นิทานขี้โม้ by SAMA

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย วงกรตน้ำ, 5 สิงหาคม 2017.

  1. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    นรก...ที่รัก... :

    S__4800524.jpg
    หลังจากกราบเรียนถามเรื่องนรกที่ข้าพเจ้านิยมชมชอบไปอยู่บ่อยๆ อยู่นานๆ ก็ปรากฏพระพรหมรูปนึงขึ้น รูปร่างสวยงาม ท่านนมัสการองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบันเสร็จ ไหว้ครูบาอาจารย์ด้วยความเคารพ เราก็กราบไหว้เคารพท่าน เห็นกริยาท่าทางท่าน เรียบร้อย สูงส่ง ทรงคุณค่า ไม่มีอาการกระด้าง ดูถูกใดๆ มีความดีงาม สมแล้วกับคำว่าพรหม ที่แปลว่าประเสริฐ ท่านบอกว่าเรื่องไปดูนรก ท่านจะอาสาพาไปดูเอง เรื่องนรกนี่ท่านเป็นผู้ดูแลอยู่ คนทั้งหลายเรียกท่านว่า พระยายมราชบ้าง พระยายมบ้าง ยมพระบาลบ้าง ท้าวกุเวรบ้าง ก็เลยสงสัยว่า แล้วท่านที่มีเขา ถือไม้เท้าหัวกะโหลกนั่นเป็นลูกน้องบริวารท่านหรือไร ท่านก็ว่าไม่ใช่หรอกครับ เป็นคนเขาคิดจินตนาการกันขึ้นมาเอง ว่าแล้วเพื่อไม่ให้เสียเวลาท่านก็พาไปดูนรก แล้วก็นรกที่ข้าฯนี้ไปอยู่บ่อยๆ ท่านก็พาไปดูขุมนรก
    นรกแต่ละขุมเหมือนมองจากริมหน้าผาลงไป เป็นเหวลึกลงไปหลายกิโล แต่ว่ามองเห็นได้ชัด เมื่อลงไปดูขุมนรกที่ข้าฯนี้ชอบไปอาศัยอยู่บ่อยๆ ก็ปรากฏเป็นร่างผอมแห้ง เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก โดนตรึงด้วยหอก โลหะ ที่อกอันนึง ที่แขนสองข้างตรงฝ่ามือ ที่ฝ่าเท้าแทงทะลุขึ้นมาถึงต้นขา แทงทะลุปากออกมาอีกอันนึงเห็นปลายหอกแหลมๆ หอกก็แดงฉานเพราะความร้อน ร่างของสัตว์นรกก็ร้อนแดง ผิวกายแดงฉาน แดงไปยันกระดูก ตรึงติดอยู่กับผนังโลหะ เท้ายกสูงลอยจากพื้น ตาเหลือกถลนด้วยความร้อน ปวดร้าว ทรมานแสนสาหัส ร้องก็ร้องไม่ออก ไม่มีเสียงจะร้อง หอกปักทะลุจากท้ายทอยออกมาทางปาก ร้องไม่ได้ เปลวไฟสีม่วงอ่อนๆแทบจะเหมือนพยัพแดด มันร้อนเสียยิ่งกว่าร้อน ถ้าเป็นเหล็กก็หลอมละลายทันที ถ้าโยนเพชรเข้าไปจะกลายเป็นขี้เถ้าในทันที ท่านก็บอกว่า คุณชอบมากครับที่นี่ ขุมนี้เรียกว่า อเวจีมหานรก
    หลังจากอึ้งไปสักพัก ก็กราบเรียนถามท่านว่านอกจากนรกขุมนี้แล้วกระผมไปอยู่ที่ไหนนานๆอีกบ้าง ท่านว่าจริงแล้วแล้วเคยผ่านมาหมดแล้วทุกขุม มากบ้างน้อยบ้าง รองจากขุมนี้ท่านก็พาไปดูอีกขุมหนึ่ง จากขุมแรกที่มองลงไปสว่าง ร้อน จ้า มาขุมนี้มองลงไปมันมืดๆทึมๆ มีแต่เสียงกรี๊ดร้อง เสียงโห่ไล่ ลงไปยืนดูก็เห็นต้นไม้ จริงๆแล้วมันเหมือนเสาไม้มากกว่า ต้นกลมๆ ลำต้นใหญ่กว่าลำตัวคนสักเท่าตัวได้ ใหญ่กว่าต้นมะพร้าวหน่อย มีหนามยาวออกมาเกือบฟุตหนึ่ง มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แก้ผ้าปีนต้นงิ้ว ด้านล่างก็มียมทูตเอาหอกไล่โห่แทงหลังบ้าง แทงขาบ้าง แทงตูดบ้าง ไล่ให้ปีนขึ้นไป มีหมานรก ตัวใหญ่กว่าหมาธรรมดาสัก3 เท่า สีดำ ตาดำ ปากแดง มันเห่าไล่กัด ต้องปีนหนีขึ้นไป จับหนามปีนไป ตีนก็เหยียบหนามขึ้นไป โดนเกี่ยวเลือดก็สาดที ไม่ปีนก็โดนหมามากัดสะบัดกระชาก จนตาย ตายแล้วก็อุบัติขึ้นมาใหม่ หนี ปีนขึ้นต้นงิ้วกันไป
    ไม่รู้ว่าทำไมเรียกว่าต้นงิ้วเหมือนกันครับ เพราะมองไปแล้วที่ยอดก็ไม่เห็นจะมีใบ จริงแล้วเหมือนใครเอาเสามีหนามมาปักไว้มากกว่า ปลายด้านบนก็เป็นปลายตัดตรงๆ มีนกเหมือนอีกาเกาะอยู่ ตาแดงๆ ตัวดำๆ ปากดำๆใหญ่ ท่าทางจะแหลมคมมาก เกาะแล้วก็ก้มลงจ้องมายังสัตว์นรกที่กำลังพยายามปีนป่ายกันขึ้นมา พอปีนกันขึ้นมา เกินครึ่งเสา ก็มีหนามพุ่งออกมา ทะลุอกบ้าง ทะลุท้องบ้าง ทะลุปากบ้าง ถ้าไม่ร่วงลงไป อีกาก็จะมาจิกตา จิกมือ จิกแขน ข่วนหลัง เกาะไหล่ได้ก็จิกกระบาล เจาะกะโหลก มันก็โหดร้ายมาก จนตกลงไปข้างล่าง ตาย แล้วก็อุบัติเกิดขึ้นมาใหม่ วนเวียนแบบนี้เรื่อยไป แต่ถ้าตกไปแล้วยังไม่ตาย หมาก็จะมารุมขย้ำจนตายอีก แล้วก็อุบัติใหม่ เวียนกันไปแบบนี้ ซ้ำไปซ้ำมา เสียงหวีดร้องมีอยู่ไม่ขาดสาย

    สองขุมแล้วก็พอก่อนครับ กราบลาท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายแล้วก็กลับมาที่ร่างกายของตน ออกจากสมาธิแล้วก็นั่งพิจารณาตัวเองถึงสิ่งที่ไปเห็นมา มันก็น่ากลัวพอสมควร จริงๆแล้วหน้าซีด เหงื่อกาฬแตกท่วม มันมีอยู่จริง หรือเราอุปทานจากเรื่องที่เราเคยได้ยินได้อ่านมา ถ้ามันไม่จริงทำไมเราถึงสามารถรับรู้ถึงบรรยากาศภายในขุมนรกที่มืดๆทึมๆ เย็นเยียบๆ รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดทรมานของสัตว์นรกเหล่านั้น ซึ่งครั้งนึงเคยเป็นเรานี่แหละที่เสวยทุกข์เวทนาอยู่อย่างนั้น วันหลังค่อยไปใหม่ ไปดูว่ามีพรรคพวกเราคนไหนที่ยังอาศัยอยู่ในอเวจีมหานรกบ้าง กรรมอะไรที่ต้องไปเกิดที่นั่น รู้เอาไว้เพื่อจะได้ไม่ไปทำกรรมชั่วให้ต้องไปอยู่ในสภาพนั้นอีก แล้วก็ยังมีเรื่องน่าสงสัยว่า นรกเกิดขึ้นได้ยังไงใครเป็นคนสร้าง พวกยมทูตนี่มาจากไหน วันๆคอยทิ่มแทงสัตว์นรกด้วยความโหดร้าย เขาจะมีความสุขได้อย่างไร นรกกว้างใหญ่สักเพียงไหน จุสัตว์นรกได้สักเท่าไร พวกต่างชาติต่างศาสนา มีมาตกนรกแบบนี้ไหม แล้วนรกของไทยกับของจีนต่างกันหรือเปล่า นรกฝรั่งล่ะ เป็นยังไง สารพัดจะมีคำถามอันน่าสงสัย ยังไงซะคงจะได้ไปอีกบ่อยๆ ไปเยี่ยมชมบ้านเก่าที่เราจากมา...
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,647
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    กลัวแล้ววว
    Waiting.png
     
  3. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ผีแม่ขาว :

    CIMG4891.jpg
    เมื่อมีเวลาก็ต้องไปหาที่ปลีกวิเวก สำนักปฏิบัติทางใต้แห่งหนึ่ง เน้นการเจริญสติ ไม่ค่อยมีคนไปสักเท่าไร มีหลวงพ่อช่วงนั้นก็ไม่อยู่ เจอหลวงพี่ ท่านก็ให้ไปพักห้องหมายเลข 1 แล้วก็มองๆหน้าเรา ไอ้เรานี่ก็ไม่มีปัญหาอะไร พักที่ไหนยังไงก็ได้ เรื่องน้อย เพราะมาขออาศัยสถานที่ในการฝึกภาวนา ดูแลทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็พักผ่อนสักหน่อย จึงเริ่มทำสมาธิ สมัยก่อนที่นี่เป็นแต่กุฏิมุงแฝก มาสมัยนี้ที่พักเริ่มทำเป็นห้องก่ออิฐฉาบปูนปูกระเบื้อง แม้จะทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็เพื่อความคงทนถาวร ส่วนต้นไม้ก็ยังมีมาก ร่มรื่นดี
    ประสาคนเจริญภาวนา ฌานนี่ต้องทรงตัวอยู่ตลอดเวลา จะมาตั้งท่าก่อนค่อยลำดับสมาธิเป็นขั้นเป็นตอน แบบนั้นไม่ทันกินครับ เกิดเรื่องขึ้นมาตายก่อน ไม่ทันได้เข้าสมาธิ หลวงพ่อสั่งไว้เลยว่าต้องทรงฌาน๔ให้ได้ตลอดเวลา ซึ่งอันนี้ยอมรับว่ายาก ใช้เวลากว่า 26 ปีถึงจะพอทำตามที่ท่านบอกได้ นับว่าล่าช้า เลวร้ายเกินที่ท่านจะด่าไปเยอะแล้ว ส่วนสติก็ต้องทรงตัวตามรู้ตามดูจิตตลอดเวลา สัมปชัญญะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม จะยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม เหยียดออก คู้เข้า เคลื่อนไหว นี่ต้องรู้สึกทั่วทั้งตัวอยู่ตลอดเวลา นี่ก็หลวงพ่ออีกรูปนึงสั่งมา ก็ต้องพยายามทำเอาไว้ให้ได้ตามคำสั่ง คนอื่นอาจจะเห็นว่าเป็นของไม่ยาก แต่สำหรับผมนี่ยากจริงๆ กินแรงมาก กว่าจะชินต้องใช้เวลาเกิน 20 ปี นับว่ากระจอกจนน่าสมเพชตัวเอง
    นักปฏิบัติเวลานอนก็ต้องภาวนาไปด้วยครับ จะไปนอนกรนอย่างหมูอย่างหมา มันก็ทำไม่ได้ครับ เอนกายลงไปสักพัก ก็มีแม่ขาว เดินผ่านหน้าต่างข้างหลังไป เห็นแต่ท่อนตรงกลาง ก็รู้แล้วว่า มาเดินตรวจตรา เป็นผู้ดูแลสถานที่ อายุประมาณ 35 ปี ตายมานานพอสมควรแล้ว ผิวขาว ผมดำ หน้าตาดี รูปร่างสมส่วน รู้เท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าตายยังไง ลูกเต้าเหล่าใคร มีกรรมอะไรหรือเปล่า เพราะว่าไม่ได้สนใจ การรู้การเห็นแบบนี้ก็รู้เห็นโดยบังเอิญ ไม่ได้อยากจะไปรู้ ที่รู้นี่ก็เหมือนเขาจะต้องการให้รู้ เมื่อเขาต้องการให้รู้เราก็รู้เท่าที่เขาต้องการ รู้แล้วก็เท่านั้น ไม่มีอะไรเพราะเรามาขออาศัยปฏิบัติธรรม ไม่กี่วันก็กลับแล้ว อะไรไม่ถูกไม่ควรก็อย่าไปทำให้เป็นปัญหาต่อสถานที่เขา โดยเฉพาะสายเจริญสตินั้น เรื่องผีสาง ทิพยจักขุญาณ นี่ห้ามไปพูดไปคุยเข้าเลย นอกจากจะถูกปฏิเสธแล้วจะโดนหาว่าบ้าเอาเข้าด้วย อุปทานบ้าง ต่างๆนานา ซึ่งก็ต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ดูขนบธรรมเนียม ดูชาวบ้านชาวเมืองเขาด้วย ดูเราด้วยว่าเรามาขออาศัย ก็อย่าไปฝืนทำในสิ่งที่เจ้าของบ้านท่านไม่ชอบ
    ตอนสายๆก็เดินไปด้านหลังสำนักสงฆ์ ไปเดินจงกรมที่หน้าถ้ำ ลานหน้าถ้ำดูสะอาดดี มีผีเด็กผู้หญิงอายุสัก9-10 ขวบ แอบมองอยู่หลังก้อนหิน ท่าทางหวาดๆกลัวๆ ก็เหมือนเดิมเพราะว่าการเห็นแบบนี้เป็นเรื่องที่สมัยนี้ว่าเหลือเชื่อ โม้ บ้า ตาฝาด แต่ว่านี่มันเป็นนิทานขี้โม้ ก็เลยโม้ได้ ใครจะมาว่าเราไม่ได้ เพราะเราบอกแล้วว่านี่เป็นนิทาน แล้วก็นิทานขี้โม้เสียด้วย ในเมื่อมันโม้ มันก็ไม่ใช่เรื่องจริง เมื่อไม่ใช่เรื่องจริงท่านก็ด่าเราไม่ได้เต็มปาก แต่ถึงด่าเราเต็มปากเราก็ไม่สนใจ เพราะว่าเราเป็นคนบ้า ท่านด่าเรา เราก็ไม่ถือสาอะไรเพราะตามธรรมดาคนบ้าไม่ถือสาคนอื่นอยู่แล้ว ก็เลยสบายใจดี ทีนี้เดินจงกรม จริงๆแล้วคำว่าจงกรมนี้ท่านแปลว่าเดิน ที่ถูกต้องเรียกว่า มาเจริญภาวนาด้วยการจงกรม ไม่ต้องมีคำว่าเดิน มันซ้ำซ้อนกัน ยังมีคนเข้าใจผิด แต่ว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรียกซ้ำกันว่าเดินจงกรม เราก็ต้องเรียกไปตามผิดด้วย ไม่งั้นคุยกันแล้วจะทะเลาะกันเปล่าๆ จะจงกรม หรือจะเดินจงกรม เราก็ได้ทั้งนั้น ผิดถูกมันของคู่โลกนี้ เป็นของสมมติกันเอาทั้งนั้น จะว่าผิดมันก็ผิดหมดทั้งโลกแหละ เพราะว่ามันเป็นของสมมติ จะว่าถูกมันก็ถูกของมันทั้งโลกแหละ เพราะว่ามันเป็นโลกก็ถูกของมันแบบโลกๆ ไม่ผิดหรอก ผิดที่เราไปยึดเอาเองทั้งนั้น
    เดินจงกรมบางคนก็ตาลีตาเหลือกวิ่งไปที่ทางเดินจงกรมแล้วยืนสงบเสงี่ยมค่อยก้าวค่อยๆเดินหวังจะให้เกิดสมาธิ เกิดสติ เป็นความเข้าใจผิดทั้งนั้นนะ จงกรมน่ะทำตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มเดินแล้ว ตอนเดินมาที่หน้าถ้ำนี่ก็เดินจงกรมมาด้วย จะวางขวดน้ำ จะยกผ้าเช็ดหน้า ก็เจริญสติอยู่ จะเดินไปที่หัวทางเดินจงกรมก็เดินไปอย่างมีสติ มีสัมปชัญญะ ภาวนาไปตลอดเวลาอยู่แล้ว สมาธิก็ดี สติก็ดี ไม่ใช่จะมาทำกันเอาตรงทางเดินจงกรม ทำแบบนี้ไปอีกแสนชาติก็เอาดีได้ยาก นักปฏิบัติต้องทำตลอดเวลา ไม่ใช่ตาลีตาเหลือกรีบมุ่งไปที่ทางเดินจงกรม ไอ้ตอนตาลีตาเหลือกมุ่งไปอย่างขาดสตินี่น่ะ เสียหายมากๆ ส่วนเรามันก็ขี้บ่นไปหน่อย เป็นอันว่าเล่าเรื่องผีต่อ ผีที่นี่เขาดีทีเดียว ลานเดินจงกรมนี่เกลี้ยง สะอาด ใบไม้แทบไม่มีเลย ไปไหลกองรวมๆกัน ที่ริมทาง ขอบๆปากถ้ำ สภาพเหมือนมีใครมากวาดเอาไว้ให้ เรามาเดินทุกวันก็เห็นสะอาดเรียบร้อยทุกวัน
    ตอนเย็นเดินกลับมาก็มายืนที่ริมบึงน้ำ มองไปฝั่งตรงข้ามเป็นผนังด้านหนึ่งของภูเขา ก็เห็นแม่ขาวแกยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ยืนให้เห็นเต็มๆทั้งตัว เราเห็นแล้วก็เห็นแหละ ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่ามาขออาศัยเป็นที่ปฏิบัติภาวนาทางจิต ก็ขอให้อนุโมทนาเอาเองละกันนะ ผีแม่ขาวแกก็ว่าแกมาคอยดูแลสถานที่แห่งนี้ ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าเห็นใครทำอะไรไม่ดีก็จะไล่ไปเสียแบบนั้น เราก็ไม่ได้ว่าอะไร อยู่ของเราไปไม่มีปัญหากับผีกับคนเพราะไม่ยุ่งสุงสิงกับใคร มาฝึกนะ ไม่ได้จะมาสังสรรค์
    มาเย็นวันนึงหลวงพี่ท่านคงอดรนทนไม่ไหว เดินมาถามว่าโยม พักที่ห้องนี้แล้วเจออะไรบ้างไหม? ก็เลยว่า อ๋อ..ท่านจะหมายถึงแม่ขาว ที่มาคอยเดินตรวจตราตอนกลางคืนน่ะเหรอ .... หลวงพี่ก็ทำหน้าตาตื่น ถามว่าโยมเจอด้วยเหรอ? แล้วโยมไม่กลัวเหรอ? แล้วเขามาทำอะไรโยมบ้างหรือเปล่า? ไอ้เราก็แปลกใจว่าทำไมต้องหน้าตาตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นด้วย ก็ตอบท่านไปว่า ไม่มีอะไรนี่ครับ ก็พักอยู่ปกติดี แม่ขาวนั่นอายุประมาณ 35 ปีใช่ไหมครับ รูปร่างจะสมส่วนหน่อย ผิวขาว .... หลวงพี่ก็บอกว่าไม่ทราบเหมือนกัน แต่ก่อนที่โยมจะมา มีพระมาพักที่ห้องที่โยมพักนี่แหละ บอกว่าโดนผีผู้หญิงนี่หลอกเอา กลางคืนนี่อยู่ห้องไม่ได้ มาพักได้ไม่กี่วัน ต้องเก็บข้าวของหนีออกไปตอนกลางดึก ร้องเอะอะโวยวายเหมือนคนเป็นบ้า ... ไอ้เราก็อ๋อ....หลวงพี่เลยเลือกห้องนี้มาให้ผมพัก เพื่อจะได้ลองดูว่า จะโดนผีหลอกหรือเปล่าอ่ะดิ???? ท่านก็ยอมรับตรงๆอย่างลูกผู้ชายว่าใช่แล้วโยม .... ท่านก็ว่าท่านไม่เชื่อเรื่องผี ถ้าไงให้เราบอกผีให้มาหลอกท่านบ้างก็ได้นะ เราฟังแล้วก็ไม่ว่าอะไร เพราะผีก็บอกว่าหลวงพี่รูปนี้ไม่ได้ฝึกอะไร วันๆก็นั่งๆนอนๆ กวาดใบไม้ มีท่านก็เอาไว้เฝ้าสำนักสงฆ์ เวลาหลวงพ่อไม่อยู่

    ส่วนหลวงพ่อท่านก็เป็นมะเร็งที่ลำคอ กว่าจะรักษาหายก็เจ็บปวดทรมานอยู่หลายปี ผีก็มาเล่าว่าผลจากการที่หลวงพ่อรูปนี้เทศน์สอนชาวบ้านว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ผีไม่มี ชาติหน้าไม่มี ฯลฯ แบบนี้เอง ผีก็เลยหมั่นไส้เล่นงานซะ... ส่วนหลวงพี่รูปนี้ ผีก็มารายงานว่า อีก 3 ปีจะเป็นมะเร็งลำไส้ เพราะว่ากินอาหารที่ชาวบ้านเขาอธิษฐานใส่บาตรมา เขาจบเขาไหว้มา แต่ว่าตัวเองไม่ปฏิบัติธรรมให้สมกับสมณะสารูป ผลคือต้องเป็นมะเร็งที่ลำไส้ แต่ว่าไม่ตาย จะรักษาหายได้ ในเมื่อผีว่ามาแบบนี้ ก็บอกให้หลวงพี่ฟัง เพื่อจะได้พิสูจน์ว่าผีมีจริงไหม? เพราะจะให้ผมทำให้หลวงพี่เห็นผีแม่ขาวนี่ผมก็ทำไม่ได้ ก็ได้แต่เล่าเรื่องที่ผีบอกมาอีกที ก็ต้องรอดูไปอีก 3 ปี หลวงพี่ก็ตกใจหาว่าผมเล่นแรง ผมว่าผมไม่ได้เล่นแรง ผมก็เล่าตามที่ผีเล่ามา เรื่องอนาคต ตอนนี้มันก็พิสูจน์อะไรไม่ได้ ก็ต้องรอดูกันไปครับ ส่วนผมน่ะ ไม่ได้คิดร้าย คิดไม่ดีอะไรกับหลวงพี่หรอกครับ ส่วนไอ้เรื่องการรู้ได้เห็นได้อะไรแบบนี้ ผมเองก็ไม่ได้จะไปสนใจอะไรนัก เห็นไม่เห็นค่ามันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกัน ไม่ได้ตื่นเต้นยินดี ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นอะไร เพียงแต่เห็นแล้วก็เห็นไป อะไรที่รู้ว่าใครเขาไม่ชอบเราก็ไม่ไปทำให้เขาเหล่านั้นระคายเคืองใจ อะไรที่เขาเหล่านั้นชอบ ไม่เหลือบ่าฝ่าแรงเราทำได้ก็ทำไป มันจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะตาฝาด อุปทานผีบ้าอะไรก็ได้นะ ปกติไม่มีใครซักใครถามก็ไม่เล่า เพราะเล่าไปก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรสักนิด แถมพิสูจน์ไม่ได้อีก เพราะพวกท่านไม่ยอมฝึกอะไรกันเลยสักกะอย่างเดียว ก็เป็นอันว่า หลังจากใช้เวลาฝึกภาวนาที่นั่นอยู่จนครบกำหนดก็ลากลับบ้าน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป....
     
  4. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ทางสู่ปรโลก :

    manison.jpg
    ไหว้พระเสร็จแล้ว สมาทานพระกรรมฐานเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาขออาราธนาบารมีพระ ครูบาอาจารย์ ท่านสงเคราะห์ ร่วมทางไปด้วย เพื่อป้องกันอาการเฝือ หรือเผื่อว่าเกิดเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลก็ยังได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยได้ ศิษย์มีครูก็เหมือนงูมีพิษ ให้ไปเดี่ยวๆก็ไม่ไปหรอกครับ อยู่เฉยๆดีกว่า ไม่ได้อยากจะไปรู้อะไรมากมายนักหรอก...
    ค่อยๆออกไปอย่างช้าๆ ตรงไปทางทิศตะวันออก มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นเป็นทางเหมือนมีเมฆเป็นถนน เดินต่อๆไปก็จะเจอเป็นทางสามแพร่ง ถ้าตรงไป ก็จะเป็นทางลาดลงต่ำ เริ่มมืดครึ้มๆ เหมือนเวลาโพล้เพล้ ที่ทางใต้เรียกว่า เวลามุ้งมิ้ง จากทางเดินลาดต่ำตรงไปก็จะกลายเป็นทุ่ง เหมือนทุ่งหญ้าเตี้ยๆ มืดๆ อึมครึมก็จะมีคนมายืนรอกันมากมาย ท่วมทุ่ง แต่ละคนก็เดินช้าๆ บ้างก็หยุดยืน ก้มหน้าต่ำ เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก พวกนี้ก็จะรอลำดับไปไต่สวนที่สำนักพญายม มองๆไปก็จะมีทั้งไทย จีน อินเดีย แขก ฝรั่ง มีหลายสัญชาติด้วยกัน มาแค่นี้ก่อนก็เพราะจะย้อนไปดูว่าที่ตรงทางสามแพร่ง ไปทางไหนได้อีกบ้าง
    จากทางสามแพร่งถ้าเลี้ยวซ้ายไปจะเป็นเขตแดนสวรรค์ สวรรค์ไม่ได้เป็นชั้นๆเหมือนพรหม เดินเรื่อยๆไปก็จะเข้าเขตสวรรค์ ดาวดึงส์ ที่รู้นี่ก็เพราะว่า เห็นมีสระน้ำขนาดใหญ่ มีพระจุฬามณีเจดียสถาน มีพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เห็นพระอินทร์ท่านนั่งอยู่ ก็ต้องเข้าไปกราบก่อน เพราะว่าท่านเป็นเจ้าของสถานที่ มองไปไกลๆก็จะเห็นภูเขา มีที่ต่อกันเป็นเทือกก็มี ที่เป็นภูเขาเงิน ภูเขาทองคำ ภูเขาเพชรก็มี แต่ว่าที่นี่ไม่มีใครสนใจอยากได้ คงเพราะว่าไม่รู้จะเอาไปทำอะไร วิมานมีอยู่ทั่วไปลอยไปมาได้ มีทั้งที่เป็นแก้วสีๆ และเป็นทองคำ มีนางฟ้าขับร้องฟ้อนรำ เหมือนจะสนุกสนาน แต่ว่าผมดูแล้วมันน่าเบื่อมากกว่า อยากได้อะไรก็นึกเอา ของที่เป็นทิพย์ก็เกิดขึ้นตามแรงอธิษฐาน มันก็เท่านั้นเอง ไม่ลำบาก ไม่ต้องลุ้น
    เดินแบบลอยๆตรงไปเรื่อยๆ ก็เจอสวรรค์อีกเขตแดนหนึ่ง ที่นี่มีแต่คนนั่งสวดมนต์ ใส่ชุดสีขาว ไม่มีการประดับตกแต่งแต่อย่างใด ต่างคนต่างสวดมนต์ไป เสียงฟังไพเราะดี ไม่ดังมาก ไม่รบกวนกัน แต่ก็ไม่พูดไม่จากับใคร ก็ดีเหมือนกัน พวกนี้คือคนที่รักการสวดมนต์มาตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์อยู่ ตายมาก็มาเกิดที่นี่กัน มาสวดมนต์ต่อ
    เลยออกไปทางขวามือทะแยงๆไป จะเห็นแสงสว่างจ้ามาก ไปดูว่าที่นี่เป็นสวรรค์ชั้นดุสิต พระโพธิสัตย์มาชุมนุมกันที่นี่ทั้งหมด มีวิมานสวยงาม ทำด้วยแก้วเหลือบด้วยทองคำ หลังใหญ่ เทวดาแต่ละองค์นั่งเสวนากันถึงเรื่องการทำคุณงามความดีต่างๆ และการช่วยสงเคราะห์มนุษย์ที่รักในการทำความดี ที่นี่เทวดามีบารมีมากอยู่ด้วยกัน มีเมตตามาก ไม่ได้มีเรื่องรื่นเริงฟ้อนรำ แต่ก็ดูอิ่มเอิบยิ้มแย้มแจ่มใสกันดี มาถึงที่นี่ก็ต้องไปกราบพระศรีอาริยเมตตรัย ที่กล่าวกันว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ถัดไป ซึ่งปกติก็มักจะแวะเวียนมากราบท่านอยู่บ่อยๆเหมือนกัน ชุดทรงที่แต่งกาย มีชฎา ไม่ได้แหลมสูง มีทัดทรวงเป็นแก้ว มีรัดแขน มีกำไลข้อมือทั้งสองข้าง รองพระบาทเป็นรองเท้าแบบปลายงอนขึ้น ทำจากแก้ว ผสมทองคำ ชุดทรงต่างๆดูๆไปแล้วจะเหมือนพระจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่ วัดสะแก สร้างเอาไว้ เรื่องที่ไม่เข้าใจคือ หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ก็อยู่ที่นี่ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ก็อยู่ที่นี่ มากราบเรียนถามพระศรีอาริยเมตตรัย ท่านก็ตรัสตอบว่า เป็นองค์เดียวกัน แต่ว่าแบ่งภาคลงไปบำเพ็ญบารมี ใครที่เป็นลูกศิษย์ เคยผูกพันกับองค์ไหนมาก็จะเห็นเป็นองค์นั้น แต่ว่าจริงๆแล้วก็องค์เดียวกัน... อีกองค์นึงที่ต้องกราบท่าน คือหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านมาในรูปพระสงฆ์ให้จดจำได้ องค์นี้มีความเมตตามาก รู้สึกถึงความผูกพันเหมือนได้กลับมาเจอพ่อเราเอง กับหลวงพ่อทวดก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน เป็นความผูกพันคุ้นเคยมาแต่ในอดีต ท่านก็เมตตาคอยคุ้มครอง รอดตายมาได้ก็หลายหน เว้นแต่เป็นเรื่องกฎของกรรม ท่านทั้งสองจะปรากฏให้เห็น แต่ว่ายืนอยู่นิ่งๆ ไม่ช่วย เพราะช่วยไม่ได้ ได้แต่บอกว่าให้ระวัง
    ผ่านมาเขตแดนสุดท้าย เยื้องๆมาทางซ้ายมือ ท่านเหล่านี้ทำบุญมาดีมาก มีการเจริญสมาธิ มีฤทธิ์มาก แต่ก็ดูเหมือนจะดุ และมีอำนาจน่าเกรงขาม ผ่านเข้าไปเขตแดนนี้จะรู้สึกเกร็งๆสักหน่อย เทวดาท่านก็ตายมาจากการเป็นคนมาก่อน นิสัยบางอย่างก็ยังติดมาจากตอนเป็นมนุษย์ บางอย่างก็คุยยาก ไม่ค่อยฟังกัน เพราะถือว่าเรามันกระจอกกว่าท่านมาก พูดผิดพูดถูก ดีไม่ดี จะโดนดีดกระเด็นออกมา ดังนั้นเขตแดนสุดท้ายนี้ก็เลยไม่ค่อยอยากจะแวะไปสักเท่าไร ไปแค่ให้ได้เห็นบ้าง แล้วก็ไม่ค่อยได้ไปอีก
    ลงมาข้างล่างๆหน่อย อันนี้ใกล้ชิดกับพวกมนุษย์มากสักหน่อย ก็เห็นจะเป็นจาตุมหาราชิกา เป็นพระภูมิเทวดา อากาศเทวดา เจ้าที่เจ้าทาง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ยังมีนิสัยความเป็นคนติดอยู่มากหน่อย เวลาขอความช่วยเหลือ ก็นิยมจะขอเทวดาในเขตแดนนี้มากที่สุด มีวิมานเป็นของตนเอง ลอยไปลอยมาในอากาศ แต่ทว่าหลังไม่ใหญ่ ไม่สวยงามเหมือนกับท่านที่อยู่สวรรค์ในเขตดาวดึงส์
    เขตแดนสวรรค์แวะไปดูมาก็มีทำนองนี้ ไม่ค่อยได้ไป ส่วนมากจะชอบไปนรกมากกว่า มีเรื่องให้ซักถามเยอะดี แล้วก็ย้อนกลับมาที่ทางสามแพร่ง มองไปทางขวา เลี้ยวไปสักพัก ก็จะเข้าเขตแดนของพรหม อันนี้แหละที่เป็นชั้นๆ มีทั้งหมด 16 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีรัศมีกายสว่างมากน้อยต่างกัน ความยาวของรัศมีกายที่กระจายไปไกลจากตัวก็ต่างกัน ขนาดของร่างกายก็ต่างกัน แต่ว่าทั้งหมดกายจะใสเป็นแก้วประกายพรึกทั้งหมด จะว่าไปจริงๆแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายมายืนปนๆกัน ผมก็แยกไม่ออกหรอกนะว่า ท่านอยู่ชั้นไหนกันบ้าง ถ้าท่านไม่บอก ก็ไม่รู้เหมือนกันแล้ว เพราะว่าตาไม่ค่อยจะดี ดูแล้วแยกไม่ค่อยจะออก แต่ว่าสนใจเรื่องอรูปพรหมมากกว่า จึงขอไปดูที่อรูปพรหม ซึ่งอยู่สูงเลยจาก พรหมชั้นที่16 ขึ้นไป มีทั้งหมด4ชั้น แต่ว่า 4 ชั้นนี้มองไม่ค่อยเห็นว่าแยกกันเป็นชั้นชัดเจน เหมือนจะลอยๆกันไปอยู่ในระดับที่ต่างกันเท่านั้นเอง

    ก่อนผมจะไปชั้นอรูปพรหมนี่ ผมเคยคิดว่า พรหมลูกฟัก คงจะหน้าตาเหมือนฟักเขียว ที่เอามาแกงกันนี่แหละครับ ยาวๆ ลอยไปลอยมา อันนี้ฟังพี่ชายมาอีกที ซึ่งจินตนาการได้เหลือล้ำจริงๆ มาเห็นที่นี่แล้ว ไม่ใช่ฟักเขียวหรอกนะครับ รูปร่างคล้ายๆฟักทองมากกว่า มีบางรูปที่จะออกรีๆยาวๆหน่อยแต่ก็ป้อมๆ มองๆไปแล้ว ก็มีส่วนคล้ายๆกับแมงกะพรุนที่ลอยไปลอยมา คุยไม่ได้ เพราะรับรู้อะไรไม่ได้ มีสภาพโปร่งๆใสๆ คล้ายๆแก้วแต่ว่าไม่ใช่แก้ว อธิบายไม่ถูก เลยขึ้นไปดูอรูปพรหมขั้นสุด เนสัญญานาสัญญายตนะ ที่ท่านดับได้ทั้ง รูป เวทนา วิญญาณ สัญญา สภาพท่านเหล่านี้ อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะบรรลุเข้านิพพานได้แล้ว ห่างไปอีกนิดเดียวเท่านั้น เป็นที่น่าเสียดายมาก รูปร่างของพรหมชั้นนี้ ผมเห็นเป็นเหมือนกลุ่มหมอก รูปร่างคล้ายๆกับหมอน เป็นหมอกจางๆ ลอยผ่านไปผ่านมา อีกไม่รู้กี่อสงไขยกัล์ปถึงจะได้กลับลงไปเกิดใหม่ สภาพนี้ใกล้เคียงกับเมื่อครั้งเริ่มกำเนิดมนุษย์ในครั้งแรกๆเลยทีเดียว จุติจากสภาพนี้แล้ว ความรู้สึก ประสาทสัมผัส ความทรงจำต่างๆ ไม่มีเลย จะเล่าต่อว่าท่านเหล่านี้จะไปเกิดเป็นอะไรในภายภาคหน้า ก็รู้สึกเกรงใจมาก เดี๋ยวคนจะคิดเลยเถิดเกินนิทานขี้โม้ไป...เป็นอันว่ายกเอาไว้ ไม่ต้องสงสัย หรือไปสนใจดีกว่า อ่านเอาแค่สนุกๆ แค่เป็นนิทาน...ไม่เอาสาระ...
     
  5. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ผีช่างประปาขี้ขโมย :

    Photo0028.jpg
    วันนี้พากันไปสำนักพระยายมราช มีไปกัน 6-7 คน ไปพร้อมๆกัน ไปดูว่าที่สำนักพระยายมเวลานี้มีใครที่เรารู้จัก แล้วยังรออยู่ไม่ไปไหนบ้างไหม? เวลาดูนี่เราก็อาศัยการอธิษฐานเอานะครับ ไม่ได้ไปเดินดูหน้าทีละคนหรอก พอนึกขึ้นมา ภาพตาช่างประปาที่แกตายไป หลายปีแล้ว ก็ปรากฏ ผมก็ว่าเจอตาช่างประปานี่แหละ รออยู่ที่สำนักพระยายม รอการพิจารณาตัดสิน....
    ผมเห็นรูปร่างหน้าตา เสื้อผ้า กางเกงที่ใส่ สีอะไร สั้นยาวแค่ไหน แต่ผมไม่เล่าต่อครับ เพราะการเห็นแบบนี้มันอาจจะเป็นอุปาทานก็ได้ใครจะไปรู้ครับ ยิ่งผมมันบ้าๆแบบนี้ด้วยแล้ว มันยิ่งเชื่อตัวเองไม่ได้เข้าไปใหญ่ ผมก็เลยรอท่านที่เหลือ บอกมาสิครับว่า รูปร่างหน้าตาช่างประปาเป็นยังไง เสื้อผ้าแบบไหน ปรากฏว่ามี 4-5 คนแกอธิบายมาได้ เป็นฉากๆ เหมือนอย่างที่เราเห็น บอกได้ด้วยว่าแกเป็นคนขี้ขโมย ชอบขโมยของชาวบ้าน แต่ผมก็มาสงสัยว่า มันจะเป็นอุปาทานหมู่ได้หรือเปล่า หรือเกิดจากกระแสจิตของเราไปกระตุ้นให้คนที่เหลือมองเห็นอย่างที่เราเห็น นี่แหละครับ สันดานของคนที่ช่างสงสัย แล้วก็โดนหลวงพ่อด่าเป็นประจำ พร้อมกับคำถามที่ว่า อุปาทานมันเป็นยังไงรู้ไหม???? ก็ตอบไปตามประสาคนไม่รู้แต่นึกว่าตัวเองรู้ ก็ว่า เป็นความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนรู้ตนเห็นมา เป็นคำตอบที่คิดว่าถูก แต่ว่าจริงๆแล้วมันก็ไม่ถูก จะว่าไม่ถูกเสียเลยทีเดียวก็ไม่ใช่ แต่ว่ามันเป็นท่อนปลายเสียแล้ว ตอนต้นที่จะเกิดอุปาทานนี่ไม่รู้ เพราะไม่เคยฝึกเพื่อที่จะรู้ ก็เลยไม่รู้ไม่เห็นว่า สภาวะของอุปาทานที่เกิดที่จิตมันเป็นอย่างไร มีสัญญา เป็นองค์ประกอบ มีสังขารคอยปรุงแต่ง เกิดเป็นนาม รูป แล้วจึงจะบันทึกลงไปไว้เป็นอุปาทานให้เจ้าตัวยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนรู้ตนเห็น กระบวนการตรงนี้เกิดขึ้นไวมาก และเกิดขึ้นหลายรอบด้วยกัน ก่อนจะเกิดเป็นอุปาทาน ถ้าจะรู้ตรงนี้ก็ต้องเจริญสติให้มาก ต้องเริ่มจากอนุสติก่อน ค่อยฝึกๆไปจนเติบโตขึ้นมาเป็นสติ ถ้าฝึกไปเรื่อยๆไม่หยุดยั้ง ก็จะมีสติต่อเนื่อง มีกำลังมาก มีความแคล่วคล่องว่องไว จนกลายเป็นมหาสติ ถึงเวลานั้นแล้ว จะได้รู้ได้เห็นว่า สัญญา สังขาร อุปาทาน นามรูป วิญญาณ เวทนา อารมณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบ มันเป็นอย่างไร มีความเกี่ยวเนื่องถึงกันอย่างไร
    ก็เป็นอันว่าตาช่างประปาขี้ขโมยนี่แกยืนอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว ถามได้ความว่า ที่นี่ 50 ปีเท่ากับโลกมนุษย์1วัน แล้วแกก็ต้องรอไปแบบนี้อีกนาน ว่าแล้วก็เลยลองกันว่า ถ้าเราหลายๆคนอุทิศส่วนกุศลไปให้ จะช่วยอะไรแกได้บ้าง ตรงนี้ก็ต้องไปขออนุญาตพระยายมราชก่อนนะครับ ท่านอนุญาตแล้วจึงค่อยอุทิศส่วนกุศล เวลาอุทิศก็ว่ากันง่ายๆว่า “ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้เคยบำเพ็ญแล้วจนถึงบัดนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ดวงวิญญาณที่อยู่เบื้องหน้านี้ ขอให้ดวงวิญญาณนี้ ได้อนุโมทนาในผลบุญของข้าพเจ้า และจะพึงได้รับประโยชน์ ความสุข เฉกเช่นเดียวกับข้าพเจ้าทุกประการ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด” ว่าจบตาช่างประปาขี้ขโมยนี่ร่างกายเปลี่ยนไปเป็นเทวดาชั้นต้นๆ ว่าแล้วเราก็ขอกลับบ้างว่า ในเมื่อเป็นเทวดาแล้ว ต่อไปนี้ก็ขอให้มาตามคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย จะมีเหตุอันใดเกิดขึ้นถ้าไม่เกินกฎของกรรมก็ขอให้ช่วยขจัดทิ้งไป หรือถ้าขจัดไม่ได้ก็ขอให้มาช่วยเตือนให้รู้ ในทางใดทางหนึ่ง เพื่อเราจะได้ระมัดระวัง...ก็เป็นอันว่าจบ...แต่เราเองมันไม่จบ..
    มันไม่แฟร์นะครับ ถ้าเป็นผีแล้วต้องรับการพิพากษา จู่ๆมีคนมาอุทิศส่วนกุศลให้แล้วได้เป็นเทวดา แบบนี้ไม่ต้องทำบุญกันแล้วครับ รอตายไปแล้วให้คนที่ได้กรรมฐานมาช่วย ก็ได้เป็นเทวดาแล้ว จะมาลำบากทำบุญเอง ทำทานด้วย รักษาศีล ภาวนากันหลายๆปีแบบนี้ไปทำไมกัน อย่างงี้มันง่ายไปหรือเปล่าครับ?

    การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ ก็ไม่ได้ทำให้บุญกุศลเราลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด แม้เขาได้โมทนาบุญแล้ว ได้เปลี่ยนภพภูมิไปแล้ว ได้เสวยสุขก็เป็นแต่เพียงชั่วคราว หากเขาไม่ใช้โอกาสนี้ในการสร้างคุณงามความดีต่อ เมื่อหมดผลบุญก็จะดิ่งลงนรกทันที เพราะบาปกรรมที่เขาได้กระทำไว้ไม่ได้หายไปไหน ยังคงขังตัวรอให้เจ้าของกรรมมาชดใช้อยู่ ส่วนพวกเราเองที่อุทิศส่วนกุศลนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีคือเมตตาบารมี ได้ให้โอกาสเขากลับตัวกลับใจหันมาทำความดี นี่ก็เป็นปัญญาบารมี ส่วนความชั่วหรือบาปกรรมที่เขาทำเอาไว้ก็เห็นว่าวันหนึ่งภายหน้าเขาต้องได้รับแล้ว เราจะไปยินดียินร้ายก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด อะไรที่เราช่วยเขาได้เราก็ช่วยไป นี่เป็นอุเบกขาบารมี ผลบุญที่อุทิศให้ไปนี้ ก็เป็นทานบารมี นี่แท้ที่จริงแล้ว เรามาทำตรงนี้ เป็นการบำเพ็ญบารมีอย่างนึงครับ ถ้ามามัวสงสัย ข้องใจ งี่เง่า อย่างผมนี่ บุญก็ไม่ได้ นรกจะกินกระบาลเปล่าๆ...นิทานขี้โม้เรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า.....????
     
  6. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ตายแล้วไปไหน(1) :

    scan%2B001.jpg
    ทราบข่าวพี่ชายของรุ่นพี่เสียชีวิตอยู่ต่างประเทศ ครอบครัวก็อยู่ที่นั่น ได้รับการร้องขอให้ช่วยนำพาวิญญาณผู้ตาย ไปกราบสมเด็จโต หรือ หลวงปู่ดู่ เนื่องจากเป็นวันที่ร่างกายเจ็บป่วยมาก แต่ก็ไม่ได้บอกใคร นอนเจ็บ ลุกเดินก็ลำบากมาก จึงจะขอเลื่อนไปช่วงหัวค่ำ แต่ก็ขัดใจรุ่นพี่ท่านไม่ได้ ก็ได้แต่รวบรวมกำลังใจ เรื่องความเจ็บปวดของร่างกายเป็นของธรรมดา ถ้าเรายังมีร่างกายจะหนีมันยังไงก็หนีไม่พ้น ที่จะพอพ้นได้ก็อาศัยการพ้นไปจากความทุกข์ใจ ทุกข์กายก็ทุกข์ไป ทุกข์ใจนั้นอย่าไปมี จะไม่ทุกข์ใจก็ด้วย วิปัสสนาญาณควบสมถะ เป็นสังขารุเบกขาญาณ ไปถึงก็เห็นพี่ชายท่านนี้ยืนอยู่ข้างเตียงที่โรงพยาบาล ท่าทางยังมึนๆงงๆ อาการที่เห็นคือมองดูร่างกายตัวเองแล้ว ยังรู้สึกว่ายังไม่อยากจะตาย ห่วงลูกสาว ห่วงภาระที่ยังทำไว้ไม่เสร็จ อยากทำอีกหลายอย่างแต่ยังไม่ได้ทำ ไอ้เรื่องความอยากของคนนี้ ต่อให้อยู่ไป100ปี1000ปีมันก็ไม่มีวันหมดลงได้เลย อาศัยอตีตังสญาณ ควบกับเจโตปริยญาณ ก็เห็นว่าจิตใจคนนี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เป็นคนจิตใจดี ไม่คิดคดเบียดเบียนใคร มีอะไรที่ช่วยเหลือได้ก็จะช่วยเหลือ เป็นคนมีน้ำใจดี แต่ว่าไม่ชอบการสวดมนต์ ไม่ชอบการภาวนา มีการทำบุญบ้างเป็นบางครั้ง ตามวาระโอกาสจะอำนวย
    ครั้นตายลงแล้ว จะได้เป็นบริวารเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร ท่านมารับ พร้อมกับเพื่อนๆของพี่ชายท่านนี้อีก 4-5 ท่าน จะได้เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ชั้นพื้นดิน ดูแลอาณาบริเวณแถวนั้น อยู่ที่ต่างประเทศ ส่วนเรื่องที่จะให้พาไปกราบสมเด็จโต และหลวงปู่ดู่นั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถช่วยได้ ด้วยบุญบารมีของพี่ท่านนี้ทำมาไม่เพียงพอ ด้วยพระคุณเจ้าทั้งสองอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ครั้นจะไปกราบนิมนต์มาเพื่อให้พี่ท่านนี้ได้เคารพกราบไหว้ ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเป็นการไม่สมควร จึงระงับยับยั้งเอาไว้ เห็นพี่ชายท่านนี้ยังยืนนิ่งๆด้วยความกังวล ห่วงใย ก็ถามไถ่กันดู ท่านก็ว่าเป็นห่วงลูกสาว และไม่ต้องการให้งานศพนี้เป็นภาระแก่ลูกสาว ขอให้จัดทำแบบง่ายๆ จะได้ไม่ต้องเป็นภาระ ก็ได้บอกกับรุ่นพี่ที่เป็นน้องสาวผู้ตายไปตามนั้น
    เรื่องนี้ก็พอให้เห็นเป็นอุทธาหรณ์ได้ว่า ยามมีชีวิต หากไม่สวดมนต์ เจริญภาวนาเอาไว้สม่ำเสมอแล้วนั้น เมื่อชีวิตสิ้นลงไปแล้ว จะหาใครคนใดมาช่วยก็ไม่สามารถช่วยได้ ตนเองที่จะเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นไหนเลยจะช่วยได้ เป็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ถูกต้องดีแล้ว ไม่มีข้อแก้ตัวได้เลย
    เรื่องการเปิดบทสวดมนต์ หรือการกระซิบบอก พุทโธๆๆๆ ข้างๆหูของคนที่กำลังจะตายนี่ก็อีกอย่างนึงที่เคยไปดูวาระจิตของคนใกล้จะตาย ไปเห็นบางอย่างแล้วก็เกิดความไม่ค่อยสบายใจกับความเชื่อของคนทั้งหลายที่พูดต่อๆกันมาว่าให้เปิดบทสวดมนต์เพื่อให้คนใกล้ตายฟังแล้วได้ไปสู่สุคติ หรือให้ท่องพุทโธๆๆๆ คนใกล้ตาย ตายไปจะได้ไม่ตกนรก ผมไปยืนพิจารณาแล้วว่า มันก็ไม่แน่เหมือนกัน อย่างพี่ชายท่านนี้ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ คือสวดบ้าง นานๆครั้ง บทง่ายๆสั้นๆ ก็พอได้ ถ้าใกล้ตายเอาบทสวดมนต์อะไรก็ตามที่ญาติๆชอบสวด ชอบฟัง หรือไปเชื่อคนอื่นว่าเปิดบทสวดมนต์นี้แล้วจะดี ไปเปิดให้คนที่ใกล้จะตายฟัง อาศัยว่าไม่เคยสวดบทนี้มาก่อน ไม่ชินกับการสวดมนต์ พอได้ยินในระหว่างทุกขเวทนาแรงกล้ากำลังรุมเข้ามา แทนที่ใจจะสงบ กลับกลายเป็นว่ารู้สึกรำคาญกับบทสวดที่เปิดอยู่ ความหงุดหงิดตรงนี้ชั่วขณะเดียว จิตดับลงไป จะไปปรากฏตัวที่สำนักพระยายมทันที เช่นเดียวกันกับที่ไปกระซิบข้างหูว่า พุทโธๆๆๆๆ คนกำลังจะตาย มาทำเสียงรบกวนข้างๆหู มันน่าหงุดหงิดใจจริงๆ อารมณ์ชั่วขณะเดียว ไปปรากฎตัวไปอยู่สำนักพระยายมทันที ยมทูตไม่ต้องมาพาไป แล้วมันก็น่าแปลกนะที่ว่า ไอ้คนที่ไปกระซิบพุทโธๆๆข้างๆหูคนใกล้จะตาย มันก็ไม่เคยนั่งสวดมนต์ ไม่นั่งบริกรรมพุทโธ สมาธิมันก็ไม่ฝึก ตอนคนใกล้จะตายเสือก สะเออะจะไปบอกให้เขาท่อง ทั้งๆที่ตัวมันเองไม่เคยทำ ไอ้ห่วยแตกเอ๊ย...ตัวเองยังเอาตัวเองไม่รอด มีหน้าจะไปบอกให้คนใกล้ตายพุทโธๆๆๆ...น่าสมเพช... อันนี้คิดในใจนะ ไม่ได้พูดออกไปให้ใครฟัง เกรงจะโดนกระโดดถีบ
    เป็นว่ารายนี้ก็แนะนำไปว่า ไม่ต้องไปเปิดบทสวดจักรพรรดิอย่างที่คาดคิดเดาเอาว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ วิเศษกว่าบทสวดใดๆ เพราะชื่อว่า จักรพรรดิ บทสวดจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่รจนาขึ้นมาเป็นบทสวดบูชาพระนั้น เป็นคาถาที่ดี แต่คนเอาไปใช้ในเชิงโลภะ โมหะ แบบนี้ไม่ค่อยดี หลวงปู่ดู่ท่านชอบเรื่องท้าวชมพู ที่แพ้ให้กับพระพุทธเจ้าเมื่อตอนที่เนรมิตพระวรกายเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งในพุทธประวัติไม่มีนะครับ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาภายหลัง เรื่องแต่งไม่ใช่เรื่องจริง แต่งขึ้นเพื่อเจริญศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนที่ยังมีกำลังใจน้อยอยู่นั้นให้ฮึกเหิม เบิกบาน พอมาเรียกเป็นบทสวดจักรพรรดิหรือมหาจักรพรรดิ เข้าให้ แหม...มันดูยิ่งใหญ่จริงๆ ใหญ่กว่าพระมหากษัตริย์ ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก(มนุษย์) .... ใครอยากเป็นก็ขอให้ได้เป็นนะครับ ผมก็ไม่ได้ขัดอะไร ใครจะเห็นว่าเป็นมหาจักรพรรดิดีก็แล้วแต่เขา สำหรับผมแล้วเห็นเป็นมหาทุกข์ เจ้าชายสิทธัตถะทรงทิ้งตำแหน่งมหาจักรพรรดิ์ มาหาหนทางพ้นทุกข์ ผมเองก็ขอดำเนินรอยตาม องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเช่นกันครับ ส่วนใครจะชอบหนทางที่เจ้าชายสิทธัตถะไม่เลือกนั้น ก็เป็นสิทธิของท่านทั้งหลาย ไม่ว่ากันครับ...
    นิทานขี้โม้กลายเป็นนิทานขี้บ่นได้ยังไงก็ไม่รู้สินะ เอาเป็นว่าพี่ท่านนี้ก็ย่อมมีสิทธิที่จะไม่เชื่อข้าพเจ้า เอาบทสวดจักรพรรดิไปให้ลูกสาวผู้ป่วยหรือเวลานี้คือผู้ตายฟังแบบกำชับว่าเปิดเบาๆนะ ซึ่งก็เป็นสิทธิที่ท่านทั้งหลายจะทำได้ และไม่จำเป็นต้องมาเชื่อผมเลยแม้แต่น้อย ว่าแต่นะ ไม่เชื่อแล้วจะมาถามเราทำไมว้า....

    แต่สำหรับคนที่สวดมนต์เป็นประจำ มีการฝึกสมาธิประกอบด้วยนั้น ก็จะมักจะมีบทสวดมนต์ที่ตนเองชอบสวด ชอบฟัง เป็นประจำ คนพวกนี้เวลาก่อนจะตาย ถ้าได้ฟังบทสวดที่ตนเองสวดเป็นประจำ เป็นบทที่ชอบ ก็จะมีใจรื่นเริง เบิกบานในธรรม มีจิตเป็นสมาธิ ทรงอารมณ์ฌานได้ดี เมื่อจิตดับวูบลงไป แทนที่จะไปเป็นเทวดา ก็มักจะไปเกิดบนพรหมโลกเป็นส่วนมาก ดังนั้นการฟังใครเขาว่าคนที่ใกล้ตายให้เปิดบทสวดมนต์ให้ฟัง เพื่อจะได้ไปสู่สุคตินั้น ก็ต้องดูความประพฤติของคนๆนั้นยามมีชีวิตอยู่ด้วยครับ ไม่เช่นนั้นก่อนประหารชีวิตฆาตกร ก็เปิดบทสวดมนต์ให้ฟัง ไปสู่สุคติทุกคนสิครับ จะมาฟังอะไรกันตอนใกล้จะตายครับ ตอนมีชีวิตอยู่หลายสิบปีนี่ไม่ฟังเลย ไม่สวดเลย ไม่ภาวนา ไม่ทำสมาธิ จะมาทำเอาตอนกำลังจะตาย แล้วมันจะรอดเหรอครับ???
     
  7. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ตายแล้วไปไหน(2) :

    CIMG4689.jpg
    มีน้องผู้หญิงคนนึง เป็นมะเร็งเสียชีวิต ก่อนจะเสียชีวิตก็ได้แนะนำให้ไปทำบุญบ้าง เข้าวัดไปกราบไหว้ครูบาอาจารย์ให้ช่วยบ้าง เราก็ทำได้เท่านั้น ต่อมาก็มาถามกับข้าพเจ้าว่า เธอจะหมดอายุขัยปีนี้แล้วหรือ ก็ตอบว่า เป็นไปตามนั้น นี่ก็ยืดมาได้ปีนึงแล้วนะ เธอก็พยายามจะไปทำโน่นๆนี่ๆ แล้วก็กลับมาถามว่า อนาคตที่เธอจะสิ้นชีวิตนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือยัง ก็ต้องตอบไปตามตรงว่า ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ยังคงเหมือนเดิม หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เข้า โรงพยาบาล และเสียชีวิตลง ก็มีแม่ชีที่เธอเคยไปอยู่ด้วย 7 วัน บอกว่าผู้ตายได้ทำบุญเอาไว้ดีแล้ว ตอนนี้ไปเกิดอยู่บนชั้นพรหมแล้ว และจะบำเพ็ญบารมีต่อ เข้านิพพานไป โดยไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว กับมีความพยายามจะนำเอาสิ่งที่ผู้ตายได้พูดปลงเรื่องชีวิต เอามาเผยแพร่ว่าเธอผู้นี้ได้เห็นธรรมแล้ว ปลงใจกับความทุกข์ในโลกนี้แล้ว เธอไปดีแล้ว
    แต่ว่าผมเห็นเธอไปยืนรออยู่ที่สำนักพระยายม ก็เห็นว่าถ้าแม่ชีนำผู้ปฎิบัติธรรมลงไปช่วยก็จะสามารถช่วยเธอได้ ให้มารับผลบุญก่อน แต่ในเมื่อแม่ชียืนยันว่าเธอไปเกิดเป็นพรหมแล้ว ก็จบกัน การช่วยเหลือย่อมไม่ต้องมี ส่วนผมเองนี่ก็อาจจะอุปทานไปเองก็ได้ เพราะว่าผมนี่จะว่าไปแล้วมันก็ยังกระจอกอยู่มาก ยังเป็นปุถุชน คือบุคคลที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส การที่จะเห็นผิดพลาดย่อมมีได้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เพราะยังห่วยจัด
    ในญาณ๘นั้น มีทิพยจักขุญาณเป็นหลัก ญาณอื่นๆก็อาศัยพื้นฐานจากทิพยจักขุญาณออกไปนี่เอง ด้วยอาศัยว่าเวลาจะใช้วิชานี้ ก็จะขอบารมีพระและครูบาอาจารย์ก่อนเสมอๆ เห็นแล้วก็ไม่ได้ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ว่าก็ต้องอาศัยญาณอื่นๆตรวจสอบไปด้วยว่า ถ้าหญิงคนนี้ไปอยู่ที่สำนักพระยายม ทั้งๆที่แม่ชีบอกว่าไปเกิดเป็นพรหมแล้ว จากการบวชเนกขัมมะก็ดี การทำบุญก็ดี แล้วทำไมเราจึงเห็นว่ามาอยู่ที่สำนักพระยายม ก็ต้องอาศัยยถากรรมมุตาญาณ ควบกับเจโตปริยญาณ ดูว่าเธอทำกรรมดีกรรมชั่วอะไรไว้ตอนไหน วาระจิตของเธอเป็นเช่นไรจึงต้องมาอยู่ในลักษณะนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาศัยถามจากท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายเหมือนเดิม ซึ่งบางเรื่องก็ดูเหลือเชื่อ บางอย่างก็กลายมาเป็นอุทธาหรณ์สอนใจตนเองด้วยเช่นกัน
    อดีตชาติของเธอผู้นี้ทำปาณาติบาตไว้มาก ทั้งโกง ทั้งใส่ร้าย เข่นฆ่าล้างผลาญชีวิตเอาไว้มาก ชาตินี้มาเกิดก็ไม่ได้ทำบุญ สวดมนต์ เจริญภาวนา ยังคงหลงใหลไปในโลกียะทั้งหลาย จวบจนเกิดโรคร้ายจึงได้คิดหาทางแก้ไข จะให้ทำอะไรที่ไหนยังไงก็ยอมทุกอย่าง เพื่อให้หายจากโรค ไปหาพระ เข้าวัด ทำบุญ สวดมนต์ ทำได้ทุกอย่าง แต่ว่า เธอทำลงไปด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่ได้ทำลงไปด้วยความจริงใจในการทำความดี จนพอเมื่ออาการดีขึ้น ก็กลับไปหลงระเริงอีกครั้ง ทอดทิ้งการทำความดีที่ครูบาอาจารย์ทุ่มเทเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือเอาไว้ ก็เป็นวาระที่เจ้ากรรมนายเวรยิ้มระรื่น ผลกรรมก็ถาโถมใส่เข้ามาอีกครั้ง จนหมดหนทางเยียวยา ก็ยังพยายามจะหาสิ่งต่างๆมากันมาแก้ แต่ว่ามันก็สายไปเสียแล้ว เวลานั้นเธอได้ศึกษาธรรมะ ด้วยอาศัยสติปัญญา ไอคิวที่ดี ก็ย่อมสามารถจดจำคำสอนเอามาพูดกล่าวเล่าให้ใครฟังได้อย่างดี ซึ่งการทำเช่นนี้สำหรับบุคคลที่ได้รับฟังแล้วย่อมรู้สึกว่าดี แต่จิตใจของเธอผู้กล่าวออกมานี้ คิดว่าการพูดปลงแบบนี้แล้วจะช่วยให้เธอนี้พ้นจากทุกข์ได้ คือพูดเพื่อหวังผล ปลงเพื่อหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์จากการปลง นี่มันคือปมที่ซ้อนปม เป็นจิตใจของคนที่เห็นแก่ตัวหวังจะทำอะไรลงไปเพียงเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ ให้ตัวเองรอดจากอบายภูมิ หาได้มีความจริงใจศรัทธาต่อคำสอน และหาได้สำนึกผิดในบาปที่ตนก่ออย่างแท้จริง เพราะโมหะนี้เอง ทำให้ต้องมารอรับการพิจารณาอยู่ที่สำนักพระยายม
    ทำให้นึกถึงคำพูดของหลวงตาบัวที่ว่า “อวิชชาผ่องใสอย่างยิ่ง” อวิชชาไม่ได้แปลว่าโง่ อวิชชานี่ฉลาดแบบเจ้าเล่ห์ ใช้เล่เหลี่ยมหลอกล่อพลิกแพลง แต่ว่าธรรมะเป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา ฉลาดในการหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น คนทำบุญเหมือนกัน สวดมนต์เหมือนกัน ทำสมาธิเหมือนกัน ก็ใช่ว่าจะได้บุญได้กุศลเหมือนกัน เพราะคนหนึ่งทำเพื่อหวังว่าจะใช้กลบเกลื่อนหนีความผิดที่ตนกระทำลงไป เหมือนเอากระดาษห่อของขวัญมาห่อหุ้มสิ่งปฏิกูลเอาไว้ เพื่อหลอกว่าเป็นของขวัญของรางวัลมีค่า ย่อมไม่เกิดผลดีเท่าไรนัก เพราะแม้ว่าเราจะทำหรือจะพูดเพื่อโกหกหลอกลวงใครต่อใครได้ แต่โกหกหลอกลวงจิตใจตัวเองไม่ได้ว่าแท้จริงแล้ว ภายในใจ(ภายในกล่องของขวัญ)มีสิ่งใดอยู่ข้างในกันแน่ ซึ่งย่อมแตกต่างจากผู้ที่ทำบุญ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อมุ่งหวังจะดับทุกข์ ปรารถนาการหลุดพ้นจากวัฎสงสาร ไม่สนใจใยดีต่อการมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่ใยดีต่อลาภ สักการะ คำสรรเสริญ ผลที่ได้ย่อมแตกต่างกัน

    นิทานขี้โม้เรื่องนี้ แม้จะเป็นอุปทานหรือไม่ก็ตาม ก็ได้ข้อคิดเตือนใจตัวเองว่า การปฏิบัติธรรมของเรานี้ อย่าทำเป็นลิงหลอกเจ้า อย่าทำเป็นนักปฏิบัติธรรมเจ้าเล่ห์ กลิ้งกลอก นักพลิกแพลง มันจะฉิบหายในบั้นปลาย จงทำตัวเป็นนักปฏิบัติธรรมที่จริงใจ เปิดเผย ทำเพื่อลด ละ เบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อให้ออกจากกาม ทำโดยไม่หวังผลในลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ หรือผลประโยชน์อื่นใด เราจะทำความเพียรนี้ เพื่อขจัดสิ่งชั่วในดวงใจของเรา ทำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
     
  8. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    พญานาค ตอนที่ 1:

    นิทานขี้โม้ ก็มาถึงเรื่องเล่าพญานาคก่อนก็แล้วกัน ชั่งใจว่าจะโม้เรื่องอาณาจักรแอตแลนติสก่อนดีไหม เพราะมีทั้งพลังงานรูปแบบใหม่ อยู่ด้วย ก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน เนื่องจากทุกวันนี้หลายคนเริ่มสนใจพญานาค มีการฟ้อนรำขับร้องบวงสรวงพญานาคกันด้วย รวมถึงมีการเล่าเรื่องวงศ์ตระกูลต่างๆของพญานาคกันอย่างกว้างขวาง ก็ลองมาฟังนิทานขี้โม้เรื่องพญานาค ที่ไม่เหมือนฉบับไหนสักเท่าไร
    สมัยหนุ่มๆ ฝึกสมาธิไป ไม่ได้คิดว่าจะไปเมืองบาดาล ก็เคยได้ยินเรื่องเล่ามานานแล้วว่ามีเมืองบาดาล แต่ก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไร มีลูกเณรมาเล่าเรื่องพญานาคที่หนองหานให้ฟังว่ามีคนล่องเรือแล้วหายไปหลายราย มีคนเดินๆไปน้ำสูงแค่เอว จู่ๆก็หายไป มีคนเห็นพญานาคหลายรายด้วยกัน ฟังแล้วก็เหรอๆ ไม่ได้ว่าอะไร กลางคืนไหว้พระเสร็จ ขอบารมีครูบาอาจารย์ นั่งสมาธิไปตามปกติ จู่ๆก็ไปยืนอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง เหมือนเป็นโพรงมากกว่า แต่ว่ากว้างและสูง อากาศก็มีให้หายใจ แบบชื้นๆเย็นๆ มองไปรอบๆก็มืดๆ สลัวๆแค่พอมองเห็น แหงนหน้าไปดู ก็เห็นเป็นน้ำอยู่ด้านบน ยังเห็นแสงลอดมาได้ เห็นพยับน้ำหรือไงเนี่ย มันเป็นคลื่นผิวน้ำกระทบแสงแดดแบบนั้นแหละนะ มองมาที่พื้นก็เป็นพื้นหิน เปียกๆ มีแอ่งน้ำ เล็กๆอยู่บ้าง ตรงนี้ก็เข้าใจเอาเองว่าจะเป็นทางเข้าเมืองบาดาลของพญานาค ก็เดินตรงไปเรื่อยๆ มันมีทางให้เดินอยู่ทางเดียวก็เดินๆมันไป
    เดินไปจนถึงทางออก เป็นโถงใหญ่ สว่างจ้า มองเข้าไปจะเห็นผู้หญิงผู้ชาย นั่งแยกกัน ผู้หญิงนั่งฝั่งซ้ายมือของเรา ผู้ชายจะนั่งฝั่งขวา นั่งพนมมือเรียบร้อย สงบเสงี่ยม แต่งกายสวยงามมาก มีเครื่องประดับทั้งอัญมณีต่างๆแว๊บๆวาวๆ ตัวเรือนเป็นทองคำ นุ่งหุ่มสไบ ใส่เป็นผ้าถุง หรือผ้าซิ่น เรียกไม่ถูกเหมือนกัน เพราะไม่ได้ชำนาญเรื่องเสื้อผ้าและการแต่งกาย ผู้ชายก็ใส่เสื้อผ้ารัดกุม มีมวยผมรัดด้วยเกล้าทองคำก็มี ผิวพรรณขาวผ่อง สวยงามทั้งหญิงทั้งชาย มองไปเบื้องหน้า เห็นเป็นพระพุทธรูปใหญ่ หน้าตัก 4 ศอก ทำจากทองคำ ปางมารวิชัย สวยงามมาก ทุกคนนั่งกันเงียบ ต่างคนต่างพนมมือ หน้าสุดมี ท่านผู้เฒ่า ผมขาวดอกเลา นั่งสมาธิ ไม่ใส่เสื้อ แต่มีทับทรวงทองคำ นุ่งผ้านุ่งเหมือนกางเกงสามส่วน เหมือนจะเป็นท่านมุจลินทร์ นาคราชที่ไปกันฝนให้กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งพุทธกาล

    เดินเข้าไปเงียบๆ ตัวลีบๆ ไม่มีใครสนใจ เข้าไปแล้วก็กราบพระพุทธรูป แล้วก็นั่งนิ่งๆเงียบๆอยู่ ไม่ห่างจากท่านผู้เฒ่า มองไปด้านหลังขององค์พระพุทธรูป ก็เป็นผนังถ้ำ ดำๆ ไม่มีอะไร เป็นหินงอกหินย้อย ธรรมดาๆ ไปนั่งเฉยๆแบบนั้น ไม่มีใครคุยด้วย จะถามใครก็เห็นแต่ละคนนั่งพนมมือกันเงียบ ไม่กล้าถาม นั่งอยู่สักพัก ก็กราบลา กลับออกมา ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ออกจากสมาธิก็ไม่มีอะไร ไม่มีข้อมูลใดๆ เพราะไม่มีใครคุยด้วย เลยไม่รู้เรื่องกัน
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,647
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    ............................ Wheretogoafterdie.jpg
     
  10. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ร่างแฝงหลวงปู่ทวด:
    FB_IMG_1499524373645.jpg
    เมื่อภรรยาของลูกน้อง มาขอคำปรึกษาว่าจะเอาไงดี หลวงปู่ทวดท่านจะมาอยู่ด้วย บอกว่าต้องนุ่งขาวห่มขาว ถือศีล8 กินเจ ทุกวันพระ ให้ครบ 49 วัน ตัวลูกน้องเองเป็นคนใต้ ปกติไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่เจอแม่ยายนอนพับเอาหลังหัวแตะส้นเท้าได้ ก็เริ่มไม่สบายใจ กลางคืนแม่ยายลุกมามีเรี่ยวแรงกระฉับกระเฉง แต่กลางวันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงมาก จนแม่ยายตาย ภรรยาก็มาเกิดเรื่องแบบนี้ เลยมาขอคำปรึกษาว่า เอาไงดี?
    อยากจะบอกว่าหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ทรงคุณสูงมาก ท่านไม่มาเข้าสิงผู้หญิงหรอกครับ ผู้ชายก็ไม่เข้าด้วย ที่เคยเห็นมาคือ หลวงปู่ทิม อาจารย์นอง ก็เป็นลักษณะผ่านญาณ คือหลวงพ่อทวด ท่านจะมาลอยอยู่เหนือหัว แล้วแผ่กำลังญาณลงมาควบคุมโดยไม่ได้เข้ามาครอบงำอะไรใดๆ
    ปกติของนักปฏิบัติภาวนา จะมีการทรงฌานอยู่เป็นปกติ จะเป็นฌานเตี้ยๆบ้างก็ขึ้นกับกำลังของแต่ละท่านที่ฝึกฝนกันมา เมื่อฌานมีการทรงตัวได้ก็ต้องอาศัยจับภาพพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ย่อมจะได้พบเห็นครูบาอาจารย์อยู่เป็นปกติ พรหมเทวดาท่านก็จะมาปรากฏอยู่โดยรอบ เรื่องแบบนี้สำหรับนักปฏิบัติภาวนาแล้วไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่ของวิเศษอะไร เป็นเรื่องปกติทั่วๆไป ครั้นเวลาจะดูอะไรก็กราบเรียนถาม ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะอาศัยกำลังฌานโลกีย์ด้วยน้ำหน้าอย่างเราแล้ว มันยังเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เลย ก็ยังต้องเกาะพระ เกาะครูบาอาจารย์เอาไว้ก่อน แบบนี้ก็ปลอดภัยดีเหมือนกัน แล้วก็ไม่ต้องใช้กำลังอะไรมาก ทำใจสบายๆ ฌานก็ทรงตัวนิ่งๆ ภาพก็ปรากฏว่า หลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ ท่านนั่งขัดสมาธิ อยู่ด้านหลังของผู้หญิงคนนี้ แต่ผมดูก็รู้ว่าไม่ใช่หลวงพ่อทวด หน้าตาคล้าย แต่ว่าไม่เหมือน เพราะจำหลวงพ่อทวดได้ ไปกราบท่านบ่อยๆ มีอะไรเกิดขึ้นท่านก็เมตตามาโปรดอยู่เสมอๆ ข้างหลังหลวงพ่อทวด เป็นปีศาจตนนึง ต้องขอเรียกว่าปีศาจ เพราะไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ตัวมันจะสูงใหญ่ ผมดำยาวรุงรัง ปากแสยะน้ำลายยืดๆ ตาโปนโตแดงก่ำ คล้ายจะถลนออกมานอกเบ้าตา เสื้อผ้าก็มอมแมม เหมือนผ้าดิบ ใส่เป็นเสื้อคลุมรุ่มร่าม
    ไอ้เจ้าปีศาจนี่มีฤทธิ์มาก สามารถเนรมิตรูปหลวงพ่อทวดให้คนที่ฝึกสมาธิทั่วไปมองเห็นว่า นี่คือหลวงพ่อทวดเสด็จมาจริงๆ นี่ถ้าไม่ได้บารมีพระ และครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์แล้ว ผมก็คงเห็นเป็นหลวงพ่อทวดไปด้วย แล้วก็จะมองไม่เห็นที่อยู่ข้างหลังรูปเนรมิตแบบนี้ แต่ไอ้ที่สงสัยจริงๆคือ ปีศาจทำไมถึงต้องให้ร่างมารักษาศีล8 กินเจ นุ่งขาวห่มขาว ทุกๆวันพระ ให้ครบ 49 วัน ก็เลยถามไป ได้ความว่า ปีศาจตนนี้ต้องการกำลังบุญเพื่อสร้างบารมีของตนเองให้สูงยิ่งๆขึ้น ก็จึงใช้ให้หญิงคนนี้เป็นคนทำให้ เพื่อที่ตัวเองมีกำลังบารมีสูงขึ้น ฤทธิ์เดชก็จะแก่กล้ายิ่งขึ้น หากหญิงคนนี้ทำตามจนครบที่บอกไว้ ก็จะเข้าครอบงำได้อย่างเต็มที่ หนีไปไหนไม่ได้อีกด้วย
    งงเหมือนกันนะครับ ไม่ใช่ไม่งงกับคำตอบแบบนี้ เพราะว่าไม่เคยได้ยิน หรืออ่านเจอที่ไหนมาก่อนว่า ปีศาจก็ต้องการบุญไปเสริมบารมีให้มีฤทธิ์เพิ่มขึ้นแล้วมาใช้ร่างให้รักษาศีล 8 กินเจด้วย นุ่งขาวห่มขาวด้วย แล้วเนียนมาทำว่าเป็นหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้ แต่เนื่องจากนี่คือนิทานขี้โม้ เราจึงบันทึกเรื่องขี้โม้แบบนี้เอาไว้ได้ ไม่มีใครกล้าด่า เพราะว่าเราโม้ เราไม่ได้บอกว่านี่เรื่องจริง
    แม้ว่าจะเป็นเรื่องขี้โม้ แต่ว่าเวลาจะเตือนภรรยาของลูกน้องคนนี้ก็ลำบากพอสมควร เนื่องจากว่าปีศาจนี้มันยืนจ้องอยู่ ถ้าเราเล่าไปตรงๆมันจะหาโอกาสมากระทืบเราสักวันหนึ่งจนได้ ก็เลยหาทางออกบอกไปว่า การรักษาศีลก็เป็นเรื่องดี การกินเจก็ไม่ได้เสียหายอะไร ก็ดีเหมือนกัน แต่ว่าการเป็นร่างทรงนั้น ไม่ควรหรอกนะ หลวงปู่ทวดท่านเป็นพระ ท่านจะมาลงประทับทรงผู้หญิงได้อย่างไร อาบัติสังฆาฑิเสส เลยนะ เรื่องจะประทับทรงก็ขอให้ยืดเวลา รอไปก่อน อย่าพึ่งไปทรงอะไรเลย หลังจากนั้นเธอผู้นี้ก็ไม่ได้รักษาศีล8 ไม่ได้กินเจ แล้วก็ไม่ได้เป็นร่างทรงใดๆ แต่ว่า ปีศาจตนนี้เป็นต้นตระกูลผีมโนราห์ของเธอ ดังนั้นเธอจึงเป็นผู้รับสืบทอดต่อไป อันนี้ก็ตัวใครตัวมัน เพราะมันเป็นอาถรรพ์ที่ผูกไว้นานแสนนานแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่อยากยุ่งด้วย
     
  11. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    อ้าสสส นิทานขี้โม้ ขอโม้มั่งจะได้ไหมคะ


    อิอิ
     
  12. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    ตามสบายเลยค้าาาา!!
     
  13. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    เนื่องจากเป็นการขี้โม้ และปลอดภัยจากคำครหาทั้งหลาย ก็บอกว่าโม้ เออ โม้ อิอิ

    สดๆร้อนๆ หนูมน ฝันจ้ะ ก้ อาจจะเพ้อเจ้อ

    แต่ระยะนี้นะ วันลอยกระทงที่ไทย และเราทำงานคนเดียวที่อเมริกา มันก้ เลยเบื่อๆ เซ็งๆ ตามประสามนุษย์โลก ที่ต้องกระทบกระทั่งผู้คน มากมาย และเลี่ยงกิเลสไม่ได้สักวัน

    ก็ เหนื่อย ก็เพลีย เลยขาดการจริงจังในการฝึกปฏิบัติ แต่ก็ สวดมนต์ ไม่ใช่ขาด แต่ความตั้งใจนั้นขาดไป ตามกายขันธ์ ที่ล้าเพราะงาน เพราะเรื่องทุกข์ที่คนอื่นก่อไว้

    ได้เปิดฟังบทสวดบ้าง นิทานธรรมะบ้าง ก็ ได้บังเอิญ ไปได้ผ่อนคลายกับเพลงและนาฏศิลป์ของท่านชินกร ไกรลาศ และการร่ายรำชั้นบรมครูอย่างครูเติ้ง คุณอนุชาผู้เก่งกาจด้านนาฏลีลาวรรณคดีพื้นบ้านไทย ....



    ตอนดู ยูทูป นี้ก็พลันย้อนอดีตตอนเป็นเด็กๆ
    ยิ่งตอนเด็กอายุ 16-17 เคยเป็น พระลอ เองด้วย เป็นเพราะครูบังคับ ไม่ได้อยากจะเป็น
    เพื่อนที่แสดงเป็นพระลอ เด็กผู้ชายบังเอิญดันตกมอไซด์ขาหัก ก่อนงานแสดงตอนปีใหม่โชว์ผู้ว่า
    แค่ สองอาทิตย์ก่อนแสดง.. หนูมนเลยถูกอาจารย์จับมัด ไหว้ครู ดัดขาดัดแขน มากกว่าเพื่อนทุกคนที่เขามีความสามารถและพรสวรรค์ด้านนี้ แต่สำหรับเรา นี้เอา ลิง มารำชัดๆ

    ก็นะ ของมีครูค่ะ อย่าได้เล่นกับครูบาอาจารย์ หัวโขน และท่านปู่นาฏศิลป์ทีเดียว รู้แต่ว่า หนูมนได้อมเชี่ยนหมากตอนรำ ด้วย ครูสั่งครูห่วงมาก กลัวทำขายหน้า ถึงกับไปบนบาน ว่าให้หนูมนไม่ทำขายหน้า รำแล้วหกล้มเป็นพอ....คือเพื่อน นางรำ คนอื่นๆ เขาก็ ไม่เคร่งขนาดเรา หนูมนต้องเก้บเสื้อผ้า ไปนั่งนอนกับครู เพื่อ การเป็น พระลอ โชว์ในงานแค่ สามสิบนาที แต่เหมือนกับทุ่มทุนสร้างมาก หนูมนนี้ ครูเขาให้ท่องบทอะไรจำไม่ได้ แกว่าบทอัญเชิญเทพนาฏศิลป์ นี้หนูมนไปรับขันธ์พวกองค์เทพนาฏศิลป์ แต่เด็กเลยเหรอ ? แต่ทุกครั้งที่ซ้อม เพื่อนที่สนิทกัน ที่เล่นเป็นพระเพื่อนพระแพง มันว่า สายตาหนูมนนี้ มันผู้ชาย ตาฉ่ำ มองซะมันอายจริงๆ แต่ปกติน่ะ กวนทรีน 555555 งานแสดงก้ไปได้ดี จนป่านนี้ ก็ จำไ่ม่ได้ละ ว่าทำไม แค่สองอาทิตย์ นั้นเราเหมือนคนละคน กิริยามารยาท พูดจา นี้ ผู้ดี้ผู้ดี แถม มีแต่คนชมและนึกว่า หนูมน เป็นผู้ชายจริงๆ ครูแต่งหน้าได้เก่งจริงๆ แต่อมเชี่ยนหมากแล้วรำนี้ คิดในใจตูจะไปรำโชว์ หรือ จะไปชกมวย

    ตัดมาที่ปัจจุบันดีกว่า เดี๋ยวคนว่า อวยตัวเอง นะคนแอบอ่านไปด่าไป แสดงว่าเรายังมีดีให้เขาตามมาอ่าน 555

    เมื่อคืนน่ะ เล่นเเชทเสร็จ ตามประสา ก็ไปสวดมนต์ค่ะ เวลาประมาณ จะเช้าละ ตี่สี่ค่ะ สักพัก ได้ยินคนถอนหายใจแล้วเราก็จามฮัดเช้ย จามลูกใหญ่มาก รู้หลวงปู่ดู่ ก็ ตกลงมา เราก้ตกใจจากที่ง่วงนอนก้ตาสว่าง เอื้อมไปเก็บรูปปู่ เอ้า สวดมากี่จบเลยลืมละ ไม่ไหวๆ พอนั่งหลับตา ตั้งจิตใหม่ เจอ ผุ้ชายค่ะ นุ่งชุดปฎิบัติธรรม มานั่งสมาธิประจันหน้ากะหนูมน ต่างคนต่างทำหน้า งง มาได้ไงหว่า Who are you ?
    5555555 ?????++ จ้องหน้ากันแบบเข่าที่นั่งขัดสมาธิชนกัน แบบต่างคนต่างเลิกคิ้ว ด้วยความ งง ว่ามาได้ไงฟระ เรียกมนในจิต คือปากไม่พูดนะ คุณมนครับคิดถึงผมเหรอครับ ต้องเรียกมาขนาดนี้

    ใครเรียกแกฟระ? ไอ้บร้า นี้แกตีตั๋วมาอเมริกาจะเขตแคนาดาอยู่ละ มาไกลจังอ่าาาา
    เลย แต่ด้วยความหมั่นไส้ เลย ตอบไปในจิตว่า คุณคงคิดถึง มน ม้ากมากนะคะ แต่มนไม่คิดถึงคุณค่ะ อัญเชิญกลับไปเหอะค่ะ เหอๆ ตลกดีค่ะ อ่า เค้าคนนั้นแกอาจจะมีประตูวิเศษของโดราเอมอน ก็ได้นะคะ เลยมาเปิดจ้ะเอ๋ เจอมน แบบบังเอิญไงคะ อิอิ

    ก้เลยสวดมนต์ต่อ นายคนน้ันก็ หายไป พอง่วงจัด เพราะจะเช้าละ จะหกโมงเลย นอนไปสวดไปพอหลับก็ ฝันเห็น ว่า มีคนรำพระลอ ให้ดู เลยคิดว่า จิตอาจจะติด รูปรสกลิ่นเสียงมาก็ได้ เลยมาฝัน แต่พระลอที่เราคิดว่านั้นเเค่จินตนาการ องค์ท่านสีเขียวประกายละเอียดส่องแสงจนมนแยกแยะใบหน้าท่านไม่ได้ค่ะ มันสว่างจ้ามาก รู้แต่ว่า ท่านร่ายรำทั้งที่เป็นเทพบุตร

    ก็ตื่นค่ะ นอนเจ็ดโมงเช้าตื่นเก้าโมง 5555 อย่าเอาอย่างนะไม่ดี

    ก็ว่าฝันดี อมยิ้มไปตลอดทางเผอิญที่ตื่นเสียเช้าต้องไปธุระเป้นเพื่อนทำเอกสารใบขับขี่ และภาษี ที่ต่างเมือง แต่ดีไม่ได้ขับเอง ก็นั่งหลับไปและกลับ บ่ายทำงาน ก็ ระหว่างทางกลับบ้านตอนสัปหงกในรถ ก็ สวดมนต์อีกน่ะแหล่ะ หลับไป ก้ไปเห้นตนเอง นั่งสวดมนต์ไหว้พระที่ห้องตัวเอง
    และ บ่นว่า นี้แน่ะ น่าเบื่อ ขี้เกียจสวดมนต์ จัง สวดไปได้อะไร เบื่อปัญหาและชีวิตที่เป็นอยู่จัง
    เอางี้ หนูเบื่อขนาดนี้ นั่งมาก็นาน ยังไม่เห็น อะไรพิเศษ แบบถึงใจเลย ขอเทวดาพาไปเห็นพระอินทร์ทีได้ไหมเจ้าค่ะ ว่าจะรูปงามปานใด คนเราเลยอยากจะเป็นนางฟ้า เมียพระอินทร์กัน
    ในฝัน ก็เพ้อเจ้อไปแบบนั้นล่ะ อารมณ์กึ่งหลับกึ่งตื่น มีเสียงในหู "อยากรู้ใช่ไหม พระอินทร์จะรูปงามสักปานใด จะพาไปให้ยล แต่ต้องรับปากว่า มน จะต้องสวดมนต์ตลอดไป ทำได้มั้ย"

    เราก็รับปากทำได้ แต่ไม่ได้บอกว่าสวดกี่จบ แหะๆ

    ก็มีมือ มาจับเราออกจากรถที่เรานั่งอยู่แแปปเดียว เห็น อะ ว้าววววว โอยมายก้อด
    "รูป ดั่งองค์อินทร์ หยาดฟ้ามาดิน โสภิณดั่งเดือนดวง"

    หล่ออะ หล่อไม่บันยะบันยัง หล่อลากไส้ หล่อกระชากจิต โอ้ยย งามไปหมด ป้าดดดดด
    หล่อมากค่ะ กรี้ดดดดดดด (อันนี้กรี้ดเอาตอนตื่นมา) คือ องค์เขียวเรืองรอง
    งาม ผู้ชายอาไร้ มันจะงามจะหล่อ ท่านรำค่ะ รำแบบที่ว่า ที่นาฏศิลป์ไทยรำ แต่ความสง่า ความงดงามนั้นให้ล้านเท่า จะแบบว่า นะ โอ้ย ฝันดีอีกละฉัน อิอิ

    ก็นะ อมยิ้ม จน ไอ้คนขับรถมัน งงๆ ว่าอีนี้เป็นอะไร เลยอัดวีดีโอตอนหนูมน หลับ เอามาดู ตลกมาก หน้ายิ้มเป็นกาละมัง แล้วพูดว่า หล่อจังเล้ยยยยยยย หนูจะสวดมนต์ทุกวันเล้ยยย55555 (มันตลกนะ แบบนอนยิ้มหน้าบาน แล้วละเมอพูดอะ ว่า หล่อจังเล้ยยย ในใจคงคิดล่ะ ว่า )กิบัติไปเหอะ อย่างน้อยได้เจอพระอินทร์ก็ยังดีฟระ อิอิ ไม่ใช่ไปเกิดเป็นเต่าทองในดาวดึงส์นะ จะได้แอบดูพระอินทร์ท่านรำได้น่ะ 5555 )

    เสร็จเลย วีดีโอนี้ได้ถูกเผยแพร่ เมื่อเย็นนี้ที่ทำงาน อายเลย แฮ่ๆ ตลกกันท้องแข็งเลยทีเดียว

    ก็บอกไงว่าเพ้อเจ้อ เป็นฝันเดียวที่ไม่อยากรู้ความหมาย ไม่อยากรู้การทำนาย แค่อยากเห็นอีกจังแค่นั้นล่ะ ไม่ได้บอกจะไปเป็นเมียพระอินทร์นี้เจ้าคะ เค้าเรียกว่าแอบรัก 5555555

    dream ก็คือ ฝัน จะทำไงก็ได้ ไม่เห็นต้องซีเรียส นี้ เป็นเรื่องดีดี ที่ให้เราละเมอยิ้ม ดีกว่าตื่นมาทั้งน้ำตา จริงไหมคะ

    บุญรักษาทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่านค่ะ อิอิ
     
  14. วงกรตน้ำ

    วงกรตน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2015
    โพสต์:
    810
    กระทู้เรื่องเด่น:
    12
    ค่าพลัง:
    +2,432
    พญานาค ตอนที่ 2 :

    1478303033640.jpg

    จากที่เคยผ่านไปพบโดยบังเอิญ แล้วก็งงๆด้วยไม่ทันเตรียมตัวว่าจะสงสัย ใคร่รู้เรื่องอะไรดี จะไปถามอะไรใครก็ไม่แน่ใจว่าจะควรไม่ควรอย่างไร ครั้งต่อมาก็ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมหาดูว่า พญานาคเหล่านี้ท่านเป็นใคร มีลักษณะอย่างไรบ้าง ก็อาศัยกรรมฐานตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนมา จับอารมณ์เพียงเบาๆ อาศัยความสบายใจเป็นหลัก ระงับนิวรณ์ทั้ง๕ประการได้แล้ว จิตทรงตัวดี ตามภาษาบาลีท่านว่า เป็นอารมณ์ในอุปจารสมาธิ ก็ต้องอาศัยอาราธนาบารมี พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธาน ครูบาอาจารย์ที่เคารพทุกๆพระองค์ช่วยสงเคราะห์ พอเห็นภาพท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายได้ชัดเจนดีแล้ว ก็ขอท่านว่าจะไปเที่ยวเมืองพญานาค ซึ่งที่จริงแล้วไม่ต้องบอก พระท่านก็รู้อยู่ทุกอย่างแล้ว รู้แม้กระทั่งคำถามที่เราคิดจะถาม ตามประสาพวกสอดรู้สอดเห็น และลูกอีช่างสงสัย
    ไปถึงก็เห็นเป็นงูหลายตัวรออยู่ตรงหน้า ตัวใหญ่มาก เกล็ดมีขนาดใหญ่ ลำตัวเท่ากับถังสีขนาด30ลิตร ดวงตาใหญ่พอๆกับลูกฟุตบอล ความยาวน่าจะสัก20-30เมตรเห็นจะได้ มองไปบนหัว ก็ไม่เห็นจะมีหงอน ไม่เหมือนรูปปั้นที่เขาปั้นเอาไว้ตามวัด หรือที่หน้ากล่องไม้ขีดไฟ บ้างสีเทา บ้างออกสีเขียว บ้างออกสีขาว ผมก็สงสัยว่า ในเมื่อท่านเหล่านี้เป็นงู มือก็ไม่มี กระเป๋าก็ไม่มี แล้วลูกแก้วที่ชาวบ้านเขาว่ากันนั้น ท่านเก็บเอาไว้ที่ไหน ท่านก็คายออกมาให้ดู เห็นว่าเก็บไว้ตรงแถวกรามด้านในสุด คืออยู่ตรงปลายสุดของกราม ก่อนจะถึงลำคอ พอคายออกมาเสร็จท่านก็แสดงรูปกายเป็นคน ผู้ชาย ที่เหลือก็คายออกบ้าง ก็กลายเป็นชายบ้าง หญิงบ้าง เป็นผู้ใหญ่บ้าง เป็นหนุ่มสาวบ้าง มีหน้าตาแตกต่างกัน แต่ก็จัดว่าสวย หล่อ ดูดีกันทุกๆตน ก็แน่นอนว่า ใครจะเนรมิตกายหยาบให้น่าเกลียดน่ากลัวล่ะ
    เรื่องลูกแก้วนี้ ก็มีเรื่องให้สงสัยว่า ที่พระบ้างโยมบ้าง บอกว่าเจอแก้วพญานาค นำมาอวดกันเป็นลูกแก้วสีต่างๆนั้น เป็นของจริงหรือไม่ ท่านก็ว่า พญานาคแต่ละตนกว่าจะบำเพ็ญบารมี จนเกิดมีลูกแก้วขึ้นนั้น ใช้เวลานับร้อยนับพันปี จนปีตบะแก่กล้าแล้ว พญานาคแต่ละตนก็มีเพียงลูกเดียว จะไปมอบให้ใครก็ไม่ได้เพราะต่างคนก็ต่างหวงแหน แต่อาจจะมีบ้างก็เกิดจากพญานาคที่บำเพ็ญตบะมานาน จนมีฤทธิ์อภิญญาได้หมดอายุขัยลง แต่ด้วยความหวงแหนลูกแก้วของตน เมื่อตายลงไปดวงจิตก็ไปติดอยู่กับลูกแก้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ลูกแก้วนี้ก็อาจจะไปอยู่กับพระผู้ทรงศีล มีฌานสมาบัติ เพื่อเจ้าของลูกแก้วนี้จะได้คอยโมทนาบุญกับท่านด้วย จนกว่าจิตจะพ้นจากการยึดถือในลูกแก้วนี้แล้วเปลี่ยนภพภูมิของตนไป
    อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะรู้ก็คือว่า ทำบุญทำกรรมอะไรถึงจะได้มาเกิดเป็นพญานาค เพราะว่าเห็นคนจำนวนมากที่อ้างว่านับถือพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยะสงฆ์นั้น มีความสนใจเคารพรักในพญานาคมาก บางคนก็ระลึกชาติได้ว่าตัวเองเคยเกิดเป็นพญานาคก็มี แล้วก็เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจนัก เรื่องนี้ก็ต้องกราบเรียนถามพระท่านเมตตาอธิบายถึงบุพกรรมที่ทำให้ได้มาเกิดเป็นพญานาค เผื่อว่าใครสนใจอยากจะเกิดเป็นพญานาคก็จะได้ประพฤติปฏิบัติตาม ก็ทรงตรัสถึงบุพกรรมของพญานาคว่า เป็นบุคคลที่มีใจรักในการทำบุญ คือชอบทำบุญ แต่ว่าเวลาทำบุญมักโกรธง่าย มีความหงุดหงิดไม่พอใจ เห็นคนนั้นทำอย่างนี้ คนนี้ทำอย่างนั้น ในระหว่างทำบุญที่วัด ก็เกิดขัดใจ ไม่พอใจ ปากไม่พูด ด้วยเกรงจะบาป แต่ว่าใจมันมีโทสะ ปรากฏออกทางสายตา สีหน้า แต่ว่าปากไม่พูดว่า หรือบางคนก็ว่าออกไปก็มี เมื่อตายลงไปก็ไปเกิดเป็นพญานาคเป็นส่วนมาก ด้วยอาศัยผลบุญจึงมีความเป็นทิพย์ แต่อาศัยบาปที่มีโทสะในระหว่างการทำบุญ ทำให้ต้องมาเกิดเป็นเดรัจฉาน มีดวงตาแดงก่ำ มีโทสะเป็นตัวนำหน้า พญานาคมีอายุขัยตั้งแต่หลายร้อยปีไปจนเป็นหมื่นปีก็มี พญานาคเกเร ที่มีทั้งโทสะ จับผิด จ้องอาฆาต ทำร้ายผู้อื่นก็มี พญานาคที่มีใจรักในการทำบุญก็มีมากด้วยกัน ในงานพิธีทางศาสนาบางพิธี ก็มีพญานาคที่มาร่วมทำบุญด้วยเช่นกัน
    ก่อนหน้าที่จะพิมพ์นิทานขี้โม้ตอนนี้ เกี่ยวกับลูกแก้วพญานาค ก็นึกลำดับทบทวนเรื่องราวสมัยวัยหนุ่มที่อยากรู้อยากเห็นว่า ตอนนั้นไปเจอกับเรื่องราวอะไรมาบ้าง กำลังลำดับเหตุการณ์เรื่องลูกแก้วพญานาคอยู่ จู่ๆ ก็มีมังกร เหาะผ่านมาข้างหน้า ที่ปากคาบลูกแก้ว มีหนวดยาว ตาโต มีเขา มีขา สีออกขาวๆ มาถึงก็บอกว่า “ไม่ใช่พญานาคเท่านั้นที่มีลูกแก้ว พวกข้าก็มีลูกแก้วด้วยเหมือนกัน ลูกแก้วข้าฯ ใหญ่กว่าด้วยเว้ย...” นี่ภาษาจิ๊กโก๋รุ่นเก่าเขาใช้กันแบบนี้ แล้วก็ฝากกำชับมาว่า เวลาเล่าเอ็งต้องเล่าเรื่องลูกแก้วมังกรของพวกข้าฯด้วยนะ.... เนื่องจากมาเร็ว เคลมเร็ว ไม่ทันจะถามอะไร เพราะนึกคำถามไม่ทัน มังกรตนนี้ก็ไปซะแล้ว ...ก็เป็นอันว่าเล่าเอาไว้แล้วนะครับ ส่วนเรื่องพญานาค 7 เศียร ซึ่งกำลังบำเพ็ญตบะอยู่ จ.เพชรบูรณ์ ใกล้ๆกับป่าศรีเทพ ก็ขอไม่เล่ารายละเอียด เพราะท่านขี้หงุดหงิดง่าย ไม่ชอบให้ใครไปยุ่ง แล้วก็ดุร้ายมาก มีฤทธิ์มาก ล้อเล่นด้วยไม่ได้ ก็เป็นอันว่าขอจบนิทานขี้โม้เรื่องพญานาคสำหรับตอนที่2 ตอนถัดไปจะเป็นพญาครุฑที่ไปพบเจอเข้าตอนที่ไปเจอพญานาค

    สำหรับเรื่องไข่พญานาค ท่านมาบอกว่าอย่าลืมเล่าว่า พญานาคไม่ได้ออกลูกเป็นไข่ แม้จะมีความรักใคร่สมสู่ได้ก็ตาม แต่ลูกที่เกิดมาก็เป็นตัว มีลักษณะเหมือนการอุบัติขึ้น ไม่ได้คลอดลูกอย่างสัตว์ทั่วไป แต่ว่าจะคลอดยังไงท่านไม่ได้แสดงให้ดู เพราะเป็นเรื่องลับ ส่วนตัว ก็ขออธิบายตามท่านเล่ามาแบบนี้ก็แล้วกันนะครับ
     
  15. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    มาอัพเดทว่า

    พระอินทร์ในละครรำ ที่ท่านรำหน้าพระเมรุมาศที่สนามหลวงนั้นล่ะ แอดเพื่อนมาที่เฟสบุค เมื่อวานค่ะ ดีใจมาก ช่างเป็นเรื่อง บังเอิญมากมาย ดีใจที่พระอินทร์แอดเฟส 555555

    Screen Shot 2017-11-07 at 2.56.02 PM.png

    ก็บอกแล้วไงว่าเพ้อเจ้อ

    ก็อย่างน้อยตื่นมาทุกข์รอบตัวเมื่อวานทำงานเช้าก็เจอลูกค้าจอมขี้โกง
    เจออารมณ์โทสะ และโมหะ เลยต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองสักหน่อย ไม่งั้น ตายเป้นแถบๆ

    ไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นพญานาค หรือ นาคีอะไรหรอกค่ะ ถ้าเคยเป็นพญานาคจริง ชาตินี้ ยังเสริฟอาหารหางเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง งกๆ ไปวันๆเลย นี้แหละความไม่เที่ยง เพียงแต่ว่า ไปทำงานที่ไหน เจ้านายและคนรอบข้างจะร่ำรวยหาสาเหตุไม่ได้เท่านั้นล่ะค่ะ แต่ถ้าเอาเปรียบเราเมื่อไร ก็เตรียมตัว ... นี้ก็ นึกอยากกินอะไร ขนาด ซาลาเปา ลูกชิ้นหมูปิ้ง (ที่นี้ ต่างประเทศค่ะหาทานยาก)จะได้ทานทันที แบบบังเอิญ ขอบคุณบุญกุศลที่ไม่ให้อด และจะทำต่อไปเรื่อยๆค่ะ

    ถ้าเป็นพญานาคมาก่อนจริงๆ ถ้ำข้าพเจ้าคงยิ่งกว่า 7-11 ตุนแต่อาหาร 55555
    และคงแปลงกายแกล้งชาวบ้าน ถ้านาคา คงเมียเยอะมากแน่ๆ คิดว่าคงเคยเป็น (มั้ง) เพราะจะพบเจอรู้จักแต่ผู้หญิงที่สวยเพรียบพร้อม กิริยามารยาทสวยงาม เป้นส่วนมาก ขนาดผีขนาดนางฟ้า ก็ เคยเห็นเขามาไหว้เรา มาร้องไห้ ขนาดว่าบางองค์ เอาผมมาเช็ดเท้าเรา แล้วเราสะดุ้งตื่นก็มีนะ แปลกดี

    ถ้าเป็นนาคี คงกระโดกกระเดกน่าดู ไอ้ที่ว่าจะสวยนั้นคิดภาพไม่ออกเลย แต่ไอ้เรื่องขี้โกรธ ขี้หวง หวงชนิดที่ว่า ใครย้ายรองเท้าข้าพเจ้าวางที่อื่น ได้เรื่อง คือ สิ่งของอะไรของเรา ห้ามใครไปจับไปย้าย ห้ามมาใช้ร่วมกับข้าพเจ้าเด็ดขาด ถ้าไม่อยากบ้านเเตก นี้นิสัยไม่ดีจริงๆ และข้าพเจ้าอาบน้ำผิวข้าพเจ้าจะลื่นมาก ทั้งที่เกลียดการทาครีม ตัวจะเป็นเมือก น้ำสบู่จะไม่เป็นฟองแม้แต่เสื้อผ้าของเราก็ตาม โดนบ่นบ่อยๆ ตอนเล็กๆ เวลาที่บ้านเขาซักผ้าให้ พอโตสักสาวหน่อย เขาให้ซักเองถึงว่า ทำไมผ้าและเครื่องนอนเรามันเป้นเมือกเป็นอะไรที่ซักไม่ออก แต่ไม่เหม็นนะ อย่าเข้าใจผิด 5555 อาจจะอุปทาน ถ้าไม่เจอ ครูบาพระธุดงค์และพระอาจารย์ท่านทักไว้ ก็ คงว่าบ้า และคิดว่า บ้าที่เห็นนั้นนี้ จนเอาชีวิตเดิมพันมาละ เพราะฉะนั้น แค่เขียนเล่าให้ฟังก็ คงไม่กลัวอะไรล่ะค่ะ คนที่ว่าเรา มันคงไม่กล้าเอาชีวิตตัวเองแลกเหมือนเราหรอก อิอิ

    ไอ้เรื่องขี้โมโห นี้ กาลก่อนนี้ก่อนจะมาเป็นคนนี้วิบากเยอะค่ะ เพราะโทสะนี้ เอาชีวิตใครมามากมากจริงๆ ตอนนี้ ไม่คิดฆ่าอะไรเลย แมงสาบ ตะขาบ กิ้งกือ ไส้เดือน ขนาดกลัวมาก ก็ชอบมาดิ้นขอชีวิตตลอด ก็ ช่วยมันตลอด เป็นคนอื่นคงฆ่าทิ้งไปละ ....

    และพญานาคนี้นะ รักครอบครัวพี่น้องเขามากนะคะ อย่าไปแหยยมเชียว อยู่องค์เดียวจริงค่ะ ตางคนต่างอยู่จริงๆ ที่ใครที่มัน ไม่ชอบให้ใครวุ่นวาย แต่ชอบมาวุ่นวายกับคนถ้ามีอารมณ์จะวุ่นวายล่ะนะ 55555 ถ้าเจออะไรที่เยอะๆ ก็ ทิ้งไว้ตรงนั้นและหนีดีกว่า ประมาณนั้น

    1418623425-Monsa-o.jpg

    เสน่ห์ นาคา เสน่ห์ นาคี นี้ อย่าให้พูดค่ะ ยิ่งกว่า สาริกายิ่งกว่ามนต์ใดอีกจ้ะ มองตาก็หลงแล้ว
    เพราะเป็น มนต์จากพระอินทร์เชียว บรรดาจิตนฤมิตร จำแลงแปลงกายทิพย์ ให้งดงามสะท้านสะเทือน มองตาแล้วหลง กลับบ้านไม่ถูกเลยนะจ้ะ 5555 มองปริบๆ ชม้อยหางตาหน่อยๆ พญาครุฑก้เก้อมาแล้วจ้ะ อิอิ

    "ถ้าหากว่ายังรั้น ไม่ฟังที่พูดมา ก็ลองมาจ้องตาสักวัน ถ้าหากว่าโดนรัก อย่ามาหาว่าแกล้งกัน
    อันนี้ไม่รู้นะ ไม่รับผิดชอบหรอก "

    ชอบจัง วันหลังมาโม้ใหม่ค่ะ แต่แหมเอารูป พระภิกเคนศมาหัวข้อพญานาค หนูมน เก็กซิมนิดหน่อย บังเอิญไม่ถูกกันค่ะ ไม่รุ้เดะ 55555 มันเป้นความรู้สึกว่าไม่ชอบมากๆ เกี่ยวไรว้า สงสัยเคยทะเลาะกันมา

    ปล. ใครจำมนได้ ถ้ามนไม่อยู่แล้วไปเจอมนที่ไหน ในสามแดนโลกธาตุนี้ มนรู้จักคุณ มนจะขยิบตาให้สามที อิอิอิ เผื่อบางคนจะจำหนูมนได้ 555
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,647
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    พญานาคทั้ง7เมื่อครั้งพุทธกาล
    1.ท้าวมหากาล พญานาคราชแห่ง “มัญเชริกภาวัน”
    2.ท้าวมุจจลินท์นาคราช ต้นกำเนิดพระปางนาคปรก
    3.พญานาคราชของชฏิล 3 พี่น้อง (ลัทธิบูชาไฟ)
    4.ท้าวเอรกปัตต์ พญานาคราชตะไคร่น้ำ
    5.นันโทปนันทะ พญานาคราชจอมอหังกา
    6.ภูริทัตต์ พระโพธิสัตว์นาคราช
    7.จัมเปยยะ พระโพธิสัตว์นาคราช
     
  17. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    ลูกแก้วจากเทพเจ้ามังกร โครตเท่ เลยค่ะ นึกถึง ดราก้อนบอล
     
  18. Nagamanee

    Nagamanee Manassa

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    526
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,578
    แวะฝากมาบอกค่ะ

    ว่า “ หนูมน รักพระอินทร์จังเลย”

    ด้วยรักมากมากกกก

    หนูมน
     
  19. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    คุณมนโชคดี มากค่ะ ที่ได้เคย พบ พระอินทร์

    พระอินทร์ เป็น จอมเทพยดาผู้ที่ยิ่งใหญ่ใจดี

    ในตำนานว่า คนดี มีศีลธรรม ตกทุกข์ได้ยาก ท่านมักร้อนอาสน์กระด้าง แล้วเล็งทิพยเนตร ส่องผ่านแว่นฟ้า

    แล้วเหาะลงมา ช่วยสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก

    อ่านแล้วก็ มีกำลังใจ ที่จะพยายามเป็น คนดี เพราะหวังว่า พระอินทร์จะลงมา เอาทองให้สัก ๕ กระสอบสิบกระสอบ ค่ะ

    แต่ตอนนี้ ข้าพเจ้าแก่แล้ว คิดว่า สักกระสอบเดียวก็พอก็ได้ แต่ท่านก็ยังไม่ปรากฏกาย
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,647
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017

    1.ประวัติพระอินทร์ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    พระอินทร์พี่เรียกท่านว่าท่านปู่ค่ะ เข้าใจว่าพระมเหษีคือท่านย่า"พังคะรานี"สวยมากกกค่ะ
    คาถาท่านปู่ พระอินทร ์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

     

แชร์หน้านี้

Loading...