ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ฝนตกหนักที่ทิเบต น้ำเซาะตลิ่งทำให้ตึกและรถบรรทุกพังและตกลงไปในแม่น้ำ (10 ก.ค.60)
    ----------------

    .
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ยุทธการปลาหมึกยักษ์ (6) : ฤามาเลเซียจะรับบทตุรกี สร้างไอซิสในอาเชี่ยน 10 ก.ค. 2017

    Untitled-1-696x348.jpg
    มาเลเซีย เตรียมมอบที่ดิน 16 เฮกตาร์ สร้างศูนย์สันติภาพนานาชาติ “คิงซัลมาน” อ้างปราบปรามการก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวว่า จะมีการสร้างศูนย์สันติภาพนานาชาติ “คิงซัลมาน” บนเนื้อที่ 16 เฮกตาร์ ในปุตราจายา ใจกลางของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ศูนย์สันติภาพนานาชาติ “คิงซัลมาน” ได้เปิดทำการอย่างเป็นทางการในสำนักงานชั่วคราวกรุงกัวลาลัมเปอร์ และมาถึงวันนี้ ทางการมาเลเซียเตรียมมอบที่ดินบนเนื้อที่ 16 เฮกตาร์เพื่อสร้างศูนย์สันติภาพ “คิงซัลมาน” ถาวร

    The Star newspaper มาเลเซีย รายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้กล่าวว่า หลังจากที่ได้เจรจากับคณะที่ปรึกษาของ ซัลมาน อับดุลลาซีส กษัตริย์แห่งซาอุดิอาระเบีย และเจ้าชาย โมฮัมเหม็ดบินซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับสถานที่ก่อสร้างศูนย์สันติภาพอย่างเป็นทางการในปุตราจายา

    เขากล่าวว่า การก่อสร้างศูนย์นานาชาติเพื่อสันติภาพ “คิงซัลมาน” ใน ‘ปุตราจายา’ และการจะมาเยือนของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบียเพื่อจัดตั้งศูนย์แห่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้

    นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวในที่ประชุมซึ่งมีบุคคลระดับสูงของประเทศหลายคนและประชาชนประมาณ 5,000 คนได้เข้าร่วม ว่า คิงซัลมานสามารถที่จะเลือกประเทศอื่น ๆ ในการสร้างศูนย์เพื่อสันติภาพแห่งนี้ แต่ทว่าผู้ปกครองสองมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ได้เลือกและไว้วางใจมาเลเซีย

    ซาอุดีอาระเบียและมาเลเซียได้บรรลุข้อตกลงเมื่อช่วยปลายปีที่ผ่านมาในกัวลาลัมเปอร์ ด้วยการจัดตั้งศูนย์เพื่อสันติภาพชั่วคราวเป็นระยะเวลา 90 วัน โดยมุ่งเน้นต่อต้านการก่อการร้ายในภูมิภาค

    NajibSalman-BERNAMA-220517.jpg

    ศูนย์สันติภาพแห่งก่อตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือของสถาบันสงครามเย็น กระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย กรมป้องกันและความมั่นคงของกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย มหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติมาเลเซีย และสหภาพมุสลิมนานาชาติ

    รัฐบาลมาเลเซียได้ให้คำมั่นสัญญาในช่วงสองปีข้างหน้า จะเริ่มสร้างศูนย์ใหม่แห่งนี้ อันเป็นผลิตผลความคิดของคิงซัลมาน ภายใต้คำกล่าวอ้างเพื่อเผชิญหน้ากับความคิดหัวรุนแรง กิจกรรมการก่อการร้ายและส่งเสริมสันติภาพโลก

    ในขณะที่รัฐบาลวะฮาบีซาอุดิอาระเบียเป็นผู้ส่งเสริมความคิดหัวรุนแรง และผู้สนับสนุนการก่อการร้ายในโลกซึ่งหลายประเทศทั่วโลกก็ยืนยันในข้อเท็จจริงอันนี้

    “เฮนรี แจ็กสัน” ได้เขียนรายงานชิ้นหนึ่ง เมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่แล้วว่า ซาอุดิอาระเบียเป็นสปอนเซอร์หลักในการสนับสนุนทางการเงินให้กับพวกคลั่งไคล้ในสหราชอาณาจักร และในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้ลงทุนด้วยเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์สำหรับการส่งออกความคิดวะฮาบีสู่โลกอิสลาม รวมทั้งชุมชนชาวมุสลิมในตะวันตก

    ในขณะที่ประเทศมาเลเซียให้การสนับสนุนศูนย์กลาง (ที่เรียกว่า) ศูนย์สันติภาพนานาชาติคิงซัลมาน และทำการโฆษณาในเรื่องนี้อย่างเต็มที Denis Ignatius นักการทูตอาวุโสชาวมาเลเซียที่ปลดเกษียณ ได้ทำการทบทวนประวัติศาสตร์ภัยคุกคามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเขียนว่า ในปัจจุบัน ลัทธิวะฮาบี คือภัยคุกคามหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    เขาเคยเป็นอดีตนักการทูตมาเลเซียในกรุงวอชิงตัน กรุงปักกิ่งและกรุงลอนดอน เช่นเดียวกับเคยเป็นทูตของมาเลเซียในชิลีและอาร์เจนตินา ซึ่งถือว่าวะฮาบีคือปัจจัยเดียวที่ก่อให้เกิดความคลั่งไคล้

    เขาเขียนเสริมว่า เห็นได้ชัดว่า การเติบโตในรูปแบบของความคลั่งไคล้นี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ และไม่ได้มีรากเหง้ามาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่อย่างใด ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงจำนวนมากเชื่อว่าซาอุดิอาระเบียเป็นผู้ส่งออกลัทธิวะฮาบีไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    บทพื้นฐานจากบทความของอดีตนักการทูตมาเลเซียท่านนี้ ซาอุดีอาระเบียในทศวรรษที่ผ่านมาได้ใช้เงินมากกว่าหนึ่งแสนล้าน ดอลลาร์ ในการส่งออกความคิดวะฮาบีไปยังทั่วทุกมุมโลก สร้างมัสยิด มหาวิทยาลัย โรงเรียน และศูนย์ชุมชนนับพันแห่ง และการจัดงานสัมมนาต่างๆ นอกจากนั้นยังส่งบรรดานักเทศน์ นักเทศนาธรรม ครูและนักกิจกรรมที่ผ่านการฝึกอบรมนับพันคน พร้อมกับตำราหนังสือและแนวคิดวะฮาบีแพร่กระจายไปยังจุดต่างๆของโลก

    นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียกล่าวถึงการดำเนินการของศูนย์เพื่อสันติภาพนานาชาติ (คิงซัลมาน) ในประเทศ และการได้รับการชื่นชมจากประเทศอื่นๆ เช่นซาอุดีอาระเบียในการทำหน้าที่ของมาเลเซียนั้น ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งแห่งความสำเร็จของประเทศ

    นายิบกล่าวว่า ดังนั้นหากฝ่ายตรงข้าม(ฝ่ายค้าน)กล่าวว่ามาเลเซียมีรัฐบาลที่ล้มเหลว มันไม่เป็นความจริง เนื่องจากว่าในความเป็นจริงแล้วเรามีสถานะภาพที่ดีและประสบความสำเร็จ แม้แต่ต่างประเทศก็ได้กล่าวชื่นชมเรา

    เขากล่าวว่าในอดีตที่ผ่านมาแม้กระทั่งผู้นำของเรา ไม่เคยมีใครได้รับการชื่นชมและยกย่องจาก (ซาอุดีอาระเบีย) เช่นนี้มาก่อน

    http://www.syedsulaiman.com/2432
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ยุทธการปลาหมึกยักษ์ (5) สมรภูมิในอาเชี่ยน
    9 ก.ค. 2017
    d45c8e6fc9113baccf39cb193e066efa-696x696.jpg
    เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกลายเป็นเป้าหมายใหม่ในการสร้างฐานแห่งใหม่ของไอซิสในภูมิภาค

    ศูนย์การวิจัยทางการเมืองของการก่อการร้ายและความรุนแรงในสิงคโปร์รายงานว่า อย่างน้อย 60 กลุ่มที่หลากหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ออกมาแสดงตนว่าเป็นพันธมิตรของไอซิสและมีความจงรักภักดีกับอาบูบักร์ อัลบักดาดีย์ หัวหน้าไอซิส

    ด้วยเหตุนี้การเคลื่อนไหวที่เพิ่มขึ้นของไอซิสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มันจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวและเป็นอันตรายอย่างมาก ประกอบกับพื้นที่นี้มีองค์ประกอบที่มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติและศาสนา

    การเคลื่อนไหวของไอซิสนอกจากที่จะก่อให้เกิดความไม่มั่นคงและความไม่สงบแล้ว มันจะลกลามก่อให้เกิดสงครามและความรุนแรงภายใน ระหว่างชาวมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมตามมาอย่างแน่นอน

    ในขณะเดียวกันสิ่งหนึ่งที่ต้องสังเกตในการพัฒนาการเคลื่อนไหวของไอซิสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ ระยะทาง ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคือไม่มีการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์กับพื้นที่ ที่เกิดวิกฤตในซีเรียและอิรักซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไอซิสกำลังทำการสู้รบอยู่ในขณะนี้แต่อย่างใด บางประเทศในตะวันตกและซาอุดีอาระเบีย พยายามอ้างว่า การก่อตัวของไอซิสนั้นมันเชื่อมโยงกับสถานการณ์และเหตุการณ์ภายในอิรักและซีเรีย และมีความพยายามที่จะขยายภัยคุกคามไอซิสนี้ให้เข้าสู่วงกว้าง เพื่อบรรลุเป้าหมายหมายของตน อาศัยจังหวะสถานการณ์ภายในในอิรักและซีเรียเพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนรัฐบาลในดามัสกัส

    แต่ตอนนี้การแพร่ขยายและการเติบโตของไอซิสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แสดงให้เห็นว่า การก่อตัวของไอซิสที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มันนอกเหนือจากปัจจัยของสถานการณ์ภายในอิรักและซีเรีย เพราะการก่อตัวของไอซิสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    ในเวลาเดียวกันกับการแพร่ขยายและให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมายจากซาอุดิอาระเบียที่ได้ให้กับสถาบันการศึกษาศาสนาอิสลาม

    ในระหว่างการเยือนล่าสุดของกษัตริย์ซัลมานแห่งซาอุดิอาระเบียไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กษัตริย์ซาอุดิอาระเบียได้มอบเงินจำนวน 250,000 ดอลลาร์ให้กับมุฟตีย์มาเลเซียในนามสถาบันศาสนามาเลเซีย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของซาอุดีอาระเบียในการสนับสนุนกิจกรรมหลักและสถาบันศาสนานั้นถือเป็นการปักเสาหลักแห่งความสัมพันธ์ทวิภาคีกัวลาลัมเปอร์ – ริยาด ซึ่งการช่วยเหลือดังกล่าวรวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินให้กับ จากิม (องค์กรสวัสดิการมุสลิมมาเลเซีย) และเช่นเดียวกับแหล่งทุนทางการเงินดังกล่าว สำหรับการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติมาเลเซีย (IIUM) ที่ได้ตั้งเป้าไว้เมื่อปี 1983

    อินโดนีเซียก็เช่นกัน ได้รับเงินสนับสนุนจำนวนมหาศาลจากซาอุดิอาระเบียในนามสถาบันอิสลาม ซาอุดิอาระเบียได้ทุ่มเงินสร้างมัสยิดกว่า 150 แห่ง สร้างมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ ให้เรียนฟรีในกรุงจาการ์ตาและอีกหลายสถาบันสอนภาษาอาหรับที่จัดตั้งขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย มีการส่งนักเผยแพร่ศาสนาไปยังประเทศอินโดนีเซียและให้ทุนการศึกษาฟรีกับนักศึกษาเพื่อไปศึกษาต่อในระดับสูงในประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นจำนวนมาก

    ในสภาวะเงื่อนไขที่สองประเทศอิสลามหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ได้รับการช่วยเหลือทางการเงินในนามสถาบันอิสลามจำนวนมหาศาลจากซาอุดิอาระเบีย ดั้งนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่เราได้เห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันนี้ ที่ได้แพร่ขยายในภูมิภาค
    ซึ่งมันสอดคล้องกับรายงานล่าสุด ที่ พันเอก Ruff Peters อดีตนายทหารชาวอเมริกา กล่าวว่า ไอซิสมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเงินสนับสนุนจากซาอุดิอาระเบีย

    หนังสือพิมพ์ นิวสเตรทไทมส์ มาเลเซีย รายงานว่า มาเลเซียเป็นหนึ่งในเป้าหมายของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ที่จะนำกองกำลังของตนออกมาจากตะวันออกกลาง และเข้ามาพำนักอาศัยในรัฐต่างๆในมาเลเซีย
    ผู้เชี่ยวชาญในสถาบันการวิเคราะห์ความมั่นคง ล่าสุดได้ออกมาเตือนว่า มีความเป็นไปได้ว่า ในปี 2017 ไอซิสจะประกาศรัฐอิสลามกำมะลอของตนเองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ดังนั้นเมื่อซาอุดิอาระเบียผู้ให้การสนับสนุนไอซิสได้เข้ามามีอิทธิพลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในลักษณะเช่นนี้แล้ว โดยเฉพาะการแทรกซึมด้านวัฒนธรรมและศาสนาที่มากขึ้น ก็จะได้เห็นถึงการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของกลุ่มก่อการร้ายตักฟีรีในภูมิภาคอย่างแน่นอน ในสภาพเช่นนี้ ประชาชาติในภูมิภาคที่เคยใช้ชีวิตอย่างมีความสงบสันติมาอย่างช้านาน ก็จะต้องประสบกับเหตุการณ์ความไม่สงบอย่างแน่นอน หากประชาชนในภูมิภาคยังไม่ตระหนัก ยังไม่เข้าใจถึงภัยอันตราย และไม่มีการตื่นตัว ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะตื่นตัวเมื่อได้ยินเสียงระเบิดจากการโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย และเห็นศพที่ขาดเป็นชิ้นๆของบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขา ต่อหน้าพวกเขาเอง….

    http://www.syedsulaiman.com/2428

    ยุทธการปลาหมึกยักษ์ 4

    “http://www.syedsulaiman.com/2398

    http://www.syedsulaiman.com/2428
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ยุทธการปลาหมึกยักษ์ สร้างฐานที่มั่นใหม่ “ไอซิส(ISIS) 4” 29 มิ.ย. 2017

    18238521_252117311923656_2817671468070781059_o-696x560.jpg
    ไอซิส เจริญเติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ด้วยเงินของซาอุดีอาระเบีย”

    Screenshot_2017-06-29-15-05-26_1.jpg ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารสหรัฐ อเมริกาออกมาเตือน : กลุ่มก่อการร้ายไอซิสและกลุ่มหัวรุนแรงกำลังมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเงินสนับสนุนของซาอุดิอาระเบีย

    พันเอก ‘Ruff Peters’ อดีตนายทหารปลดเกษียนชาวอเมริกา ในการให้สัมภาษณ์กับทีวีฟ็อกซ์อเมริกา ว่า :ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเข็มขัดที่ล้อมรอบประเทศมุสลิมจากประเทศมาเลเซียถึงอินโดนีเซีย ซึ่งกลุ่มก่อการร้ายไอซิสกำลังส่งกองกำลังทหารของตนเข้าไปในพื้นที่และยังดึงดูดผู้คนในท้องถิ่นเข้าร่วมเป็นสมาชิก

    unnamed.jpg

    เขากล่าวเสริมว่า ประเทศเหล่านี้เช่นอินโดนีเซีย แม้ว่าแต่เดิมทีจะเป็นสังคมสายกลาง แต่มาวันนี้กลับเห็นการพัฒนาและการเจริญเติบโตของความคลั่งไคล้อย่างรวดเร็ว ด้วยเงินของซาอุดีอาระเบียและบางชาติอาหรับอ่าว (เปอร์เซีย ) ที่ได้หลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาล และบรรดาผู้ก่อการร้ายก็ได้ทยอยเข้าสู่พื้นที่เหล่านั้น

    ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารชาวอเมริกา ยังกล่าวเสริมอีกว่า การโจมตีของไอซิสในฟิลิปปินส์เมื่อเดือนที่ผ่านมา เป็นการเตือนภัยอย่างจริงจังว่า กลุ่มก่อการร้ายกำลังสร้างฐานที่มั่นและปักหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพยายามที่จะเปิดแนวรบใหม่ขึ้นมาในภูมิภาค

    นอกจากนี้เขายังคาดการณ์ว่า ไอซิสในอิรักและซีเรียจะต้องพ่ายแพ้และล่มสลายอย่างแน่นอนในเร็ว ๆนี้และการปฏิบัติการในอนาคตของกลุ่มนี้ในตะวันออกกลางก็จะถูกจำกัดในรูปแบบการโจมตีแบบกองโจร

    http://www.syedsulaiman.com/2398
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ยุทธการปลาหมึกยักษ์ สร้างฐานที่มั่นใหม่ “ไอซิส(ISIS) 3” 12 มิ.ย. 2017

    18238521_252117311923656_2817671468070781059_o-696x560.jpg
    “ยุทธการปลาหมึกยักษ์ 3”
    ยุทธการปลาหมึกยักษ์ได้รับการยืนยันจากสื่อตะวันตกแล้ว

    images-5.jpg
    ยูเอสเอ ทูเดย์ เผย : ไอซิสจะสร้างฐานทัพใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    ในขณะที่ไอซิส ยังคงปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องในประเทศฟิลิปปินส์ เราจำต้องกล่าวว่ากลุ่มก่อการร้ายนี้ได้วางโปรแกรมของพวกเขาโดยมีแผนในการปักหลักฐานของตนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มั่นคงและแข็งแกร่งมากขึ้น

    ยูเอสเอ ทูเดย์ รายงาน ในขณะที่ไอซิส ยังคงปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องในประเทศฟิลิปปินส์ เราจำต้องกล่าวว่ากลุ่มก่อการร้ายนี้ได้วางโปรแกรมระยะยาวโดยมีแผนในการปักหลักฐานของตนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มั่นคงและแข็งแกร่งมากขึ้น

    หนังสือพิมพ์ดังกล่าว เขียนเสริมว่า ฟิลิปปินส์ ในขณะนี้ได้กลายเป็นพื้นที่หลบภัยของไอซิสในภูมิภาคไปแล้ว และยังคงเติบโตและแพร่ขยายอย่างต่อเนื่องและมีการปะทะกันที่ทวีความรุ่นแรงขึ้นระหว่างไอซิสและทหารฟิลิปปินส์ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ ไอซิสมีแผนระยะยาวในภูมิภาคนี้

    หนังสือพิมพ์ ดังกล่าว เขียนเสริมว่า จะอย่างไรก็ตาม ด้วยความพ่ายแพ้ของไอซิสในอิรักและซีเรีย สร้างกังวลเกี่ยวกับแผนการก่อการร้ายของกลุ่มไอซิส ที่จะสร้างฐานใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
    http://www.syedsulaiman.com/2337
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ยุทธการปลาหมึกยักษ์ สร้างฐานที่มั่นใหม่ไอซิส(ISIS) 2 19 พ.ค. 2017

    isis-banderas-convoy-combatientes-e1495128205412-696x391.jpg
    “การรุกคืบของยุทธการปลาหมึกยักษ์”


    18238521_252117311923656_2817671468070781059_o.jpg

    สื่อมาเลย์รายงานเมื่อวันพุธที่ 17 พฤษภาคม ว่า ผู้ก่อการร้ายหลายสิบคนหรือบุคคลอันตรายที่ไม่สามารถเข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิสในประเทศซีเรีย ณ. ตอนนี้กำลังเดินบนท้องถนนในประเทศมาเลเซียอย่างเสรีในฐานะนักท่องเที่ยว

    New Straits Times รายงานว่า พวกเขาถูกจับกุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตุรกีในเส้นทางที่จะเข้าไปยังซีเรียและขณะนี้กำลังอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย

    เอกสารการเดินทางของพวกเขาระบุว่าพวกเขาเป็นนักท่องเที่ยว

    ตามรายงานเปิดเผยว่า ทางการตุรกีได้ยื่นข้อเสนอและแนะทางเลือกให้กับพวกเขา 30 คนดังกล่าวว่าจะกลับไปยังประเทศของตนหรือไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งพวกเขาทั้งหมดเลือกมาเลเซียเพราะมันเป็นประเทศมุสลิมและจากนั้นก็เดินทางเข้ามาในประเทศมาเลเซีย

    New Straits Times รายงานว่า บางประเทศที่คอยให้การสนับสนุนบุคคลอันตราย ซึ่งพวกเขาไม่ประสงค์จะใช้ชีวิตในประเทศของตน จึงจัดเตรียมเอกสารให้กับพวกเขาและจากนั้นใช้เอกสารดังกล่าวเดินทางไปประเทศมาเลเซียในฐานะนักท่องเที่ยว

    ด้วยเหตุนี้มาเลเซียจึงกลายเป็นประเทศที่คอยให้การต้อนรับแขกผู้ก่อการร้ายต่างประเทศโดยไม่รู้ตัว หลังจากที่พวกเขาถูกขวางไม่ให้เข้าไปในซีเรียเพื่อร่วมต่อสู้เคียงข้างกลุ่มก่อการร้ายไอซิส

    New Straits Times รายงานเสริมว่า บุคคลเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นบุคคลที่อันตรายมาก เพราะก่อนหน้านี้ที่สนามบินหลายประเทศได้ทำการจับกุมตัวประเภทบุคคลที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติมาแล้ว

    ถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของมาเลเซีย ได้มีการเฝ้าระวังบุคคลอันตรายเหล่านี้มีแล้วจำนวน 28 คน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากดูไบ สิงคโปร์และอินโดนีเซีย ที่จะเดินทางต่อไปยังตุรกี และก็ถูกจับกุมดำเนินการ

    แม้ว่าไม่มีการระบุสัญชาติบุคคลอันตรายทั้ง 30 คน ที่สวมรอยเป็นนักท่องเที่ยวในประเทศมาเลเซียก็ตาม แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่มากขึ้นของลัทธิวะฮาบีย์ในมาเลเซีย ทำให้แวดวงการเมืองและหน่วยงานรักษาความปลอดภัยได้แจ้งเตือนถึงอิทธิพลและการแทรกซึมของบุคคลดังกล่าวในประเทศ

    กลุ่มลัทธิวะฮาบีย์ ได้พยายามขยายสร้างโรงเรียนศาสนาและจุดเชื้อเพลิงแห่งความแตกแยกทางนิกายในประเทศมาเลเซียอย่างหนัก อีกทั้งกำลังพยายามที่จะให้ประเทศนี้เป็นฐานสำหรับปรากฏตัวของพวกเขา(สมุนก่อการร้าย)ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ถูกส่งเข้าไปในมาเลเซียในรูปแบบของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ใหม่ของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ที่พยายามที่จะย้ายกองกำลังทหารของพวกเขาไปยังมาเลเซีย

    บางแวดวงการเมืองในประเทศนี้เชื่อว่า รัฐบาลกัวลาลัมเปอร์ได้เปิดเวทีและสนามให้กับลัทธิวะฮาบีย์ตักฟีรีย์ และเอื้อสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆสำหรับกิจกรรมและการเคลื่อนไหวของพวกเขาในประเทศมาเลเซียมากเกินไป ทำให้เป็นการเปิดโอกาสให้กลายเป็นแหล่งชุมนุมของผู้ก่อการร้ายในประเทศ
    นั่นคือเหตุผลที่หน่วยงานระดับความมั่นคงในภูมิภาค ได้ออกมาเตือน กรณีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการก่อตัวและจัดตั้งรัฐปกครองที่ถูกรู้จักในนาม รัฐอิสลามกำมะลอโดยผู้ก่อการร้ายไอซิสในจุดหนึ่งจุดใดของมาเลเซียหรือฟิลิปปินส์

    นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าหน้าที่มาเลเซียจึงมีการเชื่อมโยงกรณีการปรากฏตัวที่มีตัวเลขน่าเป็นห่วงของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ในประเทศที่พวกเขาได้เบนเข็มขยายฐานใหม่ในภูมิภาคนี้หลังจากที่พ่ายแพ้และถูกโจมตีอย่างหนักในอิรักและซีเรีย

    ฮิชาม มุดดีน ฮุเซ็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย ประกาศเมื่อเร็ว ๆนี้ว่า สมาชิกชาติอาเซียน ได้ประกาศจุดยืนที่แข็งกร้าวในการดำเนินการกับไอซิส แต่ทว่าในการปฏิบัติการทางทหารในอิรักและซีเรียทำให้สะท้อนเหตุการณ์เช่นนี้ในภูมิภาคนี้

    ดังนั้นผู้ก่อการร้ายเหล่านี้จึงเดินทางมายังมาเลเซียเพื่อเปิดตัว จัดตั้งสาขา หรือเครือข่ายในเครือกลุ่มก่อการร้ายไอซิสขึ้นมา

    จเรตำรวจมาเลเซีย กล่าวว่า บรรดาผู้ให้การสนับสนุนไอซิสในประเทศนี้ ถูกขนานนามว่า “หมาป่าที่โดดเดี่ยว” ที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของมาเลเซีย

    ด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่รัฐบาลมาเลเซียจึงขอความร่วมมือจากหน่วยสืบราชการลับกับประเทศในภูมิภาครวมทั้งฟิลิปปินส์ เพราะได้ตระหนักแล้วว่าหลังจากนี้ มาเลเซียอาจจะเป็นฐานหรือแหล่งชุมนุมและรวมพลของบรรดากลุ่มก่อการร้ายไอซิสในภูมิภาค

    อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคบางคนแนะว่า รัฐบาลมาเลเซีย ก่อนที่จะจัดการกับพวกหัวรุนแรงและผู้ก่อการร้ายในประเทศ ลำดับแรกและขั้นตอนแรกที่ต้องเผชิญหน้าและกำจัดคือ ขุดรากถอนโค่นรากเหง้าอุดมการณ์แห่งความคลั่งไคล้และการก่อการร้ายนั้นคือลัทธิวะฮาบีเสียก่อน เพื่อที่มาเลเซียจะต้องไม่กลายเป็นรังของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส….

    http://www.syedsulaiman.com/2253
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ยุทธการปลาหมึกยักษ์ สร้างฐานที่มั่นใหม่ไอซิส(ISIS) 4 พ.ค. 2017

    isil-advances-baghdad-696x391.jpg

    “ยุทธการปลาหมึกยักษ์เริ่มขึ้นแล้วในอาเซี่ยน”

    รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย เตือน : ภาคใต้ฟิลิปปินส์ (ทะเลซูลู)จะเป็นฐานใหม่ของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส หลังจากพ่ายแพ้ในตะวันออกกลาง

    สำนักข่าว IRNA – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย ออกมาเตือนภัย กรณีที่กลุ่มก่อการร้ายไอซิสที่หลงเหลืออยู่มุ่งเป้ามายัง “ชายฝังทะเลซูลู” เพื่อสร้างฐานใหม่สำหรับพวกเขาในภูมิภาคหลังจากที่พ่ายแพ้ในอิรักและซีเรีย
    ‘ฮิชาม มุดดิน ฮุสเซน’ รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซียกล่าวในวันศุกร์ที่28 เมษายนที่ผ่านมาว่า มีแนวโน้มว่าผู้ก่อการร้ายได้มุ่งเป้ามายังชายฝังทะเลซูลูเพื่อสร้างเป็นฐานใหม่ของพวกเขา

    กลุ่มก่อการร้ายอาบู Sayyaf เป็นหนึ่งในพันธมิตรของ ISIS ซึ่งขณะนี้กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในภาคใต้ของฟิลิปปินส์และทะเลซูลูและนอกเหนือจากมีการปล้นและลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่แล้ว ยังเป็นภัยคุกคามด้านความปลอดภัยทางการค้าทางทะเลในภูมิภาคอีกด้วย

    ปัจจุบัน กลุ่มก่อการร้าย Abu Sayyaf มีการเคลื่อนไหวในภาคใต้ของฟิลิปปินส์และรับผิดชอบในการฝึกทักษะให้กับกลุ่มสมาชิก ISIL Takfiri

    อีกด้านหนึ่งรัฐซาบาห์มาเลเซียติดกับภาคใต้ของฟิลิปปินส์ที่มีกลุ่มก่อการร้ายอาบู Sayyaf พันธมิตรของ ISIS ที่มีการเคลื่อนไหวและปฏิบัติการก่อการร้ายและลักพาตัว เป็นที่รับรู้กันว่าหลังจากไอซิสพ่ายแพ้อย่างหนักในอิรักและซีเรีย “รัฐซาบาห์” จึงกลายเป็นจุดและสถานที่เคลื่อนย้ายบรรดาสมาชิกและผู้สนับสนุนไอซิสไปยังภาคใต้ของฟิลิปปินส์
    กลุ่มก่อการร้าย’อาบู Sayyaf’ ในตะวันตกมินดาเนาและ ‘มายอต’ ใจกลางของเกาะทางภาคใต้ฟิลิปปินส์ เป็นกลุ่มก่อการร้ายท้องถิ่นที่ถูกรู้จักในฟิลิปปินส์ว่ามีการดึงดูดผู้ก่อการร้ายต่างชาติเข้ามาร่วม อีกทั้งไอซิสก็ยังออกมาเรียกร้องให้บรรดากลุ่มสุดโต่งและกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆในภูมิภาคเข้าร่วมสมทบกับกลุ่มอบูซายาฟในภาคใต้ของฟิลิปปินส์
    รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซียกล่าวว่าเมื่อพิจารณาจากสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีแนวโน้มที่ “ทะเลซูลู” จะเป็นฐานใหม่ของไอซิสหลังจากที่พวกเขาพ่ายแพ้ในอิรักและซีเรีย

    ทะเลซูลูตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฟิลิปปินส์ มีเกาะปาลาวันที่แยกออกจากทะเลจีนใต้
    ก่อนหน้านี้ ‘ฮิชาม มุดดิน ฮุสเซน’ ได้ออกย้ำเตือนแล้วว่าทะเลซูลูในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นกลุ่มก่อการร้ายอาบู Sayyaf ทำการปล้นทางทะเล ซึ่งเราไม่ควรให้พื้นที่นี้กลายเป็น ‘โซมาเลียใหม่’ เป็นอันขาด

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซียได้กล่าวในการเยือนรัฐซาบาห์โดยย้ำถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในภาคตะวันออกของรัฐซาบาห์ (Askam)

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซียยังกล่าวว่า การรักษาความปลอดภัยในเขตพื้นที่กว้างเช่นนี้ รวมทั้ง ภาคตะวันออกของรัฐซาบาห์ ซูลูและทะเลสาลีบิสในฟิลิปปินส์นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ดังนั้นความร่วมมือกันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่ง

    http://www.syedsulaiman.com/2169
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    6gc9a8aaejjaa58kegcga.jpg
    ด.ญ.ไร้สัญชาติสระแก้วหลั่งน้ำตา..ปกป้องครู ยอมให้รื้อไม่เอาบ้านบริจาค ..!!
    สระแก้ว - เด็กหญิงไร้สัญชาติสระแก้วหลั่งน้ำตา..ปกป้องครู ยอมให้รื้อบ้านไม่เอาบ้านหลังที่ทหารสร้างให้แล้ว หลังถูกกีดกันกลั่นแกล้ังอย่างหนัก ชาวบ้านพร้อมรวมตัวไปชี้แจงทุกหน่วยงานเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

    10 ก.ค.60 กรณีปัญหา ชีวิตรันทด เด็กหญิงไร้สัญชาติ วัย 11 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนบ้านเขาจาน ต.ท่าเกวียน อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว เด็กยากไร้ที่ต้องอาศัยอยู่ในกระท่อมเก่า ๆ กับพ่อบุญธรรมวัย 84 ปี มาตั้งแต่เกิด ไม่สามารถเข้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่ได้รับบริจาค หลังครูประจำชั้นนำเรื่องราวไปเผยแพร่ทางโซเซียลมีเดีย จนผู้มีจิตศรัทธาเข้ามาช่วยเหลือในการติดตามพ่อที่แท้จริงและตรวจดีเอ็นเอ เพื่อขอทำบัตรประชาชนไทยให้ และมีทหารอาสาเข้าช่วยก่อสร้างบ้านจนเสร็จเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่ขอบ้านเลขที่ไม่ได้ ทำให้ไม่สามารถขอไฟฟ้าเข้าบ้านได้ในปัจจุบัน ส่วนครูก็ถูกกดดัน ข่มขู่และร้องเรียนต้นสังกัด เพื่อให้มีการลงโทษครูหรือย้ายออกนอกพื้นที่ หลังโพสต์ต่อว่าหน่วยงานท้องถิ่น



    bab79be67jadb66jk8b68.jpg


    ล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่้บ้านท่าช้าง ม.4 ต.ท่าเกวียน เพื่อพบกับเด็กหญิงรายนี้และเพื่อนบ้านเกือบ 30 คน พบว่า บริเวณพื้นที่ลานโล่งเนื้อที่ประมาณ 70 ตารางวา มีการก่อสร้างบ้านขนาด 1 ห้้องนอน มีห้องน้ำในตัวและห้องโถง ทาสีเหลือง เดินสายไฟมาที่เสาไฟฟ้าไว้พร้อม แต่ไม่สามารถต่อไฟเข้าบ้านได้ เนื่องจากบ้านไม่มีเลขที่ ส่วนบริเวณใกล้กันมีกระท่อมขนาดเล็ก มุงด้วยสังกะสี ปลูกบนพื้นดินมีแคร่และพื้นยกโสูงประมาณ 1 เมตรจากพื้นดิน มีเพียงเครื่องนอน เสื้อผ้ารวมอยู่ด้วยกัน มีนายวงศ์ วังจันทึก วัย 84 ปี นั่งอยู่บนแคร่ ใกล้กันพบ ด.ญ.ปวีณ์นุช เต้า
    ทอง นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยอากาศเศร้า
    aiab6bfgggge7kacka7ia.jpg
    eebiabjhbdbebagcfi7g5.jpg
    ด.ญ.ปวีณ์นุช เปิดใจทั้งน้ำตา กับปัญหาที่เกิดขึ้นว่า "ถ้าต้องมีการย้ายครูแน๊ตเพราะปัญหานี้ ก็เอาบ้านคืนดีกว่า บ้านหลังเก่าหนูก็อยู่ได้ หนูต้องการครูหนูให้ครูอยู่ดีกว่า ไม่อยากเสียครูไป พร้อมที่จะเสียบ้าน ถ้าต้องมาโดนรังแก" หลังจากนั้นก็เธอก็ปาดน้ำตา พร้อมร้องให้เสียงดัง
    ทั้งนี้ ชาวบ้านในหมู่บ้านกว่า 30 คน ได้มารวมตัวกันที่บ้านหลังดังกล่าว ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เด็กและครูถูกรังแก หากจำเป็นที่จะต้องลุกขึ้นมาช่วยกันอธิบาย ช่วยกันบอก ช่วยกันเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทุกคนก็ยินดี เพราะเห็นเด็กคนนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก หากการสร้างบ้านให้เด็กยากจนมีปัญหามากนัก ก็คงเลือกให้ครูอยู่เพื่อสอนเด็ก ๆ และลูกหลานของพวกเขาต่อไปดีกว่า พร้อมร่วมกันตะโกนว่า "ไม่เอาบ้าน เราเอาครูไว้"



    ขณะที่ นางจิระนันท์ พรมหมสุวรรณ อายุ 43 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.4 กล่าวว่า รู้สึกเสียใจ หากจะมีการใช้วิธีกดดันกลั่นแกล้งครูด้วยการพยายามที่จะโยกย้ายครูดี ๆ ไป ครูดีคนหนึ่งที่จะต้องมาถูกย้ายออกไป เพียงแค่พยายามที่จะปกป้องเด็ก หาบ้านให้เด็กได้อยู่ หลังเห็นว่าอยู่ในบ้านที่ไม่ปลอดภัย แล้วถูกกล่าวหาว่า ครูทุจริต ไม่ีหวังดีกับเด็ก หากเป็นไปถึงขั้นจะโยกย้ายครูออกจากพื้นที่ พวกเราทุกคนในหมู่บ้านก็ยินยอมที่จะปกป้องครู เพื่อไม่ให้ครูถูกย้ายไปจากพื้นที่ ถ้าบ้านหลังนี้มันไม่ดี หรือว่า มันไม่ถูกต้อง ก็ให้เขารื้อถอนออกไป แล้วเอาคุณครูไว้ในหมู่บ้านในโรงเรียนของเราจะดีกว่า

    นางจิระนันท์ บอกว่า ครูคนนี้ช่วยเด็ก ๆ ที่ยากไร้มาหลายคนแล้ว บ้านหลังนี้เป็นบ้านหลักที่ 3 ที่ครูช่วยและประสานให้มีการช่วยเหลือเด็กยากจน ครูไม่ได้รบกวนหรือก้าวก่ายหน้าที่ของใคร ทุกอย่างก็ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่ได้เรียกร้องค่าใช้จ่ายอะไร ไม่เคยมีการซิกแซกเอาผลประโยชน์จากเด็ก มีอะไรครูก็จะมาปรึกษากับชาวบ้าน การสร้างบ้านหลังนี้สร้างด้วยเงินประมาณ 120,000 บาท ไม่ได้เป็นอย่างที่เอาไปกล่าวหากัน อุปกรณ์ต่าง ๆ มีหน่วยงานบริจาคมา ซึ่งได้เก็บหลักฐานและเอกสารไว้ทั้งหมด ไม่ได้โกงหรือเข้ากระเป๋าใครใด ๆ ทั้งสิ้น

    ส่วน นายสมพงษ์ วังจันทึก อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 80 ม.4 ต.ท่าเกวียน เจ้าของที่ดิน ยืนยันว่า ได้ประสงค์มอบที่ดินส่วนที่เป็นเศษ 73 ตารางวา ให้มีการสร้างบ้านให้เด็กคนนี้โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ และได้ทำเป็นสัญญาไว้แล้ว ซึ่งตอนสร้างบ้าน เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้บริหารขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นได้ลงมาที่บ้าน ขณะที่ทหารกำลังก่อสร้างอยู่พอดี และโวยวาย หลังจากนั้นตนเองก็ไปยื่นเรื่องขอก่อสร้างเลย กับลูกชายในวันที่ 7-8 มิ.ย. เจ้าหน้าที่อ้างว่า นายช่างไม่อยู่ไปชลบุรี ไม่ได้เพิ่งมายื่นเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. มีการนัดไปวันที่ 30 มิ.ย. ,วันที่ 3 ก.ค.และวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่วนที่กล่าวหาว่า เอาเงินเด็ก 50,000 บาทไปไถ่ถอนที่ดินจาก ธกส.นั้น ไม่จริง ตนเองยังไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย เพิ่งไปจ่ายดอกเบี้ยมา 1000 บาทเมื่อต้นเดือนและจะชำระหนี้ด้วยตนเองไม่คิดจะทำเช่นนั้น

    5kja99icijj6b8jbkagbi.jpg

    อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวอีกรายงานว่า หลังจากกรณีนี้ถูกเผยแพร่เป็นข่าว และมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสื่อโซเชียลนั้น พบว่ามีโทรศัพท์ลึกลับโทรเข้าไปข่มขู่ครู จนทำให้ครูต้องหลบหนีไปอยู่บ้านเพื่อนที่เป็นทหาร บางวันครูและสามีก็ต้องหลบไปอยู่พื้นที่อื่นชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ภายหลังมีส่งข้อมูลดังกล่าวให้กับ พ.อ.ศราวุธ รบเมือง รองเสนาธิการ มณฑลทหารบกที่ 19 อ.อรัญประเทศ ซึ่งระบุว่า หากมีการข่มขู่ขอให้ดำเนินการแจ้งความได้ทันที โดยจะมีการส่งเจ้าหน้าที่กองร้อยรักษาความสงบพื้่นที่ อ.วัฒนานครเข้าไปดูแล ทั้งนี้ ยังระบุอีกว่า ในวันที่ 14 ก.ค.นี้ พล.ต.หทัยเทพ กีรติอังกูร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 19 จะเดินทางไปเป็นผู้มอบบ้านหลังนี้ ให้กับ ด.ญ.ปวีณ์นุช ด้วย
    http://www.komchadluek.net/news/regional/286861
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    “บิ๊กตู่” สั่ง ก.พ.ร.-ก.พ.ปรับเกณฑ์เลือกผู้ว่าฯ เป็น หน.กลุ่ม 18 จังหวัด”-มหาดไทยไม่ขัด ข้อเสนอ ก.พ.ร ยุบ 18 กลุ่มจังหวัด รองปลัดนั่งแทน โดย MGR Online [​IMG]10 กรกฎาคม 2560 12:16 น. (แก้ไขล่าสุด 10 กรกฎาคม 2560 13:29 น.)
    [​IMG]
    560000007264001.jpg
    [​IMG]
    “บิ๊กตู่” สั่ง “ก.พ.ร.-ก.พ.” ปรับหลักเกณฑ์คัดเลือก “ผู้ว่าฯ” เป็นหัวหน้ากลุ่ม 18 จังหวัด” สนองนโยบายรัฐ-ขับเคลื่อนงานบูรณาการ ด้าน “มหาดไทย” ไม่ขัดข้องข้อเสนอ ก.พ.ร. เสนอยุบ 18 กลุ่มจังหวัด เปลี่ยนเป็น 6 ภาค ให้รองปลัด มท.นั่ง” หัวหน้าภาค” แทน ส่วนทีมงานนโยบายนายกฯ เผยเลขาธิการ ก.พ.ร.เสนอแนวทางการติดตามประเมินผลในมิติ Function Agenda และ Area เหตุผู้ว่าฯ ยังบูรณาการทำงานไม่เต็มที่

    วันนี้ (10 ก.ค.) มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (บยศ.) ในคณะกรรมการบริหารราชแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง หรือ ป.ย.ป. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา เป็นประธาน นายวิษณุ เครืองาม และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธาน ได้รับทราบผลการขับเคลื่อนในประเด็น “ระบบกลไกการกำกับติดตามประเมินผลโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจในประเทศ (Locl Economy) ผ่านกลไกล 18 กลุ่มจังหวัด” โดยที่ประชุมในครั้งนั้นนายกรัฐมนตรีสั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และกระทรวงมหาดไทย พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้ากลุ่มจังหวัด เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนงานบูรณาการตามนโยบายรัฐบาล

    มีรายานว่า ล่าสุด ก.พ.ได้นัดประชุมหารือกับหน่วยงานข้างต้นแล้ว ขณะที่กระทรวงมหาดไทยโดยปลัดกระทรวงฯ ได้กำชับให้สำนักปลัด มท. ประสานกับสำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร.หารือในประเด็นที่ ก.พ.ร.เสนอแนวทางคิดที่จะยุบ 18 กลุ่มจังหวัด แล้วเปลี่ยนเป็น 6 ภาค โดยให้มีรองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นหัวหน้าภาคแทน เพื่อให้การบูรณาการเชิงพื้นที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    แหล่งข่าวจากสำนักงานบริหารสำนักงานนโยบายของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ได้รับข้อเสนอจากนายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ ก.พ.ร.ที่เสนอแนวทางการติดตามประเมินผลในมิติ Function Agenda และ Area ซึ่งในเชิงพื้นที่เป็นบทบาทของกระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัด แต่เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ว่าราชการจังหวัดยังบูรณาการทำงานไม่เต็มที่

    “ดังนั้น ในที่ประชุม บยศ.ที่นายกฯ เป็นประธาน จึงมอบหมายให้ ก.พ., ก.พ.ร. และมหาดไทย ไปพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัด เพื่อให้มีกลไกในการขับเคลื่อนงานบูรณาการตามนโยบายของรัฐบาลได้อย่างแท้จริงต่อไป”

    ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ในคราวประชุมคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติให้เป็นไปตามมติ ป.ย.ป.ของกระทรวงมหาดไทย ที่มีนายกฤษฎา บุญราช ปลัด มท.เป็นประธาน มีการแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง โดยมีมติว่าในประเด็นที่ ก.พ.ร.เสนอแนวคิดที่จะยุบ 18 กลุ่มจังหวัด แล้วเปลี่ยนไปเป็น 6 ภาค โดยให้รองปลัด มท.มาเป็นหัวหน้าภาคนั้น ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยไม่ขัดข้อง แต่ต้องมีการประสานงานกับทุกหน่วย เช่น กพ.อย่างละเอียดเพิ่มเติม

    มีรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านั้นสมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย ได้ทำหนังสือที่ ส.ป.ท. จ.39/49 ถึงนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการสรรหาที่กระทรวงมหาดไทยจะต้องรับผิดชอบเอง เพื่อดำเนินการปรับวิธีการสรรหาผู้ว่าราชการจังหวัด ให้เป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัด หลังจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เสนอแนวคิดปรับวิธีแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดรูปแบบใหม่วิธีพิเศษ คัดสรรมืออาชีพนั่งบริหาร ตั้งความหวังทำสำเร็จเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ โดยสรุปประเด็นหลักๆ คือ การปรับเปลี่ยนวิธีการจัดสรรงบใหม่เทเม็ดเงินลงกลุ่มจังหวัดแสนล้าน ให้บุคคลนั่งผู้ว่าฯเป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัดอายุ 50 ปีต้นๆ ต้องนั่งทำงานต่อเนื่อง 4-5 ปี มีวิธีการเฟ้นหาคนเป็นพ่อเมืองเปลี่ยนจากระบบเดิมที่กระทรวงมหาดไทยเป็นฝ่ายดำเนินการ แล้วทางรัฐบาลจัดหาผู้ว่าฯให้ที่มีคุณสมบัติหลักต้องเป็นนักบริหารมืออาชีพ

    โดยสมาคมนักปกครองฯ ขอให้กระทรวงมหาดไทยและกรมการปกครอง เป็นหน่วยงานหลักในการสรรหาและพัฒนาบุคลากรของกรมการปกครอง และของกระทรวงมหาดไทย เช่น ควรจัดให้มีการฝึกอบรมเพิ่มเติม (Retraining) หรือมีการให้ความรู้ชนิดที่เรียกว่า “ติวเข้ม” โดยใช้เวลาการฝึกอบรมไม่น้อยกว่า 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมขั้นพื้นฐาน การพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค (Region) และระดับท้องถิ่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจเข้าสู่ระดับ 4.0 ที่เป็นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆ (Innovation) ตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาได้เป็นหัวหน้ากลุ่มจังหวัดแล้ว ควรอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 ปี หรือมากกว่านั้น (เว้นแต่กรณีพิเศษฉุกเฉินที่จะต้องเปลี่ยนตัวบุคคลให้ถือเป็นกรณียกเว้นได้)

    มีรายงานว่า สำหรับโครงการพัฒนาภูมิภาค 18 กลุ่มจังหวัด และ 76 จังหวัด ที่กระทรวงมหาดไทย ได้รับการจัดสรรในปี 2560 ในงบฯสร้างความเข้มแข็งยั่งยืนให้เศรษฐกิจภายในประเทศ 1.7 แสนล้าน วงเงินรวม 10,924639,403 บาท โดย อนุมัติให้ 18 กลุ่มจังหวัด 127 โครงการ วงเงิน 3,460,757,220 บาท และอนุมัติให้ 76 จังหวัด 639 โครงการ วงเงิน 7,463,882,183 บาท โดยได้คัดเลือกโครงการที่มีพร้อม และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และมีการบูรณาการอย่างครบวงจรเป็นอันดับแรก

    โดยกระทรวงมหาดไทยตั้งเป้าว่า โครงการนี้ต้องการยกระดับทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม ท่องเที่ยว พัฒนาให้เข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดย กลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่ม ได้เสนอแผนงานให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน พิจารณาอนุมัติ โดยแต่ละกลุ่มจังหวัดได้งบฯไม่เท่ากัน วงเงินตั้งแต่กลุ่มละ 4.5-6 พันล้านบาท ระยะเวลาดำเนินโครงการให้เสร็จภายใน ก.ย. 2561 จะใช้ศักยภาพของพื้นที่ลักษณะ Local Economy ให้เศรษฐกิจเติบโตจากภายในประเทศ

    สำหรับกลุ่มจังหวัดและจังหวัด (18 กลุ่มจังหวัด) ประกอบด้วย ภาคเหนือตอนบน 1 ภาคเหนือตอนบน 2 ภาคเหนือตอนล่าง 1 ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน 1 ภาคกลางตอนบน 2 ภาคกลางตอนกลาง ภาคกลางตอนล่าง 1ภาคกลางตอนล่าง 2 ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ภาคใต้ฝั่งอันดามัน และภาคใต้ชายแดน

    ทังนี้ กลุ่มจังหวัดเป็นการจัดตั้งกลุ่มจังหวัดในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการบริหารงานแบบบูรณาการ โดยริเริ่มจัดตั้งโดยการกำหนดจังหวัดต้นแบบการบริหารงานแบบบูรณาการ (CEO) ในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย

    560000007264002.jpg
    [​IMG]


    [​IMG]
    https://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9600000070011
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Focus : “โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์” พบทนายรัสเซีย ผิดกฎหมายสหรัฐฯ หรือไม่? โดย MGR Online [​IMG]12 กรกฎาคม 2560 14:11 น. (แก้ไขล่าสุด 12 กรกฎาคม 2560 14:26 น.)
    [​IMG]
    560000007345201.jpg
    โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ บุตรชายคนโตของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
    [​IMG]
    เอเอฟพี - การนัดพบทนายชาวรัสเซียเพื่อขอข้อมูลทำลายคะแนนนิยมของสุภาพสตรีที่ยืนอยู่ระหว่างบิดาของเขากับบัลลังก์ทำเนียบขาว เท่ากับบุตรชายคนโตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ หรือไม่? นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วัย 39 ปี ผู้นี้จะโดนข้อหาเป็นกบฏต่อแผ่นดิน (treason) หรือเปล่า? ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับการพบปะระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์” กับทนายสาวชาวรัสเซีย “นาตาเลีย วาเซลนิตสกายา” เมื่อเดือน มิ.ย.ปี 2016

    ผิดกฎหมายข้อไหน?

    ประเด็นที่บุตรชายทรัมป์มีสิทธิ์ถูกเล่นงานมากที่สุดก็คือ อีเมลซึ่งเขานำมาเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ โดยเฉพาะข้อความที่ ทรัมป์ จูเนียร์ เขียนว่ารู้สึก “ยินดี” ที่จะฟังว่ารัสเซียมีข้อมูลอ่อนไหวอะไรบ้างเกี่ยวกับ ฮิลลารี คลินตัน

    “ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูด ผมก็ยินดี” ทรัมป์ จูเนียร์ ตอบกลับภายในไม่กี่นาที หลังได้รับอีเมลจากคนกลางว่าทนายชาวรัสเซียผู้นี้จะ “กล่าวโทษ” คลินตัน “ตามแผนของรัสเซียและรัฐบาลเครมลินที่จะช่วยสนับสนุนคุณทรัมป์”

    แบรนดอน แกร์เร็ตต์ อาจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ระบุว่า หลังจากเกิด “คดีวอเตอร์เกต” ในทศวรรษ 1970 กฎหมายรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ก็ห้ามมิให้ต่างชาติเข้ามาสนับสนุน หรือให้สัญญาว่าจะกระทำการลักษณะดังกล่าว ต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม

    กฎหมายสหรัฐฯ ยังห้ามการรับบริจาคเงิน “หรือสิ่งอื่นๆ ที่มีมูลค่า” ซึ่ง แกร์เร็ตต์ ชี้ว่าอาจจะหมายรวมถึง“ข้อมูล” ด้วยก็เป็นได้

    สิ่งที่น่ากังวลอีกอย่างหนึ่งสำหรับ ทรัมป์ จูเนียร์ ก็คือ กฎหมายต่อต้านการสมคบคิดที่มีลักษณะกวาดรวม (sweeping)

    “ไม่จำเป็นต้องมีการลงมือก่ออาชญากรรม แค่ความพยายามก็ถือว่าผิดแล้ว... คือมีสิทธิ์ที่จะต้องโทษฐานสมรู้ร่วมคิด” แกร์เร็ตต์ กล่าว พร้อมเตือนว่าการที่ ทรัมป์ จูเนียร์ เดินทางไปพบทนายรัสเซียเพื่อขอข้อมูลทำลาย คลินตัน ก็เท่ากับแสดง “เจตนา” ออกมาแล้ว

    อย่างไรก็ตาม แดเนียล โทคาจี ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายเลือกตั้งจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท เตือนว่า หากตีความว่าการให้ข้อมูลถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ “การบริจาคอุดหนุน” (contribution) อาจจะกระทบต่อหลักเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (free speech) และเท่ากับว่า “ทีมหาเสียงฝ่ายหนึ่งย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่ง”

    ซูซาน ไคล์น อาจารย์กฎหมายจากมหาวิทยาลัยเทกซัส และเป็นผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต ไม่เชื่อว่าบุตรชายทรัมป์จะถูกดำเนินคดีเพียงเพราะการคุยกับทนายรัสเซีย “เว้นเสียแต่ว่าเขาจะจ่ายเงินเพื่อให้ได้มันมา หรือมีการให้สิ่งตอบแทน” ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานว่ามีการทำเช่นนั้นเกิดขึ้น

    560000007345202.jpg
    [​IMG]
    ใครจะเป็นคนตัดสิน?

    โทคาจี ชี้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งส่วนกลาง (FEC) มีหน้าที่เอาผิดกับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง แต่เนื่องจากคณะกรรมการถูกแบ่งออกเป็น 3-3 ระหว่างพรรคเดโมแครตกับรีพับลิกัน โอกาสที่จะ FEC จะตัดสินใจเอาผิด ทรัมป์ จูเนียร์ จึงเป็นไปได้น้อย

    สำนักงานอัยการเขตแมนฮัตตันซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่มีการนัดพบเกิดขึ้นก็น่าจะขอเปิดคดีได้เช่นกัน แต่มีความเป็นไปได้มากกว่าที่ โรเบิร์ต มุลเลอร์ อัยการพิเศษซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างทีมงานทรัมป์กับรัสเซีย จะเป็นผู้พิจารณาว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายความผิดอาญาหรือไม่

    “มันน่าเป็นห่วงอย่างมาก เมื่อมีใครสักคนที่อาจทำงานรับใช้รัฐบาลต่างชาติเข้ามาสมคบคิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง (ในทีมหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี)” โทคาจี กล่าว พร้อมยืนยันว่าเรื่องนี้สมควรถูกตรวจสอบ ไม่ว่าจะมีการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม

    “กบฏต่อแผ่นดิน” หรือไม่?

    เมื่อวานนี้ (11) มีสมาชิกพรรคเดโมแครตบางคนออกมาใช้คำว่า “กบฏ” หรือ “treason” กับกรณีของ ทรัมป์ จูเนียร์ ทว่านักกฎหมายที่ให้ข้อมูลกับเอเอฟพียังไม่เชื่อว่า ความผิดของบุตรชายทรัมป์จะร้ายแรงถึงขั้นนั้น

    “แค่การติดต่อสื่อสารกับต่างชาติ แม้จะเป็นชาติศัตรูก็ตาม ในขณะที่สหรัฐฯ ไม่ได้มีสงครามกับใคร ย่อมไม่ถือเป็นความผิดถึงขั้นจารกรรม (espionage) หรือกบฏต่อแผ่นดิน (treason)” โจชัว เดรสเลอร์ อาจารย์กฎหมายจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท กล่าว

    “การจะกล่าวหาใครว่าเป็นกบฏ คุณต้องแสดงหลักฐานยืนยันว่าเขามีเจตนาทำลายชาติบ้านเมือง... ซึ่งในกรณีนี้จัดว่าเป็นข้อกล่าวหาที่แรงเกินไป”

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9600000070790
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    เวเนซูเอล่ากำลังจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ เกิดเหตุลอบวางระเบิดข้างถนนเพื่อโจมตีกองทัพฝ่ายรัฐบาลในกรุง Caracas เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตำรวจนายหนึ่งก็จี้เฮลิค็อปเตอร์ของตำรวจ (บางสำนักข่าวบอกว่าเป็นฮ.ของทหาร) บินขึ้นไปหย่อนระเบิดชนิดขว้างใส่ศาลอาญา หลังจากเปิดฉากยิงปืนใส่อาคารที่ทำการกระทรวงมหาดไทยจากเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าว โชคดีที่ระเบิดด้าน จึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ปธน. Nicolas Maduro กล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการก่อการร้าย (11 ก.ค.60)
    ----------------

    https://www.rt.com/news/394368-venezuela-hijacked-helicopter-terrorists/
    .
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ข่าวบันเทิง... From Russia with Love: ช็อปเปอร์ Mi-28 ของรัสเซียโจมตีพาหนะและกองบัญชาการของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสในเขตชนบททางตะวันออกของจังหวัด Hama ประเทศซีเรียเพื่อสนับสนุนการโจมตีภาคพื้นดินของหน่วยเหยี่ยวทะเลทราย (Desert Hawks) กองทัพฝ่ายรัฐบาลซีเรียที่เสริมกำลังพลและอาวุธหนักจำนวนมากเข้าไปในพื้นที่จังหวัด Hama เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (11 ก.ค.60)
    ----------

    https://www.almasdarnews.com/article/russian-chopper-wipes-isil-base-east-hama-video/
    .
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ขณะที่พระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน ทรงปรารภพระจักขุปาลเถระผู้ตาบอด ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 1 นี้

    ครั้งหนึ่งพระจักขุปาลเถระเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาที่วัดพระเชตวัน ในคืนหนึ่งขณะที่ท่านเดินจงกรมอยู่นั้น พระเถระก็ได้เหยียบแมลง(เม่า)ตายโดยไม่มีเจตนา ในตอนเช้าพวกพระภิกษุที่ไปเยี่ยมพระเถระพบแมลงที่ตายนั้นเข้า มีความคิดว่าพระเถระทำสัตว์ให้ตายโดยเจตนา จึงนำความขึ้นทูลพระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า เห็นพระเถระฆ่าแมงเหล่านั้นโดยเจตนาหรือไม่ เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าไม่เห็น ตรัสว่า “พวกเธอไม่เห็นจักขุปาลฆ่าสัตว์ฉันใด จักขุปาลก็ไม่เห็นแมลงเหล่านั้นฉันนั้น นอกจากนั้นแล้ว พระจักขุปาลนี้ก็เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงไม่มีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์และเป็นผู้บริสุทธิ์” เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า พระจักขุปาลเถระนี้เป็นถึงพระอรหันต์แต่เพราะเหตุใดจึงตาบอด พระศาสดาได้นำเรื่องในอดีตชาติของท่านมาตรัสเล่าว่า

    ในอดีตชาติพระจักขุปาลเป็นแพทย์ ครั้งหนึ่งไปรักษาตาให้แก่คนไข้หญิงคนหนึ่ง คนไข้หญิงคนนี้ได้ให้สัญญากับนายแพทย์ว่านางกับลูกๆจะยอมเป็นข้าทาสรับใช้หากว่าดวงตาที่บอดทั้งสองข้างของนางสามารถรักษาให้หายได้ แต่ต่อมานางกลัวว่านางพร้อมกับลูกๆจะต้องตกเป็นทาสของนายแพทย์จริงๆ จึงได้พูดโกหกนายแพทย์ไปว่าดวงตาทั้งสองข้างของนางมีอาการแย่ไปกว่าเดิมทั้งๆที่ได้รับการบำบัดหายขาดไปแล้ว ข้างนายแพทย์ก็รู้ว่าคนไข้ของเขาหลอกลวงจึงได้แก้เผ็ดด้วยการผสมสารพิษลงในยาหลอดยาให้คนไข้นางนั้นหยอด พอนางหยอดเข้าไปก็เลยทำให้ตาบอดสนิททั้งสองข้าง เพราะผลของอกุศลกรรมในครั้งนั้นทำให้นายแพทย์ต้องตาบอดหลายครั้งในภพชาติต่างๆ

    จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสความในพระคาถาที่ 1 นี้ว่า

    มโนปุพพงฺคมา ธมฺมา

    มโนเสฏฺฐา มโนมยา

    มนสา เจ ปทุฏเฐน

    ภาสติ วา กโรติ วา

    ตโต นํ ทุกฺขมนฺวติ

    จกฺกํ ว วหโต ปทํฯ

    ทุกสิ่งทุกอย่างมีใจเป็นผู้นำ มีใจเป็นใหญ่

    สำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าคนเรามีใจชั่วเสียแล้ว

    การพูด การกระทำก็พลอยชั่วไปด้วย

    เพราะการพูดชั่วกระทำชั่วนั้น

    ทุกข์ย่อมตามสนองเขา

    เหมือนล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าโค.

    เมื่อเทศนาจบลง ภิกษุ 30000 รูปได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา.

    http://palungjit.org/threads/เรื่อง...ะจักขุปาลเถระพระตาบอดผุ้สำเร็จอรหันต์.613905/

    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน มัฏฐกุณฑลี ผู้ศรัทธาพระพุทธเจ้า

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่พระเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภมัฏฐกุณฑลี ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 2 นี้

    มัฏฐกุณฑลีเป็นชายหนุ่ม มีบิดาชื่อ อทินนปุพพกะ ซึ่งเป็นเศรษฐีที่มีความตระหนี่ไม่เคยบริจาคทานให้แก่ผู้ใด แม้แต่เครื่องประดับสำหรับบุตรชายเขาก็ทำให้เอง เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย(ค่ากำเหน็จ)สำหรับช่างเงินช่างทอง เมื่อบุตรชายคนนี้ล้มเจ็บลง แทนที่ท่านเศรษฐีจะไปจ้างแพทย์มาทำการรักษาก็ใช้ยากลางบ้านมารักษาตามมีตามเกิด จนกระทั่งอาการของบุตรชายเข้าขั้นโคมา เมื่อรู้ว่าบุตรชายจะต้องตายแน่แล้ว เขาก็นำบุตรชายที่มีอาการร่อแร่ใกล้ตายนั้นออกไปนอนเสียนอกบ้าน เพื่อที่ว่าคนอื่นๆที่มาเยี่ยมลูกชายที่บ้านจะได้ไม่สามารถมองเห็นทรัพย์สมบัติของเขาได้

    ในเช้าวันนั้น พระศาสดาทรงใช้ข่ายคือพระญาณของพระองค์(ลักษณะคล้ายๆกับเรดาร์แต่มีสมรรถนะเหนือกว่ามาก)ทำการตรวจจับดูอัธยาศัยของคนที่จะได้เสด็จไปโปรด ก็ได้พบมัฏฐกุณฑลีนี้มาปรากฏอยู่ในข่าย ดังนั้นเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีจึงได้ไปประทับยืนอยู่ที่ใกล้ประตูบ้านของอทินนบุพกเศรษฐี พระศาสดาทรงฉายฉัพพรรณรังสีไปยังที่ที่มัฏฐกุณฑลีนอนหันหน้าเข้าหาตัวเรือน มัฏฐกุณฑลีได้หันกลับมามองดูพระศาสดา แต่ตอนนั้นอาการป่วยของเขาร่อแร่จนไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากน้อมใจทำการเคารพพระศาสดา เมื่อมัฏฐกุณฑลีสิ้นชีวิตด้วยจิตใจที่เลื่อมใสศรัทธาต่อพระศาสดา ก็ได้ไปเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

    เมื่อไปเกิดอยู่บนสวรรค์แล้ว มัฏฐกุณฑลีมองลงมาด้วยตาทิพย์เห็นบิดาเข้าไปรำพึงรำพันถึงเขาอยู่ในป่าช้า ก็ได้แปลงตัวมาเป็นชายชรามีรูปร่างเหมือนกับมัฏฐกุณฑลีไม่มีผิด ร่างแปลงนั้นได้บอกบิดาของเขาว่าเขาได้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว และได้พูดกระตุ้นบิดาให้ไปทูลนิมนต์พระศาสดามารับภัตตาหารที่บ้าน และที่บ้านของอทินนปุพพกเศรษฐีก็มีการตั้งคำถามขึ้นมาว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่บุคคลตายแล้วจะไปเกิดบนสวรรค์เพียงแค่ทำใจให้มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าเท่านั้น โดยไม่มีการถวายทาน และรักษาศีลแต่ประการใดทั้งสิ้น ดังนั้นพระศาสดาจึงทรงอธิษฐานจิตให้มัฏฐกุณฑลีมาปรากฏในร่างของเทวดา และมัฏฐกุณฑลีก็ได้มาปรากฏตัวในร่างของเทวดาพร้อมด้วยเครื่องประดับที่เป็นทิพย์ และได้บอกว่าตนได้ไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จริงๆ เมื่อมีหลักฐานพยานปรากฏเช่นนี้แล้ว คนที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นั้นก็เกิดความมั่นใจว่าบุตรชายของอทินนปุพพกเศรษฐีไปเกิดบนสวรรค์เพียงแค่ทำใจให้มีศรัทธาในพระศาสดาเท่านั้นเองได้จริงๆ

    ต่อแต่นั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทที่ 2 นี้ว่า

    มโนปุพพงฺคมา ธมฺมา
    มโนเสฏฺฐา มโนมยา
    มนสา เจ ปสนฺเนน
    ภาสติ วา กโรติ วา
    ตโต นํ สุขมนฺวติ
    ฉายา ว อนุปายินีฯ

    ทุกสิ่งทุกอย่างมีใจเป็นผู้นำ มีใจเป็นใหญ่
    สำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าคนเรามีใจบริสุทธิ์
    การพูด การกระทำก็พลอยบริสุทธิ์ไปด้วย
    เพราะการพูดและกระทำอันบริสุทธิ์นั้น
    ความสุขย่อมตามสนองเขา
    เหมือนเงาติดตามตน.

    เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ดวงตาเห็นธรรมได้มีแล้วแก่สัตว์จำนวน 84000 เทวบุตรชื่อมัฏฐกุณฑลีบรรลุโสดาปัตติผล พราหมณ์ชื่ออทินนกบุพพะก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเช่นกัน และพราหมณ์อทนินนกบุพพกะได้สละทรัพย์เป็นอันมากในพระพุทธศาสนา.

    http://palungjit.org/threads/มัฏฐกุณฑลี-ตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์-เพียงแค่มีใจศรัทธาพระพุทธเจ้า.613906/

    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน เรื่องพระติสสเถระเที่ยวสร้างความขัดแย้ง

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภพระติสสเถระ ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 3 และที่ 4 นี้

    พระติสสเถระ เป็นบุตรพระญาติข้างพระมารดาของพระศาสดา ครั้งหนึ่งได้มาอยู่กับพระศาสดา ติสสเถระอุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อตอนชราภาพแล้ว แต่ได้ทำตัวเหมือนกับว่าเป็นพระเถระและจะแสดงความดีใจเมื่อพระอาคันตุกะขออนุญาตทำกิจวัตรที่พระผู้น้อยสมควรทำแก่พระผู้ใหญ่กับท่าน ตรงกันข้ามท่านติสสเถระไม่ยอมทำกิจวัตรที่ตนในฐานะที่เป็นพระพรรษาน้อยจะต้องทำแก่พระผู้ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็ยังทะเลาเบาะแว้งกับพระภิกษุหนุ่มอยู่เป็นประจำ หากมีใครว่ากล่าวตักเตือนในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตนนี้ ท่านก็จะนำเรื่องไปฟ้องกับพระศาสดา แล้วแสร้งบีบน้ำตาห้องไห้แสดงความไม่พอใจและความผิดหวังออกมา พวกพระอื่นๆก็ได้ติดตามพระติสสเถระไปเฝ้าพระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสสอนพระภิกษุทั้งหลายไม่ให้สร้างความรู้สึกผูกใจเจ็บ เพราะเวรนี้ไม่สามารถระงับได้ด้วยการจองเวร

    จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 3 และที่ 4 นี้

    อกฺโกจฺฉิ มํ อวธิ มํ
    อชินิ มํ อหาสิ เม
    เย จ ตํ อุปนยฺหนฺติ
    เวรํ เตสํ น สัมมติฯ

    ชนเหล่าใด ผูกใจเจ็บว่า
    มันด่าเรา มันทุบตีเรา
    มันชนะเรา
    มันขโมยของเรา
    เวรของพวกเขา ไม่มีวันระงับได้.

    อกฺโกจฉิ มํ อวธิ มํ
    อชินิ มํ อหาสิ เม
    เย จ ตํ นูปนยฺหนฺติ
    เวรํ เตสูปสมฺมติฯ

    ชนเหล่าใด ไม่ผูกใจเจ็บว่า
    มันด่าเรา มันทุบตีเรา
    มันชนะเรา
    มันขโมยของเรา
    เวรของพวกเขา ย่อมมีวันระงับได้.

    เมื่อจบพระธรรมเทศนา ภิกษุ 100,000 รูปได้บรรลุพระโสดาปัตติผล พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แก่มหาชน แม้พระติสสเถระที่ว่ายากสอนยากก็ได้กลายเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่ายแล้ว.

    http://palungjit.org/threads/เรื่องเล่าพระธรรมบท-ตอน-เรื่องพระติสสเถระเที่ยวสร้างความขัดแย้ง.613970/

    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน เรื่องนางกาลียักษิณีผู้เฝ้าแต่จองเวร

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่พระเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภหญิงที่เป็นหมันผู้หนึ่งกับหญิงคู่แข่งของนาง ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 5 นี้

    ครั้งหนึ่งมีคฤหบดีผู้หนึ่งมีภรรยาเป็นหมัน ต่อมาเขาได้นำหญิงอีกคนหนึ่งมาเป็นภรรยา เหตุการณ์โกลาหลเกิดขึ้นเมื่อภรรยาคนอายุมากนำยาแท้งลูกมาให้ภรรยาคนอายุน้อยกิน จนกระทั่งภรรยาอายุน้อยตกเลือดเสียชีวิตไปในที่สุด ในชาติต่อมา หญิงทั้งสองคนนี้ก็ตามล้างตามผลาญกันอีก โดยหญิงคนหนึ่งเกิดเป็นไก่ ส่วนหญิงอีกคนหนึ่งเกิดเป็นแมว อีกชาติต่อมาเมื่อหญิงคนหนึ่งเกิดเป็นเนื้อสมัน หญิงอีกคนหนึ่งเกิดเป็นนางเสือดาว และในที่สุดคนหนึ่งมาเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีในกรุงสาวัตถี ส่วนอีกคนหนึ่งมาเกิดเป็นทางยักษิณี นางยักษิณีตนนี้มีชื่อว่านางกาลียักษิณี ได้ไล่ติดตามหญิงบุตรสาวของเศรษฐีที่อุ้มบุตรอยู่ในวงแขน เมื่อนางผู้ถูกไล่ติดตามนี้ทราบว่าพระศาสดาประทับอยู่กำลังทรงแสดงธรรมอยู่ที่วัดพระเชตวัน จึงวิ่งหนีไปทางนั้นแล้วนำบุตรที่อุ้มมาไปวางลงที่เบื้องบาทของพระศาสดา นางกาลียักษิณีถูกเทวดาผู้รักษาประตูพระเชตวันสกัดไว้ที่ประตูมาไม่ยอมให้เข้าไป แต่ต่อมาพระศาสดาได้อนุญาตให้นางเข้าไปได้ และทั้งสองคนคือหญิงที่เป็นมนุษย์กับหญิงที่เป็นยักษ์ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระศาสดา โดยพระศาสดาได้ตรัสเล่าเรื่องที่ทั้งสองเคยล้างผลาญกันมาในในอดีตชาติ ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นภรรยาของสามีคนเดียวกัน เป็นแมวและเป็นแม่ไก่ เป็นเนื้อสมันและเป็นนางเสือดาว หญิงทั้งสองถูกอบรมสั่งสอนให้เห็นว่าเวรมีแต่จะก่อเวร เวรจะระงับได้ด้วยมิตรภาพ การเข้าใจและไมตรีเท่านั้น

    จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 5 นี้

    น หิ เวเรน เวรานิ
    สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
    อเวเรน จ สมฺมนฺติ
    เอส ธมฺโม สนนฺตโนฯ

    แต่ไหนแต่ไรมา ในโลกนี้
    เวรไม่มีวันระงับด้วยการจองเวร
    แต่ระงับได้ด้วยการไม่จองเวร
    ข้อนี้เป็นสนาตนธรรม.

    เมื่อเทศนาจบลง นางยักษิณีได้บรรลุพระโสดาบัน และพระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์มากแก่บริษัทที่มาประขุมกัน.

    http://palungjit.org/threads/เรื่องเล่าพระธรรมบท-ตอน-เรื่องนางกาลียักษิณีผู้เฝ้าแต่จองเวร.613971/

    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน ภิกษุชาวเมืองโกสัมพีผู้ฉิบหายเพราะวิวาทกัน

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเขตวัน ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 6 นี้

    พวกภิกษุชาวเมืองโกสัมพีเกิดผิดใจกันแตกแยกออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งปฏิบัติตามคำสั่งสอนของอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางวินัยของพวกตน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็ปฏิบัติอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านธรรมะของพวกตน และได้มีปากมีเสียงทะเลาะกันอยู่เสมอๆ แม้ว่าพระศาสดาจะห้ามปรามมิให้ทะเลาะกันอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด จนพระศาสดาเอือมระอาเสด็จหนีไปจำพรรษาอยู่ที่รักขิตวันป่าปาลิเลยยกะ โดยมีช้างปาลิเลยยะคอยอุปัฏฐาก

    ชาวเมืองโกสัมพีเมื่อทราบสาเหตุที่ทำให้พระศาสดาต้องเสด็จไปเช่นนั้นก็พากันไม่ใส่บาตรถวายทานแก่พวกภิกษุที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมด ข้อนี้ทำให้พวกภิกษุทั้งหลายตระหนักถึงความผิดของพวกตนและเริ่มเกิดความสามัคคีปรองดองระหว่างกัน แต่พวกชาวบ้านก็ยังไม่ยอมปฏิบัติต่อภิกษุเหล่านั้นด้วยความเคารพเหมือนเดิม จะต้องให้ไปขอขมาโทษพระศาสดาเสียก่อน แต่ว่าช่วงนั้นพระศาสดาเป็นช่วงกลางพรรษาพวกภิกษุจึงไปขอขมาโทษมิได้ ดังนั้นพวกภิกษุจึงอยู่จำพรรษานั้นด้วยความทุกข์ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง

    เมื่อออกพรรษาพระอานนท์และภิกษุ 500 รูปได้ไปเฝ้าพระศาสดาและได้กราบทูลบอกคำอัญเชิญของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐีและอุบาสกอุบาสิกาอื่นๆที่ขอให้พระองค์เสด็จกลับ ต่อมาพระศาสดาก็ได้เสด็จกลับวัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี พวกภิกษุทั้งหลายได้พร้อมกันไปหมอบลงที่เบื้องพระบาทและขอขมาโทษต่อพระศาสดา พระศาสดาได้ทรงตำหนิภิกษุเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระโอวาทของพระองค์ ได้ตรัสบอกให้พวกภิกษุเหล่านั้นให้จดจำใส่ใจไว้ว่าพวกตนจะต้องตายในวันหนึ่งและเพราะฉะนั้นก็จะต้องหยุดทะเลาะวิวาทกันและจะต้องไม่ทำเหมือนกับว่าพวกตนจะไม่ตาย

    จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 6 นี้ว่า

    ปเร จ น วิชานนฺติ
    มยเมตฺถ ยมามเส
    เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ
    ตโต สมฺมนฺติ เมธคาฯ

    คนเหล่าอื่นมักไม่รู้ว่าพวกเรากำลังฉิบหาย
    เพราะการวิวาทกัน
    ส่วนผู้ที่รู้ในข้อนี้
    จะไม่ทะเลาะวิวาทกัน.

    เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระภิกษุที่มาประชุมกันทั้งหมดได้บรรลุพระโสดาปัตติผลเป็นต้น

    http://palungjit.org/threads/เรื่อง...ชาวเมืองโกสัมพีผู้ฉิบหายเพราะวิวาทกัน.614002/

    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน เรื่องจุลลกาลผู้พ่ายแพ้กิเลสและมหากาลเถระผู้ชนะกิเลส

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่ใกล้เมืองตัพยะ ทรงปรารภมหากาลและจุลกาลซึ่งเป็นพี่น้องกันที่อยู่เมืองเสตัพยะ ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 7 และที่ 8

    ครั้งหนึ่งทั้งมหากาลและจุลกาลเมื่อเดินทางไปค้าขายได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระศาสดา หลังจากสดับพระสัทธรรมเทศนาแล้ว ฝ่ายมหากาลได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทจากพระศาสดา ส่วนจุลกาลก็ได้บรรพชาอุปสมบทเหมือนกัน แต่เป็นการบวชเพียงเพื่อจะสึกแล้วชวนให้พี่ชายสึกตามไปด้วยเท่านั้นเอง

    มหากาลมีความตั้งใจในการปฏิบัติสมณธรรมมาก ได้ไปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าช้าตามแบบ โสสาสนิกธุดงค์ และพิจารณาถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอัตตา จนในที่สุดได้บรรลุความรู้แจ้งเห็นจริงได้เป็นพระอรหันต์

    ต่อมาพระศาสดาและสาวกทั้งหลายรวมทั้งภิกษุมหากาลและจุลกาลนี้ด้วย ได้เข้าไปอยู่ในป่าสิงสปะใกล้เมืองเสตัพยะ ในช่วงนั้นเองพวกอดีตภรรยาของพระจุลกาลได้อาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสาวกทั้งหลายไปที่บ้านของพวกตน พระจุลกาลได้เดินทางล่วงหน้าไปที่บ้านภรรยาเพื่อตระเตรียมปูอาสนะที่ประทับสำหรับพระศาสดาและสาวกทั้งหลาย พอพระจุลกาลเดินทางไปถึงที่บ้านพวกภรรยาก็ได้บังคับให้พระจุลกาลสึกโดยเปลี่ยนชุดแต่งกายจากผ้ากาสาวพัสตร์มาเป็นชุดคฤหัสถ์

    ในวันรุ่งขึ้น พวกอดีตภรรยาของพระมหากาลได้อาราธนาพระศาสดาและพระสงฆ์สาวกไปที่บ้านของพวกตนบ้าง โดยมีวัตถุประสงค์จะทำการสึกพระมหากาลอย่างเดียวกับที่ภรรยาของอดีตพระจุลกาลเคยทำกับพระจุลกาล หลังจากเสร็จสิ้นถวายภัตตาหาร พวกอดีตภรรยาของพระมหากาลได้ทูลพระศาสดาขอให้พระมหากาลอยู่ก่อนเพื่อจะได้ “กล่าวอนุโมทนา” ดังนั้นพระศาสดาและพระสงฆ์สาวกทั้งหลายจึงได้กลับคืนสู่วิหาร

    หลังจากที่เดินทางมาถึงประตูหมู่บ้านพวกภิกษุทั้งหลายได้แสดงความไม่พอใจและหวาดวิตก ที่พวกภิกษุเหล่านี้ไม่พอใจเพราะพระมหากาลได้รับพุทธานุญาตให้อยู่ที่บ้านอดีตภรรยาแต่โดยลำพัง ซึ่งเป็นที่น่าหวาดกลัวว่าจะเป็นเหมือนกรณีที่เกิดขึ้นกับพระจุลกาลพระน้องชาย คือจะถูกอดีตภรรยาจับสึกนั่นเอง พระศาสดาตรัสว่าพระสองพี่น้องนี้ไม่เหมือนกัน คือ พระจุลกาลหมกมุ่นในกามคุณ มีความเกียจคร้านและอ่อนแอ ราวกับต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง ตรงกันข้ามมหากาลมีความบากบั่นขยันหมั่นเพียรมีจิตในเด็ดเดี่ยวและมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ มีลักษะเหมือนเหมือนภูเขาศิลาล้วน

    จากนั้นพระศาสดาตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 7 และที่ 8 ดังนี้

    สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ
    อินฺทฺริสุ อสํวุตํ
    โภชนมฺหิ อมตฺตญญุ

    กุสีตํ หีนวีริยํ
    ตํ เว ปสหตี มาโร
    วาโต รุกขํ ว ทุพพลํฯ

    ผู้ตกเป็นทาสของความสวยงาม
    ไม่ควบคุมอินทรีย์ทั้งหลาย
    ไม่รู้จักประมาณในโภชนาหาร
    เกียจคร้าน ขาดความบากบั่น
    มารย่อมกำจัดเขาได้
    เหมือนลมพัดพาต้นไม้ที่ไม่แข็งแรงได้ฉะนั้นฯ

    อสุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ
    อินฺทฺริสุ สุสํวุตํ
    โภชนมฺหิ มตฺตญญุ
    สทฺธํ อารทฺธวีริยํ
    ตํ เว นปฺปสหตี มาโร
    วาโต เสสํว ปพฺพตํฯ

    ผู้ไม่ตกเป็นทาสของความสวยงาม
    ควบคุมอินทรีย์ทั้งหลายได้
    รู้จักประมาณในโภชนาหาร
    มีศรัทธา ขยันหมั่นเพียร

    มารย่อมกำจัดเขาไม่ได้
    เหมือนลมพัดพาภูเขาศิลาล้วนไม่ได้ฉะนั้นฯ

    ในขณะพวกอดีตภรรยาของพระมหากาลกำลังจะมาช่วยกันเปลื้องสบงจีวรออกจากร่างของพระมหากาลอยู่นั้นเอง พระเถระรู้ทันในวัตถุประสงค์ของอดีตภรรยา จึงได้รีบลุกขึ้นยืนแล้วเหาะทะยานทะลุทะลวงผ่านหลังคาบ้านขึ้นสู่อากาศด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ แล้วเหาะไปลงที่แทบพระบาทของพระศาสดาในช่วงพอดีกับที่พระศาสดาตรัสพระธรรมบททั้ง 2 พระคาถาข้างต้นจบลง ในขณะเดียวกันนั้น พระภิกษุสงฆ์ที่มาประชุมกันอยู่นั้นก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล.

    http://palungjit.org/threads/เรื่อง...้พ่ายแพ้กิเลสและมหากาลเถระผู้ชนะกิเลส.614003/

    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน เรื่องพระเทวทัตผู้ไม่สมควรต่อผ้าจีวร

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัต ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 9 และ ที่ 10 นี้

    ครั้งหนึ่งพระอัครสวกทั้งสอง คือ พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะเดินทางจากกรุงสาวัตถึไปที่กรุงราชคฤห์ ณ ที่นั้นประชาชนชาวกรุงราชคฤห์ได้นิมนต์พระอัครสาวกทั้งสองและพระภิกษุบริวารของท่านจำนวนหนึ่งพันรูปไปฉันภัตตาหารเช้า ในโอกาสนี้เองมีอุบาสกคนหนึ่งถวายผ้ามีมูลค่าหนึ่งแสนกหาปณะให้แก่พวกคนที่ดำเนินการในพิธีถวายภัตตาหารในครั้งนี้ โดยแนะนำพวกเขาว่าควรจะนำผ้านี้ขายแล้วเอาเงินที่ได้จากการขายผ้านี้ไปเป็นค่าใช้จ่าย แต่ถ้าหากไม่ขาดแคนเงินก็ให้นำผ้าผืนนี้ถวายพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามแต่จะเห็นสมควร การณ์ปรากฏว่าไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนเงินและจะต้องนำผ้าไปถวายแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เนื่องจากว่าพระอัครสาวกทั้งสองไปที่กรุงราชคฤห์เป็นครั้งคราว ส่วนพระเทวทัตเป็นพระที่อยู่เมืองนี้เป็นประจำ ชาวเมืองจึงถวายผ้าผืนนี้แก่พระเทวทัต

    พระเทวทัตรีบนำผ้ามีมูลค่ามากนั้นมาทำเป็นจีวรห่มในทันที เมื่อพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางจากกรุงราชคฤห์มาที่กรุงสาวัตถีเพื่อเฝ้าพระศาสดา และได้กราบทูลเรื่องนี้ให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสว่า มิใช่ครั้งแรกที่พระเทวทัตห่มจีวรที่ตนไม่สมควรจะห่ม และพระศาสดาได้นำเรื่องอดีตมาแสดงว่า

    พระเทวทัตเป็นพรานล่าช้างในอดีตชาติหนึ่ง ครั้งนั้นมีช้างจำนวนมากอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง วันหนึ่งนายพรานนั้นสังเกตเห็นพวกช้างคุกเข่าทำความเคารพพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายที่พวกตนพบเห็น เมื่อสังเกตเห็นเช่นนี้แล้วนายพรานล่าช้างนั้นก็ได้ไปขโมยจีวรสีเหลืองของพระปัจเจกพุทธเจ้ามาคลุมกายของตนเอง จากนั้นก็ได้ถือหอกไปคอยพวกช้างอยู่ในเส้นทางสัญจรปกติของพวกช้าง เมื่อพวกช้างมาถึงเห็นนายพรานเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็คุกเข่าลงทำความเคารพเช่นเคย นายพรานช้างก็ได้ถือโอกาสใช้หอกซัดฆ่าช้างตัวที่อยู่ท้ายสุด และได้กระทำเช่นนี้เรื่อยมาเป็นเวลาหลายวัน

    พระโพธิสัตว์เป็นพระยาช้างโขลงนั้น สังเกตเห็นว่าช้างบริวารลดจำนวนลงจึงได้ตัดสินใจหาสาเหตุโดยให้ช้างบริวารเดินนำหน้าส่วนพระยาช้างเองเดินตามหลัง พระโพธิสัตว์คอยระวังอยู่ตลอดเวลา เมื่อนายพรานพุ่งหอกมาก็สามารถหลบหลีกได้ทัน แล้ววิ่งไปใช้งวงรวบนายพรานช้างกำลังจะฟาดตัวลงที่พื้นดิน แต่เผอิญมองเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ที่นายพรานช้างนำมาใช้คลุมกายไว้ จึงยับยั้งใจไว้ชีวิตแก่นายพรานช้าง

    นายพรานถูกตำหนิที่พยายามฆ่าผู้อื่นโดยใช้ผ้ากาสาวพัสตร์มาคลุมกาย และกระทำในสิ่งชั่วช้าเช่นนี้ นายพรานไม่ควรที่จะนำผ้ากาสาวพัสตร์ที่เป็นเครื่องนุ่งห่มของผู้หมดกิเลสมานุ่งห่ม

    จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 9 และที่ 10 ว่า

    อนิกฺสาโว กาสาวํ
    โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ
    อเปโต ทมสจฺเจน
    น โส กาสาวมหรติฯ

    คนกิเลสหนา ปราศจากการบังคับตัวเอง
    ไร้สัจจะ ไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์.

    โย จ วนฺตกสาวสฺส
    สีเลน สุสมาหิโต
    อุเปโต ทมสจฺเจน
    ส เว กาสาวมหรติฯ

    คนหมดกิเลส มั่นคงในศีล
    มีสัจจะ ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์

    เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ภิกษุผู้อยู่ในทิศต่างๆเบรรลุเป็นพระโสดาบัน ภิกษุเหล่าอื่นบรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่มหาชน.

    http://palungjit.org/threads/เรื่องเล่าพระธรรมบท-ตอน-เรื่องพระเทวทัตผู้ไม่สมควรต่อผ้าจีวร.614072/

    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน พระสารีบุตรเถระบรรลุธรรม อาจารย์สญชัยไม่บรรลุธรรม

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเขตวัน ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอุปติสสะและโกลิตะ ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 11 และพระคาถาที่ 12 นี้

    อุปติสสะและโกลิตะเป็นชายหนุ่มจากหมู่บ้านอุปติสสะและหมู่บ้านโกลิตะซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ ทั้งสองคนไปชมมหรสพอยู่บนยอดภูเขาแล้วเกิดความตระหนักถึงความไม่เที่ยงของทุกสิ่งทุกอย่างจึงได้ตัดสินใจแสวงหาความหลุดพ้น ในเบื้องแรกทั้งสองคนได้เข้าไปเป็นศิษย์ของอาจารย์สญชัยซึ่งเป็นปริพาชกในกรุงราชคฤห์ แต่ไม่สมใจในคำสอนของสญชัย จึงได้ออกเดินทางตระเวนไปทั่วชมพูทวีป(อินเดีย)แล้วกลับมาที่กรุงราชคฤห์ดังเดิม หลังจากตระเวนหาแล้วไม่พบธรรมะอย่างแท้จริง ทั้งสองจึงได้ทำความตกลงกันว่าหากคนใดคนหนึ่งได้ไปพบธรรมะที่แท้จริงก็จะต้องบอกแก่กันและกัน

    อยู่มาวันหนึ่งอุปติสสะไปพบพระอัสสชิเถระและได้เรียนรู้จากท่านถึงแก่นแท้ของธรรมะ ซึ่งพระอัสสะได้กล่าวเป็นพระคาถาว่า “เย ธมฺมา เหตุปพฺภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต อาห เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ” ซึ่งแปลความได้ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น และความดับไปแห่งเหตุทั้งหลายเหล่านั้ พระมหาสมณะมีปกติกล่าวอย่างนี้” เมื่อได้ฟังพระคาถานี้แล้วอุปติสสะก็ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล จากนั้นก็ได้ทำคำที่ให้สัญญากันไว้กับโกลิตะ คือได้ไปบอกกับสหายผู้นี้ว่าตนได้บรรลุถึงความไม่ตายแล้วได้นำพระคาถานั้นมาว่าให้โกลิตะฟัง โกลิตะได้ฟังแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันอีกเช่นกัน ทั้งสองคนรำลึกถึงอาจารย์สญชัยจึงชวนกันไปพบและเรียนท่านว่า “พวกเราได้พบบุคคลที่จะชี้แนะหนทางแห่งความไม่ตายแล้ว บัดนี้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้วในโลก พระธรรมก็เกิดขึ้นมาแล้ว พระสงฆ์ก็เกิดขึ้นมาแล้ว..มาเถิดจงไปพบกับอาจารย์ท่านนั้นกัน” คนทั้งสองวาดหวังไว้ว่าอดีตอาจารย์ของตนผู้นี้จะตามไปพบกับพระพุทธเจ้าและเมื่อได้ฟังธรรมแล้วก็จะได้บรรลุมรรคผล แต่ท่านสญชัยปฏิเสธไม่ยอมตามไปด้วย

    ดังนั้นอุปติสสะและโกลิตะพร้อมด้วยบริวารจำนวน ๒๕๐ คน จึงได้ไปเฝ้าพระพุทธจ้าที่วัดเวฬุวัน และทั้งสองคนก็ได้บรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา อุปติสสะในฐานะเป็นบุตรของนางรูปสารีจึงมีชื่อว่า พระสารีบุตรเถระ ส่วนโกลิตะเป็นบุตรของนางโมคคัลลีจึงมีชื่อว่า มหาโมคคัลลานะ ในวันที่ 7 หลังจากบวชพระโมคคัลลานะก็ได้บรรลุอรหัตตผล ส่วนพระสารีบุตรได้บรรลุพระอรหัตตผลหลังจากอุปสมบทได้ 15 วัน ในวันนั้นเองพระพุทธเจ้าได้สถาปนาท่านทั้งสองไว้ในตำแหน่งอัครสาวกขวาซ้ายคือ พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย

    จากนั้นพระอัครสาวกทั้งสองได้กราบทูลพระศาสดาเรื่องที่ท่านขึ้นไปชมมหรสพบนภูเขา ไปพบกับพระอัสสชิ และได้บรรลุพระโสดาปัตติผล หลังจากนั้นก็ได้ไปชวนอดีตอาจารย์สญชัยโดยกะว่าจะให้เดินทางมาพร้อมกับพวกตน แต่สญชัยได้กล่าวว่า “เราเป็นอาจารย์มีลูฏศิษยลูกหามากมาย จะให้เรามาเป็นศิษย์คนอื่นนั้นก็จะเหมือนกับการเปลี่ยนตุ่มน้ำให้เป็นถ้วยน้ำชา” นอกจากนั้นแล้วท่านก็ยังบอกด้วยว่า คนที่ฉลาดมีน้อย ส่วนพวกคนโง่มีมาก ก็ให้พวกคนฉลาดไปหาพระสมณโคดมผู้ฉลาด ส่วนพวกคนโง่ก็จะมาหาเราผู้เป็นคนโง่ พวกท่านทั้งสองจงไปตามทางของพวกท่านเถิด”

    ดังนั้น พระศาสดาทรงชี้ว่า เพราะทิฐินั้นเองทำให้ท่านสญชัยต้องพลาดจากการได้เห็นธรรมว่าเป็นธรรม เมื่อสญชัยยังเห็นอธรรมว่าเป็นธรรมก็จะยังไม่สามารถบรรลุถึงธรรมที่แท้จริงได้

    จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 11 และพระคาถาที่ 12 ว่าดังนี้

    อสาเร สารมติโน
    สาเร จ อสารทสฺสิโน
    เต สารํ นาธิคจฺฉติ
    มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจราฯ

    ผู้ใดเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ
    เห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไร้สาระ
    เขามีความคิดผิดเสียแล้ว
    ย่อมไม่ประสบสิ่งที่เป็นสาระ.

    สารญฺจ สารโต ญตฺวา
    อสารญฺจ อสารโต
    เต สารํ อธิคจฺฉติ
    สมฺมาสงฺกปฺปโคจราฯ

    ผู้เข้าใจสิ่งที่เป็นสาระว่าเป็นสาระ
    เห็นสิ่งที่ไร้สาระว่าไร้สาระ
    มีความคิดเห็นชอบ
    ย่อมประสบสิ่งที่เป็นสาระ

    เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง คนเป็นจำนวนมากได้บรรลุพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่ผู้ที่มาประชุมกัน.

    http://palungjit.org/threads/เรื่อง...ถระบรรลุธรรม-อาจารย์สญชัยไม่บรรลุธรรม.614073/

    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน พระนันทะเถระผู้ที่สำเร็จพระอรหันต์ด้วยการจ้างให้ปฏิบัติธรรม

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภพระนันทเถระพระญาติของพระศาสดา ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 13 และพระคาถาที่ 14 นี้

    ครั้งหนึ่งเมื่อพระศาสดาประทับที่วัดพระเวฬุวันในกรุงราชคฤห์ พระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาได้ส่งทูตหลายคณะมาทูลเชิญพระศาสดาเสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ ในที่สุดพระพุทธองค์จึงได้เสด็จไปพร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน 20000 รูป ในวันแรกที่เสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์พระองค์ได้ตรัสเวสสันดรชาดกให้พระญาติได้ฟัง ในวันที่ 2 ได้เสด็จเข้าไปในเมืองและได้ตรัสพระคาถาที่เริ่มบาทแรกว่า “อุตฺติฏเฐ นปฺปมชฺเชยฺย” ซึ่งแปลว่า “บุคคลพึงขยัน ไม่พึงประมาท” ซึ่งเมื่อพระราชบิดาทรงสดับแล้วได้บรรลุพระโสดาปัตติผล และเมื่อเสด็จเข้าไปไปพระราชวังได้ตรัสพระคาถาซึ่งมีความในบาทแรกว่า “ธมฺมํ จเร สุจริตํ” ซึ่งแปลว่า “บุคคลพึงประพฤติธรรมที่สุจริต” ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนาพระราชบิดาได้บรรลุพระสกทาคามิผล หลังจากเสวยภัตตาหารแล้วได้ตรัสจันทกินนรีชาดกซึ่งเกี่ยวโยงกับคุณธรรมของพระมารดาของราหุล(พระนางยโสธรา หรือพิมพา)

    พอถึงวันที่ 3 ได้มีพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายนันทะพระพุทธอนุชา(พระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางปชาบดีโคตรมี พระน้านาง) พระศาสดาได้เสด็จไปฉันภัตตาหารในพิธีและพอเสด็จกลับก็ได้ทรงส่งบาตรให้เจ้าชายนันทะ แล้วไม่ยอมรับบาตรรคืน เจ้าชายนันทะถือบาตรตามเสด็จพระศาสดาไป ข้างฝ่ายเจ้าสาวคือเจ้าหญิงชนปทกัลยาณีเมื่อเห็นเจ้าชายนันทะตามเสด็จพระศาสดาไปก็ได้รีบไปร้องตะโกนขอให้เจ้าชายนันทะรีบกลับมา เมื่อเสด็จถึงวัดพระเวฬุวัน เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้ผนวชเป็นภิกษุ

    พระศาสดาได้เสด็จออกจากวัดพระเวฬุวันไปประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ขณะที่พระนันทะพำนักอยู่ที่นี่ก็มีความกระวนกระวายใคร่จะลาเพศบรรพชิตออกไปเป็นคฤหัสถ์ เพราะยังจดจำคำสั่งลาของเจ้าหญิงชนบทกัลยาณีที่ทรงตะโกนสั่งไห้รีบกลับมานั้นอยู่เสมอ

    พระศาสดาทรงทราบเรื่องนี้ ก็ได้ทรงใช้อำนาจฤทธิ์พาพระนันทะไปชมนางเทพธิดารูปร่างสะคราญในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมีความสะสวยงดงามกว่าเจ้าหญิงชนบทกัลยาณีมาก พระศาสดาได้ทรงประทานคำมั่นสัญญากับพระนันทะว่าหากพระนันทะปฏิบัติธรรมอยู่ต่อไปโดยไม่สึกพระองค์จะประทานนางเทพธิดาร่างสะคราญเหล่านั้นแก่พระเจ้าชายนันทะ พวกภิกษุทั้งหลายพากันเย้ยหยันพระนันทะว่าเหมือนกับถูกจ้างให้ปฏิบัติธรรมเพื่อจะได้หญิงงามเป็นค่าจ้าง พระนันทะรู้สึกเดือดร้อนและละอายใจมาก จึงได้ปลีกวิเวกไปมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจังจนกระทั่งได้บรรลุพระอรหัตตผล เมื่อได้เป็นพระอรหันต์แล้วจิตของท่านก็หลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง และพระศาสดาก็ได้หลุดพ้นจากคำสัญญาที่ได้ประทานแก่เจ้าชายนันทะ ซึ่งเรื่องนี้พระศาสดาทรงหยั่งรู้ด้วยพระญาณพิเศษตั้งแต่แรกแล้ว

    ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งแต่เดิมทราบมาว่าพระนันทะมิได้เข้ามาบวชเป็นพระด้วยความเต็มใจ จึงได้สอบถามความรู้สึกของท่านอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระนันทะตอบว่าท่านไม่มีความยึดมั่นในชีวิตฆราวาสต่อไปแล้ว พวกภิกษุก็คิดว่าพระเจ้าชายนันทะพูดไม่จริง จึงได้นำเรื่องนี้ไปทูลพระศาสดา และในขณะเดียวกันก็ได้แสดงความสงสัยในคำพูดของท่าน พระศาสดาจึงได้ตรัสว่า เดิมสภาวะจิตของพระนันทะเป็นเหมือนหลังคาบ้านที่มุงไว้ไม่ดี ฝนก็ย่อมรั่วรดลงมาได้ แต่บัดนี้จิตของท่านมีลักษณะเหมือนบ้านที่มุงหลังคาไว้ดีแล้วฝนจึงรั่วรดลงมาไม่ได้

    จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 13 และพระคาถาที่ 14 นี้

    ยถา อคารํ ทุจฉนฺนํ
    วุฏฺฐิ สมติวิชฺฌติ
    เอวํ อภาวิตํ จิตฺตํ
    ราโค สมติวิชฺฌติฯ

    บ้านที่มุงไม่ดี
    ฝนย่อมราวรดเข้าได้ ฉันใด
    จิตที่ไม่ได้อบรม
    ราคะย่อมรั่วเข้าไปครอบงำได้ ฉันนั้น.

    ยถา อคารํ สุจฺฉนฺนํ
    วุฏฺฐิ น สมติวิชฌติ
    เอวํ สุภาวิตํ จิตฺตํ
    ราโค น สมติวิชฺฌติฯ

    บ้านที่มุงดี
    ฝนย่อมรั่วรดเข้าไม่ได้ ฉันใด
    จิตที่อบรมดีแล้ว
    ราคะย่อมรั่วเข้าไปครอบงำไม่ได้ ฉันนั้น

    เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมากได้บรรลุพระโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่ผู้ที่มาประชุมกัน

    http://palungjit.org/threads/เรื่อง...็จพระอรหันต์ด้วยการจ้างให้ปฏิบัติธรรม.614141/
    .
    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน จุนทสูกริกะคนฆ่าหมูที่ตกนรกทั้งเป็น

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่พระเวฬุวันในกรุงราชคฤห์ ได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 15 โดยปรารภนายจุนทะคนชำแหละสุกร

    ครั้งหนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลจากวัดพระเวฬุวัน มีชายชำแหละเนื้อสุกรผู้หนึ่งมีจิตใจโหดร้ายทารุณมาก ชื่อว่านายจุนทะ นายจุนทะคนนี้เป็นผู้ชำแหละสุกรมาเป็นเวลานานถึง 55 ปี เขาไม่เคยทำบุญให้ทานแม้แต่ครั้งเดียว ก่อนจะตายนายจุนทะมีความเจ็บปวดทุรนทุรายลงคลานส่งเสียงร้องเหมือนเสียงสุกรอยู่เป็นเวลานานถึงเจ็ดวัน เป็นความทุกข์ก่อนตายที่มีลักษณะคล้ายกับตกนรก พอถึงวันที่ 7 นายจุนทะก็สิ้นชีวิตและได้ไปเกิดในนรกขุมอเวจี ดังนั้นคนที่ทำชั่วก็มักจะต้องเดือดร้อนเพราะกรรมชั่วที่ตนเองทำไว้ เขาจะเดือดร้อนทั้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และเมื่อตายไปในโลกหน้า

    เกี่ยวกับเรื่องนี้พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 15 นี้ว่า

    อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ
    ปาปการี อุภยตฺถ โสจติ
    โส โสจติ โส วิหญฺญติ
    ทิสวา กมฺมกิลิฏฺฐมตฺตโนฯ

    คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
    คือ เศร้าโสกในโลกนี้ และเศร้าโศกในโลกหน้า
    เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมเดือดร้อน
    เพราะมองเห็นกรรมชั่วของตนเอง.

    เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมากได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีผลมากแก่มหาชน

    http://palungjit.org/threads/เรื่องเล่าพระธรรมบท-ตอน-จุนทสูกริกะคนฆ่าหมูที่ตกนรกทั้งเป็น.614142/

    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน ธัมมิกอุบาสกผู้มี พระมาหา เทวดามารับ

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันในกรุงสาวัตถี ได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 16 โดยปรารภอุบาสกชื่อธรรมิกะ

    ครั้งหนึ่งในกรุงสาวัตถีมีอุบาสกคนหนึ่งชื่อธรรมิกะ เป็นผู้ใจบุญใจกุศลชอบทำบุญให้ทาน เขาจะถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์อย่างสม่ำเสมอทุกวัน และในโอกาสสำคัญต่างๆ เขาเป็นหัวหน้าของอุบาสกอีกจำนวน 500 คนซึ่งอยู่ในนครสาวัตถีนี้ เขามีบุตร 7 คน และธิดา 7 คน และบุตรธิดาทุกคนก็เหมือนกับบิดาคือเป็นผู้มีใจบุญใจกุศลชอบถวายทาน อยู่มาวันหนึ่งธรรมิกอุบาสกเกิดป่วยหนักมีอาการใกล้จะตาย เขาได้ขอร้องบุตรธิดาให้ส่งคนไปนิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระสูตรศักดิ์สิทธิ์ขณะที่เขานอนอยู่บนเตียงขณะใกล้จะตาย ขณะที่พระภิกษุสงฆ์กำลังสวดมหาสติปัฏฐานสูตรอยู่นั้น ก็มีรถที่ประดับตกแต่งงดงามมากจำนวน 6 คันจากสวรรค์ชั้นต่างๆมาจอดรอเขาเพื่อเชิญให้เขาไปอยู่ในสวรรค์ในชั้นต่างๆ ธรรมิกอุบาสกได้บอกรถเหล่านั้นให้รอก่อนสักครู่อย่าได้เพิ่งมาเพราะจะรบกวนขัดจังหวะการสวดพระสติปัฏฐานสูตรของพระภิกษุสงฆ์ ข้างพระภิกษุสงฆ์ที่สวดอยู่นั้นเข้าใจว่าธรรมิกอุบาสกต้องการให้พวกท่านหยุดสวดจึงได้เลิกสวดและเดินทางกลับวัด

    ชั่วครู่ต่อมาธรรมิกอุบาสกก็ได้บอกกับบวกบุตรธิดาของตนว่ามีรถทิพย์จำนวน 6 คันมาจอดรอเพื่อรับเขาอยู่ และในที่สุดเขาได้ตัดสินในเลือกรถที่ส่งมาจากสวรรค์ดุสิต และได้บอกให้ลูกคนหนึ่งโยนพวงมาลัยไปคล้องรถคันที่มาจากสวรรค์ชั้นดุสิตนั้น พอธรรมิกอุบาสกสิ้นใจตายก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น คนที่ทำความดีย่อมจะบันเทิงในโลกนี้และในโลกนี้

    ต่อมาพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 16 นี้ว่า

    อิธ โมทติ เปจฺจ โมทติ
    กตปุญฺโญ อุภยตฺถ โมทติ
    โส โมทติ โส ปโมทติ
    ทิสฺวา กมฺมวิสุทฺธิมตฺตโนฯ

    คนทำบุญกุศลไว้แล้ว ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง
    คือบันเทิงในโลกนี้ ล่วงลับไปแล้วก็ไปบันเทิงในโลกหน้า
    เขาย่อมร่าเริง บันเทิงใจ เพราะมองเห็นกรรมบริสุทธิ์ของตนเอง.

    ชนเป็นอันมากได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่มหาชน.

    http://palungjit.org/threads/เรื่อง...อุบาสกผู้มี-พระมาหา-เทวดามารับเวลาตาย.614170/

    เรื่องเล่าพระธรรมบท ตอน พระเทวทัตผู้ถูกธรณีสูบ

    เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันกรุงสาวัตถี ได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 17 โดยปรารภพระเทวทัต

    ครั้งหนึ่งพระเทวทัตพำนักอยู่กับพระศาสดาที่กรุงโกสัมพี ขณะที่พำนักอยู่ ณ ที่นั้นพระเทวทัตมีความตระหนักว่าพระศาสดาทรงได้รับความเคารพ ความนับถือและลาภจากประชาชนมาก จึงมีความริษยาพระศาสดาและมีความปรารถนาอยากเป็นประมุขสงฆ์ วันหนึ่งขณะที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่วัดพระเวฬุวันนครราชคฤห์ ก็ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาทูลว่าพระองค์ทรงชราภาพแล้วควรจะได้ถ่ายโอนความรับผิดชอบคณะสงฆ์ให้แก่พระเทวทัตเสีย พระศาสดาทรงปฏิเสธข้อเสนอของพระเทวทัตโดยตรัสว่าพระเทวทัตเป็น “บุคคลกลืนกินน้ำลายของผู้อื่น” ต่อมาพระศาสดาได้ทรงขอให้พระสงฆ์ดำเนินการ “ประกาศนียกรรม” (ทำนองลอยแพไม่คบหาสมาคมด้วย)ต่อพระเทวทัต

    พระเทวทัตมีความเดือดร้อนและประกาศว่าจะทำการแก้เผ็ดพระศาสดา ท่านได้พยายามสังหารพระศาสดาถึง 3 ครั้ง โดยครั้งแรกไปว่าจ้างนายขมังธนูให้มาลอบยิง ครั้งที่สองขึ้นไปกลิ้งหินลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏเพื่อจะให้ทับพระศาสดา และครั้งที่สามปล่อยช้างนาฬาคิรีให้เข้าทำร้าย ทว่านายขมังธนูไม่สามารถทำร้ายพระศาสดาได้และได้เดินทางกลับไปหลังจากที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาจนได้บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว หินที่กลิ้งลงมาจากเขาคิชฌกูฏไม่สามารถทำร้ายพระศาสดาเพียงแต่มีสะเก็ดหินแตกมากระทบแค่ทำให้พระโลหิตห้อเท่านั้น และเมื่อช้างนาฬาคีรีวิ่งมาจะทำร้ายพระศาสดาได้ทรงแผ่เมตตาให้จนช้างนั้นเชื่อง แต่พระเทวทัตก็ยังไม่ละความพยายาม ได้พยายามหาเล่ห์เพทุบายอย่างอื่น โดยได้พยายามทำลายสงฆ์ด้วยการแยกพระบวชใหม่จำนวนหนึ่งไปอยู่ที่คยาสีสะ แต่อย่างไรก็ตามในที่สุดพระเหล่านี้ได้ถูกพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะพากลับมาได้สำเร็จ

    ต่อมาพระเทวทัตอาพาธหนัก เมื่อท่านอาพาธอยู่ได้ 9 เดือนก็ได้ขอให้สานุศิษย์พาท่านมาเพื่อจะเฝ้าพระศาสดา พวกศิษย์จึงหามท่านมาขึ้นแคร่ที่วัดพระเชตวัน เมื่อพระศาสดาได้สดับว่าพระเทวทัตถูกหามมาเฝ้าก็ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่าพระเทวทัตไม่มีโอกาสที่จะได้เฝ้าพระองค์

    เมื่อพระเทวทัตและคณะเดินทางมาถึงที่สระในบริเวณพระเชตวัน พวกศิษย์ที่ทำหน้าหามได้วางแคร่ลงที่ริมสระและได้ลงไปอาบน้ำกันอยู่นั้น พระเทวทัตได้ลุกขึ้นจากแคร่แล้ววางเท้าลงที่พื้นดิน พลันเท้าทั้งสองข้างของท่านก็ถูกธรณีสูบจมหายลงไปในแผ่นดิน ที่พระเทวทัตไม่มีโอกาสได้เฝ้าพระศาสดาก็เพราะกรรมชั่วที่ท่านได้กระทำต่อพระศาสดา หลังจากถูกธรณีสูบแล้วพระเทวทัตได้ไปเกิดในนรกขุมอเวจี อันเป็นนรกที่ถูกทรมานอย่างโหดร้ายรุนแรงอย่างต่อเนื่อง

    จากนั้นพระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 17 ว่า

    อิธ ตปฺปติ เปจจ ตปฺปติ
    ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ
    ปาปํ เม กตนฺติ ตปฺปติ
    ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโตฯ

    คนทำบาปย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง
    คือย่อมเดือดร้อนในโลกนี้
    ละจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า
    เขาเดือดร้อนในขณะมีชีวิตว่าเราทำบาปไว้แล้ว
    เมื่อไปสู่ทุคคติก็ย่อมเดือดร้อนยิ่งขึ้นอีก.

    ชนเป็นอันมากบรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แก่มหาชน.

    http://palungjit.org/threads/เรื่องเล่าพระธรรมบท-ตอน-พระเทวทัตผู้ถูกธรณีสูบ.614172/
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ภูเขาน้ำแข็งมหึมาหนัก1ล้านล้านตันแตกออกจากแอนตาร์กติกา จับตาส่งผลกระทบต่อโลก(ชมคลิป) โดย MGR Online [​IMG]12 กรกฎาคม 2560 22:02 น.
    [​IMG]

    https://youtu.be/dgIyoutb3YqM5no

    ซีเอ็นเอ็น - ภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ลูกหนึ่งน้ำหนักมากกว่า 1 ล้านล้านตัน แตกออกจากทางตะวันตกของแอนตาร์กติกาแล้ว จากการเปิดเผยของคณะวิจัยหนึ่งซึ่งมีสำนักงานในสหราชอาณาจักร

    พวกนักวิทยาศาสตร์จาก Project MIDAS ได้ติดตามการแตกออกของภูเขาน้ำแข็งในหิ้งน้ำแข็งลาร์สันซี (Larsen C) ซึ่งเป็นหิ้งน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่สุดอันดับ 4 ของแอนตาร์กติกา มานาน หลังการพังครืนของหิ้งน้ำแข็งลาร์สันเอ(Larsen A) ในปี 1995 และสังเกตเห็นรอยแยกขยายตัวมากขึ้นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

    ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการแตกออกจากหิ้งน้ำแข็งลาร์สันซีของภูเขาน้ำแข็งขนาด 5,800 ตารางกิโลเมตร ได้รับการยืนยันจากภาพถ่ายของดาวเทียม Aqua MODIS ของนาซ่าว่ามันเกิดขึ้นระหว่างวันจันทร์(10ก.ค.) ถึงวันพุธ(12ก.ค.)

    560000007366601.jpg
    ภาพถ่ายทางดาวเทียมที่เผยแพร่โดยองค์การอวกาศแห่งสหภาพยุโรป พบเห็นภูเขาน้ำแข็งขนาด 5,800 ตารางกิโลเมตรในหิ้งน้ำแข็งลาร์สันซี (Larsen C) แตกออกจากทางตะวันตกของแอนตาร์กติกา
    [​IMG]
    "เราคาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้มาหลายเดือนแล้ว และน่าแปลกใจที่มันใช้เวลานานกว่ารอยร้าวจะแตกผ่านช่วงกิโลเมตรท้ายๆของน้ำแข็ง" ศาสตราจารย์ อาเดรียน ลัคแมน แห่งมหาวิทยาลัยสวอนซี ผู้นำคณะตรวจสอบในโครงการ MIDAS project ระบุในถ้อยแถลง

    เขาบอกกับซีเอ็นเอ็นว่าคณะทำงานเชื่อว่าภูเขาน้ำแข็งยังคงไม่บุบสลาย พร้อมระบุว่า "มันเป็นส่วนหนึ่งในพฤติกรรมปกติของหิ้งน้ำแข็ง แต่สิ่งที่ไม่ปกติก็คือขนาดของมัน"

    พวกนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าภูเขาน้ำแข็ง ซึ่งน่าจะถูกตั้งชื่อว่า A68 มีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่เกรเทอร์ลอนดอนถึง 3 เท่า อย่างไรก็ตามมันมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา นั่นคือ B15 ซึ่งมีพื้นที่ 11,007 ตารางกิโลเมตร ขนาดพอๆกับรัฐคอนเนตทิคัตหรือเกาะจาไมกา ที่แตกออกจากหิ้งน้ำแข็งรอสส์ ในเดือนมีนาคม 2000

    560000007366602.jpg
    (แฟ้มภาพ) ภาพถ่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน พบเห็นภูเขาน้ำแข็งขนาด 5,800 ตารางกิโลเมตรในหิ้งน้ำแข็งลาร์สันซี (Larsen C) ใกล้แตกออกจากทางตะวันตกของแอนตาร์กติกา
    [​IMG]
    ด้วยตอนนี้ภูเขาน้ำแข็งลอยเป็นอิสระ ทำให้พื้นที่ของหิ้งน้ำแข็งลาร์สันซีลดลงไปมากกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ เปลี่ยนภูมิทัศน์ของคาบสมุทรแห่งนี้ไปตลาดกาล

    ลัคแมน บอกว่าด้วยที่แผ่นน้ำแข็งค่อยๆลอยออกมาก่อนหน้าที่ภูเขาน้ำแข็งจะแยกตัวออกจากหิ้งน้ำแข็ง ดังนั้นการแตกออกมาครั้งนี้จึงจะไม่ส่งผลกระทบแบบปัจจุบันทันด้วน "เหตุการณ์นี้ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงกับทุกคน และถ้ามีผลลัพธ์ใดๆ ก็จะไม่รู้สึกได้ภายในช่วงไม่กี่ปีนี้ อย่างไรก็ตามมันเป็นเหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจและใหญ่โตทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของพื้นที่แถบนี้"

    560000007366603.jpg
    (แฟ้มภาพ) ภาพถ่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน พบเห็นภูเขาน้ำแข็งขนาด 5,800 ตารางกิโลเมตรในหิ้งน้ำแข็งลาร์สันซี (Larsen C) ใกล้แตกออกจากทางตะวันตกของแอนตาร์กติกา
    [​IMG]
    การแตกตัวของภูเขาน้ำแข็งเป็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติ แต่พวกนักวิทยาสตร์กำลังสำรวจตรวจสอบว่าปัญกาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ(โลกร้อน) มีบทบาทช่วยเร่งให้เกิดการแตกออกหรือไม่

    อย่างไรก็ตาม มาร์ติน โอเลียรี นักวิทยาธารน้ำแข็งแห่งมหาวิทยาลัยสวอนซี ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานของ Project MIDAS ระบุในถ้อยแถลงว่า "คณะวิจัยยังไม่พบความเชื่อมโยงใดๆกับโลกร้อนจากฝีมือของมนุษย์"

    http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9600000071015
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ยุทธการปลาหมึกยักษ์ (7) : ไอซิสเล็ง 3 จชต.ไทยเคลื่อนไหวหลังยึดมาราวี 13 ก.ค. 2017

    99991-696x396.jpg
    กลุ่มก่อการร้ายไอซิสเล็งเขตพื้นที่ขัดแย้ง เพื่อ “ปักฐาน” ที่มั่นแห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ไอซิสพยายามที่จะสร้างฐานที่มั่นและปักหลักสร้างฐานของตนอย่างมั่นคงในพื้นที่บางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงภาคใต้ของประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และจังหวัดยะไข่ของพม่าซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยของชาวมุสลิมที่มีฐานะยากจนหรือพื้นที่ถูกกดขี่และคุกคาม

    กลุ่มผู้ก่อการร้ายไอซิสพยายามที่จะสร้างฐานใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และด้วยเป้าหมายเช่นนี้ จึงมุ่งเน้นไปยังพื้นที่ที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่จำนวนมาก

    ‘Free Malaysia Today’ รายงานเมื่อวันพุธที่ (12)ว่า พื้นที่ดังกล่าวนี้ เป็นเขตพื้นที่ยากจนเป็นส่วนใหญ่ซึ่งมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากและจากความยากจนและการกดขี่ข่มเหงที่เกิดขึ้นต่อพวกเขา ทำให้ไอซิสสบโอกาสใช้เป็นเครื่องมือในการแทรกแซงและเข้าไปมีอิทธิพลในหมู่พวกเขา

    รายงานบ่งชี้ว่า การปรากฏตัวของไอซิสในปีที่ผ่านมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ดำเนินการไปในรูปแบบที่รุนแรงมากขึ้นและนั่นเป็นการแสดงให้เห็นในประเด็นที่ว่า ภัยคุกคามด้านความปลอดภัยในภูมิภาคมันจะยิ่งทวีความรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

    คณะให้คำปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมืองที่เรียกว่า ‘กลุ่มยูเรเซีย’ กล่าวในรายงาน ว่า การใช้อินเทอร์เน็ตและเครือข่ายทางสังคมออนไลน์ ทำให้ไอซิสสามารถดึงแนวร่วมและกองกำลังเพื่อก่อเหตุความรุนแรงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกรณีตัวอย่างที่มองเห็นภาพในเรื่องนี้คือการก่อเหตุความรุนแรงในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย

    ตามรายงานระบุว่า กลุ่มหัวรุนแรงไอซิสได้ก่อเหตุความรุนแรงในปีที่ผ่านมาในประเทศมาเลเซีย และในช่วงเดือนพฤษภาคมปีนี้ก็เป็นที่ยืนยันชัดเจนแล้วว่ามีการลักลอบค้นอาวุธจากภาคใต้ของประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซียซึ่งมันบ่งชี้และแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยที่สุดมันเริ่มเห็นร่องรอยในการเคลื่อนไหวเพื่อปักหลักเป็นฐานที่มั่นในเขตพื้นที่ดังกล่าวของไอซิสมากขึ้น

    นอกจากนี้ ชาวมุสลิมที่ให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลในภาคใต้ของประเทศไทย ทำให้เขตพื้นที่นี้กลายเป็นฐานที่มั่นหลักในภูมิภาคซึ่งไอซิสกำลังมองหาที่จะดึงดูดกองกำลังและแนวร่วมใหม่

    นอกจากนี้รายงานยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ซึ่งได้แนะนำว่ามันเป็นพื้นที่หลักของไอซิสอีกด้วย ซึ่งไอซิสสามารถใช้กลุ่มเมาเต้ (ในเครือไอซิส) ปฏิบัติการทางทหารในเมืองมาราวี และทำให้มาราวีกลายเป็นภัยคุกคามที่สำคัญในภูมิภาค

    รายงานยังกล่าวเสริมว่า อัตราการตายในเมืองมาราวี ฟิลิปปินส์ได้เพิ่มขึ้นถึง 500 คน ในจำนวนนั้น 90 คนเป็นทหารและ 381 คนเป็นผู้ก่อการร้าย

    นอกเหนือจากนี้ไอซิสยังมีแหล่งซ่องสุมในส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียซึ่งจนถึงขณะนี้ทางตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่ประสบความสำเร็จพอสมควรในการป้องกันการก่อเหตุความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจากพวกเขา

    จังหวัดยะไข่ของพม่าก็เช่นกัน ซึ่งเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เอื้อต่อการเข้ามาและมีอิทธิพลของไอซิสในการก่อเหตุความรุนแรงเนื่องจากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิม

    http://www.syedsulaiman.com/2441
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    โฆษกกกพ.แจงแนวคิดเรียกเก็บอัตราสำรองไฟฟ้าเน้นกลุ่มโซลาร์รูฟท็อปรายใหญ่ Date : 10/07/2017, 16:22.
    โฆษกกกพ.แจงที่มาแนวคิดการเรียกเก็บอัตราสำรองไฟฟ้า (Backup Rate )เน้นกลุ่มโซลาร์รูฟท็อปที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง ที่มีกำลังการผลิตมากกว่า10กิโลวัตต์ ระบุผู้ใช้ไฟส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ผลิตไฟ กลายเป็นกลุ่มที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนแทน ด้านทีดีอาร์ไอ จัดเสวนา นำเสนอผลการศึกษา”โซลาร์รูฟท็อปกับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจไฟฟ้า”วันที่11 ก.ค.นี้
    นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. กล่าวว่า เรื่องของแนวคิดที่จะให้มีการเรียกเก็บอัตราสำรองไฟฟ้า (Backup Rate ) เริ่มมาจากผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งไม่ใช้กลุ่มโซลาร์เซลล์ แต่เป็นกลุ่มโรงงานน้ำตาล มีการตั้งโรงไฟฟ้าเพื่อผลิตไฟใช้เอง สมมติว่า เข้าต้องใช้ไฟฟ้า10 เมกะวัตต์ และเขาตั้งโรงไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าใช้เอง 4 เมกะวัตต์ ที่เหลืออีก6 เมกะวัตต์ เขาต้องการขอเชื่อมเข้ากับระบบสายส่งของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(PEA) เพื่อซื้อไฟฟ้าจาก PEA มาใช้ แต่ทาง PEAไม่ยินยอม ผู้ประกอบการจึงทำเรื่องขออนุญาตมาที่ กกพ. เมื่อ ปี2559 ที่ผ่านมา ซึ่งกกพ.พิจารณาดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามดำเนินการ จึงมีหนังสือให้PEAอนุญาตให้มีการเชื่อมต่อระบบ ทางPEA ก็แจ้งให้กกพ.ทราบว่า การอนุญาตในลักษณะดังกล่าว หากมีจำนวนมากขึ้น จะทำให้ ลูกค้าของPEA หายไปจนกระทบกับรายได้ โดยเฉพาะแนวโน้มในปัจจุบัน ที่มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา หรือโซลาร์รูฟท็อปมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในขณะมีPEA มีการลงทุนระบบสายส่งไปแล้ว
    นายวีระพล กล่าวว่า การที่มีผู้หันมาผลิตไฟฟ้าใช้เองมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโซลาร์รูฟท็อปรายใหญ่ ซึ่งยังไม่มีความแน่นอนในการผลิตและซื้อไฟ ทำให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ยังจำเป็นต้องเตรียมพร้อมเดินเครื่องโรงไฟฟ้าเพื่อเป็นสำรองให้ (Backup) เพราะเมื่อเวลาที่ฝนตก หรือไม่มีแดด ผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อป ไม่ได้ ก็จะยังมีไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าของกฟผ. ใช้ได้ โดยการเตรียมความพร้อมโรงไฟฟ้าดังกล่าว ถือเป็นต้นทุนของระบบ และไปรวมอยู่ในค่าไฟฟ้าในส่วนค่าเอฟที ดังนั้น ทางกกพ. จึงให้ กฟผ.ลองเสนอตัวเลข ภาระต้นทุนที่เกิดขึ้น มายังกกพ. ว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่
    “ในเบื้องต้นผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เองที่เป็นกลุ่มโซลาร์รูฟท็อปรายเล็ก ไม่เกิน10 กิโลวัตต์ ทางกกพ. ยังไม่มีนโยบายในการเรียกจัดเก็บอัตราสำรองไฟฟ้า เพราะถือว่ายังไม่ส่งผลกระทบต่อระบบโดยรวมมากนัก แต่กลุ่มโซลาร์รูฟท็อปรายใหญ่ เกินกว่า10 กิโลวัตต์ ทางกกพ.กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา หากเห็นว่าส่งผลกระทบต่อระบบ ก็จะมีการเรียกเก็บอัตราสำรองไฟฟ้า ทั้งนี้หากไม่มีการเรียกเก็บเลย คนที่จะได้ประโยชน์ก็คือกลุ่มที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง ในขณะที่กลุ่มประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเดียว ที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิต จะกลายเป็นผู้ที่ต้องมารับภาระแทน “นายวีระพลกล่าว
    ปัจจุบัน ผู้ผลิตไฟฟ้าที่เป็นโรงไฟฟ้าประเภทโคเจน ที่ขายไฟฟ้าให้กับกฟผ.90 เมกะวัตต์ และส่วนที่เหลืออีก30 เมกะวัตต์ ขายให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ผลิตกลุ่มนี้ มีการซื้อสำรองไฟฟ้าหรือBackup กับPEA อยู่แล้ว เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าจะมีไฟฟ้าใช้แน่นอน ในส่วนนี้จึงไม่มีปัญหา เพราะมีอัตราBackup กำหนดไว้อยู่แล้ว แต่กลุ่มที่เข้ามาใหม่และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่าง กลุ่มโซลาร์รูฟท็อป ทั้งรายเล็กรายใหญ่ ที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ ยังไม่ได้มีการกำหนดอัตราเรียกเก็บ
    นายวีระพล กล่าวว่า การกำหนดอัตราสำรองไฟฟ้า ถือเป็นอำนาจตามกฎหมายของ กกพ. ที่สามารถดำเนินการได้เลย โดยไม่ต้องขออนุมัติจาก คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) โดยผลการศึกษาว่าจะจัดเก็บกับกลุ่มใด ในอัตราเท่าไหร่ นั้นใกล้ที่จะได้ข้อสรุปแล้ว
    ส่วนประเด็นข้อสงสัยว่า ทำไมในกลุ่มโซลาร์ฟาร์มหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร รัฐมีนโยบายส่งเสริมโดยให้อัตราfeed in tariff สูงถึง4.12 บาทต่อหน่วยเป็นระยะเวลา25ปี แต่กลุ่มโซลาร์รูฟท็อป ที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง รัฐกลับมีแนวคิดที่จะจัดเก็บค่าสำรองไฟฟ้า ซึ่งนายวีระพล กล่าวว่า สถานะของโครงการมีความแตกต่างกัน เพราะกลุ่มโซลาร์ฟาร์มที่รัฐส่งเสริมนั้น ถือเป็นผู้ผลิตไฟฟ้า ที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อขายเข้าระบบทั้งหมด แต่กลุ่มโซลาร์รูฟท็อป ที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ ไฟฟ้า ซึ่งทำให้กลุ่มคนที่ไม่ได้ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ที่มีจำนวนมากกว่า กลายเป็นผู้เสียประโยชน์ ที่ต้องมารับภาระต้นทุนจากการที่กฟผ.ต้องเตรียมโรงไฟฟ้าสำรอง แทน ในรูปของค่าเอฟที
    ปัจจุบันกลุ่มโซลาร์รูฟท็อปที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ที่มีการจดแจ้งกับ กกพ.มีอยู่รวมๆประมาณ60-70 เมกะวัตต์
    สำหรับนโยบายโซลาร์รูฟท็อปเสรี นายวีระพล กล่าวว่า จะไม่ส่งผลกระทบกับระบบความมั่นคงไฟฟ้ามากนัก เพราะการติดตั้งจะอยู่กระจายทั่วๆไป และกฟผ.ยังมีปริมาณสำรองที่มากเพียงพอจะรองรับได้ แต่ในอนาคตถ้าปริมาณสำรองไฟฟ้าอยู่ในระดับต่ำ และปล่อยให้มีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปจำนวนมาก ก็น่าเป็นห่วง
    ด้าน นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงานและกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนทั้งจากโซลาร์เซลล์ หรือพลังงานลม ถ้าไม่มีระบบกับเก็บพลังงาน (Energy Storage) ส่วนที่ต้องมีโรงไฟฟ้าเพื่อแบคอัพ ก็ยังมีความจำเป็นต้องมีอยู่ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีความมั่นคงด้านไฟฟ้า
    การผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ เพื่อใช้เอง หากไม่เกี่ยวข้องกับระบบรวม ก็ไม่ได้มีปัญหา แต่ถ้ายังพึ่งตัวเองไม่ได้แล้วต้องมาซื้อไฟฟ้าจากระบบไปใช้ ก็จะต้องช่วยแบกภาระต้นทุนของระบบ ไม่เช่นนั้น คนที่ไม่ได้ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ที่มีจำนวนมากกว่า ก็กลายเป็นกลุ่มคนที่เสียเปรียบ
    ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน(Energy News Center-ENC ) รายงานด้วยว่า ในวันที่11 ก.ค. 2560 ทาง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จะจัดงานเสวนาสาธารณะ เรื่อง “ สู่การเปิดเสรี โซลาร์รูฟท็อป เราจะอยู่กับ Disruptive Technology อย่างไรที่ห้องประชุมชั้น2 ทีดีอาร์ไอ โดยงานดังกล่าว จะมีการนำเสนอการศึกษา”โซลาร์รูฟท็อปกับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจไฟฟ้า” โดย ดร.วิชสิณี วิบูลผลประเสริฐ นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอ และมีผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน , รศ.ดร.กุลยศ อุดมวงศ์เสรี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายสุวิทย์ ธรณินทร์พานิช เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการโดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานทีดีอาร์ไอ
    http://energynewscenter.com/index.php/news/detail/845
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เลเซอร์สลายต่อมลูกหมากโต ลดเจ็บ ฟื้นตัวเร็ว โดย MGR Online [​IMG]14 กรกฎาคม 2560 15:56 น. (แก้ไขล่าสุด 14 กรกฎาคม 2560 17:09 น.)
    [​IMG]
    560000007447903.jpg
    [​IMG]
    ศูนย์โรคระบบทางเดินปัสสาวะกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ เผย ชายสูงวัยเสี่ยงต่อลูกหมากโตเพิ่มขึ้น แนะปรับพฤติกรรมเสี่ยง ระดมผู้เชี่ยวชาญรักษาพัฒนาการรักษาด้วยวิธี ใช้เลเซอร์สลายต่อมลูกหมากโต หวังช่วยลดการบาดเจ็บ ช่วยผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

    นพ.ดำรงพันธ์ วัฒนะโชติ ผู้อำนวยการศูนย์โรคระบบทางเดินปัสสาวะกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผยว่า เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้นสิ่งที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ คือ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ค่อยๆ ลดลง โดยเฉพาะในเพศชายที่พบว่าเมื่อใดที่ระดับแอนโดรพอส (Andropause) ในร่างกายเปลี่ยนไป ก็จะส่งผลต่อร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ไม่ต่างจากผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน ซึ่งในช่วงเวลานี้ นอกจากการเปลี่ยนแปลงภายนอกที่แสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว สิ่งผิดปกติที่เกี่ยวเนื่องและเกิดขึ้นกับระบบทางเดินปัสสาวะนั้น ยังเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หย่อนสมรรถภาพทางเพศ ไปจนถึงโรคที่ส่งผลกระทบต่อต่อมลูกหมาก เช่น ต่อมลูกหมากโต และมะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น ความผิดปกติของต่อมลูกหมากนั้น พบได้บ่อยใน 3 โรคที่ชายไทยเป็นมากอันดับ 1 คือ โรคต่อมลูกหมากโต พบมากถึง 80% รองลงมาคือ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก คิดเป็น 18% และโรคต่อมลูกหมากอักเสบในสัดส่วนอยู่ที่ 2%

    นพ. ดำรงพันธ์ กล่าวว่า โรคต่อมลูกหมากโต หรือ BPH (Benign Prostate Hyperplasia) โรคนี้พบได้ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งพบได้มากชึ้น ซึ่งพบมากถึง 80% ในชายสูงอายุวัย 80 ปีขึ้นไป ในช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายเริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม ในความหมายของโรคต่อมลูกหมากโตนั้นทางการแพทย์เราให้ความสำคัญและเน้นในอาการขับถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วยที่ผิดปกติไปเป็นหลักมากกว่าขนาดของก้อนต่อมลูกหมาก ซึ่งปกติเพศชายเมื่ออายุ 20 ปี จะมีขนาดประมาณ 20 กรัม แต่จะค่อยๆโตขั้นตามอายุ ดังนั้น เพศชายสองคนอายุมากกว่า 60 ปี คนหนึ่งมีขนาดต่อมลูกหมาก 30 กรัม อาจจะมีอาการมากกว่าอีกคนหนึ่งที่มีขนาดต่อมลูกหมาก 50 กรัมก็ได้ ปัจจุบันนี้เราเรียกผู้ป่วยที่มีอาการต่อมลูกหมากโตแต่ว่าขนาดต่อมไม่โตมากแบบนี้ว่า อาการทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง หรือเรียกชื่อทับศัพท์ว่า แอลยูทีเอส LUTS (Lower Urinary Tract Symptoms) ไม่เรียกว่า โรคต่อมลูกหมากโต (บีพีเอช Benign Prostate Hyperplasia, BPH) อย่างไรก็ตามอาการแทบจะเหมือนกันหมด

    “อาการของโรคต่อมลูกหมากโต ปกติตามอายุที่เริ่มมากขึ้น 45 - 50 ปีขึ้นไป เมื่อต่อมลูกหมากโตขึ้นก็จะบีบท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการระคายเคือง ปัสสาวะขัด ปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันไป แต่อาการที่สังเกตได้ชัดเจน คือ ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือต้องเบ่งปัสสาวะจนกว่าจะออก ในบางรายปัสสาวะไม่พุ่ง สะดุดเป็นช่วงๆ มีปัสสาวะหยดเมื่อใกล้จะสุด หรือปัสสาวะเสร็จแล้วแต่ยังรู้สึกปัสสาวะไม่สุด ในขณะที่บางรายอาจไม่มีอาการเตือนใดๆ เลย แต่กลับพบมีอาการปัสสาวะไม่ออกเฉียบพลัน และมีอาการปวดปัสสาวะรุนแรงมากก็เป็นได้" นพ.ดำรงพันธ์ กล่าว

    560000007447901.jpg
    [​IMG]
    นพ.ดำรงพันธ์ กล่าวว่า การตรวจวินิจฉัยต่อมลูกหมากโตของแพทย์ในปัจจุบันจะใช้วิธีการซักประวัติเพื่อตรวจสอบอาการ และหาสาเหตุในเบื้องต้นประกอบกับผลตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจวัดความแรงของสายปัสสาวะ และขนาดของต่อมลูกหมากที่เปลี่ยนแปลงไปโดยใช้เครื่องอัลตราซาวนด์เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ในทางปฏิบัติของการตรวจร่างกายนั้นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นและถือว่าเป็นการตรวจขั้นพื้นฐานที่ประหยัดที่สุด คือการตรวจคลำต่อมลูกหมากผ่านทางท่อทวารหนัก “ดีอาร์อี” (Digital Rectal Examination) เพื่อดูลักษณะผิดปกติและความแน่นของเนื้อต่อมลูกหมาก วัดขนาดคร่าวๆที่ประมาณเป็นมิลลิลิตรหรือน้ำหนักเป็นกรัม ลักษณะผิวเรียบ หรือมีก้อนขรุขระ ความยืดหยุ่นหรือแข็งมาก ตลอดจนความรู้สึกเจ็บมากกว่าความรู้สึกอึดอัดหรือเจ็บ จากการที่ถูกคลำผ่านท่อทวารหนัก การรักษาโรคต่อมลูกหมากโต แบ่งได้เป็นสองวิธี คือ 1. การรักษาด้วยยาที่ช่วยคลายการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อต่อมลูกหมาก เรียกว่า ยาต้านระบบประสาทอัลฟ่า ยาที่ช่วยยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งมีผลต่อขนาดของต่อมลูกหมาก เรียกว่า กลุ่มยาต้านฮอร์โมนดีเอชที และกลุ่มยาที่สกัดสมุนไพรร่วมด้วย เรียกกว่า ซอว์พาลเมตโต (Saw Palmetto) โดยแพทย์จะให้การรักษาตามอาการเป็นหลัก ในกรณีที่อาการรุนแรง กินยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ปัสสาวะไม่ออกจนต้องใส่สายสวน อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อขูดต่อมลูกหมากออก ด้วยการส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งทำได้ 2 แบบ คือ แบบแรก การรักษาทางศัลยกรรมผ่านทางกล้องส่องกระเพาะปัสสาวะ เรียกว่า TURP (Transurethral Resection of the Prostate) เป็นการผ่าตัดที่เป็นมาตรฐาน โดยใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะ จากนั้นแพทย์จะใช้วิธีตัดหรือขูดต่อมลูกหมากออกเป็นชิ้นเล็กๆ ด้วยเครื่องมือแบบขดลวดสำหรับตัดและจี้ด้วยไฟฟ้าแบบประจุเดี่ยว โมโนโพล่า ที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อตัดและหยุดเลือดออกไปได้พร้อมกัน

    นพ.ดำรงพันธ์ กล่าวว่า และ 2. การผ่าตัดขูดต่อมลูกหมากโตผ่านกล้องส่องทางท่อปัสสาวะ (Transurethral Vaporized-Resection of the Prostate) TURPV หรือ Plasma Kinetic (PK) เป็นการใช้เครื่องตัดและจี้ด้วยระบบไฟฟ้าประจุคู่ ไบโพล่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการเก็บรักษาเนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ส่วนที่ถูกตัดและจี้ด้วยไฟฟ้าไม่ให้ไหม้เกรียมมากเกินไป มีระบบช่วยละเหิดเนื้อเยื่อไปด้วยคล้ายคลึงกับการใช้แสงเลเซอร์ คือ แวโพไลเซชั่น (vaporization) ซึ่งการผ่าตัดโดยการใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะ เป็นการเข้าไปตัดเอาชิ้นเนื้อส่วนที่เกินออกมาจากต่อมลูกหมาก ซึ่งเป็นวิธีผ่าตัดที่แพทย์นิยมใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ในรายที่มีอาการหนักหรือมีภาวะแทรกซ้อน โดยใช้วิธีสอดท่อที่มีกล้องขนาดเล็กผ่านเข้าทางท่อปัสสาวะ ซึ่งตรงปลายท่อจะมีเครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็กเพื่อใช้สำหรับตัดเนื้อเยื่อต่อมลูกหมากส่วนที่กดทับท่อปัสสาวะไว้ได้

    อย่างไรก็ตาม วิธีนี้สามารถทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยระหว่างการผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการวางยาเฉพาะส่วนล่าง จึงทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ และหลังการรักษาประมาณ 3 - 4 วันแรก ผู้ป่วยต้องใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อให้กระเพาะปัสสาวะได้พัก และรอให้ปัสสาวะใสเสียก่อนแล้วจึงเอาสายสวนออก หลังจากนั้นผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นภายใน 2 - 4 สัปดาห์

    นพ.ภาณุ ตัญจพัฒน์กุล ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ศูนย์โรคระบบทางเดินปัสสาวะกรุงเทพ กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ ยังมีการรักษาด้วยเทคนิคการผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์กรีนไลท์ PVP (Green Light PVP : Photo-selective Vaporization of Prostate) ที่เริ่มใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เสียเลือดน้อยลง เจ็บตัวน้อยลง และพักฟื้นได้อย่างรวดเร็ว “PVP เป็นนวัตกรรมใหม่ของเทคนิคการผ่าตัดต่อมลูกหมากโต ที่ใช้หลักการรุกล้ำน้อยที่สุด หลักการก็คือสอดท่อที่มีกล้องขนาดเล็กผ่านเข้าทางท่อปัสสาวะ เหมือนการผ่าตัดส่องกล้อง แต่เปลี่ยนจากใช้ที่ขูด เป็นแสงเลเซอร์ที่มีพลังงานสูงยิงไปในตำแหน่งที่มีภาวะอุดกั้นในต่อมลูกหมาก โดยแสงเลเซอร์จะไปทำให้เนื้อเยื่อที่กีดขวางทางเดินปัสสาวะนั้นค่อยๆ ระเหิดหายไป ซึ่งวิธีนี้ข้อดีคือ เสียเลือดน้อย เหมาะกับผู้สูงอายุมากๆ หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจร่วมด้วย นับเป็นวิธีการที่นิ่มนวล ได้ผลปลอดภัย เจ็บปวดน้อย ระยะพักฟื้นสั้น สามารถกลับไปทำกิจวัตรเบาๆ ได้ใน 2 - 3 วัน มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อย เหมาะกับผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถหยุดยาละลายลิ่มเลือดได้”

    นพ.ภาณุ อธิบายว่า ระหว่างการผ่าตัด ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจะได้รับการวางยา เพื่อบล็อกไขสันหลัง โดยวิสัญญีแพทย์ พร้อมจัดเตรียมคนไข้ในท่านอน แพทย์จะใช้สายนำแสงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ ผ่านกล้องส่องกระเพาะปัสสาวะโดยจะแสดงภาพออกมายังจอวีดีโอ แพทย์จะกำหนดตำแหน่งสลายต่อมลูกหมากโตด้วยแสงเลเซอร์ ที่มีพลังความร้อนอยู่ที่ 120 - 180 วัตต์ โดยจะปล่อยออกมาทางด้านข้าง โดยที่ปลายของสายนำแสงนั้น หากสังเกตจะเห็นฟองอากาศขนาดเล็กๆ (Bubbles) ในบริเวณของเนื้อเยื่อที่กีดขวางทางเดินปัสสาวะ จะถูกฉายด้วยเลเซอร์ ทำให้ระเหิดละลายหายไปทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นเนื้อเยื่อนุ่มๆ สีเหลืองขาว ไม่ต้องเสียเลือด ขณะเดียวกัน ยังช่วยเปิดช่องทางออกของท่อปัสสาวะได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคการรักษาต่อมลูกหมากโต ด้วยวิธีการใช้แสงเลเซอร์ทูเลี่ยม (Thulium Laser Vaporesection of the Prostate) เป็นการรักษาโดยใช้เลเซอร์อีกวิธีหนึ่ง ต่างกับ PVP ตรงที่ การใช้ thulium laser สามารถตัดชิ้เนนื้อต่อมลูกหมากที่อุดกั้นทางเดินปัสสาวะให้เป็นชิ้นเล็กๆ ซึ่งจะทำให้ได้ชิ้นเนื้อ เพื่อไว้ใช้ในการตรวจกล้องจุลทรรศน์ต่อไปได้ วิธีนี้ให้ผลการรักษาที่ดีเทียบเคียงกับ PVP ทุกประการต่างกันแค่ตรงที่ thulium laser สามารถทำให้ได้ชิ้นเนื้อเพื่อการตรวจวินิจฉัยต่อไปในกรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และเนื่องจากแสง Thulium laser จะไม่ลงลึกไปทำลายเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกลงไป จึงสามารถนำมาใช้ในการรักษาภาวะอาการท่อปัสสาวะตีบจากการมีพังผืดได้ด้วย หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะค้างไว้ 1 คืน และจะการถอดสายสวนปัสสาวะในวันรุ่งขึ้น และให้ทดลองปัสสาวะเอง ซึ่งอาการปัสสาวะจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

    อย่างไรก็ตาม โรคต่อมลูกหมากโตป้องกันได้แค่ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นควรดื่มน้ำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำครั้งละมากๆ โดยเฉพาะก่อนนอน และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มชา กาแฟ และแอลกอฮอลล์ ที่สำคัญควรปัสสาวะอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรกลั้นปัสสาวะและไม่ควรเบ่งเวลาปวด ถ้าปัสสาวะไม่สุดควรปัสสาวะซ้าอีกครั้งเพื่อไม่ให้มีปัสสาวะค้าง แต่หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของโรคมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจนยากต่อการรักษา และมีค่าใช้มากขึ้น

    560000007447902.jpg
    [​IMG]
    http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9600000071778
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    อันตรายของ เด็กกับมือถือ โดย MGR Online 14 กรกฎาคม 2560 17:44 น.
    [​IMG]
    560000007451401.jpg
    [​IMG]
    ข้อมูลที่แสดงว่าคนจะหยิบมือถือขึ้นมาดูเฉลี่ยถึง 150 ครั้งต่อวัน เทคโนโลยีใหม่ๆ มีไว้เพื่ออำนวยสะดวก และช่วยแก้ไขปัญหาเก่า ๆ ที่มีขอบเขตการใช้งานที่จำกัด แต่ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีเหล่านี้ ก็จะสร้างปัญหาใหม่ๆ ขึ้นเช่นกัน ผู้ใหญ่ต้องไม่ติดเทคโนโลยีเหล่านี้เสียเอง เพราะจะเป็นแบบอย่างให้แก่เด็ก ทำให้เด็กมีพฤติกรรมเลียนแบบ เราคงเคยเห็นพ่อแม่นั่งกดโทรศัพท์มือถือ คุยในไลน์ หรือเล่นเกมส์ แทนที่จะพูดคุยหรือเล่นกับลูก บางครั้ง พ่อ แม่ ลูก ต่างคนต่างก้มหน้ากดมือถือของตนเอง อยู่ในโลกเสมือนจริงของตัวเอง การไม่มีปฏิสัมพันธ์กันจะทำให้พ่อแม่ลดความผูกพันและความสนใจในตัวลูก พ่อแม่บางคนอาจคิดว่าการที่ลูกเล่นเครื่องมือเหล่านี้ได้ แสดงว่าลูกเป็นเด็กฉลาด หรือเมื่อเด็กอยุ่กับหน้าจอสมาร์ทโฟน แท็บเบล็ตแล้ว เด็กจะไม่ซน และอยู่กับที่ได้ พ่อแม่ก็สามารถทำกิจกรรมหรืองานในบ้านอื่น ๆ ได้ โดยไม่ต้องมัวพะวงกับลูก
    จากการศึกษาของ Dr. Jenny Radesky กุมารแพทย์แห่งศูนย์การแพทย์บอสตัน สหรัฐอเมริกา และเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพัฒนาการของเด็ก ได้ศึกษาพฤติกรรมของพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ๆ ที่รับประทานอาหารในร้านอาหาร พบว่า พ่อแม่ 55 คนใช้สมาร์ทโฟนในระหว่างการรับประทานอาหาร แม้ว่าเด็กจะร้องไห้ หรือแสดงพฤติกรรมที่เรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่อย่างไรก็ตาม พ่อแม่จะสนใจการพูดคุยโทรศัพท์มากกว่าลูก Dr. Radesky กล่าวว่า เด็กเรียนรู้ภาษา เรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์และการควบคุมอารมณ์ของตนเองโดยการเฝ้าดูอากัปกิริยา การสนทนา และการแสดงออกทางสีหน้าของผู้คนที่อยู่รอบตัว หากเด็กหรือพ่อแม่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่หน้าจอ เด็กจะขาดการเรียนรู้ดังกล่าวซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการในด้านต่างๆ เด็กจะต้องการให้ผู้อื่นตอบสนองต่อตนเองในแบบอย่างเดียวกับที่สมาร์ทโฟนตอบสนอง คือ ต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มีสีสัน บางครั้งอาจถึงขั้นก้าวร้าว
    ในเรื่องของอันตรายจากรังสีที่แผ่จากหน้าจอของเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ ผลการวิจัยต่าง ๆ ยังมีข้อขัดแย้งกันว่า รังสีนั้นมีผลต่อสมองหรือไม่ อย่างไร บางรายงานกล่าวว่ารังสีจากหน้าจอเครื่องมือดังกล่าว ไม่มากพอที่จะเป็นอันตรายต่อสมอง ถึงกระนั้นก็ตาม อย่าเพิ่งรู้สึกโล่งใจ มีรายงานด้วยว่าความถี่คลื่นวิทยุที่ปลดปล่อยออกมา อาจเป็นอันตรายต่อการพัฒนาสมองของเด็ก
    สมองส่วน frontal lobe ทำหน้าที่ควบคุม ความคิด ความจำ สติปัญญา บุคลิก ความรู้สึก การรับรู้ ความเข้าใจและการใช้เหตุผล การแก้ไขปัญหาและความจำในระยะยาว และส่วน temporal ทำหน้าที่ควบคุมการมองเห็น การพูด การได้ยิน และความจำเรื่องใหม่ๆ สมองทั้ง 2 ส่วนจะมีพัฒนาการไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่มีการพัฒนามากกว่าวัยอื่น สมองส่วนดังกล่าวอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับส่วนของหู วัยรุ่นเป็นวัยที่มักใช้สมาร์ทโฟนติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จึงอาจมีผลต่อสมองซึ่งเกี่ยวข้องการเรียนรู้ และการทำงานขั้นสูง
    บทความนี้มิได้ต่อต้าน หรือห้ามการใช้หรือเล่นสมาร์ทโฟนของเด็กโดยสิ้นเชิง เนื่องจากการก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ๆ ยังมีความจำเป็นในโลกปัจจุบัน ประโยชน์ของเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ ก็มีอยู่ ตัวย่างเช่น เกมส์ต่างๆ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสายตา การใช้สายตาค้นหาสิ่งของ ช่วยในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว นักวิจัยพบว่า การใช้อินเทอร์เน็ตและการเล่นเกมส์มีประโยชน์ในเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่น ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ สื่อสาร เกิดความสัมพันธ์ในระหว่างเพื่อน
    อย่างไรก็ตาม ในเด็กวัยต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรให้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมถึงสมาร์ทโฟน ทีวี คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ในเด็กที่โตขึ้น ควรจำกัดเวลาการเล่นในแต่ละวัน ไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง ผู้ปกครองควรเล่นไปด้วยกัน มีการพูดคุย โต้ตอบ เห็นหน้ากัน ไม่ควรมีสมาร์ทโฟนในห้องนอน ควรหาเกมส์ที่ส่งเสริมการสร้างคำศัพท์ต่างๆ ช่วยในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ และเรียนรู้ทางด้านภาษา เกมส์ที่ไม่รุนแรงก้าวร้าว ไม่มีการใช้กำลังต่อสู้ห้ำหั่น ทำร้ายกัน
    ในวันหยุดต่างๆ ควรมีวันที่เด็กและผู้ใหญ่ ปลอดสมาร์ทโฟน ปลอดแท็บเบล็ต พาเด็กออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ให้เด็กได้สัมผัสกับธรรมชาติ ดิน โคลน ต้นไม้ใบหญ้า ให้เท้าของเด็กได้สัมผัส ดิน โคลน หรือหญ้าบ้าง ตลอดจนเดินชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ อย่าให้ภาพในจอมาแทนภาพในชีวิตจริง อย่าให้สมาร์ทโฟนเป็นของเล่นของเด็กแทนลูกบอลหรือตุ๊กตา อย่าให้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเบล็ต เลี้ยงดูลูกแทนพ่อแม่

    [​IMG] https://www.manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9600000071811
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,055
    ค่าพลัง:
    +97,149
    คำกล่าวอ้าง “แสดงความรับผิดชอบ” ของไอซิสต่อเหตุก่อการร้าย หมายความว่าอย่างไร?
    โดย เอบีนิวส์ทูเดย์ -12 กรกฎาคม 2017
    isis-696x435.jpg

    โดยภาพรวมแล้ว กลุ่มก่อการร้ายไอซิสจะประกาศอย่างเป็นทางการถึงการโจมตีภายในหนึ่งวันที่มีเหตุโจมตีเกิดขึ้น ถึงแม้นว่า บางครั้งอาจเป็นไปได้ว่าต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่านี้ในการประกาศรับผิดชอบและยอมรับการกระทำ

    นี่คือประโยคง่ายๆที่มักจะใช้กันอย่างทั่วไปในบรรดาผู้ก่อการร้ายไอซิสในช่วงเวลาเฉพาะเจาะจงหลังเกิดเหตุการก่อการร้าย – “กลุ่มขบวนการไอซิสขออ้างความรับผิดชอบไปยังการโจมตีในครั้งนี้” – แต่ทว่า จากประโยคดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาต่างๆอย่างมากมาย เช่น คำกล่าวอ้างนี้มันเป็นคำอ้างที่เลื่อนลอยหรือไม่? และถ้าหากว่าเป็นจริง ความหมายของ “การอ้างความรับผิดชอบ” คืออะไร?

    นักวิชาการที่ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิสอย่างใกล้ชิด ออกมาให้ทัศนะว่า ในขณะที่เกิดการโจมตีต่างๆ ในตะวันตก กลุ่มขบวนการไอซิสก็จะเปิดเผยถึงคำกล่าวอ้างของตนเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้หมายความว่า มันมีความสัมพันธ์อยู่ระหว่างการโจมตีและกลุ่มไอซิส และการโจมตีครั้งนี้เป็นไปได้ว่าเกิดจากการวางแผนและเตรียมการของกลุ่มไอซิสเอง หรือว่าอาจจะเกิดมาจากกลุ่มบุคคล กลุ่มหนึ่ง ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการโฆษณาชวนเชื่อของไอซิส ดังนั้นเราจะมาทำการวิเคราะห์ถึงประโยคสั้นๆนี้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร ?

    กลุ่มก่อการร้ายไอซิสได้ทำการแอบอ้างสิ่งนี้ได้อย่างไร? พวกเขาได้ทำการเผยแพร่ที่ไหน? แล้วเราจะเข้าใจได้อย่างไรว่าในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มไอซิสเป็นผู้พูด และพูดคำนี้จริงๆ?
    ไอซิสได้อ้างตนว่าเป็นรัฐอิสลาม มีสำนักข่าวของตนเองชื่อ “สำนักข่าวอะอ์ม๊าก” ตามคำพูดของ นายโทมัส แจ็คคลิน บรรณาธิการอาวุโสของวารสาร Long war ว่า สำนักข่าวนี้ได้อ้างว่าพวกเขา “กระทำโดยเอกเทศ” แต่ทว่าความจริงแล้วเป็นเพียงแค่ปีกหนึ่งของโฆษณาชวนเชื่อของไอซิสเพียงเท่านั้น บทความของสำนักข่าวอะอ์ม๊ากได้เผยแพร่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ สถานีโทรทัศน์และเว็บไซต์ต่างๆ สำนักข่าวนี้มีอยู่ในอินเตอร์เน็ตต่างๆ ด้วยเหตุผลเช่นนี้ส่วนใหญ่จึงถูกปิดลง

    เพราะฉะนั้นแล้ว หนึ่งในหนทางผูกเรื่องราวของการโจมตีของกลุ่มไอซิสและการออกมายอมรับถึงปฏิบัติการต่างๆนั้น สามารถอ้างอิงได้ไปถึงแหล่งข่าวอะอ์ม๊ากของรัฐอิสลามไอซิส และยังมีช่องทางที่ชี้ตรงที่ยังไม่เป็นที่รู้จักสักเท่าไหร่ ในแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง ไอซิสออกมายอมรับว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โดยปราศจากสื่อกลาง

    Rita Katz ผู้อำนวยการด้านข้อมูลของเว็ปไซต์ ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ว่า “Media Publishing Foundation คือช่องอย่างเป็นทางการของกลุ่มไอซิสที่จะเผยแพร่ข้อความหรือสาส์นโดยตรงของไอซิส เมื่อคำกล่าวอ้างออกมาจากช่องสถานีนี้ มันเป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงในการแสดงบทบาทของไอซิสที่อยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา ”

    Rita Katz ได้กล่าวอีกว่า เมื่อไม่นานหลังจากการโจมตีที่แมนเชสเตอร์ในวันจันทร์ เขาได้เห็นคลื่นมหาชนคนสนับสนุนกลุ่มไอซิสเป็นจำนวนมาก ซึ่งสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามันคือสัญญานที่แข็งแกร่ง และเป็นการชี้ชัดว่า เบื้องหลังของเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนี้ก็คือกลุ่มไอซิสนั่นเอง และเป็นไปตามคาดหมาย ถัดจากนั้นหนึ่งวัน (ในวันอังคารหลังจากเหตุการณ์) กลุ่มไอซิสก็ได้ออกแถลงการณ์ยอมรับถึงการโจมนี้ครั้งนี้ สำนักข่าวอะอ์ม๊าก ก็เช่นกัน ไม่นานภายหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อธิบายต่อถึงเหตุการณ์นั้นอย่างต่อเนื่อง

    ผู้สื่อข่าวเชื่อว่า เมื่อแถลงการณ์เหล่านี้ถูกแพร่ออกมา สามารถนำไปโยงได้อย่างมั่นใจถึงแผนการของไอซิส เพราะว่ากลุ่มหัวรุนแรงต่างๆในการนำเสนอถึงข้อความ(แถลงการณ์)ของตนเองจะแสดงพฤติกรรมที่ใส่ใจเป็นอย่างมาก และจะควบคุมเครือข่ายต่างๆของตนเอง นอกเหนือจากนั้น กลุ่มไอซิสสามารถที่จะเข้าถึงสถานีวิทยุและเครือข่ายสังคมที่กำลังเป็นที่แพร่หลายในยุคปัจจุบันด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วจึงมีหลายวิธีในการแสดงบทบาทของตนเอง และเป็นไปไม่ได้ที่ว่าประเด็นนี้จะเป็นเสมือนการประกาศจุดยืนอย่างไม่เป็นทางการ

    เป็นไปได้หรือไม่ว่า จนถึงขณะนี้ การออกมายอมรับการโจมตีของกลุ่มไอซิส เมื่อพิสูจน์หลักฐานภายหลังแล้ว ปรากฏว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพวกเขาเลย ?

    Katz เชื่อว่า “จนถึงตอนนี้เรายังไม่พบถึงการโกหกในเรื่องนี้เลย ถึงแม้ว่าสื่อของพวกเขาจะถูกเฝ้าสังเกตและติดตามอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามมันค้านกับข้อเท็จจริง ซึ่งพวกเขาคือองค์กรก่อการร้ายที่พยายามนำเสนอข่าวที่ถูกต้องให้กับบรรดาผู้สนับสนุนพวกเขา”

    Jasklyn ได้กล่าวว่า “ไม่สามารถพบตัวอย่างที่ชัดเจนจากการโกหกของกลุ่มไอซิสในสหรัฐอเมริกาและประเทศยุโรปตะวันตก ถึงแม้นว่าจะมีคำพูดที่เกินจริงอยู่ ตัวอย่างเช่น จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บและล้มตายในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อมีการอ้างถึงผู้อยู่เบื้องหลังจากกลุ่มไอซิสแล้ว สามารถพิจารณาได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง” ยกตัวอย่างเรื่อง การไม่อธิบายถึงระเบิดฆ่าตัวตายในคอนเสิร์ตที่เมืองแมนแชสเตอร์ แต่นำเสนอชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเกินกว่าจำนวนของความเป็นจริง

    “การรับผิดชอบ” สำหรับการโจมตีนั้นหมายความว่าอย่างไร? กลุ่มดาอิชได้พิจารณาถึงความแตกต่างระหว่างการโจมตีแบบมีแรงบันดาลใจกับการไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่?

    Jasklyn ได้กล่าวว่า “กลุ่มไอซิสจะให้เงินแก่ (ทหารของรัฐกำมะลอ) สำหรับการโจมตี นอกเหนือจากประเด็นนี้แล้ว บางกลุ่มทำโดยปราศจากการคำนึงถึงสิ่งนี้เพื่อทำงานให้กับไอซิส หรือ บางกลุ่มเป็นเพียงการแอบอ้างชื่อของกลุ่มนี้ขึ้นมา เพื่อหาข้ออ้างในการเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์”

    เขาได้เปิดเผยต่ออีกว่า “บางกลุ่มได้ผ่านการฝึกอบรมทักษะการลอบวางระเบิดจากไอซิส กลุ่มแกนนำไอซิสในเมืองร็อกเกาะฮฺยังได้ติดต่อกับกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการฝึกฝนในยุโรปอีกด้วย และนอกจากนี้แล้วยังมีการโจมตีต่างๆ โดยกลุ่มที่ถูกรู้จักในนามหมาป่าผู้โดดเดี่ยว ในปฏิบัติการนั้นด้วย กลุ่มเหล่านี้ได้ปฏิบัติงานเป็นเอกเทศซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มไอซิสนั่นเอง”

    Jasklyn กล่าวว่า “คุณสามารถที่จะพบเจอกับกลุ่มบุคคลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับกลุ่มไอซิสเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอย่างน้อยเรื่องนี้เราค่อนข้างจะมั่นใจได้ บางส่วนได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มไอซิส ซึ่งในความเป็นจริงไม่ได้มาจากพวกนั้นโดยตรงแต่อย่างใด” ผู้ร้ายที่ทำการโจมตีและกราดยิงใส่ผู้คนจำนวนมากในซานเบอร์นาดิโน แคลิฟอร์เนีย ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มไอซิสเช่นกัน แต่ทว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้โดยตรงแต่อย่างใด ซึ่งกลุ่มไอซิสเองก็พอใจที่จะประกาศว่านี่คือแผนการที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว

    กลุ่มไอซิสมักจะออกมาประกาศความรับผิดชอบเมื่อไหร่ ?

    กลุ่มไอซิสโดยส่วนใหญ่แล้วจะประกาศภายในหนึ่งวัน ถึงแม้ว่าจะมีบางครั้งที่จะใช้เวลานานหลายวันเพื่อยืนยันในสิ่งนี้ ถ้าหากกลุ่มไอซิสออกมาแถลงการณ์ทันทีหลังจากเกิดเหตุการณ์เพียงไม่นาน และถ้าหากมีการบันทึกวิดีโอโดยผู้ก่ออาชญากรรม และถ้าหากกลุ่มนี้ได้จัดฉากถึงชื่อของผู้โจมตีและรายละเอียดอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วการกระทำในทำนองนี้นั้น กลุ่มไอซิสได้วางแผนเอาไว้อย่างแยบยลมาแล้ว

    ในทางตรงกันข้ามอีกเช่นกัน หากการประกาศนั้นล่าช้ากว่าปกติ ถ้าหากไม่มีรายละเอียดมากมายนักในเรื่องนี้ และถ้าหาก ว่าข่าวออกมาจากเพียงสำนักข่าวอะอ์ม๊าก และไม่ได้ประกาศโดยตรงจากกลุ่มไอซิสเอง สามารถที่จะสันนิฐานได้ว่าก่อนหน้านี้นั่นกลุ่มดาอิชเองก็ไม่ทราบข่าวการโจมตีนี้

    กลุ่มไอซิสได้แอบอ้างทุกๆการโจมตีใช่หรือ?

    Jasklyn กล่าวว่า ไม่ ด้วยกับเหตุผลที่ยังไม่เป็นที่แน่ชัด กลุ่มไอซิสบางครั้งไม่ได้แอบอ้างถึงการโจมตีในขณะที่มีหลักฐานแน่นอนว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับไอซิส เพราะฉะนั้นหมายความว่า ถ้าหากไม่มีการออกมายอมรับผิดชอบของไอซิสแล้ว ไม่จำเป็นเสมอไปว่าการโจมตีจะเกิดมาจากการวางแผนของไอซิส หรือถูกประกาศมาจากกลุ่มไอซิส

    การแอบอ้างที่ไม่ได้รับการยืนยัน หมายความว่าอย่างไร?

    ไม่จำเป็นต้องอธิบายเลยว่า บรรดานักวิเคราะห์จะไม่ยอมรับทุกๆการออกมายอมรับผิดชอบของไอซิสโดยปราศจากการตรวจสอบและวิเคราะห์ Jasklyn กล่าวว่า “พวกเขาจะมองไปยังการแอบอ้างนี้และประโยคคำพูดของผู้ก่อการร้าย พวกเขาจะสืบค้นและพิจารณาความเกี่ยวข้องทางโลกออนไลน์กับไอซิส และจะรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับผู้ที่มีอิทธิพลต่อไอซิส เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแอบอ้างนี้”

    ส่วนใหญ่แล้วการค้นคว้าเรื่องการแอบอ้างของไอซิสนี้ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่การตรวจสอบค้นคว้านี้ถือเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะมันช่วยกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์และกรอบแนวคิดของไอซิส ด้วยเหตุนี้เองที่ส่วนใหญ่แล้ว เรื่องราวของการออกมายอมรับผิดชอบของไอซิสจึงมีการเปลี่ยนแปลง และเป็นไปได้ว่านี้มันเกิดมาจากขบวนการเคลื่อนไหวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการโจมตีของไอซิสเพียงเท่านั้น ไม่ได้มาจากไอซิสโดยตรง

    Source: tasnimnews
    http://www.abnewstoday.com/11408
    เอบีนิวส์ทูเดย์
    http://www.abnewstoday.com
    เอบีนิวส์ทูเดย์ยินดีเป็นอย่างยิ่งให้นำข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ของเราไปเผยแพร่ แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องให้เครดิตกับเอบีนิวส์ทูเดย์สำหรับเนื้อหาทุกชิ้นที่นำไปเผยแพร่

    http://www.abnewstoday.com/11408
     

แชร์หน้านี้

Loading...