ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    กาตาร์เตือน “นโยบายปิดล้อม” ของซาอุฯ บั่นทอนภารกิจปราบปราม IS
    เผยแพร่: 18 ต.ค. 2560 14:22:00
    560000010996601.jpg
    รอยเตอร์ - รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศกาตาร์เอ่ยเตือนวานนี้ (17 ต.ค.) ว่ามาตรการปิดล้อมทางเศรษฐกิจที่ซาอุดีอาระเบียและชาติพันธมิตรใช้กับกาตาร์ส่งผลเสียต่อปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำ

    ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) อียิปต์ และบาห์เรน ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับกาตาร์มาตั้งแต่เดือน มิ.ย. และยังปิดกั้นการคมนาคมขนส่งทุกช่องทางกับโดฮา ซึ่งนอกจากจะเป็นประเทศผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเบอร์หนึ่งของโลกแล้ว ยังเป็นที่ตั้งฐานทัพขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคตะวันออกกลางด้วย

    ทั้ง 4 ชาติกล่าวหากาตาร์ว่าฝักใฝ่อิหร่านและหนุนหลังพวกอิสลามิสต์ ซึ่งผู้ปกครองกาตาร์ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ขณะที่สหรัฐฯ เองก็พลอยตกที่นั่งลำบาก เนื่องจากคู่กรณีทุกประเทศล้วนแต่เป็นพันธมิตรของอเมริกาทั้งสิ้น

    ผู้สื่อข่าวซีเอ็นบีซีอินเตอร์เนชันแนลได้สอบถาม ชัยค์ โมฮัมเหม็ด บิน อับดุรเราะห์มาน อัษ-ษานี รัฐมนตรีต่างประเทศกาตาร์ ว่าวิกฤตการทูตครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อสงครามปราบปรามไอเอสบ้างหรือไม่ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า “กระทบแน่นอน”

    ชัยค์ โมฮัมเหม็ด อธิบายว่า การที่ซาอุดีอาระเบียสั่งปิดพรมแดนทางบกกับกาตาร์ได้สร้างความยากลำบากต่อการนำเข้าอาหารและยารักษาโรค ซึ่งบางส่วนจะถูกส่งไปยังฐานทัพอากาศ อัล-อูเดอิด ของสหรัฐฯ

    มาตรการปิดน่านฟ้ายังทำให้เครื่องบินกาตาร์ที่จะลำเลียงสิ่งของมายังฐานทัพอากาศแห่งนี้ต้องบินขึ้นเหนือไปทางอิหร่านเท่านั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่กาตาร์ที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ ต่อสู้ไอเอส หรือทำงานให้กับกองเรือที่ 5 ของสหรัฐฯ ในบาห์เรน ก็ยังถูกเนรเทศด้วย

    “เพราะฉะนั้น จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่บั่นทอนความพยายามของนานาชาติในการต่อสู้พวกดาเอช (Daesh)” ชัยค์ โมฮัมเหม็ด กล่าว โดยใช้ชื่อย่อของไอเอสในภาษาอาหรับ

    รัฐมนตรีผู้นี้ระบุว่า กาตาร์พยายามขอเจรจาเพื่อคลี่คลายวิกฤต แต่ซาอุดีอาระเบียกลับมุ่งมั่นที่จะทำลายเสถียรภาพของกาตาร์ให้ได้

    “พวกเขาพยายามทำให้เรื่องราวบานปลาย โดยมีเป้าหมายเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองของกาตาร์ รวมถึงอื่นๆ ด้วย”

    ทั้งซาอุฯ และยูเออีต่างยืนยันเสียงแข็งว่าไม่เคยคิดโค่นล้มรัฐบาลโดฮา

    รัฐบาลคูเวตพยายามทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างชาติอาหรับ ขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก็เคยเสนอตัวเป็นคนกลางช่วยพูดอีกแรง
    560000010996602.jpg

    https://mgronline.com/around/detail/9600000106213
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    บาห์เรนกล่าวหาอิหร่านให้ที่ลี้ภัย “ผู้ก่อการร้าย” เผยแพร่: 18 ต.ค. 2560 16:43:00 ปรับปรุง: 18 ต.ค. 2560 17:11:00 โดย: MGR Online
    560000011016601.jpg
    เอเอฟพี - รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของบาห์เรนกล่าวหาอิหร่านให้ที่ลี้ภัยชาวบาห์เรน 160 คนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานก่อการร้ายและเพิกถอนสถานะพลเมืองของพวกเขาแล้ว ในบทสัมภาษณ์ที่ถูกเผยแพร่ในวันนี้ (18 ต.ค.)

    ผู้หลหนีทั้ง 160 คนถูกเพิกถอนสถานะพลเมืองใน “คดีก่อการร้าย” ที่มุ่งเป้าตำรวจบาห์เรนและกองกำลังความมั่นคง ชัยค์ ราเชด อัล-คาลิฟะห์ บอกกับหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอาหรับ อาชาร์ค อัล-ออว์ซัต

    เขากล่าวหาว่า หน่วยพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่านฝึกฝนกลุ่มนี้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานก่อเหตุโจมตีที่ทำให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคง 25 คนเสียชีวิต และอีก 3,000 คนได้รับบาดเจ็บ อ้างจาก อาชาร์ค อัล-ออซัต

    บาห์เรน ราชอาณาจักรที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวชีอะห์ แต่ถูกปกครองโดยราชวงศ์สุหนี่มีความรุนแรงเกิดขึ้นนานๆ ครั้งนับตั้งแต่การปราบปรามการประท้วงเรียกร้องระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งเมื่อปี 2011

    หลังจากนั้นทางการได้ยกระดับการควบคุมผู้เห็นต่าง จำคุกผู้ประท้วงหลายร้อยคน และเพิกถอนสถานะพลเมืองนักเคลื่อนไหวและนักการศาสนาชื่อดัง

    บาห์เรนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากเรื่องการปฏิบัติต่อผู้ประท้วงแต่ยืนกรานว่า พวกเขาไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อชาวชีอะห์ของประเทศ

    ราชอาณาจักรแห่งนี้ พันธมิตรรายสำคัญของสหรัฐฯที่ตั้งอยู่ตรงข้ามฝั่งทะเลกับอิหร่าน มักกล่าวหาอิหร่านว่าก้าวก่ายกิจการภายใน ข้อกล่าวหาที่เตหะรานปฏิเสธ

    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯผ่อนคลายข้อจำกัดการขายอาวุธให้กับบาห์เรนที่เมื่อวานนี้ (17) ประกาศว่า พวกเขาลงนามข้อตกลงมูลค่า 3.8 พันล้านดอลลาร์กับบริษัทสหรัฐฯ ล็อกฮีด มาร์ติน เพื่อจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ F-16 รุ่นใหม่ 16 ลำ

    บาห์เรนเป็นที่ตั้งของกองเรือที่ 15 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ และฐานทัพบกของอังกฤษแห่งหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างในเวลานี้

    https://mgronline.com/around/detail/9600000106318
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    InPics : ร้ายแรงที่สุดในรอบปี!! ตอลีบานออกโจมตีทั่วอัฟกานิสถานใน 3 ภูมิภาค ดับไม่ต่ำกว่า 74 ภายในแค่วันเดียว เผยแพร่: 18 ต.ค. 2560 15:25:00
    560000011004701.jpg
    เอพี/รอยเตอร์ - เมื่อวานนี้(17 ต.ค) จังหวัดต่างๆทั่วอัฟกานิสถานตก ที่พบว่าเป็นการโจมตีเกิดขึ้นในภาคใต้ ตะวันออก และตะวันตก ซึ่งมีกลุ่มก่อการร้ายตอลีบานเป็นผู้ลงมือ ทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 74 ราย รวมไปถึงผู้บัญชาการตำรวจอัฟกานิสถาน และมีผู้บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ส่วนมือก่อเหตุอย่างน้อย 5 คนถูกฆ่าระหว่างปะทะกับเจ้าหน้าที่

    เอพีรายงานเมื่อวานนี้(17 ต.ค)ว่า ตอลีบานลงมือก่อเหตุในทางใต้ ทางตะวันออก และทางตะวันตก ของอัฟกานิสถานในวันอังคาร(17 ต.ค) ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิตยอดรวมไม่ต่ำกว่า 74 ราย โดยมูราด อาลี มูราด( Murad Ali Murad) ผู้ช่วยรัฐมนตรีมหาดไทยอัฟกานิสถาน ออกมายอมรับว่า เหตุการณ์โจมตีที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้(17 ต.ค) ถือเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบปี

    ซึ่งในการเปิดแถลงข่าว มูราดชี้ว่า เฉพาะแค่การโจมตี 2 แห่งที่จ.กาซนี และจ.ปัคเตีย พบว่า ก่อการร้ายสังหารไปถึง 71 คน

    ทั้งนี้รอยเตอร์รายงานว่า การโจมตีครั้งร้ายแรงสุดของวันอังคาร(17 ต.ค)เกิดขึ้นที่ศูนย์ฝึกตำรวจเมืองการ์เดซ(Gardez) เมืองเอกของ จ.ปัคเตีย(Paktia)

    พบคาร์บอมบ์ 2 คันช่วยเปิดทางให้กลุ่มมือปืนติดอาวุธสามารถบุกเข้าไปด้านในสำเร็จ แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่อัฟกัน และเจ้าหน้าที่กองัพกล่าว

    รอยเตอร์ยืนยันว่า มีตำรวจอย่างน้อย 21 นายถูกสังหาร รวมไปถึงผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดปัคเตีย ที่ทางเอพีให้ชื่อคือ ตอร์ยาไล อับดยาน(Toryalai Abdyan) และมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวน 48 คน แหล่งข่าวรัฐบาลอัฟกันให้ข้อมูล

    กระทรวงมหาดไทยอัฟกานิสถานแถลงว่า ในเหตุโจมตีที่เกิดขึ้น ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตถึง 20 ราย และบาดเจ็บร่วม 110 คน ส่วนเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอัฟกันสามารถสังหารมือปืนผู้ก่อเหตุได้อย่างต่ำ 5 คน

    ทั้งนี้โรงพยาบาลประจำเมือง โรงพยาบาลเมืองการ์เดซ มีตัวเลขรับผู้บาดเจ็บเข้ารักษาไม่ต่ำกว่า 130 คน ผู้ช่วยผู้อำนวยการสาธารณสุขอัฟกานิสถาน เฮดายาตุลลาห์ ฮามีดี(Hedayatullah Hameedi) กล่าว

    ด้านนักศึกษาประจำมหาวิทยาลัยปัคเตีย ฮัมซา อัคมฮาล(Hamza Aqmhal) ได้ให้ข้อมูลถึงช่วงเวลาการโจมตีว่า เขาได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้อง ที่ทำลายหน้าต่างและกระจกของอาคารที่เขาอยู่ในขณะนั้นจนแตกละเอียด ซึ่งตัวมหาวิทยาลัยนั้นตั้งอยู่ห่างจากศูนย์ฝึกตำรวจอัฟกันไปแก่ 1.25 ไมล์เท่านั้น

    เอพีชี้ว่านักศึกษารายนี้ได้รับบาดเจ็บเช่น แต่เป็นอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจากถูกกระจกบาด

    ในขณะที่สมาชิกรัฐสภาที่มาจากจ.ปัคเตีย มูจีบ ราห์มาน ชามคนี(Mujeeb Rahman Chamkni) ให้ข้อมูลว่า นอกเหนือจากผู้บัญชาการตำรวจประจำจังหวัดปัคเตียจะเสียชีวิตแล้ว พบว่าเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยของเขาบางส่วนถูกสังหารด้วยเช่นกัน ซึ่งในการให้ข้อมูล สส.อัฟกันชี้ว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นประชาชนที่เข้ามาติดต่อศูนย์ราชการ ซึ่งมีศูนย์ออกเอกสารหนังสือเดินทางอัฟกันตั้งภายในศูนย์ราชการแห่งนี้

    และที่อื่นเมื่อวานนี้(17 ต.ค) อ้างอิงจากรอยเตอร์ พบว่ากลุ่มตอลีบานได้ลงมือโจมตีศูนย์เขตในจ.กาซนี(Ghazni) ที่ตั้งอยู่ใกล้กัน ด้วยการจุดชนวนระเบิดยานยนต์หุ้มเกราะฮัมวีที่อัดแน่นไปด้วยระเบิดใกล้กับที่ว่าการจังหวัด

    ในการโจมตีรอบนี้ แหล่งข่าวในพื้นที่ชี้ว่า มีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงรัฐบาลอัฟกานิสถาน 15 คนถูกสังหาร และอีก 12 นายได้รับบาดเจ็บในกาซนี ส่วนพลเรือน แหล่งข่าวชี้ มีผู้เสียชีวิต 13 คน และบาดเจ็บอีก 7 คน

    ด้านก่อการร้ายตอลีบานส่งเสียงแถลงประสบความสำเร็จ สามารถสังหารเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอัฟกันได้ 31 นาย และทำให้ได้รับบาดเจ็บอีก 21 นายในการปะทะ

    ซึ่งพบว่า มีรายงานการต่อสู้เกิดขึ้นใกล้กับศูนย์ราชการท้องถิ่นในจ.ฟาราห์(Farah) และจ.กันดาฮาร์(Kandahar) โดยเอพีชี้ว่า มีตำรวจพื้นที่ 3 นายเสียชีวิต โดยการลงมือก่อเหตุทั้งหมด 3 จุด กลุ่มก่อการร้ายตอลีบานออกแถลงการณ์แสดงความรับผิดชอบ
    560000011004702.jpg
    560000011004703.jpg
    560000011004704.jpg
    560000011004705.jpg
    560000011004706.jpg
    560000011004707.jpg
    560000011004708.jpg

    https://mgronline.com/around/detail/9600000106259
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    In Clip : ตำรวจเกาหลีใต้บุกค้น “บริษัทก่อสร้างซัมซุง” สางคดียักยอก หลังพบแอบใช้เงินบริษัทปรับปรุงบ้านประธานกรรมการ
    เผยแพร่: 18 ต.ค. 2560 17:44:00

    560000011007701.jpg
    เอเอฟพี - วันนี้(18 ต.ค) ตำรวจเกาหลีใต้บุกเข้าค้นยูนิตก่อสร้างของกลุ่มซัมซัม กรุ๊ป เพื่อตรวจสอบคดียักยอกที่อื้อฉาว หลังพบมีการเคลื่อนย้ายเงินของบริษัทไปใช้ส่วนตัว เพื่อทำการปรับปรุงบ้านพักของประธานกรรมการ ลี คุน-ฮี

    เอเอฟพีรายงานวันนี้(18 ต.ค)ว่า โฆษกหญิงบริษัทก่อสร้างซัมซุง ซัมซุง ซีแอนด์ที (Samsung C&T) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของกลุ่มซัมซุง กรุ๊ป ออกมายืนยันข่าวที่ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนเกาหลีใต้ 10 นาย เดินทางบุกเข้าตรวจค้นสำนักงานของทางบริษัทที่ตั้งอยู่ย่านชานเมืองกรุงโซลทางใต้จริง

    “ทางบริษัทตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการลอบเคลื่อนย้ายจำนวนเงินมูลค่าหลายพันล้านวอน( หลายล้านดอลลาร์) ออกจากบริษัท เพื่อนำไปทำการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้านพักส่วนตัวประธานกรรมการ ลี คุน-ฮี(Lee Kun-Hee)” เจ้าหน้าที่สอบสวนเกาหลีใต้กล่าวกับเอเอฟพี

    เอเอฟพีรายงานว่า สำหรับตัว ลี คุน-ฮี นั้นต้องอยู่แต่บนเตียงหลังจากประสบปัญหาด้วยโรคหัวใจวายตั้งแต่ปี 2014

    ในขณะที่บุตรชายและทายาน ลี แจ-ยัง(Lee Jae-Yong) ถูกจับกุมตั้งแต่เดือนสิงหาคม ในคดีการจัดหาเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ให้กับชอย ซุน-ซิล( Choi Soon-Sil)คนสนิทของอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ พัคกึนเฮ เพื่อหวังได้ความไว้วางใจและได้รับการเอื้อประโยชน์จากทำเนียบสีน้ำเงินในเวลานั้น ซึ่งถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 5 ปี

    เอเอฟพีรายงานว่า นอกจากคดีของซัมซุงแล้ว พบว่าตำรวจเกาหลีใต้ยังได้สอบสวนคดี โช ยาง-โฮ(Cho Yang-HoX ประธานสายการบินโคเรียนแอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของฮานจิน กรุ๊ป (Hanjin Group) ที่แอบนำเงินบริษัทมาทำการปรับปรุงบ้านพักส่วนตัวเช่นกัน

    ทั้งนี้พบว่าทางเกาหลีใต้สามารถตรวจพบความผิดปกติทางกาเงินเหล่านี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการสอบสวนคดีบริษัทตกแต่งภายในที่อื้อฉาวในคดีเลี่ยงภาษีจนนำไปสู่การค้นพบการยักยอกเงินของประธานบริษัททั้งสองแห่งในเวลาต่อมา

    https://mgronline.com/around/detail/9600000106346
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เกาหลีเหนือเผยมีแผนจะปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศอีกหลายดวง
    เผยแพร่: 18 ต.ค. 2560 20:29:00
    560000011026101.jpg
    เอเจนซีส์ - รองเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติระบุเมื่อวันอังคาร (17 ต.ค.) ว่าประเทศของเขามีแผนจะปล่อยดาวเทียมอีกหลายดวง พร้อมกล่าวหาอเมริกาว่าพยายามจะปิดกั้นความพยายามในการช่วยพัฒนาอย่างสันตินอกโลก

    คิม อิน รยอง กล่าวต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ถึงประเด็นการหารือเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศในการใช้ประโยชน์จากอวกาศอย่างสันติว่า ประเทศของเขามีแผน 5 ปี สำหรับช่วง 2016 - 2020 อาทิ การใช้ดาวเทียมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คน

    อย่างไรก็ตาม คิมบอกว่าอเมริกานั้นเอาแต่โวยวายหาว่าการพัฒนาด้านอวกาศของเกาหลีเหนือนั้นผิด โดยอ้างว่าเป็นการละเมิดต่อมติของยูเอ็น

    "อเมริกาเป็นประเทศทีมีการปล่อยดาวเทียมมากที่สุด แถมดันมาอ้างว่าการปล่อยดาวเทียมของเราเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ นี่เป็นการกล่าวหาที่ประหลาดมากๆ แถมยังสองมาตรฐานแบบสุดๆ" คิมกล่าว

    ทั้งนี้ สหประชาชาติ อเมริกา รวมถึงประเทศอื่นๆ มองโครงการพัฒนาด้านอวกาศของเกาหลีเหนือว่าเป็นแค่ฉากบังหน้าการทดสอบเทคโนโลยีขีปนาวุธ

    นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังแสดงออกชัดเจนว่าพัฒนาขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ที่สามารถยิงได้ไกลถึงสหรัฐฯ อย่างไม่มีท่าทีปิดบัง

    https://mgronline.com/around/detail/9600000106391
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    โสมแดงขู่สงครามนิวเคลียร์พร้อมปะทุ 17 ตุลาคม 2560

    ผู้ช่วยทูตโสมแดงประจำยูเอ็นเผย สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีไม่แน่นอน สงครามนิวเคลียร์อาจปะทุได้ทุกเมื่อ

    นายคิม อิน เรียง ผู้ช่วยทูตเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แถลงต่อคณะกรรมการลดอาวุธว่า เกาหลีเหนือสนับสนุนการขจัดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด และความพยายามลดอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก แต่ไม่สามารถลงนามในสนธิสัญญาห้ามใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้เนื่องจากภัยคุกคามจากสหรัฐ ไม่มีประเทศใดในโลกเจอภัยคุกครามนิวเคลียรจากสหรัฐอย่างรุนแรงโดยตรงยาวนานเช่นนี้

    ผู้ช่วยทูตโสมแดงเตือนด้วยว่า สหรัฐอยู่ในพิสัยการโจมตีหากยังกล้ารุกล้ำดินแดนศักดิ์สิทธิ์แม้แต่นิ้วเดียว จะไม่มีทางรอดพ้นถูกลงโทษอย่างรุนแรงไปได้

    ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ (15 ต.ค.) นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า จะใช้ความพยายามทางการทูตแก้ปัญหาเกาหลีเหนือต่อไปจนกว่าจะทิ้งระเบิดลูกแรก

    http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/777296
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    In Clip:ด่วน!! รมว.มหาดไทยโปรตุเกสหน้าบาง ยอมลาออกเซ่นเหตุไฟป่าสุดสัปดาห์ สยองดับเกิน 100 เผยแพร่: 18 ต.ค. 2560 21:08:00
    560000011014201.jpg
    เอเอฟพี/เอพี/เอเจนซีส์ - รัฐมนตรีมหาดไทยโปรตุเกส รัฐมนตรีมหาดไทยโปรตุเกส คอนสตานกา เออร์บาโน เดอ ซูซา (Constanca Urbano de Sousa)ยอมลาออกแล้วในวันนี้(18 ต.ค) หลังมีเสียงวิจารณ์กดดันมากขึ้นต่อความสามารถรัฐบาลโปรตุเกสในการจัดการไฟป่าครั้งร้ายแรง ทำให้มีผู้เสียชีวิตล่าสุด 106 ราย

    เอเอฟพีรายงานวันนี้(18 ต.ค)ว่า สำนักงานนายกรัฐมนตรีโปรตุเกสออกแถลงการณ์วันพุธ(18 ต.ค)ว่า นายกรัฐมนตรีพรรคโซเชียลลิสต์ อันโตนิโอ คอสตา(Antonio Costa)ยอมรับใบลาออกจากรัฐมนตรีมหาดไทยโปรตุเกส คอนสตานกา เออร์บาโน เดอ ซูซา(Constanca Urbano de Sousa)แล้ว

    โดยในจดหมายลาออกของรัฐมหาดไทยหญิง เอพีชี้ว่า เออร์บาโน เดอ ซูซา อ้างว่า ***ในความเป็นจริงแล้ว เธอต้องการลาออกตั้งแต่มีจำนวนผู้เสียชีวิต 64 รายในเหตุไฟป่าเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่เธอชี้ว่า เป็นเพราะนายกรัฐมนตรีคอสตาได้ห้ามไว้ และเออร์บาโน เดอ ซูซา ยังชี้ต่อว่า แต่ทว่าเธอได้ร้องขอการลาออกอีกครั้งเมื่อเกิดเหตุไฟป่าครั้งใหม่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 42 ราย*** :

    “ถึงแม้ว่าโศกนาฎกรรม(สุดสัปดาห์ล่าสุด)จะเกิดมาจากหลายปัจจัย แต่ทำให้ดิฉันมาถึงจุดที่ว่า ดิฉันไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ในทั้งเหตุผลทางการเมืองและส่วนตัว” รายงานจากจดหมายลาออกของ คอนสตานกา เออร์บาโน เดอ ซูซา ที่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์รัฐบาลโปรตุเกส

    ซึ่งยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากเหตุไฟป่า เอพีรายงานว่า อยู่ที่ 106 คน

    ทั้งนี้ในวันอาทิตย์(15 ต.ค) ระลอกของไฟป่าครั้งร้ายแรงเกิดปะทุทางตอนกลางและตอนเหนือของโปรตุเกส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 41 ราย และบาดเจ็บอีก 71 ราย หน่วยงานป้องกันพลเรือนโปรตุเกสแถลง

    ในขณะเดียวกันไฟป่าในสเปนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้กัน เดลิเมล สื่ออังกฤษชี้ว่า ยอดตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 5 ราย ซึ่งพบว่า ไฟป่าสเปนนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์ และถูกทำให้ลุกลามโดยพายุเฮอริเคนโอฟีเลีย(Hurricane Ophelia)

    ซึ่งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีนักผจญเพลิงไม่ต่ำกว่า 500 นายเข้าทำหน้าที่ดับไฟป่าที่ลุกโหมในทั้ง 2 ประเทศ

    เอเอฟพีชี้ว่า จากปัญหาไฟป่าโปรตุเกส ซึ่งเป็นเพราะยอดเสียชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นในวันจันทร์(16 ต.ค)ส่งผลทำให้พรรคปีกขวาโปรตุเกสออกมาเรียกร้องให้รัฐมนตรีมหาดไทยหญิงแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก

    ซึ่งในตอนแรก พบว่านายกรัฐมนตรีโปรตุเกสปัดข้อเรียกร้องนั้น แต่ดูเหมือนในวันนี้(18 ต.ค) คอสตาจะยอมเปลี่ยนใจ

    เอเอฟพีรายงานว่า ในค่ำวันอังคาร(17 ต.ค) ประชาชนโปรตุเกสจำนวนหลายร้อยรวมตัวที่กรุงลิสบอนท่ามกลางฝนที่กระหน่ำลงมา แสดงพลังความโกรธต่อการจัดการปัญหาไฟป่าของรัฐบาลลิสบอน ผู้ประท้วงต่างตะโกนฝ่าสายฝนว่า “ช่างน่าละอาย” และ “ลาออกไปซะ”

    ทั้งนี้พบว่าการประท้วงที่เกิดขึ้นเป็นการจัดการผ่านเฟซบุ๊ก

    ซึ่งในวันจันทร์(16 ต.ค) นายกรัฐมนตรีโปรตุเกสออกมาให้คำมั่น ถึงมาตรการจัดการที่จะป้องกันการเกิดไฟป่าครั้งใหม่ หลังจากที่เคยเกิดก่อนหน้าในเดือนมิถุนายนล่าสุด ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 64 คน และบาดเจ็บ 250 คน ที่ภาคกลางของโปรตุเกส ภูมิภาคเปโดรเกา กรานเด (Pedrogao Grande)

    โดยทางอันโตนิโอ คอสตายืนยันว่า “จะมีการปฎิรูปตั้งแต่รากฐาน” ในการจัดการไฟป่าและบริหารป่าไม้

    แต่ทว่าในวันถัดมา ประธานาธิบดีโปรตุเกสจากพรรคอนุรักษ์ มาร์เซโล รีเบโล เดอ ซูซา(Marcelo Rebelo de Sousa) เรียกร้องให้รัฐบาลโซเชียลลิสต์ของคอสตา “ต้องรับผิดชอบต่อผลที่ตามมาในโศกนาฎกรรมนี้”

    เอเอฟพีรายงานว่า เริ่มตั้งแต่วันอังคาร(17 ต.ค) รัฐบาลโปรตุเกสประกาศให้มีการไว้อาลัยเป็นเวลา 3 วัน
    560000011014202.jpg
    560000011014203.jpg
    560000011014204.jpg







    https://mgronline.com/around/detail/9600000106395
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เปิดข้อมูลลับสังหารหมู่อินโดนีเซีย แฉมะกันดูดายทั้งรู้คนตายหลายแสน
    เผยแพร่: 18 ต.ค. 2560 21:45:00
    560000011029701.jpg

    ภาพจากแฟ้มถ่ายเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 1965 ขณะพวกสมาชิกของกลุ่มเยาวชนของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (เปมูดา รัคจัต) ถูกทหารคุมตัวส่งเข้าคุกในกรุงจาการ์ตา ภายหลังการปราบปรามกวาดล้างคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายครั้งมโหฬาร ซึ่งติดตามมาหลังเหตุการณ์ที่กล่าวหากันว่าคอมมิวนิสต์พยายามก่อรัฐประหารยึดอำนาจตอนต้นเดือนนั้น ทั้งนี้จากแฟ้มเอกสารลับของสหรัฐฯซึ่งเพิ่งถูกเปิดเผยออกมาระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯในเวลานั้นทราบดีรวมทั้งสนับสนุนการรณรงค์กวาดล้างของกองทัพอินโดนีเซีย ซึ่งเข่นฆ่าพลเรือนไปหลายแสนคน ในช่วงกลางทศวรรษ 1960
    บีบีซีนิวส์ – แฟ้มเอกสารที่เคยเป็นข้อมูลลับแฉอเมริกาปิดปากเงียบสนิททั้งที่รู้เต็มอกว่า เหยื่อหลายแสนคน “ถูกส่งไปฆ่า” ระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างทางการเมืองในอินโดนีเซียช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งเลวร้ายที่สุดของโลกในศตวรรษที่ 20

    เอกสารที่มีการเปิดเผยล่าสุดฟ้องว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันในแดนอิเหนาส่งรายงานทางการทูตถึงรัฐบาลสหรัฐฯบอกเล่า “การสังหารหมู่” และ “การฆ่าไม่เลือกหน้า” ของกองทัพอินโดนีเซียระหว่างการกวาดล้างคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายระหว่างปี 1965-1966 ซึ่งคาดกันว่า น่าจะมีผู้เสียชีวิตมากถึง 3 ล้านคน
    เหตุการณ์สังหารหมู่ดังกล่าว ซึ่งยังเป็นประเด็นต้องห้ามในอินโดนีเซียจนถึงวันนี้ บังเกิดขึ้นหลังจากมีการกล่าวหาว่า พรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียสังหารนายพล 6 คน และพยายามก่อรัฐประหารยึดอำนาจในช่วงปลายเดือนกันยายน 1965 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามเย็นระอุถึงขีดสุด เช่นเดียวกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ ฝ่ายทหาร และกลุ่มอิสลามในแดนอิเหนา

    ห้าทศวรรษต่อมา เหตุการณ์ป่าเถื่อนเลวร้ายครั้งนั้นได้รับการตีแผ่จากการเปิดเผยเนื้อหาในรายงานของเจ้าหน้าที่อเมริกัน

    โทรเลขรายงานฉบับหนึ่งจากเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน ซึ่งขณะนั้นอยู่ในชวาตะวันออก ลงวันที่ 28 ธันวาคม 1965 ระบุว่า “เหยื่อถูกนำตัวจากย่านที่มีคนอยู่หนาแน่นไปฆ่าและฝังศพไว้ แทนการโยนทิ้งลงแม่น้ำแบบที่เคยทำมา”

    เนื้อความในโทรเลขยังระบุว่า นักโทษบางคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ถูกนำตัวไปให้พลเรือนสังหารหมู่

    560000011029702.jpg

    ภาพจากแฟ้มถ่ายเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2016 ขณะ อัสโรรี (ซ้าย) และ สุการ์ (ขวา) ประจักษ์พยานผู้เห็นเหตุการณ์การสังหารพวกสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ในท้องถิ่นเมื่อปี 1965 กำลังช่วยกันเก็บกวาดใบไม้รอบๆ อนุสาวรีย์ซึ่งสร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นหลุมฝังศพหมู่ ณ หมู่บ้านพลุมบอน จังหวัดชวากลาง ของอินโดนีเซีย

    เอกสารอีกฉบับที่เลขานุการเอกของสถานทูตสหรัฐฯ เก็บรวบรวมและลงวันที่ 17 ธันวาคม 1965 ระบุรายชื่อผู้นำคอมมิวนิสต์ทั่วอินโดนีเซียที่ถูกจับกุมหรือสังหาร

    โทรเลขอีกฉบับที่ส่งจากสถานกงสุลอเมริกันในเมืองเมดาน บนเกาะสุมาตรา ระบุว่า พวกนักการศาสนาของมูฮัมมาดียะฮ์ ซึ่งเป็นองค์กรอิสลามนิกายสุหนี่ ป่าวประกาศกับประชาชนว่า การฆ่าผู้ต้องสงสัยเป็นคอมมิวนิสต์เป็นหน้าที่ของชาวมุสลิมและ “ไม่ต่างอะไรกับการเชือดไก่” ซึ่งโทรเลขดังกล่าวตีความว่า เป็น “การอนุญาตล่าสังหารอย่างกว้างขวาง”

    นอกจากนี้ยังมีโทรเลขอีกฉบับตั้งข้อสังเกตว่า ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนไม่น้อยถูกกลุ่มยุวชนของกลุ่มนะห์ดาตุล อุลามะ สังหารจากความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัว

    แบรด ซิมป์สัน ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโครงการอินโดนีเซีย แอนด์ อีสต์ ติมอร์ ด็อกกิวเมนเตชัน ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้มีการเปิดเผยเอกสารเหล่านี้ กล่าวว่า เอกสารเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างละเอียดว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันรับรู้ว่า มีคนมากมายถูกฆ่า แต่รัฐบาลในวอชิงตันขณะนั้นกลับเพิกเฉย

    แอนเดรียส์ ฮาร์โซโน นักวิจัยของกลุ่มฮิวแมน ไรต์ส วอตช์ ขานรับว่า การวิจัยที่ครอบคลุมของตนพบว่า รัฐบาลสหรัฐฯ สมัยนั้นไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับการสังหารหมู่ในอินโดนีเซียเลย

    ซิมป์สันยังบอกอีกว่า คนมากมายในอินโดนีเซียอยากรู้ความจริง หลังจากอยู่ภายใต้การโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์มานานหลายปี

    560000011029703.jpg

    ภาพถ่ายเมื่อวันอาทิตย์ (15 ต.ค.) ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นผู้ไปเที่ยวชมมองดูหุ่นจำลองบรรยายการทรมานและการสังหารนายพล 6 คนและนายทหารชั้นรองลงมาอีก 1 คน ในการก่อรัฐประหารที่ประสบความล้มเหลวเมื่อปี 1965 ซึ่งฝ่ายทหารกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย แล้วหลังจากนั้นก็เกิดการรณรงค์กวาดล้างเข่นฆ่าคอมมิวนิสต์ครั้งมโหฬารในปี 1965-1966 ณ อนุสรณ์สถาน ปัญจศีลา ศักติ ในกรุงจาการ์ตา, อินโดนีเซีย

    เอกสารที่เคยเป็นข้อมูลลับ 39 ฉบับเหล่านี้เก็บรวบรวมจากแฟ้มข้อมูลต่างๆ บันทึกประจำวัน และบันทึกความจำของสถานเอกอัครราชทูตอเมริกันในจาการ์ตาระหว่างปี 1964-1968 และได้รับการเผยแพร่โดยศูนย์การเผยแพร่เอกสารข้อมูลที่พ้นจากชั้นความลับแล้ว ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดองค์การบริหารจดหมายเหตุและบันทึกแห่งชาติของรัฐบาลสหรัฐฯ นอกจากนั้นปลายปีนี้ยังอาจมีการเผยแพร่เอกสารเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงแฟ้มเอกสารของสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ)

    พลโทเอกัส วิดโจโจ บุตรชายของ 1 ใน 6 นายพลที่เชื่อว่า ถูกคอมมิวนิสต์ฆ่าในช่วงปีดังกล่าว ไม่ยืนยันหรือปฏิเสธข้อมูลในเอกสารที่ถูกนำมาเปิดเผย ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่ระบุว่า ชนกลุ่มน้อยชาวจีนเป็นกลุ่มหนึ่งที่ถูกจ้องเข่นฆ่าและทำลายทรัพย์สิน

    อย่างไรก็ดี เขาเชื่อว่า อินโดนีเซียจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการบอกเล่าข้อเท็จจริง เพื่อรับรู้และทำความเข้าใจความผิดพลาดที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมร้ายแรงในอดีตอย่างสันติและภายใต้บริบทของอินโดนีเซียในปัจจุบัน เพื่อเยียวยาบาดแผล ไม่ใช่เพื่อตอกย้ำแผลเก่า

    วิดโจโจยอมรับว่า สังคมอินโดนีเซีย ซึ่งรวมถึงกองทัพ ไม่พร้อมให้มีการถกเถียงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย

    ทั้งนี้ ความพยายามจัดสัมมนาในวาระครบรอบการสังหารหมู่เมื่อเดือนที่แล้วต้องล้มเลิกลงหลังเผชิญการประท้วงอย่างรุนแรงจากกลุ่มฝ่ายขวา ขณะที่ “ดิ แอกต์ ออฟ คิลลิ่ง” สารคดีที่บอกเล่าเรื่องราวการสังหารหมู่ในอินโดนีเซียและได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เมื่อปี 2012 เป็นหนึ่งใน
    ภาพยนตร์ที่ถูกห้ามฉายในแดนอิเหนาm

    https://mgronline.com/around/detail/9600000106415
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ตุลาคม 2017
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    กรรมตามสนอง? ไม่สนใจประณามผู้กาอเหตุเลย

    ตร.กลันตันเตือนระมัดระวังเดินทางเข้าไทย หลังชาวมาเลย์ถูกยิงดับที่ตากใบ

    เผยแพร่: 18 ต.ค. 2560 22:02:00
    560000011028501.jpg

    ญาตินำหลักฐานเดินทางรับศพชายชาวมาเลเซีย เหยื่อถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ในพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส

    ฟรีมาเลเซียทูเดย์ - ตำรวจรัฐกลันตันของมาเลเซียในวันพุธ(18ต.ค.) ออกคำเตือนถึงประชาชนภายในรัฐ ที่มีแผนเดินทางมายังประเทศไทย ให้อยู่ในความระมัดระวัง เนื่องจากทางภาคใต้ของไทยยังคงอยู่ในภาวะยุ่งเหยิง

    อย่างไรก็ตามฮาซานุดดิน ฮัสซัน ผู้บัญชาการตำรวจของรัฐกลันตัน ชี้แจงว่าคำประกาศเตือนดังกล่าวไม่ถึงขั้นห้ามประชาชนเดินทางไปยังประเทศไทย

    "เราไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ใดๆเหมือนที่เกิดกับชายชาวกลันตันที่ถูกกระสุนลูกหลงเสียชีวิตในตากใบเมื่อ 2 วันก่อน สถานการณ์ยังคงไม่สงบ ยังมีเหตุระเบิดและเหตุยิงกัน ซึ่งเสี่ยงก่ออันตรายแก่ประชาชน" ผู้บัญชาการตำรวจกล่าว

    การประกาศเตือนครั้งนี้มีขึ้นหลังจาก วันโมฮัมหมัดซีน บิน วันฮูซีน อายุ 46 ปี จากกิตีล กัมปุง เมืองตุมปัต รัฐกลันตัน เสียชีวิตจากการถูกกระสุนปืนลูกหลงของกลุ่มคนร้าย บริเวณด่านตรวจแห่งหนึ่งในอำเภอตากใบ

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนเวลา 21.30น.ของวันอาทิตย์(15ต.ค.) โดยเหยื่อกำลังซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ผ่านด่านตรวจ แต่ระหว่างนั้นมีกลุ่มชายติดอาวุธซึ่งอยู่บนรถกระบะกราดยิงเข้าใส่ตำรวจ และเคาะห์ร้ายที่เขาถูกลูกหลง
    https://mgronline.com/around/detail/9600000106416
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ตร.กลันตันเตือนระมัดระวังเดินทางเข้าไทย หลังชาวมาเลย์ถูกยิงดับที่ตากใบ
    เผยแพร่: 18 ต.ค. 2560 22:02:00
    560000011028501.jpg

    ญาตินำหลักฐานเดินทางรับศพชายชาวมาเลเซีย เหยื่อถูกยิงเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ในพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส

    ฟรีมาเลเซียทูเดย์ - ตำรวจรัฐกลันตันของมาเลเซียในวันพุธ(18ต.ค.) ออกคำเตือนถึงประชาชนภายในรัฐ ที่มีแผนเดินทางมายังประเทศไทย ให้อยู่ในความระมัดระวัง เนื่องจากทางภาคใต้ของไทยยังคงอยู่ในภาวะยุ่งเหยิง

    อย่างไรก็ตามฮาซานุดดิน ฮัสซัน ผู้บัญชาการตำรวจของรัฐกลันตัน ชี้แจงว่าคำประกาศเตือนดังกล่าวไม่ถึงขั้นห้ามประชาชนเดินทางไปยังประเทศไทย

    "เราไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ใดๆเหมือนที่เกิดกับชายชาวกลันตันที่ถูกกระสุนลูกหลงเสียชีวิตในตากใบเมื่อ 2 วันก่อน สถานการณ์ยังคงไม่สงบ ยังมีเหตุระเบิดและเหตุยิงกัน ซึ่งเสี่ยงก่ออันตรายแก่ประชาชน" ผู้บัญชาการตำรวจกล่าว

    การประกาศเตือนครั้งนี้มีขึ้นหลังจาก วันโมฮัมหมัดซีน บิน วันฮูซีน อายุ 46 ปี จากกิตีล กัมปุง เมืองตุมปัต รัฐกลันตัน เสียชีวิตจากการถูกกระสุนปืนลูกหลงของกลุ่มคนร้าย บริเวณด่านตรวจแห่งหนึ่งในอำเภอตากใบ

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนเวลา 21.30น.ของวันอาทิตย์(15ต.ค.) โดยเหยื่อกำลังซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ผ่านด่านตรวจ แต่ระหว่างนั้นมีกลุ่มชายติดอาวุธซึ่งอยู่บนรถกระบะกราดยิงเข้าใส่ตำรวจ และเคาะห์ร้ายที่เขาถูกลูกหลง
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    IMG_6294.JPG IMG_6295.JPG IMG_6296.JPG IMG_6297.JPG ปอกเปลือก ทรราช

    อาวุธรายแรงของเกาหลีเหนือ?.... วันนี้คิมน้อยไม่ได้พาคุณ Ri Sol Ju ภรรยาคนสวยไปช็อปปิ้งรองเท้านะครับ แต่ไปดูงานที่โรงงานผลิตรองเท้า (Ryuwon Footwear Factory) ของเกาหลีเหนือ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1988 โดยอดีตผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือคนที่สอง Kim Jong Il (พ่อของคิม จอง-อึน) ไม่รู้ว่างานนี้สหรัฐ ะมองว่าที่นี่เป็นโรงงานผลิตอาวุธร้ายแรงของเกาหลีเหนืออีกหนึ่งหรือเปล่านะ (19 ต.ค.60)
    ---------
    http://uriminzokkiri.com/index.php?lang=eng&ftype=songun&no=6576
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=great&who=4&categ1=1&categ2=2&index=1&pagenum=1&no=6028#pos
    http://app.yonhapnews.co.kr/YNA/Bas...aspx?lang=EN&contents_id=PYH20171019023500341
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ทร.สหรัฐเสียชีวิตสองนายที่ฐานทัพเรือดำน้ำ Naval Submarine Base Kings Bay รัฐ Georgia ประเทศสหรัฐอเมริกา คาดว่าอาจจะเกิดจากการเสพประชาธิปไตยและเสรีภาพเกินขนาด Oopz!… ขออภัยครับ คาดว่าน่าจะเกิดจาการเสพยาเสพติดเกินขนาด สื่อจีนและ CNN รายงาน (18 ต.ค.60)
    ---------

    http://edition.cnn.com/2017/10/17/politics/kings-bay-overdoses/index.html
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช

    ก็ไหนว่าต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ไงทำไมสหรัฐถึงไม่ยอมให้สัตยาบันในสนธิสัญญา CTBT ห้ามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์หละ? อดีตประธานา IAEA ชาวสวีเดนจวกสหรัฐที่อ้าง "เสรีภาพในการทดลองอาวุธนิวเคลียร์" ว่าเป็นลบต่อพันธกรณีประชาคมโลก

    IMG_6300.JPG IMG_6301.JPG

    ---------


    วัน 18 ต.ค. 60 RT พาดหัวข่าวว่า "สหรัฐต้องการ 'เสรีภาพในการดำเนินการทดลองทดลองนุก' เป็นลบต่อพันธกรณีนานาชาติ - นาย Blix อดีตประธานองค์กร IAEA กล่าว" (US wants ‘freedom of action’ in nuke tests, ‘negative’ to intl commitments – ex-IAEA chief Blix)


    นาย Hans Blix นักการทูตชาวสวีเดน และเป็นอดีตประธานองค์กรพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) ได้วิจารณ์กรุงวอชิงตันสำหรับความล้มเหลวในการดำเนินการตามสนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ (Comprehensive Nuclear-Test-Ban Treaty - CTBT) ซึ่งมีประเทศต่างๆทั่วโลกร่วมลงนามให้สัตยาบันเป็นส่วนมาก ยกเว้น "สหรัฐอเมริกา" และบางประเทศ


    [เอ… สวีเดนช่างกล้านะ ระวังเครื่องบินรบ Saab JAS 39 Gripen ของสวีเดนจะขายไม่ออกนะครับ หรือเครื่องบินโดยสารของสวีเดนอาจจะแปลงร่างเป็นเครื่องบินล่องหนในบัดดลและก็หายไปทั้งลำแบบไปแล้วไปลับเหมือนกับกรณีเครื่องบินโดยสารของมาเลเซีย หรืออาจจะคล้ายกับที่เครื่องบินโดยสารของเยอรมันโหม่งโลกที่ฝั่งเศสก็ได้นะ - ผู้แปล]


    "จนกระทั่งบัดนี้วุฒิสภาของสหรัฐได้ปฏิเสธที่จะให้สัตยาบัน ผมคิดว่าเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากมุมองของวุฒิสภาที่ต้องการจะรักษาเสรีภาพในการดำเนินการสำหรับสหรัฐ [เกี่ยวกับข้อตกลงการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก]" นาย Blix กล่าวกับสื่อมวลชนที่กรุงมอสโคเมื่อวันพุธนี้


    ในการพูดในที่ประชุมเกี่ยวกับการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองหลวงของประเทศรัสเซียในวันพฤหัสบดีนี้ นักการเมืองชาวสวีเดนได้ชี้ให้เห็นว่า จุดยืนของกรุงวอชิงตันไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสนธิสัญญา CTBT เท่านั้น แต่ยังได้ส่งผลกระทบต่อข้อตกลง START [สนธิสัญญาการลดอาวุธด้านยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย] อีกด้วย ซึ่งได้มีการให้สัตยาบันไปแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหายุ่งยากอีกหลายประการ


    "ประชาคมนานาชาติต้องการที่จะใช้ช่องทางทางการทูตสำหรับสนธิสัญญา CTBT เพื่อให้มีการบังคับใช้ในที่สุด ในสถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันนี้ ข้อตกลงที่ห้ามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ น่าจะเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากน้อยที่สุดสำหรับปัญหาการควบคุมอาวุธ" นาย Hans Blix กล่าว


    สมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้รับรองและเปิดให้ลงนามในสนธิสัญญา CTBT ในวันที่ 10 กันยายน 2539 (1996) เพื่อห้ามการทำให้เกิดระเบิดนิวเคลียร์ (nuclear explosions) ทุกชนิดทั่วโลก ได้มีการลงนาม (signed) และให้สัตยาบัน (ratified) หลายประเทศ ยังมีบางประเทศที่ไม่ได้ให้สัตยาบัน


    ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่า มี 71 ประเทศร่วมลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ ซึ่งรวมทั้ง 5 ประเทศที่เป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ด้วย ในเดือนตุลาคม 2559 (2016) มี 166 ประเทศร่วมให้สัตยาบัน ยกเว้น 17 ประเทศ


    - ประเทศที่ไม่ลงนามและไม่ให้สัตยาบันคือ... อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ เกาหลีเหนือ ซาอุดิอาระเบีย ซีเรีย ซูดานใต้ โซมาเลีย คิวบา ฯลฯ


    - ประเทศที่ลงนาม แต่ยังไม่ให้สัตยาบันคือ... สหรัฐ จีน อิหร่าน อียิปต์ เยเมน ซิมบับเว ศรีลังกา ปาปัวนิวกีนี อิสราเอล และไทยแลนด์ ฯลฯ (ข่าวว่าไทยกำลังเตรียมการเพื่อให้สัตยาบันในปี 2546 แต่ไม่สำเร็จ ไชโย! เพราะว่าขนาดสหรัฐก็ยังไม่ให้สัตยาบัน คุณจะโลกสวยไปทำไม ทางที่ดีควรจะแอบส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกวรยุทธจากสำนักนุกเกาหลีเหนือด้วย หรือไปที่รัสเซียหรือจีนก็ได้)


    ในปี 2013 ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศว่าจะมีแผนการที่จะผลักดันให้กรุงวอชิงตันให้สัตยบันในสนธิสัญญา CTBT แต่จนบันนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าสหรัฐจะให้สัตยาบันในสนธิสัญญาดังกล่าวเลย


    นาย Sergey Ryabkov รมช.ต่างประเทศรัสเซียกล่าวว่า "เราได้สังเกตว่าสหรัฐมีความยุ่งยากเป็นอย่างมากในการให้สัตยาบันกับข้อตกลงนานาชาติฉบับใดๆเป็นปรกติ"


    นักการทูตรัสเซียกล่าวว่า การทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของกรุงเปียงยางยังได้ทำให้การบังคับใช้สนธิสัญญามีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก การดำเนินการของเกาหลีเหนือถูกขับเคลื่อนโดยสถานการณ์ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซ้อมรบทางทหารขนาดใหญ่ใกล้ชายแดนเกาหลีเหนือ ที่จัดขึ้นโดยบางกลุ่มประเทศ ซึ่งรวมทั้งสหรัฐด้วย


    "สนธิสัญญา CTBT เป็นความสำเร็จของการมีส่วนร่วมทั้งหมด และมีจุดมุ่งหมายเพื่อรับใช้มนุษยชาติทั้งหมดให้อยู่ดีกินดี รัสเซียภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาฉบับนี้ ซึ่งเรามองว่าเป็นเครื่องมือสากลจักรวาลที่ห้ามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่น"


    [โดยหลักการแล้ว มันก็เป็นสนธิสัญญาหรือข้อตลลงแบบโลกสวยที่ดีฉบับหนึ่งที่จะนำไปสู่สันติภาพได้ครึ่งทาง แต่หากประเทศเล็กๆ ต่างการกันเคลิ้มไปกับมนต์สะกดบทนี้ ก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องรับประกันได้ว่า จะไม่ถูกรุกรานโดยประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาเหมือนกับที่ทำกับอิรัค ลิเบีย ซีเรีย และเยเมน แม้ว่ายูเอ็นจะไม่รับการก่อการสงครามรุกรานอธิปไตยของประเทศที่ตกเป็นเหยื่อเหล่านั้นบางประเทศ แต่แก๊งนักล่าอาณานิคมก็ยังคงสามารถยกกองทัพไปรังแกประเทศเล็กๆได้ตามอำเภอใจของตนเอง


    เพราะว่าประเทศเหล่านั้นอ่อนแอด้านกองทัพในการป้องกันการรุกรานจากต่างชาติ ยูเอ็นล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการป้องกันเหตุการณ์หรือสถานการณ์เช่นนั้น เกาหลีเหนือไม่หวังพึ่งยูเอ็น ของพึ่งกำลังของตนเองเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองให้มีประสิทธิภาพ ถ้าถูกสหรัฐและพรรคพวกรังแก เกิดสงครามนิวเคลียร์แน่ และมันก็จะเละด้วยกันทุกฝ่าย


    จึงทำให้สหรัฐไม่กล้าเล่นไม้แข็งกับเกาหลีเหนือเหมือนกับที่ทำกับประเทศอื่นๆในตะวันออกกลาง แต่หันไปเล่นงานเกาหลีเหนือทางเศรษฐกิจแทน ล่าสุดเกาหลีเหนือบอกว่า ยินดีที่จะยุติโครงการพัฒนาวุธนิวเคลียร์และทำลายอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด แต่หลังจากที่สหรัฐยอมทำลายอาวุธนิวเคลียร์ของตนเองทั้งหมดแล้วเท่่านั้น สหรัฐกล้ารับคำท้าของเกาหลีเหนือหรือเปล่าหละ? - ผู้แปล]


    The Eyes

    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช

    https://www.facebook.com/fisont

    https://vk.com/theeyesproject

    19/10/2560

    ---------

    https://www.rt.com/news/407131-us-nuclear-tests-ctbt-treaty/

    https://en.wikipedia.org/wiki/Comprehensive_Nuclear-Test-Ban_Treaty

    http://www.mfa.go.th/main/th/issues/9901-การลดอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง.html

    https://www.ctbto.org/the-treaty/status-of-signature-and-ratification/
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    เกาหลีเหนือช่วยประณามและตอกหน้าสหรัฐและอิสราเอลว่า ค้างชำระเงินค่าธรรมเนียมให้ยูเอ็น ถึง $600 ล้าน แต่ตีเนียนกล่าวหาว่ายูเอ็น "ลำเอียง" เพื่อใช้เป็นข้ออ้างถอนตัวออกจาก UNESCO

    IMG_6302.JPG

    ---------

    วัน 19 ต.ค. 60 สำนักข่าว KCNA ของเกาหลีเหนือเผยแพร่บทความจากสำนักข่าว uriminzokkiri (ของเกาหลีเหนือเช่นกัน) ซึ่งมีชื่อว่า "U.S. Is Not Qualified to Talk about Global Peace, Security and Civilization" (สหรัฐไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดถึงเรื่องสันติภาพ ความปลอดภัย และอารยธรรมทั่วโลก)

    เมื่อเร็วๆนี้ สหรัฐได้ตัดสินใจถอนตัวออกจาก (การเป็นสมาชิกของ) องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ภายใต้ข้ออ้างการชำระค่าธรรมเนียมที่มีมูลค่าหลายร้อนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไม่ได้ชำระ (มาเป็นเวลานานหลายปี) จนกระทั่งบัดนี้ และเสียงขององค์กรยูเนสโกที่แรงขึ้นเรื่อยๆในการประณามอิสลาเอล

    [จริงๆแล้วข้ออ้างของสหรัฐและอิสราเอลในการถอนตัวออกจาก UNESCO นั้น คือการกล่าวหาว่าองค์กรนี้ลำเอียง ไม่มีความเป็นกลาง เพราะว่าประณามอิสราเอลที่รุกรานและแย่งชิงแผ่นดินปาเลสไตน์ไปเป็นของตนเอง ตรรกะเพี้ยนๆแบบนี้มีแต่สหรัฐและอิสราเอลเท่านั้นที่กล้าพูดออกมาโดยไม่อายชาวโลก ส่วนความจริงอีกข้อนั้นก็คือ "ไอ้กัน" ติดค้างการจ่ายค่าธรรมเนียมให้องค์กรของยูเอ็นแห่งนี้หลายล้านดอลลาร์ เป็นหนึ่งในวิธีการชักดาบสไตล์อเมริกันและยิวอิสราเอลหนะ เป็นหนี้แล้วไม่จ่าย ล้มโต๊ะแม่มเลย แล้วชิงกล่าวหาว่าไม่ยุติธรรม - ผู้แปล]

    ข้าหลวงใหญ่ยูเนสโกได้แสดงความผิดหวังต่อการตัดสินใจของสหรัฐ และทูตของประเทศต่างๆ ต่างกันประณามว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นเหมือนสิ่งปฏิกูลที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อกดดันองค์กรแห่งนี้

    สหรัฐเคยถอนตัวออกจากองค์กรยูเนสโกมาแล้วรอบหนึ่งในปี 1984 โดยตำหนิเรื่องการหารือเกี่ยวกับการกำหนดระเบียบข้อมูลและการสื่อสารระหว่างประเทศอย่างยุติธรรม และต่อมาก็ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์กรแห่งนี้อีกครั้งในปี 2003

    เมื่อปาเลสไตน์เข้าร่วมองค์กรยูเนสโกในปี 2011 สหรัฐได้มีปฏิกิริยาต่อการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ทันที และได้ระงับการจ่ายเงินค่าธรรมเนียมให้กับองค์กรยูเอ็นแห่งนี้ภายใต้ข้ออ้างกฎหมายภายในประเทศของตนเองห้ามไม่ให้สนับสนุนองค์กรใดๆที่ยอมรับว่าปาเลสไตน์เป็น "รัฐ" รัฐหนึ่ง (เป็นประเทศหนึ่ง) (แต่สหรัฐก็รับรองว่าอิสราเอลเป็นรัฐรัฐหนึ่ง ทั้งๆที่อิสราเอลเป็นฝ่ายแย่งแผ่นดินไปจากปาเลสไตน์และซีเรีย)

    สหรัฐได้กระทำการตัดสินใจถอนตัวออกจาก UNESCO หลังจากที่ถอนตัวออกจากข้อตกลงกรุงปารีสเกี่ยวกับการปกป้องสภาพแวดล้อมทั่วโลก นี่เป็นจุดสูงสุดของความเห็นแก่ตัว (egoism) และความจองหอง (arrogance) ที่สุดโต่งที่สุดสไตล์สหรัฐ เนื่องจากสหรัฐไม่แยแสแม้ว่าจะต้องเซ่นสังเวยสันติภาพและอารยธรรมทั่วโลกสำหรับผลประโยชน์ของตนเองก็ตาม

    การกระทำเช่นนั้นของสหรัฐได้กลายเป็นสิ่งที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้นหลังขากที่นายทรัมป์ ผู้ที่มีความเชื่ออยู่ที่ "เงิน" ได้เข้าดำรงค์ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐ กลุ่มของนายทรัมป์เตรียมการที่จะไม่ยอมชำระค่าธรรมเนียมให้กับยูเอ็น ซึ่งสหรัฐใช้เป็นเครื่องมือสำหรับ "ลัทธิจักรวรรดิ์เจ้าโลก" (hegemonism) แต่สั่งให้ประเทศอื่นๆชำระเงินแทน เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา สหรัฐได้ละเมิดขึ้นตกลงกรุงปารีสอย่างน่าเกลียด (ruthlessly) ซึ่งเป็นผลของความพยายามของประชาคมนานาชาติที่จะปกป้องสิ่งแวดล้อมทั่วโลก

    เมื่อสหรัฐโค้งงอการก่ออาชญากรรมในการทำลายสภาพแวดล้อม โดยการประกาศว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงฉบับนี้ ประชาคมนานาชาติต่างก็ตราหน้าการเคลื่อนไหวของสหรัฐว่า "เป็นการกระทำที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการทารุณด้วยแก๊สพิษของฮิตเลอร์ซะอีก" และว่า "เป็นการก่ออาชญากรรมเพื่อกำจัดมนุษยชาติให้สูญพันธุ์ด้้วยการทำให้ดาวเคราะห์สีเขียวทั้งดวงนี้ปกคลุมไปด้วยแก๊สพิษ"

    รัฐบาลของนายทรัมป์มักจะบีบแตร์ทรัมเป็ตอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องการบริจาคการกุศลจากนานาชาติซึ่งเป็นเงินที่แจกจ่ายโดยสหรัฐไปทั่วโลก และสหรัฐก็ประโลมโลกนี้ด้วยการให้เสียสละอุตสาหกรรมของตนเอง (อ้างลดภาวะโลกร้อน) แต่มันไม่ใช่อะไรหรอกนะ มันเป็นแค่กลเม็ด (/อุบาย) ที่อำพรางสันดานของสหรัฐเอาไว้เท่านั้น เพราะว่าจักรวรรดิ์ปีศาจกระหายเลือดแห่งนี้ (brigandish empire) ซึ่งได้เที่ยวปล้นสะดมไปทั่วโลกโดยการละเมิดสถานะทางการเมืองและเศรษฐกิจบางยอ่างตนเอง และข่มการตอบโต้ที่รุนแรงจากประชาคมนานาชาติลง การตัดสินใจออกจากยูเนสโกของสหรัฐในครั้งนี้ กระทำโดยภาคต่อของการดำเนินการเช่นนั้น

    คราวนี้ ประชาคมนานาชาติต่างก็พากันประณามสหรัฐอย่างเป็นเอกฉันท์ที่เข้าๆออกๆจากยูเนสโกตามใจชอบเพื่อผลโยชน์ที่เห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นองค์กรของยูเอ็นที่มีภารกิจในการสร้างโลกที่เต็มไปด้วยสันติและมีอารยะ โดยการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และสาขาอื่นๆ

    สหรัฐมักจะทำสงครามและสังหารหมู่ไปทั่วโลก และเที่ยวก่อกวนทั่วโลกพร้อมกับคุกคามและแบล็กเมล์ประเทศอื่นๆ คราวนี้ก็ถอนตัวออกจากยูเนสโก ซึ่งได้เพิกถอนสิทธิ์ของตนเองโดยสิ้นเชิงจากความชอบธรรมใดๆที่จะพูดเกี่ยวกับสันติภาพ ความมั่นคง และอารยธรรมทั่วโลก

    ตรรกะของพวกแยงกี้เจ้าโลก (Yankee logic of hegemony…) ซึ่งทุกอย่างควรจะมีอยู่เพื่อพวกเขาเท่านั้น และจะต้องเป็นเหยื่อให้กับพวกแยงกี้เท่านั้น จะไม่มีทางเล็ดลอดไปถึงคนที่มีความสามารถในทางความคิดที่สมเหตุสมผลในยุคที่ความเป็นเอกราชเป็นเพียงทฤษฎีการวาดวิมานในอากาศ (pipe dream) และการหลอกลวงต้มตุ๋นที่ไม่เข้ากับยุคสมัย (anachronistic sophism)

    อุดมการณ์ที่งี่เง่า (crazy ideology) และกองทัพที่เที่ยวคุกคามสันติภาพและอารยธรรมทั่วโลก และข่มขู่ต่อการมีของมนุษยชาติ จะต้องถูกกำจัดออกไปจากโลกของอารยธรรมมนุษย์แห่งนี้ และจากดาวเคราะห์ดวงนี้ด้วย นี่คือจุดยืนของพวกเรา

    ทุกประเทศในโลกนี้ต่างก็ปรารถนาถึงความเป็นเอกราช ความยุติธรรม สันติภาพ และการพัฒนา ไม่ควรที่จะยอมรับการปฏิบัติที่ข้ามหัวคนอื่นและทำตามอำเภอใจของสหรัฐ โดยการก่อกรรมทำชั่ว (perpetrate) ด้วยการกระทำแบบอันธพาลทั้งหมดภายใต้สโลแกน "America First"

    ป.ล. เป็นบทความที่ยอดเยี่ยมมาก ตรงไปตรงมา ชัดเจน และแสบถึงทรวงอีกฉบับหนึ่งจาก "เกาหลีเหนือ" ในการประณามสหรัฐให้ชาวโลกได้รับรู้ แต่คาดว่าพวกหน้าหนาก็คงจะไม่รู้สึกสาอะไรอีกเช่นเคย

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    19/10/2560
    ---------
    https://kcnawatch.co/newstream/1508...about-global-peace-security-and-civilization/
    https://sputniknews.com/analysis/201710141058224078-us-israel-unesco-withdrawal-zionism/
    http://www.uriminzokkiri.com/index.php?ptype=english&no=1044
    http://www.independent.co.uk/news/w...m-al-sharif-temple-mount-latest-a7996791.html
    https://www.usnews.com/news/world/a...regrets-us-decision-to-leave-its-organization
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ข่าวบันเทิง: กองทัพเกาหลีใต้ขี้ข้าอเมริกามั่นใจว่าจะทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซากด้วยบอลลิสติกมิสไซล์ ฮ่าๆๆ สงสัยจะเมาไอเสียจากเครื่องบินรบและเรือรบสหรัฐหละมั๊ง? จะพูดจะจาอะไรก็สงสารประชาชนตาดำๆของตนเองบ้างเถอะ พวกเขายังไม่อยากกินนุกของคิมน้อยนะครัช

    IMG_6303.JPG IMG_6304.JPG IMG_6305.JPG IMG_6306.JPG

    ---------

    วัน 19 ต.ค. 60 สำนักข่าว Yonhap News กระบอกเสียงของเกาหลีใต้และสหรัฐพาดหัวข่าวว่า "กองทัพมั่นใจว่าจะทำลายเกาหลีเหนือด้วยขีปนาวุธวิถีโค้งในสงคราม" (Army confident of destroying N. Korea with ballistic missiles at war) (หมาเห่าใบตองแห้ง เหมือนลูกพี่เป๊ะ! ช่างไม่เจียมสังขารซะบ้างเลย อยากกินนุกมากใช่ไหม? อดใจรออีกนิดนึงนะ คิมน้อยไม่ได้กล่าว)

    กองทัพเกาหลีใต้กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีนี้ว่า ตนเองจะทำลายระบบปืนใหญ่แนวหน้าของเกาหลีเหนือให้สิ้นซากอย่างรวดเร็วในสงครามคาบสมุทรเกาหลี

    [กรุงโซลอยู่ในรัศมีการยิงของปืนใหญ่นับร้อยนับพันกระบอกของกองทัพเกาหลีเหนือ ใครกันแน่ที่จะเละ? คิดให้ดี คิดอีกทีก็ยังไม่สาย โดนเกาหลีเหนือจมเรือรบผิวน้ำไปลำหนึ่งยังไม่เข็ดอีกหรือ ตอนนั้นสหรัฐช่วยอะไรได้บ้างไหม? - ผู้แปล]

    ในรายงานที่เสนอต่อรัฐสภาเกาหลีใต้ (National Assembly) กองทัพได้นำเสนอแผนการสำหรับการโจมตี (เกาหลีเหนือ) ด้วยขีปนาวุธสามจังหวะ ในตอนต้นของความขัดแย้งทางทหาร

    [แต่ภายใต้สนธิสัญญาทาส OPCON ที่เกาหลีใต้ลงนามกับสหรัฐระบุเอาไว้ว่า หากเกิดความขัดแย้งทางทหารในคาบสมุทรเกาหลีขึ้นมา กองทัพสหรัฐมีอำนาจในการเข้าควบคุมและบัญชาการกองทัพเกาหลีใต้ทั้งหมด แปลว่า "ยึดอำนาจเกาหลีใต้" โดยปริยาย สหรัฐสั่งให้ทหารเกาหลีใต้ไปตายแทนทหารสหรัฐ ทหารเกาหลีใต้ก็ต้องไป ดังนั้นแผนการสามจังหวะที่ว่ามานี้จึงแทบจะไม่มีผลอะไร เพราะว่าคนที่จะสั่งการจริงๆ ก็คือสหรัฐ - ผู้แปล]

    อาวุธที่จะถูกเคลื่อนย้ายก่อนก็คือ ขีปนาวุธยุทธวิธีภาคพื้นสู่ภาคพื้น (tactical surface-to-surface missile) ซึ่งเกาหลีใต้เรียกว่า "KTSSM" และมีชื่อเล่นว่า "เพชฌฆาตสังหารปืนใหญ่" (artillery killer) (ซึ่งก็คือขีปนาวุธ Hyunmoo-2 รัศมีทำการ 500-800 กิโลเมตรที่เกาหลีใต้ทดลองเมื่อเร็วนี้ ประสบความสำเร็จหนึ่งลูก ตกน้ำป๋อมแป๋มหนึ่งลูกนั่นแหละ)

    รายงานของกองทัพเกาหลีใต้กล่าวว่า "การโจมตีด้วย KTSSM-I (ระดับที่หนึ่ง) จะโจมตีอุโมงต่างๆของศัตรูด้วยปืนใหญ่อัตตาจรขนา 170mm และระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง 240mm" ในการชี้แจงต่อสภาเกี่ยวกับปฏิบัติการทางหทารจำนวน 490,000 นาย (เจอนุกของเกาหลีเหนือลูกเดียว ตายเรียบทั้ง เกือบ 5 แสนนายแน่ๆ)

    ยุทโธปกรณ์เกี่ยวกับปืนใหญ่ของเกาหลีเหนือส่วนใหญ่มีการอำพรางและซ่อนอยู่ในหลุมดิน ติดตั้งอยู่ตามแนวเขตปลอดกิจกรรมทางทหาร (DMZ) และตามชายฝั่งของเกาะต่างๆบริเวณชายแดนของตนเอง

    การโจมตีด้วย KTSSM-II (ระดับที่สอง) จะเป็นการระเบิดที่เก็บขีปนาวุธ SCUD และระบบยิงจรวดขนาด 300mm รายงานกองทัพเกาหลีใต้กล่าว

    กองทัพเกาหลีใต้ยังได้วางแผนที่จะยิงขีปนาวุธวิถีโค้ง Hyunmoo-II ใส่อาวุธนิวเคลียร์และระบบอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD) และหน่วยสนับสนุนของเกาหลีเหนือด้วย

    ขีปนาวุธวิถีโค้ง Hyunmoo-II ของเกาหลีใต้มีรัศมีทำการไกลสุดถึง 800 กิโลเมตร และขีปนาวุธ Hyunmoo-III ก็เป็นจรวดร่อนพิสัยไกลด้วย (

    [พี่ครับ Hwasong-12 ของคิมน้อยมีรัศมีทำการที่ 3,700–6,000 กม. ในขณะที่ Hwasong-14 มีรัศมีทำการที่ 6,700–10,000 กม. นะครับ มันไม่ใช่ระเบิดธรรมดานะครับ นุกนะครับพี่ นุก! สหรัฐเองยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถสกัดได้เลยนะ ทั้ง THAAD และ Patriot ก็เอาไม่อยู่นะครับ ไปทีเป็นสิบๆลูก แตกหัวออกอีกลูกละ 3-4 ลูก จะสกัดหมดรึ? - ผู้แปล]

    เพื่อที่จะโค่นล้มผู้นำของเกาหลีเหนือ กองทัพจะใช้ขีปนาวุธวิถีโค้งที่มีแสนยานุภาพมากๆ คาดว่าอาจจะเป็น Hyunmoo-IV ก็ได้ (ถ้าเกาหลีใต้หายไปจากแผนที่โลกเพียงชั่วข้ามคืนก็อย่าโทษเกาหลีเหนือว่าโหดร้ายก็แล้วกัน หาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ)

    สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า กรุงโซล์ได้บรรลุข้อตกลงโดยพฤตินัยกับกรุงวอชิงตันในการฟื้นฟูการพัฒนาขีปนาวุธวิถีโค้งของตนเองให้สามารถบรรจุหัวรบที่มีน้ำหนักได้ถึงสองเท่า ซึ่งเป็นข้อตกลงระดับทวิภาคีในปี 2012 และทำให้สามารถพัฒนาขีปนาวุธวิถีโค้งที่มีรัศมีทำการได้ถึง 800 กิโลเมตร แบกน้ำหนักหัวรบได้ถึง 500 กิโลกรัม

    [ประเทศที่มีเอกราช แต่สหรัฐเป็นคนเขียนรัฐธรรมนูญให้ กองทัพอยู่ภายใต้การควบคุมของสหรัฐ ขนาดจะพัฒนาอาวุธของตนเองก็ยังต้องขออนุญาตจากสหรัฐ เกาหลีเหนือเรียกประเทศที่มีเอกราชแต่เปลือกนอกแบบนี้ว่า "ขี้ข้าอเมริกา" - ผู้แปล]

    ส่วนอีกข่าวหนึ่งเกี่ยวกับการทหารของเกาหลีใต้เช่นกัน สื่อเกาหลีใต้เจ้าเดิมรายงานในวันเดียวกันนี้ว่า เกาหลีใต้และสหรัฐจะเพิ่มบทบาทของเฮลิคอปเตอร์จู่โจม Apache ในภารกิจการทำลายการรุกรานทางทหารโดยหน่วยรบพิเศษของเกาหลีเหนือ พวก ส.ส. ของเกาหลีใต้กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีนี้ (แปลว่าอะไรครับ? ก็แปลว่า ได้แdกงบจัดซื้อ ฮ. AH-64D Apache อีกแล้วนะสิครับ ฮ่าๆ)

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    19/10/2560
    ---------
    http://english.yonhapnews.co.kr/northkorea/2017/10/19/56/0401000000AEN20171019011200315F.html
    http://english.yonhapnews.co.kr/northkorea/2017/10/19/1/0401000000AEN20171019007700315F.html
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    George Nammour

    IMG_6308.JPG

    ฝรั่งเศส (แผ่นดินไหว)

    1. 19/10/2017 06:42:36 45.4.6.4 9 กม. NE จากห้อง (Savoie)
    http://www-dase.cea.fr/evenement/evenements.php?type=seisme&identifiant=20171019-064236&lang=fr
    ขนาด ML = 2.9

    2. 19/10/2017 02:18:28 45.4,6.3 8 กม. NNE จาก The House (Savoie)
    ขนาด ML = 2.3

    3. 18/10/2017 15:06:41 45.4,6.3 7 km N ของ The House (Savoie)
    ขนาด ML = 2.6

    4. 18/10/2017 10:00:01 45.4.6.3 4 km N ของ The House (Savoie)
    ขนาด ML = 3.4

    5. 18/10/2017 09:37:50 45.5.6.3 8 กม. SSE จาก Aiguebelle (Savoie)
    ขนาด ML = 3.4

    6. 2017-10-18 09:06:08 47.5, -0.3 กม. N จาก Baune (Maine-et-Loire)
    ขนาด ML = 3.0

    7. 17/10/2017 11:48:44 45.4.6.4 5 กม. NE จาก The House (Savoie)
    ขนาด ML = 2.3

    8. 17/10/2017 11:35:13 45.5.6.3 8 กม. S จาก Aiguebelle (Savoie)
    ขนาด ML = 3.3
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สหรัฐฯ ชี้ผู้นำกองทัพพม่าต้องรับผิดชอบเหตุกวาดล้าง “โรฮิงญา”
    เผยแพร่: 19 ต.ค. 2560 09:47:00
    560000011035102.jpg

    เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวปาฐกถาที่ศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศศึกษา (CSIS) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 18 ต.ค.

    รอยเตอร์ - สหรัฐฯ ถือว่าผู้นำกองทัพพม่าจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อปฏิบัติการกวาดล้างที่ทำให้ชนกลุ่มน้อยชาวโรฮิงญาต้องหนีตายออกนอกประเทศมากกว่า 500,000 คน เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพุธ (18 ต.ค.) แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าวอชิงตันจะมีมาตรการตอบโต้พวกผู้นำทหารพม่าหรือไม่

    สหรัฐฯ ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลพลเรือนที่นำโดยนางอองซาน ซูจี โดยหวังดึงพม่าออกห่างจากวงโคจรของจีน

    “ประชาคมโลกไม่อาจนิ่งเฉยต่อความโหดร้ายที่เกิดขึ้น... เราถือว่าผู้นำกองทัพพม่าจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านี้ด้วย” ทิลเลอร์สัน กล่าวปาฐกถาทีศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศศึกษา (CSIS) ซึ่งเป็นสถาบันคลังความคิดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมย้ำว่าสหรัฐฯ “มีความกังวลมากพิเศษ” เกี่ยวกับสถานการณ์ในพม่า

    สมาชิกสภาคองเกรส 43 คนได้เรียกร้องให้รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศคำสั่งห้ามเดินทาง (travel ban) ต่อเหล่าผู้บัญชาการกองทัพพม่า และเตรียมคว่ำบาตรบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกวาดล้างชาวโรฮิงญา

    จดหมายที่กลุ่ม ส.ส.เดโมแครตและรีพับลิกันส่งถึง ทิลเลอร์สัน ระบุว่า รัฐบาลพม่า “ทำเหมือนไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น” และวอชิงตันควรดำเนินการตอบโต้อย่างมีนัยสำคัญต่อกลุ่มบุคคลที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

    เหตุการณ์กลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาบุกโจมตีค่ายทหารและตำรวจเมื่อช่วงปลายเดือน ส.ค. นำมาซึ่งปฏิบัติการกวาดล้างอย่างหนักหน่วงของกองทัพพม่า ซึ่งทำให้มุสลิมโรฮิงญาหลายแสนคนต้องหอบลูกจูงหลานหนีตายออกจากรัฐยะไข่

    พวกเขายังอ้างว่ากองกำลังความมั่นคงพม่าก่อเหตุสังหารหมู่ ข่มขืนสตรีโรฮิงญา และเผาบ้านเรือน

    ทิลเลอร์สัน ชี้ว่า สหรัฐฯ เข้าใจปัญหาความไม่สงบภายในพม่า แต่กองทัพจำเป็นต้องรักษาระเบียบ และหยุดตอบสนองปัญหาในแบบที่ทำอยู่ รวมถึงเปิดทางเข้าถึงพื้นที่สู้รบ “เพื่อเราจะได้รับรู้ข้อมูลรอบด้านเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”

    “หากรายงานที่ออกมาเป็นความจริง ก็จะต้องมีใครบางคนรับผิดชอบ... และเป็นหน้าที่ของผู้นำกองทัพพม่าที่จะต้องตัดสินใจว่า พวกเขาจะมีบทบาทอย่างไรกับอนาคตของประเทศ”

    ทิลเลอร์สัน ยืนยันว่า สหรัฐฯ มองพม่าเป็น “รัฐประชาธิปไตยเกิดใหม่ที่สำคัญ” และวิกฤตชาวโรฮิงญาก็คือบททดสอบสำหรับรัฐบาลที่ยังต้องแชร์อำนาจระหว่างกองทัพกับฝ่ายพลเรือน

    สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) กำลังพิจารณามาตรการคว่ำบาตรผู้นำทหารพม่า โดยเน้นไปที่บรรดานายพลระดับสูง แต่ก็เกรงว่าบทลงโทษนี้จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจพม่าโดยรวม และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง ซูจี กับกองทัพที่ตึงเครียดอยู่แล้วทรุดหนักลงไปอีก

    560000011035101.jpg

    https://mgronline.com/around/detail/9600000106466
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เมินเส้นตาย! แหล่งข่าวชี้กาตาลุญญาเตรียม “ประกาศเอกราช” อย่างสมบูรณ์ หากรบ.สเปนใช้ ม.155 ยึดอำนาจปกครอง
    เผยแพร่: 19 ต.ค. 2560 11:03:00
    560000011036201.jpg

    ประํธานาธิบดี คาร์เลส ปุยจ์เดมองต์ แห่งแคว้นกาตาลุญญา (ขวา) และที่ปรึกษาประธานาธิบดี จอร์ดี ตูรุลล์ เข้าร่วมการประชุมใหญ่พรรคประชาธิปไตยคาตาลัน (PDeCAT) ที่นครบาร์เซโลนา เมื่อวันที่ 18 ต.ค.

    รอยเตอร์ - แคว้นกาตาลุญญาจะเดินหน้าประกาศเอกราชจากสเปนอย่างสมบูรณ์ หากรัฐบาลมาดริดประกาศใช้มาตรา 155 รวบอำนาจปกครองคืนสู่ศูนย์กลาง แหล่งข่าวในรัฐบาลท้องถิ่นเผยเมื่อวันพุธ (18 ต.ค.) เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนถึงกำหนดเส้นตายที่สเปนเปิดโอกาสให้ผู้นำคาตาลันได้ทบทวนความคิดในการแยกตัว

    นายกรัฐมนตรี มาเรียโน ราฮอย แห่งสเปน ระบุว่า ประธานาธิบดี คาร์เลส ปุยจ์เดมองต์ แห่งแคว้นกาตาลุญญามีเวลาจนถึง 10.00 น. วันนี้ (19) หรือ 15.00 น. ตามเวลาในไทย เพื่อล้มเลิกความคิดแยกตัว หรือไม่ก็เตรียมถูกปกครองโดยตรงจากมาดริด

    ปุยจ์เดมองต์ ได้ลงนามประกาศเอกราชเชิงสัญลักษณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ให้ระงับการบังคับใช้ไว้ก่อนเพื่อเปิดทางเจรจากับรัฐบาลกลาง

    ล่าสุดแหล่งข่าวยืนยันว่า ผู้นำคาตาลันพร้อมที่จะถอนคำสั่งและเดินหน้าประกาศเอกราชทันที หาก ราฮอยประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 155 เพื่อรวบอำนาจสู่ส่วนกลาง

    “ประธานาธิบดีได้กล่าวระหว่างประชุมพรรคว่า ท่านจะถอนคำสั่งระงับการประกาศเอกราช หากรัฐบาลสเปนตัดสินใจใช้มาตรา 155”

    กฎหมายมาตรานี้ซึ่งยังไม่เคยถูกใช้มาก่อนตลอดระยะเวลา 4 ทศวรรษที่สเปนกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตย อนุญาตให้รัฐบาลมาดริดสามารถ “ดำเนินการอย่างใดก็ได้” เพื่อริบอำนาจปกครองคืนจากรัฐบาลท้องถิ่นของแคว้นทั้ง 17 แคว้น หากมีการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้น ซึ่งมาดริดชี้ว่ากาตาลุญญาได้กระทำไปแล้วด้วยการจัดประชามติว่าด้วยการแยกตัวเป็นเอกราช และพยายามแบ่งแยกดินแดน

    แม้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการปกครองจากส่วนกลางจะออกมาในรูปแบบใด แต่ก็สร้างความหวั่นวิตกว่าชาวคาตาลันอาจรับไม่ได้และถึงขั้นก่อจลาจล กระพือความปั่นป่วนภายในแคว้นอันมั่งคั่งซึ่งถูกบริษัทใหญ่ๆ แห่ถอนกิจการออกไปแล้วหลายร้อยแห่ง

    องค์กรวิเคราะห์งบประมาณอิสระได้เตือนในสัปดาห์นี้ว่า ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้มูลค่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของสเปนหดหายไปถึง 12,000 ล้านยูโรในปีหน้า และปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจลงระหว่าง 0.4-1.2 เปอร์เซ็นต์

    แคว้นกาตาลุญญามีผลผลิตทางเศรษฐกิจคิดเป็นร้อยละ 20 ของจีดีพีสเปนทั้งประเทศ

    หากนายกฯ ราฮอย ประกาศมาตรา 155 ในวันนี้ (19) คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 3-5 วันเพื่อริบอำนาจบริหารอย่างเบ็ดเสร็จจากรัฐบาลกาตาลุญญา

    “ถ้าถูกระงับอำนาจปกครองตนเอง เราจะต้องดำเนินการตอบโต้โดยด่วน” แหล่งข่าวในรัฐบาลคาตาลัน ระบุ

    560000011036202.jpg


    กลุ่มโปรเอกราชในรัฐบาลผสมของ ปุยจ์เดมองต์ ซึ่งรู้สึกผิดหวังกับการแยกตัวเชิงสัญลักษณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรียกร้องให้รัฐสภาคาตาลันรีบลงมติอย่างเป็นทางการโดยเร็ว

    เมื่อวานนี้ (18) นายกฯ ราฮอย ได้ออกมาเตือน ปุยจ์เดมองต์ อีกครั้งให้ “กระทำการใดๆ อย่างมีสติ” และล้มเลิกความคิดแยกตัวถ้าไม่อยากถูกปกครองโดยตรง โดยการรวบอำนาจสู่ส่วนกลางนี้จะต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาสเปน ซึ่งพรรค พีเพิลส์ ปาร์ตี ของ ราฮอย ครองเสียงข้างมากอยู่แล้ว

    “มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะตอบว่า ตกลงกาตาลุญญาประกาศเอกราชแล้วใช่หรือไม่? เพราะถ้าใช่ รัฐบาลกลางก็จำเป็นต้องตอบโต้ทางใดทางหนึ่ง แต่ถ้าไม่ใช่ เราก็มาเจรจากัน” ราฮอย แถลงผ่านรัฐสภา

    แหล่งข่าวในมาดริดให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า รัฐบาลสเปนถือว่าการประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการของแคว้นกาตาลุญญาคือ “การแบล็กเมลที่ไม่อาจยอมรับได้”

    หลังจากมีการทำประชามติแยกตัวเมื่อวันที่ 1 ต.ค. บริษัทกว่า 700 แห่งได้โยกย้ายสำนักงานใหญ่ออกจากแคว้นกาตาลุญญา และล่าสุดธนาคาร บังโก ซาบาเดลล์ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินอันดับ 5 ของแดนกระทิงดุ ก็ยอมรับว่ากำลังพิจารณาย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่กรุงมาดริด

    อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจกาตาลุญญา โดยเฉพาะที่เมืองตากอากาศชายทะเลอย่างบาร์เซโลนาก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย โดยพบว่ากิจกรรมการท่องเที่ยวในเดือนนี้ซบเซาลงถึง 15% ตามข้อมูลจากสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยว Exceltur เมื่อวันอังคาร (17)
    https://mgronline.com/around/detail/9600000106496
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปูตินชี้วิกฤตกาตาลุญญาเป็นเรื่องภายใน แต่โวยตะวันตก2มาตรฐานด้านแบ่งแยกดินแดน เผยแพร่: 20 ต.ค. 2560 01:01:00
    560000011074201.jpg

    เอเอฟพี - ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียระบุในวันพฤหัสบดี(19ต.ค.) วิกฤตกาตาลุญญาเป็นกิจการภายในของสเปน แต่ประณามยุโรป 2 มาตรฐานในจุดยืนเกี่ยวกับเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดน

    ปูติน กล่าวขณะประชุมร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในเมืองโซชิ ริมทะเลดำ บอกว่า "จุดยืนของรัสเซียเป็นที่ทราบกันดี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นกิจการภายในของสเปน และต้องคลี่คลายภายในกรอบกฎหมายของสเปนและบนพื้นฐานของธรรมเนียมประชาธิปไตย

    อย่างไรก็ตามเขาระบุว่าวิกฤตดังกล่าวเผยให้เห็นถึงความเอาแน่เอานอนไม่ได้และความเสแสร้งของตะวันตก ที่สนับสนุนพวกแบ่งแยกดินแดนบางกลุ่ม แต่ขณะเดียวกันก็ต่อต้านอีกพวก ยกตัวอย่างเช่นสนับสนุนความเป็นเอกราชของโคโซโว แต่กลับคัดค้านคำกล่าวอ้างเป็นเอกราชของกาตาลุญญาและชาวเคิร์ดอิรัก

    "การมี 2 มาตรฐานเช่นนี้ อาจทำให้ความพยายามพัฒนาอย่างมั่นคงของยุโรปและทวีปอื่นๆเต็มไปด้วยปัญหา" ปูตินกล่าว

    ผู้นำรัสเซียบอกต่อว่ามหาอำนาจตะวันตกทราบมานานแล้วว่า "มีความเป็นปรปักษ์กันภายในยุโรป" อ้างถึงกาตาลุญญา "พวกเขารู้ ใช่หรือไม่? แน่นอนว่า วันหนึ่งในอดีต พวกเขาแสดงออกถึงความยินดีอย่างไม่ปิดบังเลย ต่อการแตกสลายของประเทศยุโรปชาติหนึ่ง" อ้างถึงการประกาศเอกราชของโคโซโวจากเซอร์เบีย พันธมิตรเก่าแก่ของรัสเซีย "แล้วทำไมพวกเขาถึงสนับสนุนการแยกตัวของโคโซโว?"

    เขากล่าวหาพวกประเทศยุโรป ปรารถนาสร้างความพึงพอใจแก่วอชิงตันในเรื่องเกี่่ยวกับโคโซโว และตอนนี้พวกเขาก็ทำแบบเดียวกันในยุโรปและทั่วโลก

    ปูติน ได้ยกตัวอย่าง โคโซโว ตั้งคำถามว่าทำไมยุโรปถึงต่อต้านการที่รัสเซียผนวกไครเมียของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนในปี 2014 และทำไมถึงคัดค้านการเคลื่อนไหวประกาศเอกราชในสเปนและเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถานของอิรัก

    การลงประชามติที่ไม่มีผลผูกพันในเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถานของอิรักเมื่อเดือนกันยายน ผลออกมาว่าเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนแยกตัวเป็นเอกราช แต่สหภาพยุโรปเรียกร้องทั้งสองฝ่ายหาทางเจรจาเพื่อรักษาไว้ซึ่งความเป็นอันหนึ่งเดียวของอิรักและเสถียรภาพในระยะยาว

    ส่วน มอสโก บอกว่าพวกเขาสนับสนุนบูรณภาพแห่งดินแดนของอิรัก แต่ขณะเดียวกันก็มองความปรารถนาของชาวเคิร์ดด้วยความเคารพ

    https://mgronline.com/around/detail/9600000106838
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,004
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ความจริงเบื้องหลังกลุ่มก่อความไม่สงบชาวโรฮิงญาในพม่า
    เผยแพร่: 19 ต.ค. 2560 22:35:00 (เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

    img_2870.jpg

    The truth behind Myanmar’s Rohingya insurgency
    By Bertil Lintner
    20/09/2017

    ขณะที่ “กองทัพกอบกู้ชาวโรฮิงญาแห่งยะไข่” อ้างว่าตนเองกำลังสู้รบอยู่ในการต่อสู้ดิ้นรนแบบชนเผ่าชาติพันธุ์นิยม เหมือนกับกลุ่มติดอาวุธของชาวชาติพันธุ์อื่นๆ ในตลอดทั่วทั้งพม่า แต่คณะผู้นำของพวกเขาตลอดจนสายสัมพันธ์โยงใยที่มีอยู่กับพวกกลุ่มสุดโต่ง กลับชี้ไปยังวาระระดับภูมิภาคที่กว้างไกลไปกว่านั้น

    ย่างกุ้ง ขณะที่ “กองทัพกอบกู้ชาวโรฮิงญาแห่งยะไข่” (Arakan Rohingya Salvation Army หรือ ARSA) อ้างว่ากลุ่มของตนก็เหมือนกลุ่มติดอาวุธของชาวชาติพันธุ์อื่นๆ ในตลอดทั่วทั้งประเทศพม่า ซึ่งกำลังสู้รบเพื่อให้มีสิทธิที่จะกำหนดตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของชาติพันธุ์ตนเอง และไม่ควรถูกประทับตราว่าเป็นองค์การผู้ก่อการร้าย แต่ความเป็นจริงในภาคสนามกลับบอกเล่าเรื่องราวที่ผิดแผกแตกต่างออกไป

    กลุ่ม ARSA เป็นตัวแทนของการก่อกบฏประเภทใหม่ที่แตกต่างจากแบบเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งเป็นประเภทที่กองทัพพม่าได้สาธิตให้เห็นว่าพวกเขามีความพรักพร้อมน้อยมากในการสู้รบปรบมือด้วย กองทัพฝ่ายต่อต้านของชาวชาติพันธุ์อื่นๆ ในพม่า เป็นต้นว่าพวกที่มาจากชาวกะฉิ่น, ชาน, กะเหรี่ยง, หรือ มอญ ต่างแต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารโดยที่มีชื่อกลุ่มของพวกเขาปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด รวมทั้งยังมีแถบต่างๆ ที่แสดงให้เห็นระดับยศชั้นของพวกเขาอีกด้วย

    ตรงกันข้าม พวกนักรบมุสลิมของ ARSA ผสมปนเปอยู่กับพวกชาวบ้านและสวมเสื้อผ้าแบบพลเรือน หลังจากทำการโจมตีแบบเกรดต่ำของพวกเขาต่อบรรดาเป้าหมายกองกำลังรักษาความมั่นคงแล้ว เป็นที่ทราบกันว่าพวกผู้ก่อความไม่สงบ ARSA จะถอยข้ามชายแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างบังกลาเทศ ซึ่งประชาชนที่นั่นพูดภาษาเดียวกันกับพวกเขาและยึดมั่นนับถือในความเชื่อทางศาสนาอย่างเดียวกับพวกเขา พิจารณาจากแง่มุมนี้แล้ว ยุทธวิธีของ ARSA มีความละม้ายคล้ายคลึงกับของพวกผู้ก่อความไม่สงบชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้สุดของประเทศไทยที่อยู่ติดต่อกับมาเลเซีย มากกว่ากับกองทัพชาวชาติพันธุ์อื่นๆ ในพม่า

    โดยที่ไม่ได้มีหลักการทางอุดมการณ์อย่างเดียวกันกับพวกนิยมลัทธิเหมาเจ๋อตง (Maoist) ในเนปาลและในอินเดียแต่อย่างใดทั้งสิ้น ทว่า ARSA ดูเหมือนเลียนแบบเทคนิคการสู้รบต่างๆ ของกลุ่มเหล่านี้ แทนที่จะเข้าเผชิญหน้ากับกองทัพพม่าในสมรภูมิและในการซุ่มตีต่างๆ ARSA กระทำเหมือนกับที่พวกกบฏเหมาอิสต์ชาวเนปาลทำเมื่อตอนที่พวกนี้ยังเคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้น และก็เหมือนกับที่พวกกบฏนาซาไลต์ชาวอินเดีย (Indian Naxalite) ทำอยู่ในทุกวันนี้ นั่นคือนิยมชมชอบที่จะปลุกระดมชาวบ้านที่ไม่มีอาวุธจำนวนเป็นร้อยๆ คนเข้าโจมตีที่มั่นต่างๆ ของภาครัฐในช่วงเวลากลางดึก

    พวกผู้ป้องกันที่มั่นของภาครัฐซึ่งตกเป็นเป้าหมายถูกโจมตี ปกติแล้วมีขนาดเล็กและอยู่อย่างโดดเดี่ยว พวกเขามีความรู้สึกว่ากำลังถูกโอบล้อมด้วยกองกำลังสู้รบที่มีขนาดใหญ่กว่ามากมาย ครั้นแล้วกลุ่มทำหน้าที่โจมตีซึ่งมีขนาดค่อนข้างเล็กก็เคลื่อนตัวเข้ามา สังหารทหารหรือตำรวจที่กลัวหงอ แล้วก็หลบหนีไปพร้อมกับอาวุธของพวกผู้ป้องกันที่มั่นเหล่านั้น มันเป็นสไตล์การโจมตีซึ่งเป็นที่คุ้นเคยกันอยู่ในเอเชียใต้ ทว่าเป็นของแปลกประหลาดไปหมดในพม่าจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้

    ภายหลังการโจมตีแบบประสานงานกันหลายสิบจุดในรัฐยะไข่ที่อยู่ทางภาคตะวันตกของพม่าในวันที่ 25 สิงหาคม ฝ่ายทหารพม่าอ้างว่าได้สังหารพวกผู้ก่อความไม่สงบไปแล้ว 400 คน อย่างไรก็ตาม ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือพวกเขาเหล่านี้แทบทั้งหมดน่าจะเป็นชาวบ้านซึ่งถูกระดมกะเกณฑ์มาเข้าร่วมเท่านั้น ถ้าหากมีนักรบ ARSA จำนวนมากมายถึงขนาดนี้ถูกฆ่าแล้ว องค์การนี้แทบทั้งองค์การก็คงถูกกวาดล้างไปใกล้หมดสิ้นสูญพันธุ์แล้ว ทั้งนี้ตามความเห็นของพวกนักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงซึ่งเฝ้าติดตามกลุ่มนี้อยู่

    พวกนักวิเคราะห์เดียวกันนี้บอกว่า องค์การนี้มีความเข้มแข็งน้อยกว่าที่พวกกบฎเองตลอดจนทางการทหารของพม่ากล่าวอ้างกันอยู่นักหนา ตามคำบอกเล่าของบุคคลวงในหลายราย กำลังของ ARSA อยู่ในระดับหลายร้อยเท่านั้น ไม่ใช่ถึงระดับหลายพัน โดยที่จำนวนนักรบที่ผ่านการฝึกฝนและมีความกระตือรือร้นน่าที่จะไม่เกิน 500 คน

    ขณะที่ศักยภาพด้านการทหารของ ARSA อยู่ในขอบเขตอันจำกัด กลไกการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มกลับสามารถเผยแพร่กระจายไปได้กว้างขวางทีเดียว โดยมีทั้งคำแถลงที่โพสต์ทางทวิตเตอร์และแพลตฟอร์มสื่อสังคมอื่นๆ ด้วยภาษาอังกฤษซึ่งคล่องแคล่วไหลลื่นอย่างน่าประหลาดใจ และด้วยภาษาที่มุ่งหมายทำให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มนี้ดูเป็นพวกสายกลางไม่รุนแรงสุดโต่งและมีเหตุมีผล

    ในคำแถลงชิ้นแรกๆ ชิ้นหนึ่งของกลุ่มนี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน ARSA ประกาศหยุดยิงแต่ฝ่ายเดียวเป็นเวลานาน 1 เดือนเพื่อให้กลุ่มความช่วยเหลือต่างๆ สามารถเข้าถึงผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา และหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ทางมนุษยธรรมอย่างเต็มพิกัด ทั้งนี้พวกกลุ่มความช่วยเหลือต่างๆ ประมาณการกันเอาไว้ว่ามีชาวโรฮิงญาหลายแสนคนหลบหนีออกจากพม่าไปบังกลาเทศนับตั้งแต่ที่ ARSA ทำการโจมตีในวันที่ 25 สิงหาคม และฝ่ายทหารได้ออกปฏิบัติการตอบโต้อย่างโหดเหี้ยมทารุณ

    มันเป็นการประกาศที่ห้าวหาญมากสำหรับกลุ่มติดอาวุธขนาดเบาซึ่งไม่ได้เป็นกองทัพที่มีการจัดตั้งองค์กรกันอย่างทะมัดทะแมงแต่อย่างใดเลย การโจมตีจำนวนมากของกลุ่มนี้ยังคงกระทำกันโดยใช้มีดขนาดใหญ่ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ดี ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ARSA ก็ล้มเหลวไม่ได้อธิบายแจกแจงว่าการทำการโจมตีด้วยผู้ปฏิบัติงานจำนวนน้อยและติดอาวุธย่ำแย่เต็มทีของพวกเขา ในขณะที่กำลังต้องเผชิญกับแสนยานุภาพของกองทัพพม่านั้น เหตุใดจึงสมควรที่จะถูกมองว่าเป็นการกระทำเพื่อ “พิทักษ์คุ้มครองชาวโรฮิงญา”

    ถ้าหากรายงานหลายๆ ชิ้นจากพื้นที่ดังกล่าวซึ่งเอเชียไทมส์ได้รับมา มีความถูกต้องแล้ว พวกผู้คนในท้องถิ่นกำลังรู้สึกโกรธแค้น ARSA ด้วยซ้ำ ที่ทำให้กองทัพพม่ามีข้อแก้ตัวสำหรับ “การล้างชาติพันธุ์” ชาวโรฮิงญาและชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆ ในพื้นที่บริเวณนั้น

    ในวันที่ 14 กันยายน ARSA แถลงว่า ตนต้องการที่จะ “สร้างความกระจ่างชัดเจน” ว่า ตนไม่ได้มี “ความเกี่ยวข้องโยงใยกับอัลกออิดะห์, รัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย, ลัชคาร์-อี-ไตบา (Lashkar-e-Taiba) หรือกลุ่มผู้ก่อการร้ายข้ามชาติใดๆ” ARSA ยังต้องการ “ที่จะให้เป็นที่รับทราบของรัฐทั้งหลายทั้งปวงว่า ตนเตรียมพร้อมที่จะทำงานกับหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ในการสกัดกั้นและป้องกันไม่ให้พวกผู้ก่อการร้ายเข้ามา (ในยะไข่) และทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก”

    พวกนักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงและพวกผู้เชี่ยวชาญเรื่องการก่อการร้ายต่างไม่เชื่อเรื่องนี้ เมื่อพิจารณาจากการที่กลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับกลุ่มสุดโต่งชาวต่างชาติหลายกลุ่ม รวมทั้งพวกที่อยู่ในปากีสถานด้วย ตัวผู้นำของ ARSA ซึ่งคือ อะตาอุลเลาะห์ อาบู อัมมาร์ จุนจูนี (Ataullah abu Ammar Junjuni) รวมทั้งยังรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ฮาฟิซ ตอฮาร์ (Hafiz Tohar) เป็นผู้ที่เกิดในเมืองการาจี ของปากีสถาน และได้รับการศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม (madrassa) ในซาอุดีอาระเบีย

    ปัจจุบันมีชาวโรฮิงญาทั้งรุ่นอายุที่ 1, 2, และ 3 จำนวนรวมกันหลายแสนคนทีเดียว กำลังพำนักอาศัยกันอยู่ใน โอรันจี (Orangi), โครันจี (Korangi), ลันธี (Landhi), และย่านชานเมืองที่ยากจนแห่งอื่นๆ ของเมืองการาจี พวกเขาแทบทั้งหมดอยู่ในฐานะเป็นผู้ไร้รัฐ ถึงแม้พวกเขาอาศัยกันอยู่ในปากีสถานมาหลายปีแล้ว และเวลานี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เกิดที่นั่นด้วยซ้ำไป พื้นที่ต่างๆ ซึ่งพวกเขาพำนักอยู่เหล่านี้คือแหล่งบ่มเพาะปลูกฝังกิจกรรมของพวกสุดโต่งมาช้านานแล้ว โดยที่มีบางคนเป็นที่ทราบกันอยู่ว่ากำลังถูกระดมไปทำการสู้รบในสงครามครั้งต่างๆ ในอัฟกานิสถาน

    ARSA ซึ่งในตอนต้นๆ เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ฮาราคาห์ อัล-ยาคิน (Harakah al-Yaqin) ที่แปลว่า “ขบวนการศรัทธาความเชื่อ” (the faith movement) ชื่อนี้มีน้ำเสียงที่แสดงนัยทางศาสนาอย่างชัดเจนและก็น่าสังเกตด้วยว่าไม่ได้มีคำว่า โรฮิงญา หรือ ยะไข่ (Arakan หรือ Rakhine) เลย เพิ่งจะเมื่อปีที่แล้วนี้เองที่กลุ่มนี้เริ่มใช้ชื่อซึ่งให้ความหมายในทางชาติพันธุ์เพิ่มมากขึ้นอย่าง “กองทัพกอบกู้ชาวโรฮิงญาแห่งยะไข่” (Arakan Rohingya Salvation Army หรือ ARSA) บางทีนี่อาจจะเป็นความพยายามที่จะแยกตนเองให้ออกห่างจากสภาพแวดล้อมอันเต็มไปด้วยความคิดหัวรุนแรงซึ่งขบวนการนี้ถือกำเนิดขึ้นมา

    ตามข้อมูลของพวกนักวิเคราะห์ข่าวกรอง ผู้ทำหน้าที่เป็นคนชี้แนะคอยให้คำปรึกษาแก่กลุ่มนี้คือ อับดุส กอดูส บูรมี (Abdus Qadoos Burmi) ชาวปากีสถานที่มีเชื้อสายโรฮิงญาอีกคนหนึ่ง เขาผู้นี้ตั้งฐานอยู่ในการาจีเช่นเดียวกัน และได้ปรากฏตัวในวิดีโอหลายชุดซึ่งเผยแพร่ทางสื่อสังคมโดยเรียกร้องให้เปิด “สงครามญิฮาด” ขึ้นในพม่า

    อับดุส กอดูส เป็นผู้ที่มีหลักฐานมัดแน่นหนาว่าโยงใยเกี่ยวข้องอยู่กับ ลัชคาร์-อี-ไตบา ซึ่งแปลว่า “กองทัพของผู้มีคุณธรรม” (Army of the Righteous) หนึ่งในองค์การผู้ก่อการร้ายอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียใต้ โดยที่การปฏิบัติการหลักๆ เลยของกลุ่มนี้จะมาจากปากีสถาน ลัชคาร์-อี-ไตบาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1987 ในอัฟกานิสถานด้วยเงินทุนที่มาจาก อุซามะห์ บิน ลาดิน ผู้ก่อตั้งอัลกออิดะห์ที่บัดนี้สิ้นชีพไปแล้ว อับดุส กอดุส กระทั่งปรากฏตัวในการประชุมต่างๆ หลายครั้งพร้อมๆ กับ ฮาฟิซ โมฮัมเหม็ด ไซเอด (Hafiz Mohammed Syed) หัวหน้าใหญ่สูงสุดของ ลัชคาร์-อี-ไตบา

    สำหรับผู้นำอันดับ 2 ของ ARSA เป็นบุรุษลึกลับซึ่งรู้จักกันเพียงในชื่อว่า “ชาริฟ” (Sharif) เขามาจากเมืองจิตตะกอง (Chittagong) ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของบังกลาเทศ และไม่เคยปรากฏตัวในวิดีโอโฆษณาชวนเชื่อใดๆ ของกลุ่มนี้เลย มีรายงานว่าเขาพูดจาโดยติดสำเนียงภาษาอูรดู (Urdu) ที่เป็นภาษาทางการของปากีสถาน

    กลุ่ม ARSA เองน่าจะสามารถระดมรับสมัครคนหนุ่มผู้โกรธเกรี้ยวและสิ้นหวังในหมู่ชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่และตามค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ในบังกลาเทศเข้ามาเป็นพลพรรค แต่ตามข้อมูลของพวกนักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุว่า ในกลุ่มนี้ยังมีผู้ที่เป็นชาวต่างชาติจำนวนราว 150 เศษๆ อีกด้วย

    ชาวต่างชาติเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากบังกลาเทศ, มีอยู่ 8 ถึง 10 คนมาจากปากีสถาน, แล้วยังมีกลุ่มที่เล็กกว่านั้นอีกมาจากอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, และภาคใต้ของประเทศไทย แล้วมีอยู่ 2 คนที่รายงานระบุว่ามาจากอุซเบกิสถาน พวกนักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงเหล่านี้กล่าวว่า ในเรื่องการฝึกอบรมนั้นกระทำกันในพื้นที่ชายแดนระหว่างพม่ากับบังกลาเทศ โดยที่ผู้ทำหน้าที่ครูฝึกส่วนหนึ่งเป็นนักรบผ่านศึกสูงวัยจากสงครามอัฟกานิสถาน

    มาถึงเวลานี้ก็เป็นที่กระจ่างชัดเจนแล้วว่า การเปิดการโจมตีหลายๆ จุดพร้อมๆ กันในวันที่ 25 สิงหาคมนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนแบบลงรายละเอียดอย่างถี่ถ้วน ในช่วงหลายๆ เดือนก่อนการโจมตีคราวนี้จะเกิดขึ้น มีผู้คนจำนวนอาจจะถึง 50 คนทีเดียวโดยมีทั้งที่เป็นชาวมุสลิมและชาวพุทธซึ่งถูกสงสัยว่ากำลังทำตัวเป็นผู้แจ้งข่าวต่อฝ่ายรัฐบาล ได้ถูกเชือดคอหรือถูกฟันจนตาย เพื่อเป็นการตัดขาดไม่ให้ฝ่ายทหารพม่าได้รับข่าวกรองในพื้นที่แถบนี้

    ขณะที่จังหวะเวลาของการเข้าโจมตีก็ยากที่จะเป็นเหตุบังเอิญ กล่าวคือ หนึ่งวันก่อนหน้านั้นคือในวันที่ 24 สิงหาคม คณะกรรมการที่ปรึกษาว่าด้วยรัฐยะไข่ (Advisory Commission on Rakhine state) ซึ่งมี โคฟี อันนัน (Kofi Annan) อดีตเลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติเป็นประธาน และเป็นหน่วยงานที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลพม่า ได้เผยแพร่รายงานของตนซึ่งมีเนื้อหาเสนอแนะวิธีการอันสันติต่างๆ ในการยุติการสู้รบขัดแย้งในพื้นที่ตรงนี้

    ภายใต้สถานการณ์อันปั่นป่วนวุ่นวายและเต็มไปด้วยความรุนแรงในปัจจุบัน ย่อมเป็นเรื่องลำบากยากเย็นเสียแล้วที่จะรื้อฟื้นข้อเสนอต่างๆ ของคณะกรรมการที่ปรึกษาชุดนี้ขึ้นมาพิจารณา และกำลังปล่อยให้เส้นทางเปิดกว้างโล่งโจ้งทีเดียวสำหรับกิจกรรมต่างๆ ของพวกหัวรุนแรงที่มุ่งทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพเพิ่มมากขึ้น

    มีวิดีโอหลายชิ้นที่เผยแพร่โดยพวกกลุ่มอิสลามิสต์ในอินโดนีเซียซึ่งแสดงให้เห็นกลุ่มคนหนุ่มหลายกลุ่มกำลังเข้ารับการฝึกทหารในจังหวะอาเจะห์ ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา ในการเตรียมตัวสำหรับเข้าทำสงครามญิฮาดในรัฐยะไข่ มีการเดินขบวนที่มีคนเข้าร่วมจำนวนมากมายเพื่อแสดงความสนับสนุนชาวโรฮิงญา จัดขึ้นมาในตลอดทั่วทั้งบังกลาเทศ ซึ่งการไหลทะลักเข้าไปของผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจำนวนเป็นแสนๆ เช่นนี้ได้กลายเป็นประเด็นปัญหาทางการเมืองภายในประเทศไปอย่างรวดเร็ว โดยกำลังทำให้เกิดการต่อสู้กันระหว่างพรรคสันนิบาตอะวามิ (Awami League) ที่เป็นพรรครัฐบาลในเวลานี้ กับฝ่ายค้านซึ่งมีพวกอิสลามเคร่งจารีตหนุนหลังอยู่

    เมื่อพิจารณาจากปฏิกริยาตอบโต้อันป่าเถื่อนโหดเหี้ยมของฝ่ายทหารพม่า ต่อการปะทะกันครั้งแรกระหว่าง ARSA กับกองกำลังความมั่นคงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมปีที่แล้ว, การตอบโต้กันและผลพวงต่อเนื่องของ “การปฏิบัติการกวาดล้าง” ซึ่งได้บังคับให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่อาจจะสูงถึง 70,000 คนหลบหนีเข้าไปยังบังกลาเทศแล้ว พวกนักวิเคราะห์จึงพากันมองกันว่า มันจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไปหรือเปล่าที่ ARSA ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่าจะต้องประสบกับการตอบโต้ที่หนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นอีก ต่อการโจมตีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมซึ่งมีขนาดขอบเขตที่กว้างขวางกว่าในครั้งเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2016

    ถ้าหากเป้าหมายของกลุ่มนี้คือการ “พิทักษ์คุ้มครองชาวโรฮิงญา” เหมือนกับที่ ARSA อ้างแล้ว การโจมตีของพวกเขาก็ได้ส่งผลสะท้อนด้านกลับที่น่าสยดสยองจริงๆ ทว่าพวกนักรบหัวรุนแรงเหล่านี้ต้องคาดคำนวณกันอยู่แล้วถึงผลประโยชน์ที่จะสามารถเก็บเกี่ยวได้จากแรงสะท้อนถอยหลังเช่นนี้ การประโคมโหมข่าวระดับนานาชาติแวดล้อมชะตากรรมความทุกข์ยากของชาวโรฮิงญาดังกึกก้องกว้างขวางอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ขณะที่มีศักยภาพที่อาจจะได้รับความสนับสนุนใหม่ๆ และเป็นเนื้อเป็นหนังจากโลกอาหรับและโลกมุสลิม แล้วยังคนหนุ่มผู้โกรธเกรี้ยวจำนวนเพิ่มมากขึ้นที่จะสามารถปลุกระดมกะเกณฑ์ดึงเข้ามาเป็นพลพรรค

    อย่างไรก็ตาม เหยื่อเคราะห์ร้ายของเกมแบบหยามหมิ่นดูแคลนผู้คนทั้งหลายเช่นนี้ ย่อมได้แก่ชาวโรฮิงญาและคนอื่นๆ จำนวนหลายแสนคน ผู้ซึ่งถูกบังคับขับไสให้ทอดทิ้งบ้านเรือนที่ถูกทำลายย่อยยับของพวกเขา และเวลานี้ต้องพักอาศัยอย่างอ่อนระโหยโรยแรงตามค่ายพักอันมอซอย่ำแย่ในบังกลาเทศ หรือในพื้นที่ซึ่งไม่มีคนและไม่เหมาะแก่การพำนักพักพิงเลยตามแนวชายแดนอันกลายเป็นนรกมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างพม่ากับบังกลาเทศ

    เบอร์ทิล ลินต์เนอร์ เป็นนักหนังสือพิมพ์, นักเขียน, และที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ชาวสวีเดน ซึ่งเขียนเรื่องเกี่ยวกับเอเชียมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้ว เขาเคยเป็นผู้สื่อข่าวประจำพม่าของนิตยสารฟาร์อีสเทิร์นอีโคโนมิกรีวิว ซึ่งบัดนี้ได้ล้มตายตายจากไป และปัจจุบันทำงานเป็นผู้สื่อข่าวให้แก่หนังสือพิมพ์รายวัน สเวนสกา ดักบลาเดต (Svenska Dagbladet) ของสวีเดน และ โปลิติเกน (Politiken) ของเดนมาร์ก

    ภาพจาก https://tangnamnews.wordpress.com/2017/09/16/กลุ่มติดอาวุธโรฮิงญา-arsa-ป/

    เนื้อหาจาก https://mgronline.com/around/detail/9600000106823
     

แชร์หน้านี้

Loading...