก้าวหน้า ขณะเดียวกันถ้าสบายเกินไป กิเลสมันก็จะเป็นเจ้านายเราแทน มันก็ไม่ก้าวหน้าอีกเหมือนกัน มันต้องพอดี คราวนี้พอดีของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน มันไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มันมีตามกำลังใจ กำลังกาย กำลังสติปัญญาของเราที่จะต่อสู้กับมัน
    ถ้ามันบอกว่าไม่ไหวอย่าเพิ่งเชื่อมัน มันบอกว่าไม่ไหวก็ลองฝืนดูนิดหนึ่ง ถ้าฝืนได้ก็อย่าให้เกินชั่วโมง เพราะว่าเกินนั้นมันเป็นการทรมานร่างกายแล้ว ตั้งเวลาไว้เลย แต่ใหม่ ๆ อย่าเพิ่งไปตั้งนะ เพราะว่าถ้าร่างกายมันแย่จริง ๆ ห้านาทีมันก็นานอย่างกับชั่วโมง อาตมาเคยนั่งประเภทเหงื่อมันไหลอย่างกับงูเลื้อยเลย ลองดูว่าห้าชั่วโมง สิบชั่วโมง รสชาติเป็นอย่างไร มันเหมือนก้นจะทะลุ นั่งไป ๆ มันเหมือนอย่างกับเนื้อมันบางลง ๆ จนกระทั่งมันจะทะลุหนังออกมา สุดยอดความทรมานเลย บอกไม่ถูกว่ามันเจ็บมันปวดขนาดไหน
    ถาม : .............................
    ตอบ : คือถ้าเรามัวไปสนใจอยู่มันก็ไม่ผ่าน แต่ถ้าเราไม่สนใจปุ๊บ จิตมันจะตัดไปเลย เพราะประสาทมันแยกจากกัน คราวนี้นั่งไปสามวันสามคืนก็ไม่มีปัญหา
    ถาม : ...............................
    ตอบ : คือว่าถ้าไม่รู้ก็ถือว่าความผิดน้อย แต่ถ้ารู้แล้วยังทำนี้ถือว่าเจตนาปรามาสพระรัตนตรัยเลย
    ถาม : (ถามเรื่องพระพุทธบาท)
    ตอบ : เท่าที่เคยเจอประสบการณ์ของตัวเอง ก็มีแต่รอยพระพุทธบาท อย่างรอยพระหัตถ์พระพุทธเจ้าเท่าที่เคยดู มันก็ยังไม่ชัดเจนเป็นรูปหัตถ์โดยตรงก็มี บางทีก็เหมือนกับเป็นแค่นิ้วมือ แต่คราวนี้มันสำคัญที่ว่าอยู่ที่คนเราเชื่อถือ ถ้าคนเราเชื่อถือ ถือว่าเป็นพุทธานุสสติ อะไรก็ได้
    สมัยก่อนนักเทศน์เขาถามกันเช่นว่า เขาขุดส้วม แล้วเจอไม้ท่อนหนึ่ง สมมุติว่าไม้ท่อนนั้นมันจมอยู่ในส้วมมาแล้วห้าปีสิบปี เอาขึ้นมาทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแกะเป็นพระพุทธรูปให้คนเขากราบไหว้ จะได้บุญไหม มันก็ได้เพราะว่าคนเห็นเป็นพระพุทธรูป คนไม่ได้เห็นเป็นไม้ที่อยู่ในส้วม ตัวพุทธานุสสตินี้คือการยึดเกาะพระพุทธเจ้า เห็นเป็นพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้เลย
    แล้วอีกอันหนึ่งสมัยก่อนเด็กมันใส่ตะปิ้ง ถึงเวลาขอบริจาคเงิน บริจาคทอง บริจาคทองเหลือไปหล่อพระพุทธรูป เอาตะปิ้งเด็กไปหล่อพระพุทธรูปจะได้บุญไหม ทำไมจะไม่ได้ ก็เขาหล่อเป็นพระถึงเวลาไหว้ก็ไหว้พระไม่ได้ไหว้ตะปิ้งเด็ก นั่นแหละนักเทศน์สมัยก่อนเขาถามกันเอาตายเลย ถ้าไม่แม่นตำราจริง ๆ เสร็จเขานะ
    ลักษณะเดียวกัน มันถึงจะใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม ถ้าใจเขายึดถือก็ใช่เลย อย่างมีพ่อค้าชาวพม่าอยู่คนหนึ่ง เขาก็ประเภทเรียกว่ารักกตัญญูต่อแม่ตัวเองมาก จะไปค้าขายที่อินเดีย ก่อนจะไปก็กราบลาแม่ ถามแม่ว่าจะเอาอะไรบ้างไหม ถ้าไม่เกินวิสัยก็จะหามาให้ แม่บอกว่าอยากได้พระธาตุเขี้ยวแก้ว พระสารีบุตร ทำยังกับหาซื้อได้ในตลาด ลูกชายก็รับปากด้วยความที่รักแม่ ไม่อยากปฏิเสธให้แม่เสียใจ ถ้าอยากได้ก็ต้องได้ ไม่คิดว่ามันจะหายากแค่ไหน ลูกก็ไปค้าขายจนกระทั่งสินค้าหมดแล้วจะเดินไปหา ก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปหาพระธาตุเขี้ยวแก้วที่ไหน กลับมาเจอหมาตายอยู่ก็เลยทุบเอาเขี้ยวหมาไปล้างขัดเสียอย่างดี ใส่ผอบไปให้แม่ แม่ก็ดีอกดีใจว่าได้พระธาตุเขี้ยวแก้วพระสารีบุตรมา ก็ตั้งใจบูชา สวดมนต์ไหว้พระบูชาอย่างดี
    พอกลางคืนปรากฏว่าเขี้ยวหมาเปล่งแสงสว่างไปทั้งกระท่อมเลย คือใจเขายึดว่าเป็นเขี้ยวแก้วพระสารีบุตร เทวดาท่านก็ต้องสงเคราะห์ให้ เจ้าลูกชายก็อกจะแตกตาย พูดก็พูดไม่ได้ มันกลายเป็นของแท้ไปได้อย่างไร มันสำคัญตรงใจยึด ถ้ายึดใจเกาะ โดยเฉพาะพุทธานุสสติ ธรรมมานุสสติ สังฆานุสสติ เกาะเป็นอันว่าใช่
    ถาม : เหมือนกับอ่านธรรมะปฏิบัติตอนเข้าส้วม เข้าส้วมทีไรปฏิบัติจิตได้ดี ?
    ตอบ : จ้ะ นั่นแหละสำคัญที่สุด อยู่ในส้วมจำเป็นต้องภาวนาไว้ ไม่มีใครเขาว่าอะไรเลย ยิ่งทำยิ่งดี เพราะตอนที่เราจะเผลอสติ ส่วนใหญ่ก็ตอนเข้าห้องน้ำ ห้องส้วม ตอนเคลิ้มกำลังใกล้จะหลับ ถ้าหากว่าเราเผลอสติตอนนั้นอันตรายบางอย่างมันจะเข้ามาแทรกได้ เพราะฉะนั้นยิ่งอยู่ในส้วมยิ่งต้องภาวนา พระพุทธเจ้าท่านไม่รังเกียจหรอก
    ถาม : ตอนเป็นฆราวาสนี้ ถือศีลแปดตลอดเวลาเลยไหม ?
    ตอบ : สองปีก่อนบวช มันมีอยู่วันหนึ่งที่หลวงพ่อท่านบอกที่ซอยสายลมหลังจากออกจากกรรมฐานแล้วว่า ผู้ที่ปฏิบัติอยู่วันนี้ พระท่านบอกว่ามีอยู่ ๗๐ คน ถือศีลแปดทรงตัวได้เลย เราก็ฟันธงโช๊ะเลยว่า ข้าคือหนึ่งใน ๗๐ คน นั้น จำไว้เลยนะว่าการตัดสินใจนั้นสำคัญที่สุด ถ้าเราตัดสินใจอย่างนั้นเมื่อไรได้ มรรคผลมันก็จะมา ถ้าตัดสินใจตอนนั้นมันก็จะมาตอนนั้น รุ่งขึ้นมันก็เหมือนกับคอหอยมันตัน มันไม่อยากกินอะไร คราวหลังเที่ยงแล้วก็เป็นอันว่าเลิกกัน มันจะเป็นของมันเอง มันก็ดีได้เตรียมอดข้าวไว้ตั้ง ๒ ปี จาก ๖๓ โลครึ่ง เหลือ ๕๔ โล
    ถาม : ถ้าไม่บวช สงสัยจะไม่ได้เจอหลวงพี่ ?
    ตอบ : ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็หลวงพ่อท่านชวน ก็ต้องบวช ดื้อกับพ่อไม่ได้หรอก ท่านรู้ไม่หมด ของเรานี่รู้หมด ถาม ๆ ท่านเท่าไรก็ตอบได้ ไม่รู้จักหมดสักที ของเรานี่ ถาม ๆ ไป ก็หมดเสียแล้ว
    ถาม : (คุยเรื่องลูกศิษย์หลวงพ่อที่ใช้ทิพจักขุญาณดูหมอ)
    ตอบ : บุคคลที่ไปหาหลวงพ่อสมัยโน้นมีสองแสนเศษ งานใหญ่อาจถึงสามแสนกว่า แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า การที่ว่าเป็นลูกศิษย์ของข้าไม่จำเป็นต้องมาหาข้าก็ได้ อันดับแรกให้ตั้งใจรักษาศีลห้าให้ครบ อันดับที่สองให้ตั้งใจเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ อันดับที่สามให้ตั้งใจว่าตายเมื่อไรขอไปพระนิพพาน ถ้าประเภทนี้ต่อให้ไม่ไปหาเลย หลวงพ่อก็รับเป็นลูกศิษย์
    แต่ถ้าพวกที่อ้างตัวว่าเป็นลูกศิษย์แล้วไม่สามารถปฏิบัติสามข้อนี้ได้ ต่อให้มันอยู่กับข้าทุกวัน ข้าก็ไม่ถือว่ามันเป็นลูกศิษย์ สะใจไหม ก็ดูเอาก็แล้วกันว่าเขาทำได้หรือเปล่า
    คราวนี้เข้าใจแล้วนะว่าลูกศิษย์ประเภทไหนที่หลวงพ่อบอกว่าใช่ แล้วประเภทไหนที่ไม่ใช่ คนไปหาหลวงพ่อมากต่อมาก ใครเขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เราปฏิเสธเขาไม่ได้แต่ให้ดูความประพฤติของเขาแทน หลวงพ่อเคยบอกกับพระอยู่เสมอว่า แกบอกเขาว่าเป็นพระวัดท่าซุง แกเอาซุงดี ๆ หรือเอาซุงผุ ๆ ไปอวดเขา ถ้าประเภทซุงผุท่านไม่รับหรอกจ้ะ
    ถาม : (คุยเรื่องความไม่พยาบาท)
    ตอบ : มันมีคาถาอยู่บทหนึ่ง ซึ่งผลของมันรุนแรงมากเลย คือสัมปจิตฉามิ ผู้ที่ได้กลั่นแกล้งเรานะ เราไม่ต้องไปตอบโต้ ไม่ต้องไปอะไรเขา ให้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ โดยมีพระพุทธเจ้า ผู้มีนามว่าเรวัตตะเป็นที่สุด ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ให้เราพ้นจากเรื่องเดือดร้อนนี้ อันนี้แหละคนทำซวยเอง ถ้าเขาทำดีกับเรา เขาก็รับดีไปหลายเท่า ถ้าเขาทำไม่ดีกับเราก็เละเอง เราไม่ได้ทำอะไรเขาหรอก กฎแห่งกรรมสนองเขาเอง
    ถาม : ................................
    ตอบ : อันนี้เป็นงานของท่านโดยตรง สมเด็จพระพุทธเรวัตตะนี้ สมัยของท่านเขาแกล้งกันซึ่ง ๆ หน้า ท่านเทศน์อยู่มันก็แกล้งดิ้น ๆ พราด ๆ อยู่กลางศาลาอย่างนี้ คือจะให้คนเสื่อมศรัทธาท่านให้ได้ เพราะว่าศาสนาอื่น ๆ เขาเสียลาภไปเยอะเมื่อท่านตั้งศาสนาพุทธขึ้นมา ก็พยายามจะแกล้งท่านทุกวิถีทาง
    เพราะฉะนั้นองค์นี้ถนัดที่สุดกับการรับมือพวกช่างแกล้ง ท่านเคยให้พรไว้เลยว่า ถึงเวลาถ้าเดือดร้อนขึ้นมาแล้วให้บอกท่าน จุดธูป ภาวนา คาถาบทนี้เดี๋ยวมันเจ๊งไปเองเราไม่ได้ทำเขาหรอก
    ถาม : แล้วคาถา สัมปฏิจฉามิ ?
    ตอบ : อันนั้นก็ใช้ได้อยู่ อันนั้นเรียกว่าสารพัดนึกจ้ะ แต่อันนี้โดยประเภทโดยตรงเลย อันนั้นเหมือนเอาขวานไปถากไม้ มันก็ถากได้เหมือนกันแต่มันไม่ถนัด
    ถาม : หลวงพี่รับสมัครลูกแถวไหมคะ แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง ?
    ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ ให้ตั้งใจทำตามกติกาหลวงพ่อ ต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มั่นคง ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปที่นั่น เดี๋ยวก็เป็นลูกแถวหลวงพ่อไปเอง ไม่ใช่ลูกแถวหลวงพี่ ทำอย่างไรบ้าง ?
    อันดับแรกต้องอดข้าวเก่ง ๆ อันดับที่สองต้องไม่ขี้แย หลงทางทีสามวันเจ็ดวันนี่ห้ามร้องไห้เด็ดขาดจ้ะ มันจะทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งสุดยอดของความทรมาน ทำอย่างไรจะให้เราคิดตัดร่างกายได้ เลิกห่วงร่างกายได้
    แล้วของเรานี่ก็ดื้อจริง ๆ เลย เจ้าประคุณ จนถึงวันที่สิบเอ็ดสิบสองใจมันถึงยอมรับกฎของกรรม ความที่มันเป็นนักรบมาทุกชาติ มันตั้งหน้าตั้งตาสู้ตะบันเลย ไม่ยอมรับกฎจริง ๆ พอยอมรับกฏของกรรมปิ๊งเดียวกลายเป็นสังขารุเบกขาญาณไปเลย มันไม่เอาต้นไม่เอากลาง มันโดดไปปลายเลย จะว่าไม่กลัว มันก็เย็นไปถึงสันหลังเหมือนกันนะ แต่ว่ามันไม่หนี
    เคยไปโดนควายล้อมอยู่กลางป่า น่าจะเกินสามสิบตัว แต่ที่ประจันหน้ากับเรานั่น นับเรียบร้อยแล้วสิบสองตัว แล้วที่ยังแหกป่าโครม ๆ นี่ไม่รู้อีกเท่าไร ชนิดที่แม่เตรียมจะชาร์จแล้ว เพราะมันหวงลูกมัน แล้วถึงเวลาเสือมันจะลงไปกินน้ำ มันก็อาละวาดใหญ่ เพราะว่าเรานอนขวางทางมันอยู่ แต่มันไม่กล้าเข้าใกล้
    ถาม : ..................................
    ตอบ : คำว่าซื้อขายแลกเปลี่ยนโดย รูปิยะ ที่มันไม่เหมาะไม่งาม เราใช้เด็กวัดไปซื้อแทนได้ เช่น พวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน มาบูชาพระอย่างนี้ ถ้าเรารู้สึกว่ามันไม่ดี หรือเขาถือสาเรื่องนี้ ก็ใช้เด็กวัดไปทำแทน
    ถาม : (คุยเรื่องการแขวนพระ)
    ตอบ : เป็นเรื่องจำเป็นเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าถ้าสมาธิของเราไม่ดี ไม่สามารถจะทรงอารมณ์อยู่ได้ตลอดเวลา โอกาสที่จะพลาดให้ อันตรายเข้ามาทำเราได้มันมีอยู่ เพราะฉะนั้นการพกพระอยู่กับตัว ถึงเวลาเช้าภาวนาให้พระอยู่กับตัว ภาวนาให้ท่านคุ้มครอง ท่านจะรักษาเราได้ตลอด ตัวเราเผลอได้ แต่พรหมหรือเทวดาท่านไม่เผลออยู่แล้ว
    ถาม : ตอนเช้านี้ควรจะตื่นสักกี่โมง ?
    ตอบ : ตีสามตีสี่ก็ได้แล้วแต่เราถนัด แต่อย่าตื่นสายมาก ถ้าตื่นสายมากกิเลสมันตื่นก่อนก็ฟุ้งซ่านมาก ตื่นก่อนกิเลสนั่นแหละดี ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว รัก โลภ โกรธ หลง มันก็เยินไปเสียแล้ว โดนดับไปชั่วคราวก็สบายไปทั้งวัน แต่ถ้ากิเลสตื่นก่อนก็มีเรื่องแน่งานนี้ ฟุ้งซ่านไปทั้งวัน รักษาอารมณ์ใจให้ดี ถ้ารักษาอารมณ์ใจไม่เป็น มันจะเป็นโทษแก่ตัวเรา เรื่องของหนังสือก็ดี วิทยุโทรทัศน์ก็ดี หนังสือพิมพ์ก็ดี อ่านได้ แต่ว่า ต้องรักษาอารมณ์ใจตัวเองให้เป็น รักษาไม่เป็นก็เหมือนรู้ว่าอาหารมันไม่ดี แต่ก็กิน ก็เจ็บบ้าง แสบท้องบ้าง
    ถาม : (ถามเรื่องการทำสมาธิ)
    ตอบ: การนั่งทำสมาธิภาวนาตัวสำคัญคือสติที่รู้อยู่ตอนนั้น อย่าให้สติเคลื่อนออกจากลมหายใจเข้าออกตามรู้เข้าไปว่ามันผ่านรูจมูกแล้ว ผ่านอกแล้ว ไปสุดที่ท้องแล้ว และออกจากท้องมาแล้วผ่านหน้าอกแล้ว มาอยู่ที่จมูกแล้ว ต้องให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ตรงนี้ อย่าไปคิดเรื่องอื่น คิดเรื่องอื่นเมื่อไร ดึงมันกลับมา ไม่อย่างนั้น มันจะไม่ก้าวหน้า พอถึงเวลามันฟุ้งซ่านอีกใจหนึ่งมันยังพุทโธ ๆ อยู่ ก็เหมือนกับท่องอาขยานอย่างที่ว่า ไม่มีอะไรแนะนำจ๊ะ เพียงแต่ให้ทำใหม่
    การนั่งทำสมาธิภาวนาจุดสำคัญคือ การสงบของใจ เรื่องอื่นเป็นของแถม ของแถมชนิดที่ต้องการหรือไม่ต้องการเขาก็ต้องให้มา ซื้อรถเขาก็ต้องให้ล้อมาแน่ ๆ ไม่ต้องไปตั้งหน้าตั้งตาหาล้อรถ ขอให้ซื้อรถให้ได้ได้ล้อรถแน่ ท่านถึงว่าให้เราภาวนาอย่างเดียว พอถึงเวลาจิตมันทรงสมาธิได้ มันจะรู้เห็นเอง การรู้เห็น ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะว่าเราอาจไปยึดติดกับมันก็ได้ ทำให้การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้า การปฏิบัติที่แท้จริง คือการทำให้หมดสิ้นซึ่งกิเลส คราวนี้มันจะหมดสิ้นได้เท่าไร มันจะละได้เท่าไร อยู่ที่ความสามารถของเรา เรื่องอื่นเป็นเรื่องที่เขาแถมมาให้ สำคัญที่สุดตรงนั้น คือเพื่อความสุขในปัจจุบัน ให้จิตของเราไม่ฟุ้งซ่าน
    อนาคตถ้าเราทรงความดีได้ เราก็ไปเกิดในที่ดี อย่างเช่นไปเป็นเทวดา เป็นพรหม หรือไปนิพพานเลย อย่าไปขวนขวายเพื่อไปอยากรู้อยากเห็น ตัวอยากมันจะกั้น ภาวนาไปอย่างเดียว เดี๋ยวถึงเวลาผลมันจะเกิดเอง กำหนดสติรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับปัจจุบันแค่นี้ สิ่งที่เราคิดมัน มันพาเราให้เราทุกข์ทั้งนั้น คิดไปในอดีตก็ดี คิดไปในอคาคตก็ดี ล้วนแล้วแต่ พาให้เราฟุ้งซ่าน หยุดอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับการภาวนา หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับหนึ่งหายใจเข้าพุท หายใจออกโธนับสอง ไล่ไปเรื่อย เอาสักห้าสิบคู่ก็พอ ถ้าทำได้โดยไม่ฟุ้งซ่านไปกับอารมณ์อื่นได้นับว่ายอดมนุษย์แล้ว ถ้าหากว่าแว๊บไปเรื่องอื่นนี่ ตั้งต้นนับใหม่เลยนะ ให้มันได้ทุกวัน ถ้ามันเมื่อยขา ปวดหลัง ก็เปลี่ยนอิริยาบถก็ได้ ไปยืน หรือว่าไปเดิน ไปนอนก็ได้ แต่ว่าอิริยาบถนอนต้องกำหนดสติให้มั่นคงเข้าไว้มิฉะนั้นจะหลับ
    ถาม: เวลานั่งแล้วรู้สึกปวด ?
    ตอบ: เรื่องของร่างกาย ภาษาทางพระเรียกว่า ขันธมาร มารคือสิ่งที่จะมาขวางไว้ไม่ให้เราทำความดี เพราะว่าเราปกติเป็นสาวกเขาอยู่แต่ถ้าใครดิ้นรน ทำความดี ก็จะหลุดจากอำนาจของเขา เขาก็จะพยายามขัดขวางเรา มารมีอยู่ด้วยกัน ๕ อย่างคือ กิเลสมาร ความชั่วที่นอนนิ่งอยู่ในใจมานาน มันก็อาละวาด อภิสังขารมาร เป็นบุญ / บาปที่เราทำมาขวางเราได้ ทำบุญมาทรงอรูปฌานได้ ตายไปเป็น อรูปพรหม อย่างเช่น เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ต้องอยู่นั่นตั้งแปดหมื่นมหากัลป์ ไม่ต้องทำมาหากินอะไรเลย ความดีก็ขวางได้ ส่วนความชั่วก็ขวางเป็นปกติอยู่แล้ว ขันธมาร ร่างกายเรา เดี๋ยวเจ็บโน้นเดี๋ยวปวดนี่ เดี๋ยวเมื่อยนั่น เขาไม่ต้องการให้เราทำความดี ก็เลยดึงความสนไปจากจุดเฉพาะหน้า การที่เราปฏิบัติภาวนา เขาไม่ให้สนใจยึดติดร่างกายอยู่แล้ว คราวนี้เราไปยึดก็เป็นอันไม่ก้าวหน้า
    เทวปุตตมาร เทวดาเขามาลองใจ ทำโน่น ทำนี่ให้เห็น เราไปยึดติดตามนั้นหรือเปล่า เราไปยึดติดก็เสร็จเขา ถ้าไม่ยึดติดก็ผ่านไปได้ ก็สบาย มัจจุมาร ความตายมาขวาง เห็นว่ากำลังใจของเรา เด็ดเดี่ยวแน่นอนแล้ว ไม่สามารถที่จะดึงเราไว้ได้แล้ว แต่ว่าบังเอิญเรามีกรรมเก่า ที่เป็นอุปฆาตกรรมนั้นมา เขาเลยฉวยโอกาสตอนกรรมนั้นเข้า ทำให้มันเกิดอุบัติเหตุให้เราตายไปเลย จะได้ไม่ต้องหนีพ้นเขา เสียไปชาติหนึ่งฟรี ๆ ฉะนั้นเจ้าพวกนี้ ๕ ตัว นี้จะคอยขวางอยู่ตลอดเวลา แล้วอาการเจ็บป่วยของร่างกายนี้เป็นขันธมาร
    ถาม: ............................
    ตอบ: โดยส่วนใหญ่แล้ว โดยสัญชาตญาณมันจะประกอบไปด้วยอคติไม่รู้ตัว อคติอย่างเช่นว่า ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะโกรธ ลำเอียงเพราะกลัว ลำเอียงเพราะหลง คราวนี้ว่าลักษณะของการบิณฑบาตแล้วให้กำหนดใจในลักษณะนั้น เรียกว่า อัปปมัญญา คือว่าเห็นทุกคนเสมอกันหมด ไม่ไปเลือกว่าของคนรวยเราถึงจะรับ ของคนจนเราไม่รับ กับข้าวอันโน้นอร่อยเราจะเอา อันนี้ไม่อร่อยเราไม่เอา คนโน้นคนใส่สวยเรารับ ไม่สวยเราไม่รับ อะไรอย่างนี้ไม่ใช่ ตั้งใจสงเคราะห์ทุกคนให้มีความสุขเสมอหน้ากัน ต้องรักษาอารมณ์ใจตัวเองให้เป็น รักษาไม่เป็นก็เหมือนรู้ว่าอาหารมันไม่ดี แต่ก็กิน ก็เจ็บบ้าง แสบท้องบ้าง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD align=right><TD width=15 background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=15 height=11>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21>[​IMG]</TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : .......(ไม่ชัด) .......เลือกห้องพัก ?
    ตอบ: เขาเรียกว่าธรรมะจัดสรร คนอื่นเขาหนีไปนอนห้องแอร์หมดทิ้งกุฏิที่มีเทปหลวงพ่อไว้บานเลย ดีมั้ยล่ะ ? สบาย ทำตัวให้มันลำบากเข้าไว้ ต่อไปอยู่ที่ไหนมันก็สบาย ถ้าไปทำตัวสบายเข้าไว้ แล้วมันจะลำบาก หลายต่อหลายคนเขาถามว่าออกจากวัดท่าซุงทำไมสบายจะตาย ก็มันสบายจะตายนะสิถึงได้ไม่อยากอยู่
    ถาม: ...............................
    ตอบ: เฮ้อ ถ้าหากว่ามันขาดความรู้ตัวเมื่อไหร่ เดี๋ยวมันก็เผลอลอยลมไอ้เผลอตัวนี้พาลงนรกอยู่เรื่อยล่ะ
    ถาม: .......................
    ตอบ: คือบางคนเก่งเกินไป ดังนั้นเก่งเกินไปอย่าเพิ่งเชื่อ ระยะหลัง ๆ นี่มีพวกได้มโนมยิทธิไปใช้ผิดเยอะ เอาไปใช้ผิด รู้จริงบ้าง ไม่รู้จริงบ้าง อะไรบ้างลักษณะนั้น ก็เลยทำให้คนอื่นเดือดร้อนกันเยอะ เพราะอย่างที่ดูนี่แหละ พอดูเสร็จแล้วก็เอาไปบอกคนอื่นเขา ทำให้ญาติโยมพี่น้องเดือดร้อนกัน ต้องไปแก้ไขต้องไปทำอะไรกัน เราเป็นลูกทำความดีที่เป็นบุญเป็นกุศล อุทิศให้พ่อแม่ไป ถ้าท่านอยู่ในเขตที่เป็นกุศลก็ได้รับสบายไปเลย ถ้าท่านยังโมทนาไม่ได้ ผลบุญนั้นก็ยังรออยู่ไม่ได้ไปไหน
    ถาม: ...........................
    ตอบ: มันมีเยอะ ระยะหลังนี่เขาเก่ง ใช้ผิดกันอยู่เรื่อย มโนมยิทธิ นี่หลวงพ่อท่านสอนให้รู้แล้วละ รู้แล้วเข็ดซะบ้าง เกิดมากี่ชาติต่อกี่ชาติ มีชาติไหนไม่ทุกข์บ้าง แต่ปรากฏว่าระยะหลังนี้ รู้แล้วไปยึดกันเรื่อย ประเภทไปฟื้นความสัมพันธ์ ชาติก่อนเธอเป็นอย่างนั้นกับฉัน เธอเป็นอย่างนี้กับฉัน สบาย แทนที่ว่ายน้ำถึงฝั่งก็เลยกอดคอจมน้ำตายกันหมด มีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ? ทุกชาติที่เกิดมายังทุกข์อย่างนี้แล้วยังอยากเกิดอีกไหม ? อันนี้ไม่ได้ตำหนิเขานะ คือคนเราบางทีมันก็คัน พอมันคันมันรู้อะไรก็อดไม่ได้ ทำอะไรได้ก็ใช้มันไปเรื่อย แต่ว่าไม่รู้ว่าสิ่งไหนควรสิ่งไหนไม่ควร
    แล้วบางอย่างประเภทเขามาหลอกเรา คนที่รู้เห็นยิ่งชัดเจนเท่าไร ยิ่งมีโอกาสโดนหลอกง่ายเท่านั้น เห็นเขาไล่ยิงกันมา เราก็โทรแจ้งตำรวจ ตำรวจมาถึงเราหน้าแตก เขาถ่ายหนังกันอยู่น่ะ แล้วเราเห็นเขายิงกันจริง ๆ ไหมล่ะ ? จริง .....แล้วเรื่องที่เราเห็นจริงไหมล่ะ ? ไม่จริง ...........ลักษณะนี้แหละ การรู้เห็นของ ทิพจักขุญาณ บางทีก็มีการทดสอบกัน แล้วเขาทดสอบกันแรงหนัก ๆ กัน เขาไม่เกรงใจกันหรอก โดนต้มได้สบาย ฉะนั้นยิ่งรู้มากเท่าไร ยิ่งต้องระมัดระวังมากเท่านั้น
    สมมติว่าความเป็นทิพย์บอกเรามา ๓ เรื่อง ๔ เรื่องพร้อม ๆ กัน เรื่องที่ ๑ ถูกต้องก็น้อมใจเชื่อ เรื่องที่ ๒ ถ้ายังไม่เกิดขึ้นตามนั้นก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้น อะไรที่มันจะเป็นสิ่งไม่ดี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจะเป็นอันตรายหรือเสียหายกับเรา เราก็ระมัดระวังป้องกันเอาไว้ แต่ถ้าหากว่ามันยังไม่เกิดขึ้น ก็ระมัดระวังป้องกันเฉย ๆ อย่าเพิ่งเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นตามนั้น จนกว่ามันจะเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ พอเรื่องที่ ๒ ถูกก็อย่าเชื่อว่าเรื่องที่ ๓ จะถูกเป็นไปตามนั้นต้องละไว้ไนฐานที่เข้าใจเสมอ เชื่อเต็ม ๆ ไปเมื่อไรโอกาสโดนหลอกมีเยอะนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แม้แต่ที่อาตมาพูดก็อย่าเพิ่งเชื่อเลย
    ถาม: ถ้าเราไม่ได้มโมมยิทธิ แต่เราเชื่อฟังคำสั่งสอนขององค์พระ.....?
    ตอบ: โอ้ อันนี้เป็นพระอรหันต์ง่ายเลย
    ถาม: แต่เราไม่เห็นพระนิพพาน ?
    ตอบ: ก็บอกแล้ว ถ้าเป็นพระอรหันต์ง่ายเลย จำไว้ว่า กติกาของคนไปนิพพาน อันดับแรก ต้องเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ อันดับที่ ๒ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ล่วงศีลด้วยตนเองไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อมีคนอื่นทำ อันดับที่ ๓ ตั้งใจว่าตายแล้วไปนิพพาน มีแค่นี้แหละ มีข้อไหนบอกว่าต้องได้มโนมยิทธิ ? มีข้อไหนบอกว่าต้องได้อภิญญา ? ไม่มี......
    ถาม: คือเราจะไม่ได้พวกนี้เลย พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเราเชื่อจริง ๆ ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าอย่างนั้นยิ่งง่ายจริง ๆ โอกาสโดนหลอกก็น้อยมากเรียนจบเร็วกว่าเขา เพราะว่าพระอรหันต์จริง ๆ มี ๔ ประเภทด้วยกันประเภทที่ ๑ เรียกว่า สุกขวิปัสสโก เข้าถึงธรรมไปเลยไม่จำเป็นต้องเห็นอะไร ประเภทที่ ๒ เตวิชโช เข้าถึงธรรมแล้วสามารถระลึกชาติได้ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ประเภทที่ ๓ ฉฬภิญโญ หรืออภิญญา ๖ เข้าถึงธรรมแล้วยังมีความสามารถพิเศษอีก ๕ ประการ ประเภทที่ ๔ เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ เข้าถึงธรรมแล้วยังมีความสามารถครอบคลุมบุคคลทั้ง ๓ ประเภทข้างต้นที่กล่าวมา เหมือนกับเราเรียนจบปริญญาตรีเท่ากัน แต่เพียงแต่ว่าเพื่อนเราเป็นหมอ แล้วเขาผ่าตัดได้ เราเองไม่ได้เป็นหมอ ขืนไปผ่าคนไข้ตาย แล้วจบเหมือนกันไหม ? จบเหมือนกัน ดีไม่ดีเราจะทำงานเก่งกว่าด้วย เพียงแต่เราไม่ได้ เป็นหมอแค่นั้นเอง
    ถาม: ....................
    ตอบ: ฟังแล้วค่อยยังชั่วเนอะ ไม่งั้นนึกว่าชีวิตนี้ไม่มีหวัง สำคัญตรงศีล เน้นเรื่องศีลเอาไว้ ถ้าหากว่าศีลทรงตัวสมาธิก็จะมั่นคง สมาธิมั่นคงปัญญาจะเกิด ปัญญาเกิด ก็ไปคุมศีลให้บริสุทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้น ศีลยิ่งบริสุทธิ์ขึ้น สมาธิก็ยิ่งดี สมาธิยิ่งดี ปัญญาก็ยิ่งเกิด โอ้ย ...สนุกอย่าบอกใคร
    ถาม: หลวงพ่อครับ คาถาบทนี้ใช้ทำอะไรได้บ้าง ?
    ตอบ: อันไหนจ๊ะ
    ถาม: พระโมคคัลลาน์ ?
    ตอบ: พระโมคคัลลาน์ อันนี้เขาใช้ประเภทที่ว่ากระดูกแตก กระดูกหัก เสกน้ำมันทาประสานกระดูกได้ แล้วก็ดับพิษไฟได้
    ถาม: ......................
    ตอบ: เต็มกำลัง ถ้าหากว่ากำลังเราไม่พอ ยังไง ๆ มันก็ไม่ได้หรอก เอาครึ่งกำลังให้มันคล่องตัวไว้ก่อนดีกว่า เต็มกำลังมันต้องสะสมกันนาน ถ้าไม่ใช่คนที่มีของเก่ามาก่อนมันไม่ได้ง่าย ๆ หรอก แต่ว่าพอถึงเวลาเขามีฝึกเต็มกำลัง เราก็ไปร่วมกับเขา ลองดูซะก่อน ให้มันต้องคิดว่าเราต้องเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่ได้ ถ้ากำลังใจเรามั่นคง อย่างนั้นมันได้ง่ายอยู่ ถึงเขาเปิดฝึกเต็มกำลังเราก็ไป แต่ว่าก่อนไปเราซ้อมครึ่งกำลังเอาไว้ก่อน
    ถาม: ........................
    ตอบ: หลักการปฏิบัติจริง ๆ เน้นตรงศีลก่อน เอาศีลเป็นหลักเลย ถ้าศีลไม่มีหรือว่าศีลบกพร่อง โอกาสสมาธิทรงตัวมันจะยากแล้วพอก้าวเข้ามาจับตรงจุดสมาธิ เน้นตรงลมหายใจเข้าออกไม่ว่าเราจะฝึกตามสายไหนมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ตามอย่าทิ้งลมหายใจเข้าออกเป็นอันขาด กำหนดใจให้รู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ หายใจเข้าให้รู้ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ว่าหายใจออก เอาความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจไป ลมหายใจมันผ่านจมูก รู้ว่าตอนนี้มันผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ให้มันรู้ว่าผ่านกึ่งกลางอก สุดลงที่ท้อง ให้รู้ว่ามันสุดที่ท้องให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ตรงจุดนี้แหละจ๊ะ แล้วพยายามประคองศีลให้บริสุทธิ์ พยายามสร้างความมั่นคงในการภาวนาให้ได้
    คือว่าเราแรก ๆ อาจจะทำมากไม่ได้ ก็กะว่านับ ๑- ๒๐ ก็พอ หายใจเข้าหายใจออกนับ ๑ หายใจเข้าหายใจออกนับ ๒ ถ้ามันไปคิดเรื่องอื่นเราดึงกลับมานับ ๑ ใหม่พยายามเอาให้ได้สัก ๒๐ ก่อน แล้วพออารมณ์ใจเริ่มทรงตัวปุ๊บ มันก็จะเกิดอาการประหลาด ๆ ขึ้นกับตัวเยอะ ตอนนั้นก็มาไล่ถามได้ว่าแต่ละอย่างคืออะไร หลักใหญ่ ๆ อยู่ตรงนี้แหละจ้ะ เอาศีลให้บริสุทธิ์ แล้วก็ตั้งหน้าภาวนาโดยอยู่กับลมหายใจเข้าออกไว้ แล้วคราวนี้รับรองว่าเจอกับตัวเองแน่ ๆ เดี๋ยวคราวหน้าจะเช็คความก้าวหน้า คือถ้าหากว่าเราเกาะอยู่ในนี้จะไม่มีทางพลาดเลย เพราะว่าศีลจะเป็นเครื่องป้องกันเราทุกรูปแบบ อยู่กับโลกแต่ไม่ติดในโล ก เพราะเรามีศีลเป็นเครื่องป้องกัน
    ถาม: ....................
    ตอบ: พระกาลท่านถึงเวลา ท่านจะมารับหลวงพ่อ ปรากฏว่าพอพระกาลจะมา พระท่านเสด็จก่อน ในเมื่อพระท่านเสด็จก่อน พระกาลก็ต้องรออยู่ด้านนอก เพราะว่าเทวดาชั้นผู้ใหญ่ พรหม มาเกลี้ยงเลยโดยเฉพาะพระอรหันต์ ท่านก็เข้ามาไม่ได้ พระท่านอยู่สนทนากับหลวงพ่อไปพักหนึ่ง พอพ้นเวลาท่านก็ลากลับ เรื่องของเทวดาเขาตรงไปตรงมา ถ้าตรงเวลาเขาก็มารับ ถ้าเลยเวลาก็ถือว่าจบกันแค่นั้น ทีนี้เรื่องของวาระสงครามก็เหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่เข้าใจเพราะว่าความรู้สึกก็คืออยากให้เกิด ๆ ไปเลย มันไม่ใช่ซาดิสม์หรอกนะ มันขี้เกียจรอ ให้มันเกิด ๆ ไปเลยหมดเรื่องหมดราว จะได้รู้หน้ารู้หลังกันไปเลย แต่ปรากฏว่าท่านพยายามจะดึงมันเอาไว้ เนื่องจากว่ามันมีโอกาสที่ว่าเราอาจจะพ้นได้ ในเมื่ออาจจะพ้นได้ ท่านก็จะใช้เวลาดึงให้มันพ้นเกณฑ์เมษายน ปี ๔๖ ไป ถ้าพ้นเกณฑ์ตรงนั้นแล้ว มันจะเกิดก็จะเกิดในวงแคบ ๆ เท่านั้นจะไม่ลามใหญ่ออกไป
    ถาม: แต่ถ้าเกิดในช่วงนี้ ?
    ตอบ: ถ้าเกิดในช่วงนี้รับรองได้ว่ากว้างแน่ แต่ถ้าหากว่ามันพ้นเกณฑ์ไปแล้ว มันก็อยู่ในวงแคบ ๆ อาจจะประเภทตีกันแค่ ๒ ประเทศ ๓ ประเทศอะไรอย่างนั้น
    ถาม: บทสวดพุทธคุณ ตรงปัญญาปะทีปะชะลิโต มีที่มาอย่างไร ?
    ตอบ: ปัญญาปะทีปะชะลิโต ความแปลตรง ๆ ว่ามีปัญญาอันสว่างไสวเหมือนอย่างกับไฟที่รุ่งโรจน์ เหมือนอย่างกับเปลวไฟที่สว่างรุ่งโรจน์
    ถาม: เคยอ่านเจอแล้ว ที่มาของบทพุทธคุณตรงนี้ ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าถาม แล้วใช้ปัญญาโต้ตอบกันและกัน ใครเป็นคนถามและโต้ตอบกัน ?
    ตอบ: สัจจนิครนถ์ นิครนถ์ จะเป็นนักบวชจำพวกหนึ่ง สัจจนิครนถ์เขาเป็นคนมีปัญญามาก ศึกษาวิชาการทางด้านของเขาเจนจบ จนกระทั่งเขาเชื่อว่าความรู้ของเขามันล้นพุงน่ะ จะต้องเอาเหล็กแผ่นมาคาดพุงเอาไว้ กลัวพุงแตก ความรู้มันเยอะ แต่บังเอิญความรู้ของเขามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าไปเพื่อที่จะแก้ เพราะว่าเล็งญาณดูแล้วว่าคนนี้โปรดได้ ก็เลยไปในลักษณะที่เรียกว่าเพื่อโต้ตอบปัญหากัน แล้วชนะโดยที่สัจจนิครนถ์ไม่สามารถที่จะเถียงได้ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านบอกไว้มันแจ่มแจ้ง เปรียบเหมือนกับว่าหงายของที่คว่ำ หงายกะลาที่คว่ำขึ้นมาหรือไม่ก็เปิดของที่ปิดอยู่ขึ้นมา สัจจนิครนถ์รู้แจ้งเห็นจริงในจุดนั้น ก็เลยเปรียบในลักษณะที่ว่าพระองค์ท่านมีปัญญาอันรุ่งเรืองเหมือนอย่างกับเปลวไฟ ส่องสว่างให้ความมืดมนของเขาหมดไปได้ สัจจนิครนถ์ถ้าหากว่าอยู่มันจะอยู่ในพาหุง ๘ บท น่าจะเป็นบที่ ๖ สัจจังวิหายะมะติ สัจจะกะวาทะเกตุง คนเวลามันดื้อ มันดื้อสะเด็ดเหมือนกัน
    ถาม: เวลามันออกมาแล้วเห็นสัมภเวสี แล้วเราจะทำอย่างไร ?
    ตอบ: ก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา เพราะว่าพวกนั้นส่วนใหญ่เขาจะลำบาก เราน่ะถ้าออกไปเราจะลืมสังเกตตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วบุคคลที่ออกไปได้ลักษณะนั้น บารมีจะเท่ากับพรหมชั้นใดชั้นหนึ่งตามความหยาบละเอียดส่วนใหญ่ก็จะเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑๐ เพราะว่าจะออกด้วยกำลังของฌาณ ๕ ถ้าหากว่าออกด้วยกำลัง กำลังฌาณ ๔ ละเอียดก็จะเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑๑ ซึ่งถือว่าบารมีสูงมหาศาลเลย คราวนี้พวกนี้เขาลำบากอยู่ เขาอยากได้บุญ โดยเฉพาะบุญกรรมฐานเป็นบุญที่ใหญ่มาก
    เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นเราก็ตั้งใจอุทิศให้เขาจ้ะ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น จะไปกลัวกัน วันก่อนมียายหนูคนหนึ่งมาพอเจอเข้าก็รีบท่องคาถาไล่เขาเพราะว่าตัวเองกลัว ถ้าเจอในลักษณะอย่างนั้นผีร้องไห้แน่เลย ตั้งใจอุทิศ ว่ากุศลบารมีทั้งหมดที่เราสร้างสมมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ โดยเฉพาะบุญกรรมฐาน ขออุทิศให้แก่เธอทั้งหลายที่เราได้เห็นเมื่อครู่นี้ ขอให้เธอทั้งหลายได้โมทนา ประโยชน์ความสุขใดที่เราจะพึงได้รับ ขอเธอทั้งหลายจงได้รับด้วย
    เรื่องของอาชีพที่เกี่ยวข้องกับชีวิตสัตว์ บางคนเลี้ยงกุ้ง บางคนเลี้ยงปลา บางคนเลี้ยงไก่ เคยมาถามว่าเขาเลี้ยงสัตว์อย่างนี้ แล้วก็ขายเขานี่บาปมั้ย ? ก็บอกว่าให้เขาวางอารมณ์ว่า ในเมื่อเราเอาลูกสัตว์เล็ก ๆ มาแล้ว เราจะตั้งใจว่าเลี้ยงดูเขาให้รับความสุขสะดวกสบายทุกอย่าง ให้ตั้งใจอย่างนี้ แล้วเสร็จแล้วพอมันได้อายุขายได้นะ เราขายอย่างเดียว ส่วนคนซื้อ ซื้อไปทำอะไรเราไม่รับรู้ ถ้าเรา สามารถตัดกำลังใจอย่างนี้ได้โทษจะไม่มี
    ลักษณะเดียวกับภรรยาของพรานกุกุตตมิต ภรรยาของพรานกุกุตตมิต เป็นพระโสดาบันแต่สามีเป็นพราน ถึงเวลาจะออกล่าสัตว์ก็แม่อีหนูเอาหน้าไม้มา ก็ส่งให้ แม่อีหนูเอาบ่วงเชือกมา ก็ส่งให้ แม่อีหนูเอาหอกเอาแหลนมาก็ส่งให้ พระภิกษุไปบิณฑบาตเห็นเข้าก็งง ๆ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าคนนี้เป็นพระโสดาบันแล้วทำไมสนับสนุนผัวให้ฆ่าสัตว์อีก ก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกเธอก็ไปถามเขาดูสิว่าเขาคิดยังไง ? ถึงเวลามีโอกาสพระก็ไปถาม ภรรยาของพรานของกุกุตตมิตก็บอกว่า เขาเป็นเมีย หน้าที่ของเมียก็คือ ผัวสั่งอย่างไรก็ต้องทำตาม ผัวบอกให้ส่งหน้าไม้มาก็ส่งให้ ส่งบ่วงเชือกมาก็ส่งให้ ส่งหอกมาส่งแหลนมาก็ส่งให้ ทำตามคำสั่งผัวแค่นี้เท่านั้น ส่วนผัวเอาไปทำอะไรเธอไม่รับรู้นั่นมันเรื่องของผัวไม่ได้เกี่ยวกับตัวแล้ว ก็ลักษณะเดียวกัน ส่วนเรื่องของการที่ว่าขายอย่างเช่น ขายหมู ขายไก่ ตามเขียงในตลาดน่ะ ถ้าหากว่าสั่งให้เขาฆ่านี่มีโทษแน่นอน หรือว่าถ้าหากว่าฆ่าด้วยตัวเองก็มีโทษแน่นอน
    แต่ว่าเรื่องของการฆ่าหมูฆ่าไก่อย่างนี้ญาติโยมทางใต้เขาจะมีอยู่ โดยเฉพาะพวกแพปลาสงขลา เขาจะนิมนต์พระถวายสังฆทานให้เขาทุกเดือนแต่มันมีสิ่งที่เขาขอร้องพิเศษเหมือนกัน อย่างไก่ ก่อนหน้านี้เขาขอข้าวเปลือก ๒ รวง ข้าวเปลือกนะ ๒ รวง เอามาพร้อมกับน้ำสะอาดขันหนึ่งให้บูชาอยู่หน้าพระให้เราสวดมนต์ภาวนากี่ชั่วโมง กี่นาที แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขา เขาจะกำหนดมาเลย มาตอนหลังหลวงพ่อไปต่อรองเขาบอกว่า ทำอย่างนั้นน่ะมันยาก มีที่ง่ายกว่านี้มั้ย ? ก็เลยตกลงว่าถ้าใครเคยฆ่าไก่มา ให้ถวายผ้าไตรจีวรกับพระสงฆ์ ๑ ชุด
    เพราะฉะนั้นพ่อค้าไก่ ถ้าหากว่ามีญาติโยมอะไรเป็น ก็แนะนำถวายเดือนละชุดเลยก็ได้ คือประเภทที่ว่าถวายให้แก่ไก่ทั้งหมดที่เราฆ่าหรือสั่งฆ่าเพื่อเอามาขาย ส่วนหมูนี่เขาขอหนักหน่อย เพราะหมูเป็นสัตว์ใหญ่ การจะฆ่าสัตว์ใหญ่ต้องใช้กำลังใจสูงกว่า โทษมันก็เลยหนักกว่า หมูเขาขอพระพุทธรูปหน้าตัก ๓๐ นิ้วองค์หนึ่ง ๓๐ นิ้วประมาณตัวคนน่ะ ราคาไม่หนีหมื่นขึ้นไป ถ้าหากว่าเป็นไปได้ถวายไปสักปีละครั้งก็ได้ ตั้งใจให้เขา เพราะว่าพระพุทธรูปหน้าตัก ๓๐ นิ้วหลายตังค์อยู่ ถ้าหากว่าถวายทุกเดือนอาจจะหนักเกินไป แต่อย่างผ้าไตรราคา ๕-๗๐๐ บาท พอไหวอยู่ ถวายได้ทุกเดือน ตั้งใจอุทิศให้แก่พวกเขาทั้งหลายที่ได้สั่งให้เขาฆ่าหรือว่าฆ่าด้วยด้วยตัวเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD align=right><TD width=15 background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=15 height=11>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ได้ยินข่าวว่า ดาวหลาย ๆ ดวงเดือนพฤษภาคมจะเห็นกันอยู่ทั่วโลก.....พยากรณ์ว่าจะเกิด ?
    ตอบ: ดาวหางมั้ง ๒ ดวงมาพร้อมกัน ตอนนี้ไม่หนักเท่ากับที่ผ่านมาหรอก ที่ผ่านมานั่นดาวเคราะห์ ๙ ดวงเรียงกันมาเป็นแถวเดียวกันน่ะ เขาว่าอาจทำให้น้ำท่วมโลกเพราะแรงดึงดูดมันมาก แต่จริง ๆ แล้วมันไกลเกินกว่าที่แรงดึงดูดจะส่งผลมาถึง ที่น้ำขึ้นน้ำลงก็มันอิทธิพลของดวงจันทร์อย่างเดียว คราวนี้ว่าปัจจุบันนี้ที่ผ่านมาก็จะดูเหมือนกัน แต่เผอิญว่าฝนมันตก
    ถาม: เห็นว่าจะดูได้ทั่วโลกโดยเฉพาะที่อเมริกา ?
    ตอบ: เรื่องอย่างนี้บางทีมันก็จะมีผลกระทบบ้าง ถ้าหากว่าเรามั่นคงอยู่ในทาน ศีล ภาวนา ไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก อีกอย่างหนึ่ง ดาวหาง ๒ ดวง อิเคยะกับชไนเดอร์ นาน ๆ ร้อยวันพันปีมันถึงจะมีสักที เพราะว่าปกติที่ผ่านมาก็ทีละดวงเดียว งวดนี้มันมา ๒ ดวงพร้อมกัน ถ้าหากว่าตามแบบโบราณเขา เขาถือกัน ถ้าหากว่าดาวหางมา ส่วนใหญ่จะมีแต่สิ่งที่ร้าย ๆ เพราะอย่างสมัยรัชกาลที่ ๕ ดาวหางฮัลเล่ย์ มา พระองค์ท่านก็สวรรคต แล้วเสร็จแล้วพอมาสมัยรัชกาลที่ ๘ ดาวหางมาก็เกิดสงคราม สมัยนี้อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกันเพราะมันมาหลายยกเหลือเกิน ยิ่งวิทยาการมันยิ่งก้าวหน้ามากเท่าไร คนก็ยิ่งค้นพบมากขึ้นเท่านั้น
    ถาม: กลัวเศรษฐกิจจะแย่ ?
    ตอบ: เศรษฐกิจปีนี้มันก็ขึ้น ๆ ลง ๆ แหละจ้ะ กราฟหัวใจเต้นดึ๋ง ๆ
    ถาม: หลานสาวอายุ ๙ ขวบ เป็นลูกของน้องสาว ปีที่แล้วน้องเขยตาย เขาเป็นคนใต้ ปีนี้เขาเช็งเม้งรวมไหว้ทั้งพ่อแม่ที่ตายด้วย สำหรับน้องเขยเป็นคนไทยถวายสังฆทานแบบไทย ทางนี้มีเผากระดาษเงินอะไรเยอะแยะ ตอนพ่อเขาเสียใหม่ ๆ เขากลางคืนนอนคุยกับพ่อเขาตลอดเวลา แม่แล้วก็ย่ายายบอกว่าเหมือนคนแบบละเมอ เขาก็โมโห เขาตื่นขึ้นบอกว่าคุยกับพ่ออยู่มาขัดจังหวะกำลังดีใจ หลังวันเช็งเม้งเด็กฝันบอกว่าพ่อนั่งรถมากับอากงที่ตายไปแล้ว ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าแต่ชี้รูปที่ตั้งเอาไว้มากับคน ๆ นี้ แล้วพ่อเขามาบอกว่าใคร ๆ ก็ได้ตังค์ ตัวเขาเองยังไม่ได้ตังค์เลยสงสัยจะมาถามว่าทำไมเขาพูดกันแบบนี้ ?
    ตอบ: คือลักษณะนี้จริง ๆ แล้วคล้าย ๆ กับว่า เขาไปแบ่งแยกออกมาสิ่งที่ทำที่ถูกต้องแล้วที่ทำไป จริง ๆ แล้วน่ะถูกแล้ว คือว่าเราเอง เราถวายสังฆทานทำบุญทำกุศลอะไรไป แต่ว่าบังเอิญว่าเราแยกออกมาเหมือนอย่างกับว่าเขาเป็นคนนอก เหมือนอย่างกับว่าไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกัน เขาก็เลยตั้งใจที่ว่าจะเตือนสติเราให้รู้ว่า จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าถึงเวลาทำก็ทำให้มันเหมือน ๆ กัน แล้วอีกอย่างถ้ามาในลักษณะนั้นก็ได้แสดงว่าเขาสบายดี ในเมื่อเขาสบายดี บุญกุศลอะไรที่เราทำไปเขาจะโมทนาได้ทุกอย่าง ขณะเดียวกันเขาเองเขารับผลสังฆทานไป เขาก็คงสบายกว่าคนอื่นเขา ก็เลยอยากจะทำอะไรให้พวกอากงอาม่าเขาบ้าง ลักษณะเดียวกัน ลักษณะที่มาอย่างนี้บางทีมันเตือนกันเป็นนัย ๆ เราเองอาจจะตีความไม่ถูก เราไปแบ่งแยกเขาออกมาซะแล้ว
    ถาม: พูดแบบคนจีนแล้ว คิดว่าทางนี้ทำอะไรไม่ถึงแน่ ทำไมไม่ได้ตังค์ ?
    ตอบ: ใช้วิธีว่าแนะนำเขาว่า ต่อไปถ้าหากว่าทำเช็งเม้งแบบจีน ก็ให้ทำให้ครบไปเลย แล้วถ้าหากว่าถึงเวลาทางด้านนี้ทำแบบไทยก็ตั้งใจอุทิศให้กับญาติพี่น้องที่เป็นคนจีนไปด้วย เพราะว่าทางด้านสังฆทานนี้จะเป็นบุญใหญ่มากกว่า ทำยังไงเขาก็ได้รับโดยตรงไปเลย ไม่ต้องไปแบ่งไปแยกอะไรหรอก อันนั้นเขาแค่มาเตือนในลักษณะที่บอกว่า ทำก็ทำให้มันเหมือนกันเท่านั้นเอง
    ถาม: ถังเดียวก็สามารถอุทิศให้ได้ ?
    ตอบ: ได้จ้ะ กี่หมื่นกี่แสนคนก็ให้ไปเถอะ ถวายครั้งเดียวอุทิศให้ได้ตลอดเวลาเลย สมมติว่าเราทำปีที่แล้วมา ปีนี้ยังไม่ได้ทำ ไปเจอผี มันมาขอ ตั้งใจเลยว่าผลบุญสังฆทานที่เราเคยทำมาครั้งโน้นขอให้เขาไปด้วย ให้ได้อยู่ตลอดเวลา
    ถาม: ถ้าอย่างนั้น เมื่อกี้ที่ทำหลาย ๆ ถัง ความจริงก็ถังเดียวก็ได้ ?
    ตอบ: ถังเดียวก็ได้ แต่ถ้าหากว่าเราทำมาก็คือกำลังใจของเราดีมาก กำลังทรัพย์ของเรามีมาก สังฆทานนี่ถ้าหากนับแล้วผลเขาบังคับว่าถ้าเกิดใหม่ต้องเป็นมหาเศรษฐี คราวนี้มหาเศรษฐีน่ะสถิติต่ำสุดเขาต้องมีเงินอยู่ ๘๐ โกฏิ ไอ้ ๘๐ โกฏิก็คงประมาณ ๘ พันล้านของสมัยนี้ แต่คราวนี้ถ้าเราทำเยอะ เราจะมีมากกว่านั้น แต่ว่าเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน คือจะมีไม่ต่ำกว่า ๘๐ โกฏิ ถ้าเขามีต่ำสุดแค่นั้น เราจะมีมากกว่า มันก็เลยกลายเป็นว่า ถ้ามีความสามารถทำมากก็ทำไป ถ้าไม่มีความสามารถทำมากขนาดนั้นชุดเดียวก็พอ เรื่องของการบริจาคให้ทาน สำคัญที่สุดคือ อย่าให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ทำแบบประเภทที่เรียกว่าเราสบายใจ ถ้าทำแล้วตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนพระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญนะจ้ะ
    ถาม: เราก็นึกว่าสังฆทานชุดหนึ่งก็ให้คนตายคนนี้ ชุดหนึ่งก็ให้คนตายคนนั้น ที่แยก ๆ เมื่อกี้น่ะ ?
    ตอบ: ทำอย่างนั้นก็ได้จ้ะ แต่จริง ๆ แล้วชุดเดียวให้ได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าถ้าเป็นญาติพี่น้องเราโดยตรงให้ออกชื่อออกนามสกุลนึกถึงอุทิศให้เขาไปเลย เสร็จแล้วหลังจากนั้นค่อยให้ทั่วไป อย่างที่หลวงพ่อท่านว่าให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว จะใช่ญาติก็ดีไม่ใช่ญาติก็ดี อย่างนั้นน่ะ ถ้าเราไปเหวี่ยงแหเสียตั้งแต่แรก บางทีญาติเราอาจจะกำลังน้อยกว่าคนอื่นเขา คนอื่นเขาได้ไปซะหมด อันนั้นก็ให้ญาติเราไปก่อน ออกชื่อออกนามสกุลไปก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยให้ทั่วไป
    ถาม: อ๋อ.....อย่างพวกสุนัขที่ตายไป ถ้าเราให้สังฆทาน เขาก็ยังได้รับเหมือนกัน ?
    ตอบ: ได้จ้ะ คือว่าสัตว์ที่ตายไป อทิสมานกาย จริง ๆ ก็คือคนนี่แหละ เพียงแต่ว่ากรรมที่เขาทำมา ทำให้เขาต้องอยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉาน ถ้าหากว่าเขาตายปุ๊บพ้นจากสภาพนั้น สัตว์เดรัจฉานนี่จะได้เปรียบเราอยู่อย่างหนึ่งว่าโอกาสจะลงอบายภูมิของเขายากเหลือเกิน ยากมาก ๆ เลย อย่างประเภทที่แย่ ๆ ก็คือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเหมือนเดิม ถ้าจิตเขาเกาะคน เขาจะเกิดเป็นคน ถ้าจิตเขาเกาะพระ เขาจะเกิดเป็นเทวดาไปเลย เพราะฉะนั้น อทิสมานกายของเขาข้างใน ก็คือคนดี ๆ นี่เอง เราให้เขา ถ้าเขามีความสามารถโมทนาได้ อยู่ในเขตที่โมทนาได้ เขาเต็มใจรับอยู่แล้ว
    อาตมาเองเวลาเดินทางเจอสัตว์โดน รถชนตาย อุทิศส่วนกุศลให้เขา บางตัวมันดีอกดีใจมันตามมา บอกแกไม่ต้องตามหรอก ถ้าไปเกิดได้ก็ไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วพวกนี้เขากตัญญูนะ เขาเคยได้รับจากใคร เขาจะคอยช่วยเหลือคนนั้น โดยเฉพาะว่าเวลาตายมันมีตัวอย่างหลายครั้งแล้วว่าเวลาตายปุ๊บเนี้ย ลงไป เคยไปทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ไว้ โอ้ย.....เขาไปเจี๊ยวจ๊าวกันไปหมด หลวงพ่อท่านก็ถามว่า ทำไมในนรกในสวรรค์มีสัตว์ด้วยหรือ ? พระยายมท่านบอกว่าไม่ใช่หรอก อันนั้นน่ะเป็นเทวดา เขาแสดงภาพนิมิตให้เห็น จะได้รู้เอาไว้ว่าความดีที่เขาทำน่ะ มันมากขนาดไหนแล้วพวกนี้เขาพร้อมที่จะเป็นพยานให้อยู่แล้วน่ะ
    ถาม: อย่างนี้เวลาเราไปปล่อยสัตว์ ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าคุณประเภทตาย แล้วต้องไปผ่านการสอบสวนรับรองว่าพวกนี้ไปกับเพียบเลย คนที่เคยช่วยปล่อยกันไว้มันมีตัวอย่างอยู่ครั้งหนึ่ง ว่า มีผู้ชายคนหนึ่ง พี่สาวเขาจะปล่อยเต่านะ ก็เขียนชื่อเอาติดไว้ที่ใต้*****ง แล้วก็ให้น้องชายไปปล่อย คราวนี้พระยายมราชท่านสอบสวนว่าเคยทำความดีอะไรบ้าง ? ไล่ไปไล่มาเขาก็บอกว่าเคยปล่อยเต่าไว้ตัวหนึ่ง แต่ปรากฏว่าพอถึงเวลาเต่าก็เดินต้วมเตี้ยมมาให้เห็น พอจับพลิกใต้ท้องขึ้นมา อ้าว ...... กลายเป็นชื่อของพี่สาวตัวเอง แต่ว่าตัวเองเป็นคนปล่อยก็ถือว่าโมทนาในบุญนั้นด้วย ถึงได้เอาไปปล่อยให้ ก็เลยหลุดไป หลุดไปอย่างชนิดหวุดหวิดเลย
    ถาม: อานิสงส์ของการปล่อยสัตว์ใหญ่....?
    ตอบ: อันดับแรกได้ตัวเมตตาบารมี เราไปหล่อยเขาให้มีชีวิตรอดได้รับความสุขความสะดวกสบายน่ะ ต่อไปเราทำอะไรก็จะสะดวกสบายไปหมด แล้วเสร็จแล้ว มีอานิสงส์พิเศษ อีก เรื่องของการปล่อยชีวิตสัตว์ถ้าหากว่าเป็นสัตว์ที่เขาขายเพื่อให้ไว้ฆ่าเป็นอาหารน่ะ ถ้าช่วงนั้นเรามีอุปฆาตกรรมเข้ามามันจะเป็นกุศลต่อชีวิตให้เราด้วย ตัวหนึ่งเท่ากับปีหนึ่ง สมมติว่าคุณปล่อยปลา ๑๐ ตัว นี่อายุยืนต่อไป ๑๐ ปีแน่ ๆ แต่ถ้าหากว่าไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามารบกวน อานิสงส์ตัวนี้ก็จะทำให้เรามีความสุขสะดวกสบาย เรื่องเคราะห์กรรมใหญ่ ๆ อย่างเช่นว่าหนักอยู่สักหน่อย ถ้าหากว่าปล่อยพวกไก่พวกเป็ดที่เขาจะฆ่าเคราะห์กรรมอันนั้นก็จะเบาไป ถ้ามันจะถึงแก่ชีวิตเลย ปล่อยสัตว์อย่างพวกแพะ แกะ วัว ควาย ก็จะเป็นการต่อชีวิตของเราได้เลย ประเภทที่เรียกว่า ยิ่งกรรมหนักก็ยิ่งปล่อยสัตว์ใหญ่ยิ่งได้เปรียบแล้วมันมีอานิสงส์แปลก ๆ อยู่อย่าง
    คือหลวงพ่อท่านเคยซื้อปูทะเลไปปล่อย เห็นมันโดนมัดอยู่เป็นเข่ง ๆ ก็สงสาร ซื้อแล้วก็เอาไปปล่อยตัดเชือกปล่อยมันลงทะเลยไป ปรากฏว่าท่านบอกว่า ปกติแล้วท่านจะปวดหลังเมื่อยตัวเป็นประจำ พอปล่อยแล้วมันไม่เป็นอีก ท่านก็เลยมานึก ๆ ดู อ๋อ..... ปูมันโดนมัดอยู่ทั้งวันทั้งคืน มันคงเมื่อยแย่อยู่แล้ว มีโอกาสได้ไปปล่อยมันเข้าอานิสงส์ตัวนี้ก็เลยช่วยท่าน ประเภททันตาเห็นเลย อานิสงส์แปลก ๆ พวกนี้บางทีก็ต้องเจอด้วยตัวเองน่ะ ไม่งั้นบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเกิดจากอะไร
    ถาม: วันก่อนปล่อยกบน่ะค่ะ กบถูกมัด ๆ ?
    ตอบ: ลักษณะนั้นน่ะจ๊ะ แต่ว่าปูนี่เขามัดแน่นแน่ ๆ เพราะถ้าไม่มัดมันหนีบเขา เคยปล่อยอะไรไปบ้าง ? มันมีอานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือว่าถ้าหากว่าปล่อยนก แล้วช่วงนั้นกรรมเกิดจากอทินนาทานคือเคยลักเคยขโมยเขามันเข้ามาถึง จะทำให้เราของหายน่ะ ถ้าเราปล่อยนกนี่มันจะแก้เรื่องของหายได้ แล้วใครที่ประเภทโดนเขาขโมยประจำ ลองปล่อยนกดู เป็นเรื่องแปลก ๆ เหมือนกับที่หลวงพ่อท่านพิสูจน์แล้ว ท่านถึงแนะนำต่อมา ปล่อยนกกันของหายได้
    ถาม: ไม่จำกัดว่ากี่ตัว ?
    ตอบ: ไม่จำกัดว่ากี่ตัวจ้ะ แต่ว่าหมอดูบางคนก็เหลือเกิน มีโยมอยู่คนไปให้หมอดู อายุของเขา ๒๖ หมอดูบอกว่าเคราะห์ร้ายมากให้ปล่อยปลาไหล ๒๗ ตัวคือให้เกินอายุ ๑ ปี แล้วก็ให้เขียนชื่อติดตัวปลาไปด้วย เราได้ยินนี่หัวเราะเลย บอกตายห่าหมดเลยใช่มั้ย ? เขาบอกแล้วทำไมรู้ล่ะ ? บอกไปเชื่ออะไรส่งเดชกับหมอ ปลาไหลตัวมันลื่น ๆ ถ้าหากว่าจะเขียนได้ก็ต้องรูดจนเมือกมันหมด และปลามันโดนรูดเมือกจนหมดมันจะรอดหรือ ? ก็หงิกน่ะสิคือบางอย่างมันต้องใช้ปัญญาเหมือนกันน่ะจ้ะ พอเราได้ยินว่าให้เขียนชื่อติดไปด้วยหัวเราะ เลยถามว่าตายหมดเลยใช่มั้ย ? เขาบอกว่าทำไมรู้ล่ะ ก็ต้องรูดเมือกกันหมดแล้วเอาสีเขียนติดไปน่ะ แล้วจะไปเหลือเหรอ เจตนาเขาไม่มีน่ะ พวกนั้นคงเคราะห์กรรมหนักมากเลย แล้วก็กรรมมันเคยเนื่องกันมาในอดีต ทำให้ต้องกลับมาตายเพราะมือของคน ๆ นี้ เจตนาดีจ้ะ ปล่อยเขาแท้ ๆ ตายหมดเลย
    ถาม: แล้วหมอดูบาปไหมคะ ?
    ตอบ: ประเภทแนะนำห่วยแตกแบบนั้นมันน่าจะได้ส่วนแบ่งไปบ้างคราวหน้าคิดให้ดี ๆ นะ ปล่อยปลาไหลแล้วบอกให้เขียนชื่อติดไปด้วยปล่อยเต่าปล่อยอะไรก็ว่าไปอย่างมันพอเขียนได้
    ถาม: แล้วแทนที่จะไปช่วยปลาไหลเขา ?
    ตอบ: มันกลายเป็นตายไปเลย ตกลง ๒๗ ตัวม่องเท่งหมด
    ถาม: อย่างนี้แสดงว่าการปล่อยนกจะช่วยในเรื่องของของหายนี่หมายถึงว่าเราเคยปล่อยเมื่อช่วง ๑๐ ปีก่อน ?
    ตอบ: ไม่ใช่ หมายถึงช่วงนี้ แบบเดียวกับที่ว่าปล่อยสัตว์แล้วต่ออายุตอนแรกก็ไม่เข้าใจ หลวงพ่อท่านบอกตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสว่า แกเป็นนักรบมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้มาก เศษกรรมปาณาติบาตตัวนี้จะทำให้แกป่วยประจำ ให้ไปปล่อยปลาที่เขาขายเพื่อฆ่าอย่างน้อย ๆ เดือนละตัว ๒ ตัว จะได้ตัดกรรมอันนี้ได้ ก็บอกว่าหลวงพ่อครับการปล่อยปลา ผมเข้าใจว่ามันเป็นการต่ออายุ แล้วผมไม่อยากอยู่อยู่แล้ว ผมจะไปปล่อยมันทำไมล่ะ ท่านบอกว่าแกอย่าเพิ่งเข้าใจผิด มันจะต่ออายุก็ต่อเมื่อช่วงนั้นมีอุปฆาตกรรมเข้ามา อุปฆาตกรรมที่จะเข้ามาตัดให้ชีวิตของเราสิ้นลงนี่ มันก็คือเราเคยฆ่าคนฆ่าสัตว์ใหญ่เอาไว้ แล้วช่วงนั้นกรรมอันนี้มันเข้ามาพอดีช่วงบุญของเราหมดลง กรรมอันนี้ถ้าเข้ามาจังหวะพอดี ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรที่เป็นลักษณะต่ออายุได้ คือไม่ได้ทำบุญใหญ่ มันจะต้องถึงตายจริง ๆ แต่ถ้าหากว่ามันไม่มีอุปฆาตกรรมเข้ามาช่วงนั้น มันก็ไม่เป็นไร
    อานิสงส์ที่ปล่อยปลามันก็ไม่ได้ต่ออายุ แต่ว่าทำให้เราได้รับความสุขได้รับความสะดวกสบายทีหลัง
    อาตมาเองปัจจุบันทำอะไรมันง่ายจนคนเขาอิจฉากันหมดเพราะว่าปล่อยปลามาติดกัน ๑๗ ปี ปล่อยก่อนบวชมาปี
    ถาม: หลวงพี่ปล่อยปลาทุกเดือน ?
    ตอบ: ทุกเดือนจ้ะ เดือนนี้ก็ปล่อยไป ๕ พันกว่า
    ถาม: อย่างนี้แสดงว่า อย่างพวกหนูร่วมทำบุญกับหลวงพี่ แล้วหลวงพี่เอาไปปล่อยปลา ?
    ตอบ: ก็มีส่วนของพวกเราด้วยจ้ะ แต่ว่าขออภัยไม่ได้บอกเพราะคิดว่ารู้ ปกติจะปล่อยทุกวันอาทิตย์ที่ลงมาสังฆทานตอนเช้าวันอาทิตย์
    ถาม: ............................
    ตอบ: ๕ พันกว่าบาท ก็หลายสิบกิโลอยู่ เดือนนี้ที่ปล่อยไปมีปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ มีหอยอีก ๔-๕ กิโล แล้วก็วัวตัวหนึ่ง
    ถาม: ปล่อยวัวด้วยหรือคะ ?
    ตอบ: ปล่อยวัวด้วยจ้ะ วัวตัวหนึ่งประมาณ ๑๓,๐๐๐ บาท
    ถาม: หมายถึงทุกเดือนเลยหรือคะ ?
    ตอบ: ก็แล้วแต่จ้ะ ถ้าหากว่าเงินที่เขามาสมทบมามันก็ปล่อยเลย ก็ขำ ๆ ดีเหมือนกันน่ะ ธนาคารโค-กระบือน่ะมันอยู่หน้าโรงฆ่าสัตว์พอเราจะบริจาคด้วยการปล่อยวัว ก็ไปเลือก แล้วก็จูงข้ามฝั่งมาให้เขาลงบัญชี แหม.. ชัยภูมิดีเหลือเกิน รู้ว่าคนเขานิยมไปปล่อยมันก็เลยตั้งรับเอาไว้ตรงข้างหน้าเลย แล้วถึงเวลาก็จะมีพระมาชยันโต มาพรมน้ำมนต์ให้ แล้วพวกนี้เขาจะเอาไปให้ชาวไร่ชาวนาที่ยากจนไม่มีวัวควายทำนาจ้ะ แต่ว่าจะทำหนังสือสัญญากันเอาไว้ว่าให้ใช้งานได้อย่างเดียวถ้าหากว่าแก่ชราใช้งานไม่ได้ ต้องเลี้ยงเขาจนกว่าจะตาย จะไม่มีการฆ่าไม่มีการขาย
    ถาม: แล้วถ้าเขาแอบฆ่าล่ะคะ ?
    ตอบ: ไม่.. ทางด้านนี้ของเขา เขาทำสัญญาเอาไว้แล้วนี่ เขาปรับโทษได้ เพราะว่ามูลนิธินี่รู้สึกว่าในหลวงจะอุปถัมภ์เอาไว้ซะด้วย
    ถาม: นึกว่าชาวนาบางทีจน ๆ เอาซะเลย ?
    ตอบ: ประเภทจนแล้วมีวัวเอาไว้ใช้งานเขาคงไม่คิดอย่างนั้นหรอกจ้ะ พวกชาวไร่ชาวนาถ้าไม่จำเป็นถึงขีดสุดจริง ๆ เขาจะไม่ขายวัวขายควายหรอกโดยเฉพาะลูก ๆ ของตัวเอง มันผูกพันกับวัวควายมากเลยบางคนจูงวัวไปขาย วัวก็ร้องไห้ ลูก ๆ ก็ร้องไห้กันกระจองอแงเพราะมันรักวัว ในเมื่อรักแล้วไม่อยากให้วัวโดนเอาไปขาย แต่ไม่รู้หรอกว่าบางทีพ่อแม่ก็จำเป็นสุดขีด ไม่มีเงินไปใช้หนี้เงินกู้เขา เดี๋ยวเขาก็จะยึดไร่ยึดนาก็ต้องรักษาที่เอาไว้ก่อน เลยยอมเสียวัวไป ขายควายส่งลูกเรียนใช่มั้ย ส่งไปส่งมาชักยัวะ รู้งี้ขายลูกส่งควายเรียนดีกว่า
    ถาม: วุ่นวายมากเลยค่ะ ?
    ตอบ: ที่วุ่นจริง ๆ ก็คือเราไปยุ่งกับเขา ถ้าเรารักษาสภาพจิตใจของเราสงบอยู่กับอารมณ์เฉพาะหน้า อยู่กับปัจจุบัน มันจะไม่วุ่นกับใครส่วนใหญ่แทนที่จะเป็นคนดู มันกระโดดลงไปเล่นเองซะทุกที ต่อไปทำตัวเป็นคนดูจ้ะ อะไรเกิดขึ้นรักษาอารมณ์แจ่มใสเฉพาะหน้าของเราเอาไว้ รักษาสติสัมปชัญญะของเราเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวทำไมถึงต้องเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่า ทำไมเมื่อไรก็ทุกข์แล้ว มันทุกข์เพราะเราไปแบกเอาไว้แล้ว เลยอุดปาก ไม่ต้องพูดเลย
    ถาม: ถ้าสมมติว่าคนอื่นขอความช่วยเหลือแม่เรา ซึ่งแม่อยากช่วยแต่อึดอัดกลุ้มใจ เรารู้ว่าถ้าเราไปช่วยแม่หายกลุ้มใจ แต่คนกลุ้มใจคือเรา เราควรทำอย่างไรดี ?
    ตอบ: ก็ตัดสินใจเอาสิ ว่าจะให้แม่หรือให้เรากลุ้ม
    ถาม: ถ้าเรากลุ้มไปแล้ว แต่ว่าเราตัดสินใจช่วยจริง พอครั้งหน้ามีอีกซึ่งมันเกินกำลังตัวเราแล้ว ?
    ตอบ: ถ้าเกินกำลังปฏิเสธได้จ้ะ เขาไม่ได้บังคับนี่ว่าต้องช่วยทุกครั้งไป พูดคำว่า ไม่ ให้เป็น ตัวอย่างต้อง หลวงพี่โอ หลวงพี่โอนี่วันพระทีเข้าโบสถ์ปลงอาบัติทุกครั้งเลย คราวนี้ปลงอาบัติวัดท่าซุง น่ะ เขาปลงอาบัติเป็นภาษาไทย เพราะฉะนั้นทุกคนจะฟังรู้หมด เขาไม่ได้มาถึง อะหัง ภันเต สัพพหุลา นานาวัตถุกาโย บาลีเขาไม่เอา วัดท่าซุงเล่นภาษาไทย มาถึงก็ข้าแต่สงฆ์ทั้งหลายผู้เจริญ กระผมต้องอาบัติปาจิตตีย์ด้วยโกหกเขา เนื่องจากเขามายืมเงินแล้วบอกว่าไม่มี ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดรับทราบความชั่วหยาบที่ข้าพเจ้าได้ล่วงอาบัตินี้ไปด้วย ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะไม่พูด ไม่คิด ไม่ทำอย่างนี้อีก ขอสงฆ์ทั้งหลายโปรดรับทราบด้วยเถิด กี่วันพระ ก็จะต้องมีข้อนี้ แล้วหัวเราะกันทุกที
    คือหลวงพี่โอน่ะ นอกจากว่าท่านจะประเภทลูกเถ้าแก่โรงสีแล้วนะ ยังอยู่กับหลวงพ่อมานาน อาวุโสถือเป็นอันดับสองของวัดเลย หลวงพี่นันต์ อาวุโสอันดับสาม คราวนี้หลวงพี่โอนอกจากบ้านตัวเองรวยแล้ว ญาติโยมยังเห็นหน้าอยู่ทุกบ่อย ถึงเวลานิมนต์เขาจะบอก สมัยก่อนหลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงตาผ่อง หลวงตานา หลวงพี่ทีป เขาจะท่องมาเลย คุณจะนิมนต์ใครบ้างล่ะ ? คราวนี้ท่านก็จะสตางค์เยอะ หลวงพี่โอพอสตางค์เยอะนี่จะรวมไปเรื่อยครบหมื่นเมื่อไหร่ฝากประจำ ๓ เดือน ครบหมื่นเมื่อไหร่ฝากประจำ ๓ เดือน คนก็ว่าหลวงพี่โอรวย ถึงเวลายืมสตางค์ พี่ก็บอกไม่มีโว้ย แล้วก็ไปปลงอาบัติ ความจริงไม่มีน่ะ หลวงพ่อสอนไว้แล้ว บอกว่าไม่มีน่ะ ให้เข้าใจว่าเราไม่มีให้เขายืม แต่ที่เราจะใช้น่ะเรามี แต่ว่าอย่างว่านั่นแหละ ถ้าพี่เขาใจละเอียด เขาก็ประเภทติดใจ กูโกหกเขาแล้วนี่หว่า ก็ไปปลงอาบัติมันซะได้ทุกวันพระเหมือนกัน
    คราวนี้ที่หลวงพี่โอท่านเอาไปฝากในลักษณะอย่างนั้น พอถึงเวลา ๑ ปี หลวงพี่โอจะสร้างพระประธานถวายวัดใดวัดหนึ่งให้เป็นประธานในโบสถ์ ๑ องค์ คราวนี้เข้าใจหรือยังว่า หลวงพี่โอเขาฝากเงินไว้ทำไม ? แล้วหลวงพี่โอถ้าหากว่าสั่งทำช่างเขาจะลดให้พิเศษจ้ะ ซี้กันอยู่ นึก ๆ แล้วก็ขำดี เพราะฉะนั้นของเราถึงเวลาปฏิเสธบ้าง ก็ขนาดปฏิเสธแบบที่ว่ามีใช้เองแต่ไม่มีให้เขาน่ะ หลวงพ่อยังสอนมาแล้ว ปฏิเสธเพราะไม่มีจริง ๆ มันก็ต้องปฏิเสธได้สิเอามั่งมั้ย ? ถึงเวลา ข้าแต่สงฆ์ทั้งหลายผู้เจริญ พวกพระน้อง ๆ ก็หัวเราะกันแล้วล่ะ แหง ๆ เลยข้อเดิม และโยมก็เหลือเกินนะ มันตั้งท่าจะยืมเงินพระ
    อาตมาเองเฝ้าหน้าห้องให้หลวงพ่อ เขาโทรมาใช้มั้ย พระคุณท่านเจ้าขา ขออนุญาติกู้เงินหลวงพ่อสักสามแสนได้มั้ยเจ้าคะ ? บอกโยมพระที่ไหนเขาให้กู้เงินได้เล่า มีแต่ว่าถ้าหากว่าโยมจะถวายก็เอามา เขาบอกว่าวัดนั้นวัดนี้เขาให้กู้ ดอกเท่านั้นดอกเท่านี้ บอกเวรเลยกู มีจริง ๆ โว้ย ก็บอกเขาบอกโยมจ๋าถ้าเขาให้กู้ก็กู้ที่นั่นแหละจ้ะ ที่นี่ไม่มีให้กู้หรอก ไม่รู้จะว่าอย่างไง มันมีจริง ๆ ด้วย ประเภทที่เอาไปปล่อยดอก เอาไปให้กู้ เอาไปซื้อที่ซื้อไร่กันน่ะ
    ทองผาภูมิ ตอนนี้เจ้าอาวาสโดนเด้งไป ๒ องค์เพราะเอาเงินสงฆ์ไปซื้อที่ไว้ ซื้อที่ไว้ไม่ซื้อเปล่าไปลงมะนาวไว้อีกต่างหาก ถึงเวลาก็ไปรดน้ำมะนาว คนเห็นแล้วมันทุเรศลูกตา ก็เลยฟ้องร้องขึ้นมา เจ้าคณะรับผิดชอบตามสายงานก็ต้องไปพิจารณาดูว่ามันจริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า บางทีก็เป็นการใส่ความไป ปรากฏว่าไปถึง ไม่ต้องพิจารณาเลย พระคุณท่านกำลังรดน้ำอยู่พอดีก็เลยต้องให้เขาพ้นจากตำแหน่งไป หาคนมาเป็นแทนโอ้ย ......เบื่อเหลือเกิน คือเขาไม่รู้ว่าโทษมันเกิดจากเอาของสงฆ์ไปใช้น่ะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าเขารู้ เขาคงไม่กล้าทำอย่างนั้น บางทีเขาไม่รู้เขาก็ทำไปรื่นเริงบันเทิงใจ กูรวยแล้วแน่ ๆ เลย มีที่ตั้งหลาย ๑๐ ไร่ ตายเมื่อไหร่แล้วรู้........!
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD align=right><TD width=15 background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=15 height=11>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...