ธรรมะกับชีวิต

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย kittitpx, 10 เมษายน 2015.

  1. kittitpx

    kittitpx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +1,999
    ธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ทำให้เข้าใจความจริงบางอย่าง ความจริงที่ว่า "สรรพสิ่งไร้ค่า ชีวิตว่างเปล่า"
    ความเป็นจริงข้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะถูกเปลี่ยนแปลงได้ไปตลอดกาล


    เหมือนกับเรามองดูต้นไม้เมื่อยังเล็กจนเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ แท้จริงแล้วเราก็ได้แต่เพียงเห็นการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้นั้นเท่านั้น
    หาได้ต้องรับผิดชอบหรือมีส่วนได้ ส่วนเสียกับการเปลี่ยนแปลงของต้นไม้นั่นแต่อย่างใด

    [​IMG]

    ชีวิตทั้งปวงก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าชีวิตจะเป็นยังไงก็ตามมันจะเป็น มันจะตาย มันจะร้าย มันจะดียังไงก็ตาม
    ชีวิตทุกชีวิตจะเป็นชีวิตของคน หรือชีวิตของสัตว์ ชีวิตของเทพเจ้า ชีวิตซึ่งจะเกิดมาหรือตายไป จะเป็นชีวิตของมหาเศรษฐีหรือของยาจกเข็นใจ

    [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]

    ชีวิตของผู้เกิดมาร่างกายสมประกอบหรือเกิดมาไม่สมประกอบ จะเป็นชายหรือหญิง

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    แท้จริงแล้วก็ไม่ต้องไปรับผิดชอบหรือมีส่วนได้ ส่วนเสียกับชีวิตนั้นเลย ชีวิตทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นชีวิตแบบไหนก็ตาม แท้จริงเป็นเหมือนบางสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งใดๆเลย สรรพสิ่งที่มีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และเปลี่ยนแปลงไป
    ดังนั้นการเกิดและการตายของทุกชีวิตก็มีค่าเท่ากัน และไม่มีความหมายอะไรทั้งสิ้นสำหรับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้น(จิตพุทธะ หรือจิตหนึ่ง)

    [​IMG]

    จิตพุทธะ หรือจิตหนึ่งนี้แหละคือสาระแก่นสารที่แท้จริงของทุกชีวิต มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีการเกิดขึ้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่อาจจะถูกทำลายได้เลย
    เพราะความที่สรรพสิ่งไร้อัตตา ดั้งนั้นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งไม่มีชีวิตเลย
    ความแตกต่างนั้นคือความหลอกหลวง ที่มองดูชีวิตว่าเป็นตัวตนและมองสิ่งไม่มีชีวิตว่าไม่มีตัวตน

    [​IMG]
    แท้จริงแล้วทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตล้วนอยู่ในสภาวะเดียวกันทั้งสิ้น คือเป็นสุญญตา หรืออนัตตา นี้แหละคือความเป็นหนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง

    "เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่างมาที่โลกย่อมให้ความสว่างทั่วทั้งพื้นโลก ความว่างที่แท้จริงนั้นมันก็ไม่ได้สว่างขึ้น และเมื่อพระอาทิตย์ตก ความว่างก็ไม่ได้มืดลง ปรากฏการณ์ของความสว่างและความมืดย่อมสับเปลี่ยนซึ่งกันและกัน แต่ธรรมชาติของความว่างนั้น ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่นั่นเอง จิตของพุทธะและของสัตว์โลกทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น"

    [​IMG]


    "ถ้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระโพธิสัตว์ทั้งปวงทุก ๆ พระองค์ รวมทั้งพระอินทร์และเทพเจ้าทั้งหมด
    พากันเดินไปบนผืนทราย เม็ดทรายเหล่านั้นก็ไม่มีความยินดีปรีดาอะไร และถ้าโค แกะ สัตว์เลื้อยคลาน และแมลงต่าง ๆ ทั้งหลาย จะพากันเหยียบย่ำ เลื้อยคลานไปบนมัน ทรายนั้นก็ไม่รู้สึกโกรธ สำหรับเพชรนิลจินดาและเครื่องหอม เม็ดทรายนั้นก็ไม่มีความปรารถนา และสำหรับความปฏิกูลของคูถและมูตรอันมีกลิ่นเหม็น ทรายนั้นก็ไม่มีความรังเกียจ"

    [​IMG]

    [​IMG]

    คำอุปมาเหล่านี้คือการเปรียบเทียบ ชีวิตทั้งปวงก็เหมือนกับความว่าง เหมือนกับผืนทรายเหล่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2015
  2. kittitpx

    kittitpx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +1,999
    ชีวิตของสัตว์ที่มองดูว่าต่ำต้อยเช่น แมลงหรือสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย หรือชีวิตของเทพเจ้าทั้งปวงที่มองดูว่าสูงส่ง

    [​IMG] [​IMG]
    สำหรับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้นแล้วมีค่าเท่ากันและไม่แตกต่างกันเลย
    คนเราทุกคนจะเป็นคนดีเลิศเลอขนาดไหนก็ตามหรือคนชั่วช้าที่มองดูว่าต่ำทรามแค่ไหน
    แสงสว่างหรือความมืดมิดของคนผู้นั้น สำหรับสิ่งสูงสุดสิ่งนั้นแล้วมีค่าเท่ากันและไม่แตกต่างกันเลย

    เพียงแต่ว่าผู้คนทั้งหลายพากันยึดมั่นต่อรูปธรรมนั้นๆด้วยความเป็นอัตตา รูปธรรมซึ่งเป็นเหมือนกับเปลือกภายนอกที่ไร้ค่า หลอกลวง และไม่มีความหมาย
    จึงทำให้มองไม่เห็นสิ่งสูงสุดสิ่งนั้นที่ปรากฏแก่ทุกชีวิตทั้งปวงอย่างเท่าเทียมกัน
    เมื่อสิ่งสูงสุดสิ่งนั้นปรากฏแก่ทุกชีวิตทั้งปวงอย่างเท่าเทียมกันทำให้เกิดความจริงที่ว่า "ชีวิตทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน"


    [​IMG]
    ซึ่งก็คือไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไร เพราะมีชีวิตก็เหมือนไม่มี ชีวิตซึ่งก็คือขันธ์ 5 หรือ กี่ขันธ์ก็ตาม

    สิ่งสูงสุดที่ว่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะถูกแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายได้เลยในหมู่ชีวิตทั้งหลายทั้งปวงแต่เพราะความที่แต่ละชีวิตยึดมั่นในอัตตา ยึดมั่นต่อรูปธรรมต่างๆ
    จึงเกิดการแบ่งแยก ชีวิตทั้งปวงนั้นจึงไม่อาจจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ และเพราะการยึดมั่นต่อรูปธรรมทั้งหลายนี้เองทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่าเราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเราหรือเราเสมอเขา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความหลอกลวงทั้งสิ้น

    ถ้าเราไม่ตระหนักลงไปว่าสิ่งสูงสุดสิ่งนี้ซึ่งเป็นสาระแก่นสารที่แท้จริง ที่มีแก่ทุกๆชีวิตทั้งปวงอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีชีวิตไหนมีมากกว่าหรือน้อยกว่า
    อาจทำให้เกิดการเปรียบเทียบดังที่กล่าวมา และมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตนั้น แต่เมื่อได้ตระหนักแล้วจะทำให้เห็นความสำคัญของทุกชีวิตทั้งหมด ไม่ว่าชีวิตนั้นจะอยู่ในรูปแบบไหนก็ตาม

    [​IMG]
    จะเป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่างหรือซาตานมารร้ายแห่งความมืดมิดก็ไม่แตกต่างกันเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2015
  3. kittitpx

    kittitpx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +1,999
    [​IMG][​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG][​IMG] [​IMG]

    ถ้าเราได้รู้ชัดแจ้งว่าแท้ที่จริงแล้วชีวิตทุกชีวิตมีค่าเท่ากัน แท้ที่จริงชีวิตทุกชีวิตคือพลังอันเดียวกัน และให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ สิ่งที่จะได้รับกลับมาก็คือความเห็นใจ ความสงสาร ความเมตตา การแป่งปัน การช่วยเหลือ ความร่วมมือ พวกพ้อง ความเป็นมิตร และความเป็นหนึ่งเดียว(ความสามัคคี) หากทุกชีวิตได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ หนทางที่ทุกชีวิตจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ก็คงจะมีอยู่ ธรรมชาติคงจะมีหนทางนี้อยู่แน่

    แต่ไม่ว่าชีวิตทุกชีวิตจะรวมเป็นหนึ่งเดียวหรือแบ่งแยกก็ตาม ก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าชีวิตคือความหลอกลวง ไร้ค่าและไม่มีความหมายไปได้
    ทุกชีวิตต่างพากันหลับใหลอยู่ในโลกแห่งความฝันอันหลอกลวงนี้ ความฝันอันหลอกลวงที่ไม่ว่าจะเป็นฝันดีหรือฝันร้ายก็ตาม

    [​IMG]

    ฝันดีก็อย่างเช่น การได้ภพชาติของพรหมเทพ ชีวิตของเทพเทวดาที่รื่นเริงกับความสุขสบายบนสวรรค์ ชีวิตของคนที่มีพร้อมทั้งชื่อเสียง เงินทอง สุขภาพแข็งแรง เป็นต้น หรือชีวิตที่พบเจอกับความสุข

    [​IMG]

    [​IMG]

    ฝันร้ายก็อย่างเช่น อบายภูมิ 4 คนที่ลำบากยากจนหิวโหย คนที่เกิดมาไม่สมประกอบ หรือชีวิตที่พบเจอกับความทุกข์

    [​IMG] [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2015
  4. kittitpx

    kittitpx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    570
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +1,999
    ทุกคนต่างรู้ดีว่าความฝันนั้นไม่เป็นความจริงและถือเอาเป็นสาระไม่ได้ แต่ผู้คนทั้งหลายบนโลกใบนี้ก็กำลังหลับใหลอยู่ในโลกแห่งความฝันอันหลอกลวงนี้ทั้งที่ยังลืมตาอยู่ด้วยกันทั้งนั่น
    ดังนั้นสังสารวัฏคือมายา เป็นความหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาความหลอกลวงทั้งหลาย เพราะแท้จริงแล้ว ไม่มีใครไปนรก ไม่มีใครไปสวรรค์ ไม่มีใครที่เกิดมาและตายไป

    [​IMG] [​IMG][​IMG]

    โลกแห่งความฝันอันหลอกลวงคือสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนี้ไม่อาจจะหลับใหลไปตลอดกาลได้ จะเร็วหรือช้าสักวันหนึ่งทุกชีวิตก็ต้องตื่นจากความฝันอันหลอกลวงนี้ ซึ่งพระธรรมของพุทธองค์นี้แหละที่จะปลุกทุกชีวิตให้ตื่นขึ้นมา จากความฝันอันหลอกลวงสู่ความจริงที่ว่างเปล่า

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...