ทำกรรมอะไรไว้ที่ทำให้เป็นโรคต่างๆ และการขจัดโรคกรรมให้เบาบาง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย สาสนี, 2 พฤษภาคม 2017.

  1. สาสนี

    สาสนี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +210
    การเจริญภาวนานั้นมีการกล่าวถึงกันมาก ในผู้ที่ประสบโรคเวรโรคกรรม รักษาไม่หาย ต้องไป
    %B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD.jpg
    สวดมนต์ นั่งสมาธิแผ่เมตตา ปฏิบัติกรรมฐานให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่คอยจองเวรอยู่จึงจะหมดเคราะห์หมดกรรม ซึ่งมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐาน เจริญภาวนาแล้วสามารถพ้นทุกข์จากโรคภัยมากมาย

    ความเชื่อเกี่ยวกับกรรมฐานแก้โรคภัยนั้น ยังมีเรื่องราวทำนองนี้อีกมากมายหลายกรณี ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ แต่เป็นการแก้ไขที่ตรงเหตุและได้ผลที่สุด การที่คนเราต้องทุกข์ทรมานเจ็บป่วยกันหนักหนาไม่หายขาดเสียทีก็เพราะ มีเจ้ากรรมนายเวรตามคอยขัดขวาง อาจถึงขั้นมุ่งเอาชีวิต การเจริญภาวนาจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยเหลือให้ผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมได้บรรเทาโทษและผลแห่งกรรมได้

    การเจริญภาวนาในแบบวิธีแห่งพุทธศาสนาเป็นการทำความสะอาดจิตอย่างละเอียดเป็นการซักฟอกจิตให้สะอาดจนถึงที่สุดคือ ให้จิตเบาบางไปจากสิ่งปรุงแต่ง (กิเลสทั้งหลาย) จนกระทั่งหมดไปในที่สุดเมื่อทำการซักฟอกจิตใจจนหมดกิเลสแล้วมันก็ไม่มีอะไรปรุงแต่งอยู่ในจิตอีก จิตก็ว่างเปล่าไม่อาจจะนำไปก่อกรรมสร้างกรรมไม่ดีใด ๆคือ ไม่อาจจะสร้างเจ้ากรรมนายเวรได้อีกต่อไป

    การที่ผู้เขียนกล่าวว่า การเจริญภาวนาด้วยสมาธิและเจริญปัญญานั้นจะเป็นการทำให้เจ้ากรรมนายเวรพอใจได้สูงสุด แท้ที่จริงก็คือ เจ้ากรรมนายเวรของเรานั้นมีอยู่อีกเป็นจำนวนมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน แม้เราจะสร้างบุญในทานในศีลให้มากมายเพียงใดเท่าไหร่ก็ไม่พอแจกจ่ายให้เขาเหล่านั้นได้รับบุญเอาไว้ทั้งหมด

    นอกจากนั้นยังเจ้ากรรมนายเวรอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถมารับบุญที่เราได้อุทิศไปให้ได้ เพราะตัวเขาเองยังต้องชดใช้กรรมอยู่ในภพภูมิอื่นยังไม่ถึงเวลารับบุญนั้นไป กรรมของเราก็ยังไม่ได้รับการอโหสิกรรมง่ายๆ เสียทีต้องติดค้างกันอยู่เรื่อยๆไป

    เหมือนกับเราเป็นหนี้แล้วพยายามเอาเงินไปคืนเจ้าของบ้าน โดยที่ทุกอย่างมีความสมบูรณ์แบบทุกอย่างตั้งแต่ เงินที่ได้มา เจตนาจะเอาให้คืน แต่พอไปถึงเจ้าหนี้กลับไปอยู่บ้านเสียอย่างนั้น หรืออย่างน้อยก็เป็นการแสดงเจตนาส่งมอบบุญกุศลให้เขาได้รับเป็นการชดใช้และตอบแทนชดเชยในความผิดบ้าง

    การเจริญภาวนาเป็นการทำให้เราหลุดพ้นจากเงื่อนไขทั้งหลายของเจ้ากรรมนายเวรทั้งปวง เป็นทางไปสู่การนิพพาน เมื่อได้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดยิ่งยวดจนจิตของเราบริสุทธิ์สามารถหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว “กรรมของเจ้ากรรมนายเวรก็ตามไปส่งผลให้ไม่ถึงเพราะไม่รู้จะส่งให้ใคร” ไม่มีรูปนั้นเหลืออยู่อีกแล้วจึงต้องยุติกรรมนั้นไปเสียยกตัวอย่างให้เป็นรูปธรรมก็เช่น เราเป็นเจ้าหนี้ไปตามทวงลูกหนี้แต่ปรากฏว่า ลูกหนี้กลับตายเสียแล้วแม้อยากจะตามไปทวงถึงไหน ๆก็ไม่อาจจะไปตามเอาคืนได้อีก

    ย่อเรื่องมาจากหนังสือเรื่อง เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ 5 บุญฤทธิ์ พิชิตโรคร้าย (โรคเวรโรคกรรม) โดย ฤทธิญาโณ และจิตตวชิระ

    อุทิศผลบุญรักษาโรค!!!
    หลักการอุทิศผลบุญรักษาโรค


    โรคบางอย่างเกิดจากกรรมเก่าที่เราเคยได้ทำไว้ ซึ่งกรรมไม่ดีที่เราเคยทำไว้กำลังส่งผล ทำให้เราเป็นทุกข์ เป็นโรคต่างๆ ตลอดทั้งนายเวรยังจองเวร ไม่ยอมอโหสิกรรม เราจึงต้องอุทิศผลบุญให้แก่นายเวรและเชื้อโรคทั้งหลายเพื่อให้เขาได้รับผลบุญแล้วเลิกจองเวรและอโหสิกรรมให้เรา ตลอดทั้งอุทิศผลบุญให้แก่เทวดาประจำตัวที่คอยดูแลช่วยเหลือและคุ้มครองเรา รวมทั้งเทวดาที่รักษาโรคให้เราด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2017
  2. สาสนี

    สาสนี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +210
    กรรมอะไร? ที่ทำให้เป็นโรคตา!!!!

    ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ แต่ถ้าตาเป็นอะไรไป ก็เหมือนบ้านที่ไม่มีหน้าต่าง


    โรคตานั้นมีความรุนแรงหลายระดับหนักที่สุด คือตาบอดมองไม่เห็นอะไรเลย รองลงมา เห็นได้ไม่ชัด เช่น ต้อกระจก ต้อเนื้อ ต้อลม ตาเข เป็นต้น ถัดลงมา เห็นไม่ชัด แต่ใช้แว่นตาช่วยได้ เช่น สายตาสั้นยาว และเอียง เป็นต้น

    ในทางการแพทย์ได้กล่าวถึงสาเหตุไว้หลากหลายแตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัย...

    ในทรรศนะของกฎแห่งกรรม คุณครูไม่ใหญ่ ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับโรคตา ไว้ในรร.อนุบาลฝันในฝันวิทยา ถ่ายทอดทาง DMC ว่า โรคตาเกิดจากวิบากกรรม....

    1. ในอดีตชาติ ทำร้ายคน สัตว์ที่ดวงตา เช่น ชกคนจนตาบอด หยิบยาผิดไปหยอดตาให้ญาติ เอาทรายปาใส่ตาเพื่อน เอาไม้ทิ่มถูกตาสุนัข เป็นต้น

    2. ในอดีตชาติ ขังนักโทษไว้ในคุกมืด จับปลามาขังในตุ่มที่ปิดฝา เป็นต้น

    3. ในอดีตชาติ มองคนอื่นด้วยตาที่ดุๆ มองคนด้วยความหมั่นใส้ จองหน้าผู้ใหญ่เมื่อถูกตักเตือน มองคนด้วยจิตริษยา ดูถูกดูแคลน มองคนด้วยหางตา ชอบมองจับผิดคนอื่น มองสัตว์ด้วยจิตคิดร้าย เล็งธนูล่าสัตว์ แอบดูสาวอาบน้ำ เป็นต้น

    4. ในอดีตชาติ เป็นนักการพนัน ซ่อนไพ่หลอกพวกนักพนัน เป็นต้น

    5. ในอดีตชาติ พูดตัดรอนกำลังใจกับคนที่มาขอความช่วยเหลือ พูดคำหยาบคาย โกหกย้อมแมวขายล้อเลียนเพื่อนที่ใส่แว่นตาหนา คนหนังตาตก คนตาชั้นเดียว เป็นต้น

    สรุปวิบากกรรมที่ทำให้เกิดโรคตา คือ


    1. ทำร้ายตาคน และสัตว์
    2. ขังคน และสัตว์ในที่มืด
    3. ใช้ดวงตาไปทำบาป
    4. ใช้ปากทำบาป

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงลักษณะดวงตาของพระมหาบุรุษเอาไว้ว่า พระองค์ทรงมีพระเนตรดำสนิท มีพระเนตรแจ่มใส ดุจตาลูกโคเพิ่งคลอด เพราะในชาติก่อน ไม่ทรงถลึงตามอง ไม่มองค้อน ไม่เมิน มองเต็มตา แลดูชนหมู่มาก ด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก เพราะทรงกระทำสั่งสม พอกพูน ไพบูลย์ ฯลฯ ครั้นจุติจากสวรรค์มาเป็นมนุษย์... ย่อมได้มหาปุริสลักษณะ 2 ประการนี้ ฯลฯ

    วิธีแก้ไขวิบากกรรมโรคตา ไม่ให้ติดตัวไปข้ามชาติ


    1. ทำบุญให้แสงสว่าง เช่น บริจาคหลอดไฟ แว่นตา ทำบุญค่าไฟ เป็นต้น

    2. จุดประทีปบูชาพระรัตนตรัย ให้แสงสว่าง ชื่อว่า ให้จักษุ คือ ให้การมองเห็น เพราะแม้มีดวงตา แต่ไม่มีแสงสว่าง ก็มองไม่เห็น แม้ทิพยจักษุก็ได้จากการจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัย

    สรุปว่า อยากมีดวงตาสวย มองได้ชัด มองได้ไกล มองได้แม้ในที่มืด อย่าใช้ตาทำบาป ให้ใช้ตาสร้างบุญ และทำบุญให้แสงสว่าง ชาติต่อไปจะได้ไม่ต้องร้องเพลง "ดวงตาของฉันนั้นมันมืดมิด แต่ชีวิตฉันยังไม่มืดลง..."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤษภาคม 2017
  3. คะนึง

    คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +402
    โรคกรรมแล้วที่จริงเกิดจาการกระทำที่ได้ทำไว้เป็นอาจิณ หรือ ทำแม้เพียงครั้งเดียวหากเป็นกรรมหนัก กรรมก็ติดจรวดให้ผลแบบทันตาก็มีค่ะ ถ้าใครเฝ้าติดตามตนเองถึงผลที่ตนเองได้รับและคนอื่นได้รับ ว่ากรรมนั้นมีจริง เป็นดั่งมุมเบอแรง ยิ่งกว้างออกไปแรงเท่าไหร่ ก็ย้อนกลับเข้ามาหาตนเองได้รวดเร็วเท่านั้น เมื่อเราทำความเข้าใจ รู้ได้จากผลจากความทุกข์ที่ตนกระทำแล้วต้องได้รับผลอย่างแน่นอน. ทำให้เป็นสัมมาทิฐิ เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม เป็นคุณสมบัติของจิตที่ติดเป็นคุณงามความดีในการหลุดพ้นจากทุกข์ได้ค่ะ
     
  4. คะนึง

    คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +402
    กรรมส่วนใหญ่จะเกิดจากอารมณ์ที่จิตบันทึกไว้ ร่างกายของเราทุกอณู ถูกสร้างขึ้นจากกรรม. หากไม่มีกรรม. เราคงไม่เกิด. กรรมจึงมีร่างกายเป็นผู้ชดใช้ มีใจเป็นผู้รับ ดั่งที่ว่า หยิกที่เนื้อ เจ็บไปถึงใจ

    การรับผลกรรม สิ่งที่สำคัญ คือ ผลต้องได้รับทุกข์ทางใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    จะตรวจสอบได้อย่างไร? ว่ากรรมนั้นได้ลดเบาบางแล้วคือ. โรคร้ายหายไป หรือ ความทุกข์ที่เราเคยได้รับแม้โรคบางอย่างอาจไม่หายอย่างเด็ดขาด หรือ โรคนั้นอาจเบาบางลง แต่การรับทุกข์ทางใจไม่มีผลกับเราแล้ว...นั่นแสดงว่าผลของวิบากกรรมหมดไป

    ถ้าใครเคยติดตามอ่านโพสต์ของเรา จะรู้ว่าเราเป็นโรคปากเหม็น อันเนื่องมาจากกระทำกรรมทางด้านวาจาไว้มาก แต่ด้วยอานิสงส์ของการเจริญภาวนาและการตั้งใจงดเว้นรักษาศีล ข้อ4 อย่างมั่นคง มีสติยั้งคิดจะไม่ทำอีก เช่นเจ้าวัดรักษาศีลปิดวาจา แม้มีสิ่งยั่วยุให้เราต้องโต้ตอบ แต่ด้วยการตั้งใจงดเว้น และการปิดวาจา ทำให้เรานิ่ง ไม่โตัตอบ ยอมรับผลกรรมที่เคยทำไวั และอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร อภัย และ อโหิกรรมแก่คนที่ทำแก่เรา ว่ากรรมนั้นส่งผลให้เห็นวิบากกรรม อานิสงส์ของบุุญบารมีคือการเจริญภาวนา การตั้งใจงดเว้น การอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร จึงทำให้วิบากกรรมหมดไป เราไม่รู้สึกเป็นทุกข์ทางใจกับเรื่องปากเหม็นอีกต่อไปแล้วค่ะ
     
  5. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +708
    ครับแล้วกลิ่นปากมันเบาลงไหมครับหลังจากที่เราตั้งใจรักษาศีลข้อที่4
     
  6. คะนึง

    คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +402
    ค่ะ หลังจากที่ทุกข์ทรมานมาหลายปีเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีช่วงที่ปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษ์ ปฏิบัติอย่างหนัก เรารู้สึกได้เลยค่ะว่า ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นปากต่อบุคคลรอบข้างตัวเราเลยค่ะ และใจเราหลุดหรือลืมไปเลยในเรื่องนี้ เหมือนออกจากใจเราไปเลยค่ะ ไม่ทุกข์ใจกับเรื่องนี้อีกเลย

    แต่ทีนี้ซิค่ะ. การที่เรารู้สึกผิดตั้งใจงดเว้นว่าจะไม่ทำอย่างเดิมอีกแล้ว เพราะเราเชื่อในเรื่องผลกรรมที่เราได้รับ เราก็ตั้งสัจจะไว้ว่าจะไม่ทำอีก ในช่วงที่ปฏิบัติอย่างหนักนั้น ก็มีบททดสอบมาให้ค่ะ ว่าที่เราตั้งสัจจะไว้เราจะละไดัจริงไหม?

    ผลปรากฎว่าเราพ่ายแพ้ให้แก่กิเลส เราทำเหมือนเดิมแต่ไม่รุนแรงเท่าเดิม เช่นจากการด่าต่อหน้า. เราก็บริภาษลับหลัง เราพลาดให้กับกิเลสที่มาทดสอบเรา ผลปรากฎว่า ความรู้สึกทุกข์ใจเรื่องนี้กลับมาอีก แต่ไม่รุนแรงเท่าเดิม แต่ให้ให้มีผลทุกข์ทางใจกลับมาอีก หลังจากที่ทุกข์ทางใจนั้นหายไปแล้ว

    ผลนี้จึงทำให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมอย่างมาก หลายคนสงสัยว่าทำไมผลใหัเห็นทันตาแบบติดจรวด ก็เพราะว่าผู้ที่เราทำแก่ท่านนั้นเป็นผู้ปฏิบัติในองค์ฌาน กรรมจึงส่งผลให้เห็นทันทีเลยค่ะ

    สิ่งนี้ที่เกิดขึ้นกับตัวเองจึงทำใหัเชื่อเรื่องผลกรรมเป็นอย่างมาก และจะทำให้เราไม่ประมาทในครั้งต่อไปอีกค่ะ พยามนำเรื่องนี้มาใคร่ครวญพิจารณาอบรมจิตใจตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้ใจรู้และเข้าใจจะไม่ทำอีกต่อไป หากเราไม่อยากทุกข์ใจแบบเดิมอีกนะค่ะ
     
  7. ทอนเงิน

    ทอนเงิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +708
    ออครับขอบคุณสำหรับสาระดีๆครับได้ประโยชน์และความรู้มากเลยครับสาธุ
     
  8. คะนึง

    คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +402
    กรรมใดทำให้ขาดเสน่ห์ วิธีการสร้างเสน่ห์ให้กับตัวเองค่ะ

    http://board1.trekkingthai.com/board/show.php?forum_id=9&topic_no=132892&topic_id=134541&page=1

    บทที่ ๒
    สร้างเสน่ห์


    วิธีที่คุณจะพลาดรักแท้ไปจนตายนั้นง่ายนิดเดียว คือทำอะไรตามใจตัวเองไปเรื่อย ๆ

    ต่อเมื่อทำความเข้าใจอย่างถูกต้องว่ารักแท้ก็คือกิเลสอย่างหนึ่งคุณคงเลิกหลงสำคัญผิดคิดว่ารักแท้ไม่ต้องการอะไรเลย คุณจำเป็นต้องลงทุนออกแรงตามใจรักแท้บ้าง ไม่ใช่เอาแต่ตามใจตัวเอง

    เมื่อกิเลสต้องการแรงดึงดูดใจ รักแท้ก็ต้องการแรงดึงดูดใจเช่นกัน ถ้าคุณไม่มีแรงดึงดูดใจอยู่ในตัว ก็อย่าไปถามหารักแท้ให้เหนื่อยเปล่า

    แรงดึงดูดให้ติดใจ หรือเครื่องเร้าใจให้หลงรักนั้น เราเรียกกันว่า “เสน่ห์” ใครมีเสน่ห์มากแปลว่าคนนั้นน่าติดใจมาก หรือเย้ายวนชวนให้ใครต่อใครตกหลุมรักได้ยิ่งกว่าคนทั่วไป

    คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเสน่ห์เป็นสิ่งที่สร้างไม่ได้ เพราะเป็นของติดตัวมาแต่เกิด ซึ่งก็เป็นความเชื่อที่ครึ่งผิดครึ่งถูก ขอเพียงรู้เหตุผลอย่างแท้จริงว่าเสน่ห์เกิดจากกรรมและจิตแบบไหน คุณก็อาศัยกรรมและจิตแบบนั้นสร้างเสน่ห์ขึ้นมาในตัวได้

    บทนี้เรามาทำความรู้จักกับเสน่ห์มนุษย์ ในแบบที่จะรู้ลู่ทางสร้างเสริมให้คุณพร้อมเป็น “แม่เหล็กดึงดูดความรัก” จะได้ไม่ต้องออกตะลอนพลิกแผ่นดินหาเองให้เหนื่อยเปล่า

    เสน่ห์จากบุญเก่า
    มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่บ้ารูป บ้าเสียง บ้ากลิ่น บ้ารส บ้าสัมผัส ดังนั้นความมีรูปงามและเนื้อหอมจึงเป็นข้อได้เปรียบ นี่เป็นสิ่งที่รู้ ๆ กัน แต่ที่ไม่รู้เลยคือสิ่งใดเป็นตัวกำหนดให้คนเราต่างกันดังเช่นที่เห็น ๆ อยู่

    คนที่รู้นั่นแหละครับได้เปรียบอย่างแท้จริง เพราะต่อให้เดิมทีมีเสน่ห์ทางรูปกายน้อย ก็เพิ่มให้มากขึ้นได้ด้วยความรู้ความเข้าใจที่ตรงทาง และในทางตรงกันข้าม คนไม่รู้ก็อาจลดเสน่ห์ที่เคยมากให้น้อยลงได้อย่างน่าใจหาย

    สิ่งปรุงแต่งให้รูปกายดูดีมีเสน่ห์คือ “บุญ” และบุญเก่าก็เป็นยิ่งกว่าเวทมนตร์ เพราะเวทมนตร์เนรมิตรูปลวงตาได้เพียงชั่วครู่ แต่บุญเก่าบันดาลรูปจริงเป็นหน้าเป็นตาให้คุณได้ทั้งชาติ

    บุญเก่าทำงานอย่างไร ก็ปรุงแต่งของน่ารักน่าใคร่ให้เกิดขึ้นในคุณไงครับ

    สัดส่วนที่ลงตัวของรูปพรรณสัณฐานจะเตะตาให้ “อยากมอง” แก้วเสียงที่นุ่มนวลกระจ่างชัดจะสะดุดหูให้ “อยากฟัง” ความน่ามองน่าฟังจะดึงดูดใจให้ใหลหลง แล้วนำไปสู่ความ “อยากเป็นเจ้าของ” ในที่สุด

    ดังนั้นถ้ามีคนอยากเป็นเจ้าของคุณทันทีเพียงเมื่อเห็นคุณปรากฎตัว ก็แปลว่าเสน่ห์จากบุญเก่าของคุณแรงไม่เบา และยิ่งจำนวนคนอยากเป็นเจ้าของคุณมากขึ้นเท่าไร ก็พิสูจน์ว่าเสน่ห์จากบุญเก่าของคุณไม่ธรรมดายิ่งขึ้นเท่านั้น

    เมื่อโตขึ้นมา แต่ละคนย่อมรู้ตัวว่าตนเองมีรูปร่างหน้าตาเป็น “ใบเบิกทาง” หรือ “ใบสละสิทธิ์” สำหรับผู้ที่ตระหนักชัดว่ามีหน้าตาเป็นใบสละสิทธิ์ก็อย่าเพิ่งเสียกำลังใจ ขอให้จำไว้ว่า ใบสละสิทธิ์มิใช่สิ่งที่คุณเต็มใจถือมาแต่แรก แล้วก็ไม่มีใครห้ามคุณยกระดับมันขึ้นเป็นใบเบิกทางด้วย ขอให้รู้วิธีเถอะ!

    ส่วนพวกที่มีใบเบิกทางหลายใบก็อย่าชะล่า เพราะแม้ใบเบิกทางทำให้คุณได้เปรียบ แต่ก็ไม่ประกันว่าจะรักษาความพิศวาสของใครไว้ได้นาน

    ช่องทางสร้างใบเบิกทางอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่การพูดคุยกันตามธรรมดานี่แหละครับ สิ่งที่คุณควรทำความเข้าใจคือ รักแท้เกิดขึ้นจากการสื่อสาร ไม่ใช่การจ้องหน้ากัน

    พูดให้ฟังง่ายคือความหลงรักอาจเกิดจากการจ้องหน้า แต่ถ้าหวังรักแท้ก็ต้องคุยกันให้เกิดความประทับใจและอยากใกล้ชิดได้ด้วย เมื่อใดเข้าใกล้และมีโอกาสพูดคุยกัน คนจะไม่ได้มองรูปทรงองค์เอวของคุณ ส่วนใหญ่สิ่งที่จะกระทบใจพวกเขาคืออากัปกิริยา นัยน์ตา และน้ำเสียง ฉะนั้น ถ้าคุณปรับปรุงเครื่องมือสื่อสารในตัวเองให้จับตาพวกเขาได้ ก็เท่ากับคุณมีใบเบิกทางไม่น้อยหน้าใครอยู่เหมือนกัน

    ต่อให้คุณมีใบเบิกทางระดับเฟิร์สคลาสในมือ แต่ดันมีอากัปกิริยา นัยน์ตา และน้ำเสียงเป็นใบสละสิทธิ์ ก็เท่ากับตัดอายุใบเบิกทางลงไม่อาจถางทางไปสู่รักแท้ได้ถึงไหน

    วิธีเพิ่มเสน่ห์ทางอากัปกิริยา นัยน์ตา และน้ำเสียงนั้น มีมากมายร้อยแปดพันประการ แต่ในที่นี้ผมจะให้ทางลัดชนิดหนึ่งที่เห็นผลทันใจ และไม่ต้องเดินทางไปยังศูนย์พัฒนาบุคลิกภาพแห่งใดในโลกทั้งสิ้น


    ic-02.gif ic-02.gif ic-02.gif

    มาว่ากันเป็นอย่างๆ เลยนะครับ
    ๑)อากัปกิริยา
    อากัปกิริยาที่เป็นเสน่ห์ ไม่ใช่การพยายามดัดจริตเคลื่อนไหวให้โก้เก๋ แต่เป็นการเคลื่อนไหวที่แสดงถึงความรู้สึกตัว รู้จักจังหวะจะโคน ฉับไวในเวลาที่ควรฉับไว แช่มช้าในเวลาที่ควรแช่มช้า และที่สำคัญคือมีความนิ่มนวลสง่างามในที แบบที่ทำให้คนมองพลอยเกิดแรงบันดาลใจจะมีสติรู้สึกตัวตาม

    บุญที่ทำให้เป็นผู้มีอากัปกิริยาท่าทีงามสง่าและเต็มไปด้วยความรู้สึกตัว คือการเป็นผู้รู้จักสำรวมในกาละเทศะอันควร โดยเฉพาะกับบุคคลและสถานที่อันเป็นมงคล อาศัยความรู้นี้ คุณก็สามารถทำบุญสร้างเสน่ห์ทางอากัปกิริยาได้ โดยเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง เช่น ทำความเคารพพระปฏิมาบนโต๊ะหมู่บูชาในบ้านด้วยกิริยาประณีต หรือเดินเข้าไปในวัดวาอารามด้วยความสำรวมกายสำรวมใจ

    ใจนั่นเองเป็นผู้ปรุงแต่งกายให้เกิดความประณีตและสำรวม ถ้าใจคุณเคารพสิ่งศักดิสิทธิ์จริง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะแสดงกิริยาอันเป็นการเคารพ และกิริยาอันเป็นไปเพื่อความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มีอยู่แค่ไม่กี่แบบ นับเริ่มตั้งแต่ไม่เอะอะมะเทิ่งใกล้เขตพระพุทธรูป เวลาก้มลงกราบมีความนบนอบศิโรราบ ตอนสวดมนต์ตั้งตัวตรงไม่โยกไปเยกมา เมื่อเหม่อลอยหรือฟุ้งซ่านก็ยอมรับว่าเหม่อลอยและค่อย ๆ หันเหกลับมาอยู่กับบทสวด เป็นต้น กิริยาอันเป็นบุญเหล่านี้ รวมกันแล้วจะทำให้คุณรู้สึกถึงความสว่างทางกายขึ้นมาทีละน้อย

    ความรู้สึกว่าสว่างนั้นแหละตัววัดว่าเกิดบุญ ไม่ใช่ของหลอก ไม่ใช่อุปาทาน เพราะเมื่อบุญเกิดใจย่อมเป็นสุข แต่ถ้ายังเกร็งหรือหรือฝืนทน คุณก็จะไม่รู้สึกถึงความสว่างและความเป็นสุข นั่นแปลว่าบุญยังไม่เกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    เครื่องวัดว่าเป็นบุญติดตัวแน่แล้ว คือการเข้าสู่ภาวะสำรวมเรียบร้อยโดยอัตโนมัติเมื่ออยู่ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กับทั้งมีความสม่ำเสมอ คืออยู่ในภาวะนั้นได้นานโดยไม่กระสับกระส่าย เช่น ตั้งแต่เริ่มสวดมนต์จนจบไม่กวักแกว่งเลย แม้จะต้องกระดุกกระดิกแก้เมื่อยบ้างก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าหลุกหลิก ยังคงความนิ่งทางใจไว้ได้สม่ำเสมอ

    จากนั้นคุณจะรู้สึกว่าเป็นการง่ายที่จะสงบสำรวมต่อหน้าผู้ใหญ่หรือบุคคลผู้ควรให้ความนับถือ ไม่ว่าจะเป็นผู้ทรงศีลในจีวร ตลอดจนบิดามารดาผู้ให้กำเนิดคุณมา และโดยไม่ต้องฝึกพัฒนาบุคลิกตามขั้นตอนใด ๆ บุญจะปรุงแต่งให้ทุกอิริยาบถของคุณงามขึ้นมาเอง คือเกิดสัญชาตญาณในการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ในแบบที่ทราบได้จากข้างในว่าน่าดู น่ามอง

    ถึงจุดหนึ่งคุณจะรู้เอง ว่าความเคลื่อนไหวของกายมนุษย์เป็นเครื่องล่อตาชนิดหนึ่ง เป็นแม่เหล็กดึงดูดสายตาคนได้ และถ้าเนิบนิ่งก็จูงจิตคนเห็นให้นิ่งตามได้ แต่หากคุณลอกแลกหลุกหลิกอยู่ตลอดจะเคลื่อนไหวแต่ละทีกระโดกกระเดกไร้สติ อันนั้นจะเป็นแรงผลักให้คู่สนทนาอยากเบือนหน้าหนี เพราะผู้คนมีจิตฟุ้งซ่านยุ่งเหยิงอยู่แล้ว จึงไม่อยากรับภาพกระทบตาที่ชวนให้ปั่นป่วนหนักเข้าไปใหญ่

    แน่นอนว่าบุญใหม่ไม่อาจตกแต่งอากัปกิริยาของคุณให้สง่าผ่าเผยที่สุดในโลก เนื่องจากจะไปติดเพดานจำกัดที่สัดส่วนรูปพรรณสัณฐานซึ่งบุญเก่าให้มา แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะขับให้ออกท่าออกทางที่เหมาะเจาะที่สุด เท่าที่หัวตัวและแขนขาของคุณจะแสดงได้

    อีกสิ่งหนึ่งที่ควรระลึกนะครับ คืออากัปกิริยาเท่ ๆ ควรมากับกลิ่นตัวที่สร้างสรรค์หน่อย ไม่ใช่ขยับแต่ละทีเหมือนโยนสกั๊งใส่หน้าคนดู เป็นเหตุให้พวกเขาต้องเบนหน้าหลบอย่างไม่เกรงใจ หากอาบน้ำบ่อยยังไม่พอ ก็อย่าปล่อยเลยตามเลย ร้านสะดวกซื้อมีคำตอบให้สารพัด ทั้งโรลออนและสเปรย์ดับกลิ่น หากใครแพ้หรือรู้สึกยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ ลองซื้อแอลกอฮอร์ใส่ขวดสเปรย์ฉีดก็พอได้ผลเหมือนกัน อย่างน้อยช่วยลดความหมักหมมของแบคทีเรียที่รักแร้ตลอดจนซอกอับที่หมักเหงื่อต่าง ๆ ได้บ้างครับ

    ๒)นัยน์ตา
    นัยน์ตาที่เป็นเสน่ห์ ควรฉายแววแจ่มชัด ถ้าสาดประกายจับตาคนมองด้วยยิ่งดี แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเท่ามนต์สะกดที่ตรึงคู่สนทนาให้อยู่กับคุณได้ ด้วยการทำให้เขารู้สึกว่าคุณมองเขาอยู่คนเดียว และจะไม่ละสายตาไปไหน
    บุญที่ทำให้เป็นผู้มีประกายตาเงางาม คือการรู้จักมองผู้อื่นด้วยความเมตตาเอ็นดู หรือเล็งแลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเลื่อมใสบูชา อาศัยความรู้นี้ คุณก็สามารถทำบุญสร้างเสน่ห์ในประกายตาได้ โดยเริ่มจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง เช่น หาพระพุทธรูปที่เห็นแล้วรู้สึกเลื่อมใสจับตาคุณมาก ๆ มาประดิษฐานในห้องพระที่บ้าน แล้วหมั่นแลมองด้วยสายตาตรงให้เห็นถนัดชัดทั้งองค์ แต่ละครั้งให้นิ่งและนานจนกว่าคุณจะรู้สึกได้ว่าประกายศรัทธาสาดออกมาจากนัยน์ตาตัวเองอย่างคงเส้นคงวา

    ระหว่างอยู่ในชีวิตประจำวัน พยายามมองผู้คนแบบที่จะเห็นความดีงาม ความน่ารักของพวกเขา กระทั่งคุณสามารถมองพวกเขาด้วยความเลื่อมใสคุณงามความดี และอยากมอบความรู้สึกดี ๆ ให้กับพวกเขา อย่าไปจดจ้องอะไรที่เป็นเรื่องแย่ ๆ หรือคุณสมบัติที่เป็นโทษ เพราะนัยน์ตาคุณจะขุ่น ใจคุณจะเจือด้วยโทสะยามมอง

    ส่วนการสร้างมนต์สะกดที่จะตรึงคู่สนทนาไว้ด้วยสายตาของคุณนั้น อยู่วิธีฝึกมองเป็นหลัก ขอให้จำไว้ว่า การสบตาเปรียบเหมือนการเชื่อมกระแสสื่อสารระหว่างจิต การสื่อสารจะราบรื่นถ้ากระแสตาราบเรียบ แต่จะสะดุดเมื่อคุณลอกแลกอยู่ตลอด
    การสบตาจะทำให้คู่สนทนาระลึกได้ในภายหลังว่าคุยอะไรกันและการสบตาก็มีบทบาทสำคัญยิ่งเมื่อต้องชักชวนหรือโน้มน้าวให้ใครคล้อยตามเหตุผลของคุณ

    ขอให้สังเกตว่าคนส่วนใหญ่ชอบเลี่ยงหลบไม่ยอมสบตาคู่สนทนา พวกนี้ถึงตาสวยก็มีเสน่ห์ทางตาน้อย ส่วนอีกพวกหนึ่งแม้สบตาคู่สนทนาบ้าง แต่ก็ขาด ๆ เกิน ๆ เช่น บางทีสู้ตาแบบฉันไม่กลัวแก บางทีมองแนวคุกคามข่มขวัญ บางทีมองแบบเสียไม่ได้ บางทีมองแบบฝืน ๆ ไม่ให้เกียรติอีกฝ่าย

    คุณต้องฝึกความนิ่งในการมอง ยิ่งนัยน์ตาคุณนิ่งอยู่กับคู่สนทนาเท่าไร อีกฝ่ายจะรู้สึกว่าคุณให้ค่า ให้ความสำคัญกับเขาเท่านั้น และที่ฝึกให้เป็นนิสัยก็ไม่ใช่ด้วยการเลือกที่รักมักที่ชัง คุณต้องฝึกความนิ่งในการมองทุกคน มนต์สะกดจากสายตาของคุณถึงจะอิ่มพลังอยู่ตัว

    เริ่มต้นขึ้นมาขอให้ฝึกกับกระจกเงา สบตาตัวเองจะดีที่สุดเพราะได้เห็น ๆ กันเลยว่าคุณออกแรงน้อยเกินไปจนเหมือนครึ่งกล้าครึ่งแหย หรือว่าออกแรงมากเกินไปจนเหมือนแกล้งเพ่งให้อึดอัดกัน คุณควรเริ่มฝึกจากการมองธรรมดาที่สุด แต่ให้นิ่งนาน กระจกเงาจะฟ้องเลยว่าสายตาคุณแฉลบซ้ายแฉลบขวาบ่อยแค่ไหน โฟกัสเหมาะหรือไม่เหมาะ

    โฟกัสที่พอดีที่สุด คือการมองตรงแล้วเห็นใบหน้าทั้งหมด ปกติเรามองเงากระจกเพื่อดูความเรียบร้อยเดี๋ยวเดียว แต่ในการฝึกมองนี้คุณต้องเห็นทั้งใบหน้าของตัวเองให้นานขึ้น กับทั้งตั้งใจว่าต่อไปคุยกับใครจะเห็นทั้งหน้าของเขาให้ได้อย่างนี้

    โฟกัสที่ดีรองลงมา คือการมองตรงแล้วเห็นสองตาพร้อมกันทั้งแนว การเล็งแลแบบนี้เป็นการปะทะสายตาโดยตรง ถ้าเป็นกระแสตาตัวเองที่ตอบมาจากกระจกคุณจะรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นกระแสตาคนอื่น จะขึ้นอยู่กับว่ารังสีตาระหว่างคุณกับคู่สนทนามีความกลมกลืนหรือขัดกัน การมองคลุมเฉพาะแนวตาจึงอาจหมายถึงการท้าทายให้ลองกำลัง หรือหมายถึงการประสานสัมพันธ์ทางใจให้แนบแน่นเป็นพิเศษ ถ้ารู้สึกเป็นลบก็ควรเปลี่ยนไปมองทั้งหน้าจะดีกว่า และเหนื่อยน้อยลงด้วย

    โฟกัสที่ไม่ค่อยดีนัก คือการมองตรงบ้าง เหล่มองบ้าง แล้วเห็นได้เพียงตาข้างเดียว การเล็งแลแบบนี้คับแคบ และดูเหมือนเพ่งพินิจมากไป การมองของคุณอาจให้ความรู้สึกแปลก ๆ คล้ายไม่เต็มใจ หรือเว้าแหว่งครึ่ง ๆ กลาง ๆ ชอบกล

    เมื่อแน่ใจว่าสามารถมองตรงด้วยโฟกัสที่เหมาะแล้ว ขั้นต่อไปคือทำตาให้ยิ้มได้ เหมือนมียิ้มอยู่ในตา เพราะการยิ้มหมายถึงกระแสความชอบใจ หากนัยน์ตาของคุณยิ้มขณะมองใคร ก็แปลว่าการสบตาระหว่างคุณกับเขาเป็นเรื่องน่าชอบใจ และจะดึงดูดให้เขาพลอยรู้สึกชอบใจตามไปด้วย

    เริ่มฝึกคือสบตาตัวเองในกระจกพร้อมทั้งยิ้มมุมปากไปด้วย แล้วสังเกตดูว่าความรู้สึกจากดวงตาเปลี่ยนไปแค่ไหน โดยธรรมชาติกระแสตาจะแปรไปตามวิธีที่ปากของคุณยิ้ม แต่ถ้าปากยิ้มแล้วดวงตาไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่อ่อนโยนลง ก็แปลว่าคุณแค่ฉีกยิ้ม โดยไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจเลย

    กระจกเงาจะฟ้องให้คุณรู้ตัว และปรับวิธียิ้มเสียใหม่ โดยเริ่มเปลี่ยนที่ใจ แววตาที่อ่อนโยนลงคือหลักฐานว่าใจคุณยิ้มจริง

    คุณควรพิจารณาทั้งการฉีกยิ้มกว้างจนสุด และการยิ้มละไมเพียงน้อย การสนทนาที่ดีควรเริ่มต้นและจบลงด้วยยิ้มกว้างสุด แต่ระหว่างสนทนาควรยิ้มละไมเป็นระยะ

    และที่สุดของการสร้างเสน่ห์ในดวงตา คือการพูดโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของคู่สนทนา ไม่ว่าเขาจะสบหรือหลบตาคุณ เริ่มต้นฝึกกับกระจกแบบสบาย ๆ ด้วยการเตรียมบทพูดอธิบายอะไรก็ได้สักย่อหน้าหนึ่ง ซึ่งอาจหมายถึงย่อหน้าที่คุณกำลังอ่านอยู่นี่เลยก็ได้ โดยทำความเข้าใจแล้วคิดคำอธิบายเอง

    เมื่อได้บทพูดแล้ว ให้ค่อย ๆ พูดเหมือนตอนคุณพยายามทำให้ใครสักคนเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการสื่อ ขณะเดียวกันก็สังเกตเป็นจังหวะ ว่าสายตาของคุณแข็งหรืออ่อน ทอดเหม่อหรือว่ายังตรงนิ่งนัยน์ตาที่สะท้อนความมีสติในการอธิบาย จะมีความตรงนิ่ง กระจ่างชัด และอยู่ในโฟกัสเดิมค่อนข้างคงเส้นคงวา

    เครื่องวัดว่าคุณมีเสน่ห์ทางตาแล้ว คือแม้กำลังโกรธก็ไม่อยากส่งตาขุ่นขึ้งคุกคามใคร ต่อให้เล็งแลศัตรูอยู่ ก็เป็นไปในลักษณะอ่อนโยนประนีประนอม ไม่ใช่มองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อตามกิเลสขับดัน จะสังเกตลมหายใจไปด้วยก็ได้ ถ้ามองใครแบบฝืน ๆ ลมหายใจของคุณจะติดขัด แต่ถ้ามองด้วยความเต็มใจ ลมหายใจจะยาวและนุ่มนวลราบรื่น

    และถ้าคุณสามารถถ่ายทอดความรู้ใด ๆ ให้คนอื่นเข้าใจได้ทั้งยังสบตาตลอด คุณจะพบว่าสติในการเรียบเรียงคำพูดแข็งแรงขึ้นทุกทีและมีคนอยากฟังคำอธิบายจากคุณมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย นั่นเพราะนอกจากคำอธิบายของคุณจะสื่อออกมาจากจิตที่อยู่ในภาวะแจ่มชัดที่สุดแล้ว ตัวตนทั้งหมดของคุณยังเข้าไปประทับอยู่ในความทรงจำของผู้คน คล้ายมีมนต์เรียกให้อยากกลับมาฟังคุณพูดใหม่อีก

    เสน่ห์ทางตาที่อิ่มตัวจะทำให้คุณมั่นใจว่าตัวเองมีมนต์สะกดให้ทุกคนรู้ดี สงบเย็นลง ตลอดจนชอบที่จะสบตาอย่างเป็นมิตรกับคุณ แน่นอนว่าบุญใหม่ไม่อาจตกแต่งนัยน์ตาของคุณให้เงางามน่ามองที่สุดในโลก เนื่องจากจะไปติดเพดานจำกัดที่คุณภาพของแก้วตาซึ่งบุญเก่าให้มา แต่อย่างน้อยบุญใหม่ก็จะฉายรังสีที่น่าดูที่สุดเท่าที่แก้วตาของคุณจะเปล่งประกายออกมาได้

    แล้วก็อย่าลืมสังเกตด้วยนะครับว่ามีขี้ตาติดอยู่หรือเปล่า จะหมดท่าเลยล่ะถ้าอุตส่าห์มีมนต์สะกดทางตา แต่ปล่อยให้คู่สนทนาจับได้ว่าขี้ตาไหลไม่ยอมเช็ด
    ic-02.gif ic-02.gif ic-02.gif
     
  9. สาสนี

    สาสนี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +210
    http://palungjit.org/threads/กรรม-ที่ทำให้มีกลิ่นปาก-กลิ่นตัวเหม็น.535473/


    เหตุแห่งปากเหม็น
    เรื่องปลาชื่อกปิละ ตัวเป็นทอง แต่ปากเหม็นมาก เพราะทำกรรมดีและกรรมชั่วคละกัน


    เหตุแห่งปากเหม็น
    คนบางคน หรือสัตว์บางตัว มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยทางร่างกายในตัว ทั้งนี้ก็เพราะว่าเคยทำกรรมทั้งดีและชั่วคละเคล้ากันมาเมื่อครั้งอดีตชาติ ดังเช่นเรื่องของปลากปิละตัวนี้

    เรื่องนี้ถูกนำขึ้นมาเป็นประเด็น เมื่อคราวที่พระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภปลาชื่อกปิละ ตรัสพระธรรมเทศนาที่ขึ้นต้นด้วยคำนี้ว่า มนุชสฺส เป็นต้น


    ในอรรถกถาพระธรรมบทเล่าเรื่องว่า ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า มีภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่ากปิละ เป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก เพราะความเป็นพหุสูตทำให้พระกปิละมีลาภสักการะและบริวารมาก และได้กลายเป็นคนหัวดื้อสำคัญตนว่ามีความฉลาดมากกว่าภิกษุอื่น อะไรที่เหมาะที่ควร พระกปิละก็บอกไม่เหมาะไม่ควร ส่วนอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร พระกปิละก็บอกว่าเหมาะว่าควร

    เมื่อภิกษุทั้งหลายมีความเห็นแตกต่างตรงกันข้ามว่ากล่าวตักเตือน พระกปิละก็จะโต้ตอบว่า เป็นคำวิจารณ์ของพวกไม่มีความรู้ ด้วยเหตุนี้พวกภิกษุผู้มีศีลจึงทอดทิ้งไม่ยอมคบหากับพระกปิละ ในขณะที่พระทุศีลทั้งหลายพากันไปแวดล้อมพระกปิละ

    ในวันอุโบสถวันหนึ่ง ขณะที่พระทั้งหลายกำลังสวดพระปาฏิโมกข์อยู่นั้น พระกปิละกล่าวว่า ไม่มีธรรม ไม่มีวินัย จะมีประโยชน์อะไรกับการที่จะฟังหรือไม่ฟังพระปาฏิโมกข์ จากนั้นก็ได้ลุกขึ้นจากอาสนะไม่ฟังพระปาฏิโมกข์

    เพราะผลของอกุศลกรรมครั้งนี้ ทำให้พระกปิละได้ไปเกิดในอเวจีมหานรกในระหว่างสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า และพระโคตมพุทธเจ้า ในกาลต่อมา พระกปิละได้มาเกิดเป็นปลาใหญ่ในแม่น้ำอจิรวดี ตัวมีสีเหมือนทองคำ แต่มีปากเหม็นมาก

    วันหนึ่งปลาตัวนี้ถูกชาวประมงจับได้ และเพราะเป็นปลาตัวใหญ่มากและมีตัวเหลืองอร่ามเหมือนทอง จึงได้ถูกนำขึ้นเรือไปขึ้นน้อมเกล้าถวายพระราชา พระราชาได้ทรงนำปลาประหลาดตัวนี้ไปยังสำนักพระศาสดา เมื่อปลาอ้าปากออกเท่านั้น ทั่วทั้งวัดพระเชตวันก็เหม็นคละคลุ้ง

    พระราชากราบทูลถามพระศาสดาถึงสาเหตุที่ปลาตัวนี้มีกลิ่นปากเหม็นมาก พระศาสดาได้ตรัสกับพระราชาและมหาชนที่มาชุมนุมกันว่า “มหาบพิตร ปลานี้ ได้เป็นภิกษุชื่อกปิละ เป็นพหูสูต มีบริวารมาก ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะ ถูกความทะยานอยากในลาภครอบงำแล้ว ด่าบริภาษพวกภิกษุผู้ไม่ถือคำของตน ยังพระศาสนา ของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปะ ให้เลื่อมลงแล้ว เขาบังเกิดในอเวจีด้วยกรรมนั้นแล้ว บัดนี้เกิดเป็นปลาด้วยเศษแห่งวิบาก ก็เพราะเธอบอกพระพุทธวจนะ กล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน จึงได้อัตตภาพมีสีเหมือนทองคำนี้ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เธอได้เป็นผู้ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของเธอ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น”

    พระศาสดาได้ตรัสถามปลากปิละว่าในชาติหน้าจะไปเกิด ณ ที่ไหน ปลากปิละกราบทูลว่า จะกลับไปเกิดในอเวจีมหานรกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกราบทูลจบ มันก็ได้สะบัดหัวของตัวเองฟาดกับเรือจนเสียชีวิต สร้างความสังเวชและสยดสยองให้แก่มหาชนที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นั้น

    พระศาสดาทรงตรวจดูวารจิตของมหาชน ที่มาชุมนุมกันอยู่นั้นแล้ว ทรงทราบว่าธรรมที่เหมาะสมกับอัธยาศัยของพวกเขาคือความใน กปิลสูตร ในสุตตนิบาต จึงตรัสว่า “นักปราชญ์ทั้งหลาย ได้กล่าวการประพฤติธรรม 1 การประพฤติพรหมจรรย์ 1 นั่น ว่าเป็นแก้วอันสูงสุด” จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สี่พระคาถานี้ว่า

    มนุชสฺส ปมตฺตจาริโน
    ตณฺหา วฑฺฒติ มาลุวา วิย
    โส ปริปฺลวติ หุราหุรํ
    ผลมิจฺฉํว วนสฺมึ วานโร ฯ

    (อ่านว่า) มะนุชัดสะ ปะมัดตะจาริโน
    ตันหา วัดทะติ มาลุวา วิยะ
    โส ปริบละวะติ หุราหุรัง
    ผะละมิดฉังวะ วะนัดสะหมิง วานะโร.

    ยํ เอสา สหตี ชมฺมี
    ตณฺหา โลเก วิสตฺติกา
    โสกา ตสฺส ปวฑฺฒนฺติ
    อภิวุฏฺฐํว วีรณํ ฯ

    (อ่านว่า) ยัง เอสา สะหะตี ชัมมี
    ตันหา โลเก วิสัดติกา
    โสกา ตัดสะ ปะวัดทันติ
    อะพิวุดถังวะ วีระนัง.

    โย เจตํ สหตี ชมฺมี
    ตณฺหํ โลเก ทุรจฺจยํ
    โสกา ตมฺหา ปปตนฺติ
    อุทพินฺทุว โปกฺขรา ฯ

    (อ่านว่า) โย เจตัง สะหะตี ชัมมี
    ตันหัง โลเก ทุรัดจะยัง
    โสกา ตัมหา ปะตันติ
    อุทะพินทุวะ โปกขะรา.

    ตํ โว วทามิ ภทฺทํ โว
    ยาวนฺเตตฺถ สมาคตา
    ตณฺหาย มูลํ ขนถ
    อุสีรตฺโถว วีรณํ
    มา โว นฬํ โสโตว
    มาโร ภญฺชิ ปุนปฺปุนํ.

    (อ่านว่า) ตัง โว วะทามิ พัททัง โว
    ยาวันเตดถะ สะมาคะตา
    ตันหายะ มูลัง ขะนะถะ
    อุสีรัดโถวะ วีระนัง
    มา โว นะรัง โสโตวะ
    มาโร พันชิ ปุนับปุนัง.

    (แปลว่า)

    ตัณหา ดุจเถาย่านทราย
    ย่อมเจริญแก่คนผู้มีปกติประพฤติประมาท
    เขาย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพน้อยใหญ่
    ดังวานรตัวปรารถนาผลไม้โลดไปในป่า ฉะนั้น.

    ตัณหานั่นเป็นธรรมชาติลามก
    มักแผ่ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆในโลก
    ย่อมครอบงำบุคคลใดได้
    ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น
    ดุจหญ้าคมบางอันฝนตกรดแล้วเจริญอยู่ ฉะนั้น.

    แต่ผู้ใด ย่อมย่ำยีตัณหานั่น
    ซึ่งเป็นธรรมชาติลามก ยากที่ใครในโลกจะล่วงไปได้
    ความโศกทั้งหลาย ย่อมตกไปจากผู้นั้น
    เหมือนหยาดน้ำฝนตกไปจากใบบัว ฉะนั้น.

    เพราะฉะนั้น เราบอกกะท่านทั้งหลายว่า
    ความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย
    บรรดาที่ประชุมกันแล้ว ณ ที่นี้
    ท่านทั้งหลาย จงขุดรากตัณหาเสียเถิด
    ประหนึ่งผู้ต้องการแฝก ขุดหญ้าคมบางเสีย ฉะนั้น
    มารอย่าระรานท่านทั้งหลายบ่อยๆ ดุจกระแสน้ำระรานไม้อ้อ ฉะนั้น.

    เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง บุตรของชาวประมงทั้ง 500 ถึงความสังเวช ปรารถนาการทำที่สุดแห่งทุกข์ จึงบวชในสำนักพระศาสดา และทำที่สุดแห่งทุกข์ ต่อกาลไม่นานเท่าไร หลังจากนั้นทุกท่าน เป็นผู้ปฏิบัติอเนญชาวิหารธรรมและสมาปัตติธรรมเช่นเดียวกับพระศาสดา.
     

แชร์หน้านี้

Loading...