ประสบการณ์ทำสมาธิของผม

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย lerkiat, 6 พฤษภาคม 2013.

  1. lerkiat

    lerkiat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2013
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +102
    แค่ลมเข้า ลมออก
    ถ้าพิจารณาต่อไปเรื่อย พิจารณาจนเห็นละเอียดลงไปอีก จะเรียกว่า รู้จักลมหายใจเหมือนรู้จักเพื่อนว่างั้น
    - เอาให้รูว่า ลมเข้า - ยาว ลมออก - ยาว
    การหายใจเข้าออกยาวนิ มัันเป็นการหายใจที่ผ่อนคลาย ลึก เนียน แผ่วเบา เอาให้เห็นะระยะชักของลมหายใจให้ได้ เอาระยะที่เราหายใจแล้วมันรู้สึกผ่อนคลายที่สุด ซึ่งระยะชักของลมหายใจแต่ละคนมันลึกตื้นไม่เท่ากัน มันบอกไม่ได้ว่าลึกเท่าไหร่ ถ้าลึกเกินก็อึดอัด ถ้าตื้นเกินก็อึดอัด เอาแบบลึกในระยะที่รู้สึกสบายที่สุดของแต่ละคนก็พอ ทีนี้เราก็เมาตามดูลม ว่าเข้าออก ลึกไปถึงจุดไหนของระบบทางเดินลมของเรา ตามไปดูลึกๆ สุดท้าย แล้วตามออกมา ตามเข้าไป ตามออกมา

    - ทำสลับกลับ หายใจเข้าสั้น - หายใจออกสั้น ดูมันไปอีก ดูให้คล่อง ทำไปเรื่อยๆ
     
  2. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    อาการคล้าย อยุ่ใน ฌาน ตลอดเวลา
     
  3. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    จัดว่าเปนสัมมาทิฏฐิมากๆ ครับ ในความคิดของผมถ้ามีของดีอยู่กับตัวแล้ว ก้ควรจะมาอวดบ้างก้ดีนะ เด่วจะเปนผ้าขี้ริ้วห่อทองเปล่าๆ??
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ตุลาคม 2014
  4. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    ชื่นชมและอนุโมทนากับเจ้าของกระทู้นะคะ ในความเพียรปฎิบัติ ขอให้เจริญในธรรมและสมหวังดังต้องการค่ะ ^^
     
  5. lerkiat

    lerkiat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2013
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +102
    การเฝ้าดูลมหายใจ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเฝ้าดูกาย

    หลังจากที่เฝ้าเพียรทำสมาธิเป็นประจำ จนสามารถรู้สายลมเข้า-ออก ได้ตามใจนึก ความอึดอัดค่อยจางหายไปทีละน้อยๆ ความโปร่ง ความโล่ง เข้ามาแทน การสังเกตการหายใจในระดับท่ีพอเหมาะนั้น มันเป็นความปิติ ความสุข ที่เกิดขึ้นจากการไหลเวียนของเลือด ลม (ลมปราณ)ภายในกาย เหมือนเป็นการรักษาโรคไปในตัว ขอให้ทุกท่านได้ฝึกทำบ่อยๆ ทำทุกวัน ที่มีโอกาส ทำไปโดยไม่ต้องไปสนใจเรื่อง "นิมิต"ต่างที่เกิดขึ้น เอาให้สบายๆ ทำไปเรื่อยๆ

    การทีี่เรารู้ตัวว่า สบาย ปลอดโปร่ง โล่ง ไม่อึดอัด นั่นแหละ เรียกว่า เกิดปิติ เกิดสุขนั่นเอง หรือจะเรียกกว่า เวทนา นั่นแหละ จากเดิมที่เคยเฝ้าดูลมหายใจทำจนคล่องแล้ว เมื่อเกิดปิติ เกิดสุข ก็ลองสังเกตอาการของปิติ อาการของสุข ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำสมาธิดูนะ แบบนี้เขาเรียกว่า เฝ้าดูเวทนา ลองทำดูนะครับ ซึ่งคนที่ทำใหม่ มันจะตื่นเต้นดี แต่ถ้าทำไปนานๆก็จะรู้สึกว่าเฉยๆ มันก็เกิดขึ้นทุกๆ ครั้งที่ทำ เรียกง่ายๆว่า เปลี่ยนจากปิติ สุข มาเป็นเฉยๆ นั่นเอง
    เห็นไหมครับ ว่ามันเกิดความก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่งล่ะ กล่าวคือ จากที่เคยเฝ้าสังเกตลมหายใจเข้า-ออก อย่างเดียว มาสังเกตความรู้สึกของตนเองว่า ปิติ สุข เฉยๆ เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องดีใจเยอะไปที่เห็นความก้าวหน้าเกิดขึ้น พอทำบ่อยๆ อะไรเกิดขึ้นก็เฉยๆ

    ทีนี้...ให้เฝ้าสังเกต ลมหายใจ ความรู้สึกของตนเอง ที่เกิดขึ้นในบริบทของชีวิตประจำวันด้วย(หมายถึงตอนออกจากสมาธิ ไปทำงาน ไปดำเนินชีวิตประจำวัน เยี่ยงปุถุชนธรรมดา ทำมาหากินเหมือนคนอื่นๆ ดูบ้าง)ว่าอาการของลมหายใจ ยังเหมือนปกติในตอนทำสมาธิไหม มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นกับตนเองบ้างในชีวิตจริง แค่ตามดูให้ทันเป็นระยะๆ ไม่ต้องตลอดทั้งวัน ตลอดเวลาก็ได้ ขอให้ระลึกเอาเป็นครั้งๆ ไปในแต่ละวัน แต่ละกิจกรรม ว่าลมหายใจเราเป็นอย่างไร ความรู้สึกเราเป็นอย่างไร

    ยกตัวอย่างนิดหนึ่ง - เช่น กำลังเดินไปตามถนนระหว่างอาคาร(ที่ทำงาน) ถนนโล่งกว้าง 3-4 ไม่มีสิ่งกีดขวาง มีสัมภาระในมือ มีเป้าหมายในใจ ระหว่างเดินนั้น ตามองไปข้างหน้า 2-3 ก้าว(พอมองเห็นสิ่งกีดขวาง)เดินไป นับก้าวไป หรือนับลมหายใจไป ลองดู ทำบ่อยๆ ก็เปรียบเสมือนการฝึกไปในตัว แค่เดิน 5 - 10 เมตร เวลาแค่ 2-5 นาที ก็ทำสมาธิได้ครับ

    สรุปได้ว่า สมาธิทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ยิ่งทำให้กลมกลืนในการดำเนินชีวิตประจำวัันได้มากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อปุถุชนอย่างเราได้มากครับ อย่าไปมุ่งทำสมาธิเพื่อให้เห็นนิมิตแล้วเอาเรื่องราวแปลกๆ มาเล่าให้คนอื่นฟัง แล้วรอความตื่นเต้นท์ อย่างเดียว คงไม่ดีปน่ๆ

    ลองดู...ทำไป..พัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่รีบเร่ง ไม่ต้องรอให้เกิดปัญหาขึ้นในชีวิต แล้วค่อยหันหน้าเข้าวัดเข้าวา ทำสมาธิ ไม่ต้องรอ ลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ทำที่บ้าน ก่อนนอน ทำที่ทำงาน ทำทุกเวลาที่ทำงาน เท่าที่ลมหายใจยังทำงานของมันไป...ขอให้โชคดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2015
  6. lerkiat

    lerkiat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2013
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +102
    ลมหายใจลึก ละเอียด แผ่วเบา นำไปสู่กายรำงับ

    เมื่อเราเฝ้าดูลมหายใจ-เข้าออก เนิ่นนานจนเป็นเพื่อนกับมันได้ เรากำหนด เราเข้าใจมันมากที่สุด มันจะลึก(ระยะเดินทางของลมหายใจจากปลายจมูก ถึงขั้วลึกที่สุดท่ี่เรารู้สึกได้ว่าลมหายใจมันไปลง แต่ละคนมีระยะของลมหายใจท่ีผ่อนคลายไม่เท่ากัน มีปัจจัยมาจากสรีระของร่างกายที่ไม่เหมือนกัน) ระยะลมหายใจที่เหมาะสม จะเป็นระยะที่ทำให้การหายใจผ่อนคลาย ไม่ถี่ ไม่เร็วเกินไป ไม่ช้าเกินไป ลมหายใจจะละเอียด แผ่วเบา จนบางครั้งแผ่วเบาเหมือนกับว่า "ไม่ได้หายใจ" ซะงั้น แบบนี้ เขาเรียกว่า กายรำงับ

    ในชีิวิตประจำวัน ลองเฝ้าดูความรู้สึกของตนเองในช่วงวัน บางครั้งก็รู้สึกทุกข์ใจ สุขใจ เฉยๆ สลับกันไปมาตลอดทั้งวัน ลองสังเกตดูสัดส่วนของความรู้สึกทั้ง 3 แบบนี้ให้ดี ว่ามันแปรเปลี่ยนไปทางไหนบ้าง

    ถ้าสัดส่วน ทุกข์มากกว่า สุขและเฉยๆ ชีวิตคนนั้นก็ทุกข์ระทม
    ถ้าสัดส่วน สุขมากกว่าทุกข์และเฉยๆ ชีวิตคนนั้นก็สุข
    ถ้าสัดส่วน เฉยๆ มากกว่า ทุกข์และสุข ชีวิตคนนั้นก็สบายๆ แต่อาจจะมีคนอื่นมองเราว่า เอ้..นายคนนี้ ไร้อารมณ์ ไร้สีหน้า อะไรประมาณ เพราะเห็นอะไร อะไรมากระทบ ก็เฉยๆ
    ทั้ง 3 กรณีนี้ ท่านเป็นอย่างไร ก็สังเกตเอานะครับ เอาแค่สังเกตให้เห็นก็โอเคแล้ว ไม่ต้องถึงขนาดดับได้ ระงับได้ เพราะเรายังไม่เป็นอริยบุคคล ยังเป็นปุถุชนอยู่ ความรู้สึกเหล่านี้ มันต้องมีตลอดไป มันยังดับไม่ได้ แค่ระงับได้เป็นบางอย่างเท่านั้น

    ดังนั้น ใครเผชิญทุกข์อยู่ ก็ปล่อยๆ วางลงซะบ้าง ถึงทุกข์ยังไง เมื่อไม่ถึงเวลาตาย มันก็ยังไม่ตาย แต่ถ้าถึงเวลาตาย มันก็ตายเองไปซะงั้นแหละ

    ส่วนคนที่เผชิญความสุขบ่อยๆ ก็เอาให้ทัน อย่าหลงระเริงไปในสุขนั่น เพราะว่า เดี๋ยวเดียว มันก็หมดไป มันหายไป มันอยู่กับเราไม่ค่อยนานนัก

    ส่วนความรู้สึกเฉยๆ นิ จะว่าดีมันก็ดีนะ จะว่าไม่ดี มันก็ไม่ดีนะ(เพราะมันยังไม่ดับทุกข์ได้) แต่สำหรับคนที่เป็นปุถุชนอย่างเรา ถ้ามีความรู้สึกเฉยๆ บ่อยๆ มันก็ดีอยู่บ้างพอสมควร แบบว่า ไม่ทุกข์ไม่สุขน่ะ ก็ดีเหมือนกัน แต่อย่าให้ติดมาก เพราะในทางธรรมเขาอาจจะเรียกว่า มันแค่เริ่มต้น มันเฉยๆ ไม่ได้ ถ้าให้ถึงทีี่สุดแล้วมันต้อง "ว่างๆ" ไปเลย คือ ไม่รู้สึกนั่นแหละ ดีที่สุด ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้น ก็คงอีกหลายชาติ ขึ้นอยู่กับการสะสมบารมีของแต่ละคนกันล่ะ ขออนุโมทนาสาธุ ท่านที่สนใจในธรรมะครับ
     
  7. Faithfully

    Faithfully เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +2,459
    อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ปริพพาชกวรรค
    จูฬวัจฉโคตตสูตร เรื่องปริพาชกวัจฉโคตร
    อรรถกถาปริพพาชกวรรค
    ๑. อรรถกถาเตวิชชวัจฉสูตร๑-
    ๑- บาลีว่า จูฬวัจฉโคตตสูตร.

    เตวิชชวัจฉสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
    ในบรรดาบทเหล่านั้นว่า เอกปุณฺฑริเก ต้นมะม่วงขาวท่านเรียกว่าปุณฑริกะ. ชื่อว่า เอกปุณฺฑริโก เพราะต้นปุณฑริกต้นนั้นมีอยู่ต้นเดียวในอารามนั้น.
    บทว่า เอตทโหสิ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริ เพราะมีพระประสงค์จะเสด็จเข้าไป ในปริพพาชการามนั้น.
    บทว่า จิรสฺสํ โข ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กว่าพระองค์จะเสด็จมานานทีเดียว หมายถึงเคยเสด็จมาตามปรกติ.
    ในบทว่า ธมฺมสฺส จ อนุธมฺมํ ธรรมสมควรแก่ธรรมนี้ สัพพัญญุตญาณ ชื่อว่าธรรม. การพยากรณ์แก่มหาชนชื่อว่า อนุธรรม (ธรรมสมควร).
    บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในชีวกสูตรนั่นแล.
    บทว่า น เม ไม่เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว คือตั้งอยู่ในความไม่เห็นชอบ ปฏิเสธแม้ความเห็นชอบ. เพราะพระสัพพัญญูมีปรกติเห็นสิ่งทั้งปวง ทรงปฏิญญาญาณทัสนะไม่มีส่วนเหลือ ฉะนั้น ญาณทัสนะนี้ควรรู้ตาม.
    บทว่า จรโต จ เม ปจฺจุปฏฺฐิตํ เมื่อเราเดินไปก็ดี ญาณทัสนะปรากฏแล้วนี้ ไม่สมควรรู้ตาม. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคำนึงด้วยพระสัพพัญญุตญาณแล้วทรงรู้. ฉะนั้น ทรงตั้งอยู่ในความไม่เห็นชอบ ปฏิเสธแม้ความเห็นชอบจึงตรัสอย่างนี้.
    ในบทว่า อาสวานํ ขยา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสว่า เพียงใด. เพราะอาสวะทั้งหลายที่สิ้นไปแล้วครั้งเดียว มิได้มีอาสวะที่จะพึงสิ้นไปอีก.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวย่อพระคุณทั้งสิ้นด้วยวิชชา ๓ เหล่านี้ คือ ทรงแสดงคุณ คือ ความรู้ในอดีตด้วยปุพเพนิวาสญาณ ๑ ทรงแสดงคุณ คือความรู้ในปัจจุบัน ด้วยทิพจักขุญาณ ๑ ทรงแสดงโลกุตตรญาณ ด้วยอาสวักขยญาณ ๑.
    บทว่า คิหิสํโยชนํ สังโยชน์ของคฤหัสถ์ คือความผูกพันของคฤหัสถ์คือความใคร่ในบริขารของคฤหัสถ์.
    บทว่า นตฺถิ โข วจฺฉ ดูก่อนวัจฉะ ไม่มีเลย คือผู้ยังไม่ละคิหิสังโยชน์ ชื่อว่าจะทำที่สุดทุกข์ย่อมไม่มี.
    แม้บุคคลเหล่าใดดำรงเพศคฤหัสถ์ คือ สันตติมหาอำมาตย์ อุคคเสนะเศรษฐีบุตร วีตโสกธารกะ ก็บรรลุพระอรหัตได้. แม้บุคคลเหล่านั้นก็ยังความใคร่ในสังขารทั้งปวงให้แห้งไปด้วยมรรคแล้วบรรลุได้ แต่เมื่อบรรลุแล้วก็ไม่ตั้งอยู่ด้วยเพศนั้น.
    ชื่อว่าเพศคฤหัสถ์นี้เลว ไม่สามารถทรงคุณอันสูงสุดไว้ได้. เพราะฉะนั้น ผู้ตั้งอยู่ในเพศคฤหัสถ์นั้นบรรลุพระอรหัตแล้วย่อมบวช หรือปรินิพพานในวันนั้นเอง. แต่ภุมมเทวดายังดำรงอยู่ได้. เพราะเหตุไร. เพราะมีโอกาสที่จะแฝงตัวอยู่ได้.
    ในกามภพที่เหลือ พระอริยบุคคล ๓ จำพวกมีพระโสดาบันเป็นต้น ยังดำรงอยู่ได้ในมนุษยโลก. ในกามาวจรเทวโลก พระโสดาบันและพระสกทาคามียังดำรงอยู่ได้. แต่พระอนาคามีและพระขีณาสพจะดำรงอยู่ในกามาวจรเทวโลกนี้ไม่ได้. เพราะเหตุไร. เพราะที่นั้นมิใช่เป็นที่อยู่ของชนผู้ละอายแล้ว และที่นั้นมิใช่เป็นที่ปกปิดที่สมควรแก่วิเวกของพระขีณาสพเหล่านั้น.
    ด้วยประการฉะนี้ พระขีณาสพจึงปรินิพพาน ณ ที่นั้น. พระอนาคามีจุติแล้วไปเกิดในชั้นสุทธาวาส. พระอริยะแม้ ๔ จำพวกย่อมดำรงอยู่ในภูมิเบื้องบน แต่กามาวจรเทวโลกได้.
    บทว่า โสจาปิ กมฺมวาที คือ อาชีวกที่เป็นกรรมวาที.
    บทว่า กิริยวาที พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคัดค้านผู้อื่นแล้ว ทรงกล่าวถึงพระองค์เองเท่านั้นในที่สุด ๘๙ กัป.๒-
    ได้ยินว่า ในครั้งนั้นพระมหาสัตว์ทรงผนวชเพื่อทรงสอบสวนลัทธิปาสัณฑะ (เป็นลัทธิเกี่ยวกับตัณหาและทิฏฐิ). ครั้นทรงทราบว่าลัทธิปาสัณฑะนั้นไม่มีผล ก็มิได้ทรงเลิกละความเพียรได้เป็นกิริยวาทีไปบังเกิดบนสวรรค์ เพราะฉะนั้น จึงตรัสอย่างนี้.
     
  8. Faithfully

    Faithfully เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +2,459
    ขออนุโมทนาในบุญในธรรมที่เจ้าของกระทู้ได้ปฏิบัติแล้วด้วยดีค่ะ
    และเจริญในธรรมขององค์พระศาสดายิ่ง ๆ ขึ้นไปนะคะ
    ทุกอย่างที่ปฏิบัติเป็นปัตจัตจัง ปฏิบัติแล้วย่อมรู้ได้เองจริง ๆ ค่ะ
    อย่างน้อยแม้ยังละทางโลกไม่ได้ ก็ยังจิตเราให้สูงขึ้นได้ นับว่าเป็นประโยชน์นัก

    ขออนุโมทนาในธรรมทานของทุก ๆ ท่านด้วยนะคะ
    เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ
    คุณพระรักษา ธรรมะคุ้มครองทุกท่าน ขอให้มีความสุขค่ะ


    พุทโธ เม นาโถ
    __________
    ลมหายใจสุดท้าย..ขอถวายเป็นพุทธบูชา
     
  9. Rattiyalek

    Rattiyalek สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2022
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +0
    เอ่อ ตั้งหลายปีผ่านไปดิฉันเพิ่งได้มาอ่านค่ะ สงสัยอยู่ว่าตนเองได้ทำอะไรไปถึงไหนค่ะ ยังตามอ่านไม่หมดเลยอนุโมทนาสาธุกับทุกท่านด้วยที่ปฏิบัติดีค่ะ ดิฉันก็ฝึกเองและดูคลิปสองเดือนค่ะมีอะไรแปลกๆเยอะมากมาย
     

แชร์หน้านี้

Loading...